คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1 ︱ พี่ชายกับน้องชาย
APOSTROPHE ’S
1
อากาศในเช้าวันนี้ไม่ดีนัก พิธีศพวันสุดท้ายของอีจุงโฮผ่านไปได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว และนั่นหมายถึงสภาวะปกติภายในบ้านตระกูลอีก็เริ่มจะกลับมาเข้าที่เข้าทางแล้วเช่นกัน ช่วงนี้อีทงเฮตื่นสายเป็นพิเศษ เป็นเพราะเขาได้รับอนุญาตให้ลางานระยะยาวได้ แน่นอนว่าถึงแค่วันนี้เท่านั้น
บิดขี้เกียจซ้ายทีขวาทีแล้วจึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างเกียจคร้าน แต่ถึงอย่างนั้นทงเฮก็อยากตื่น อย่างน้อยการไปทำงานก็ทำให้เขามีที่ไป... ไปให้พ้นหน้ามินจีฮยอนแม่เลี้ยงคู่อริ หล่อนทำตัวเหมือนกับว่าอำนาจใหญ่ของบ้านอยู่ในมือ หล่อนสั่งให้ปรับนู่นเปลี่ยนนี้เสียยกใหญ่ รูปภาพไว้ตรงนั้น ผ้าม่านไม่เอาสีนี้ หรือแม้แต่การตำหนิสาวใช้ที่ใส่กางเกงขาสั้นขึ้นไปถึงต้นขา
แต่แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ กับข้าวมีคนช่วยกินเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ลานจอดรถมีรถเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคัน และเมื่อทงเฮเดินลงมาจากห้องในตอนเช้า บนโต๊ะอาหารนั่นก็ปรากฏคนซึ่งตื่นเช้ากว่าเขานั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับพี่ทงเฮ”
ยิ้มนั้นสดใสเป็นมิตรเสียจนเขานึกสงสัยว่าจีฮยอนได้คุยกับลูกชายบ้างหรือเปล่า เพราะถ้าเธอคุย ไม่มีทางที่หมอนี่จะไม่รู้หรอกว่าคุณนายกับคุณชายของบ้านนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันขนาดไหน
เขาพยักหน้ารับแบบไม่ใส่ใจนัก ปากก็เรียกให้สาวใช้ไปชงกาแฟมา
“วันนี้ไม่รับอาหารเช้าหรือคะ?”
“ไม่ล่ะ ขอหนังสือพิมพ์ด้วยนะ” พูดไปอย่างนั้น แต่ก็ชะงักแล้วหันไปเห็นว่าหนังสือพิมพ์กำลังอยู่ในมือโจวคยูฮยอน บ้านหลังหนึ่งคงไม่มีหนังสือพิมพ์มากกว่าหนึ่งเล่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เคยเป็นเขาคนเดียวที่อ่าน
“ขอโทษครับ ผมเห็นมันวางอยู่ก็เลยถือวิสาสะหยิบมาอ่าน” ร่างโปร่งสูงยิ้มสุภาพพลางพับเก็บหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษแล้วยื่นส่งให้คนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “พี่ชอบอ่านเป็นภาษาอังกฤษหรือครับ”
“อืม หัวสูงน่ะ” ตอบแบบขอไปที ทงเฮได้แต่พึมพำในใจว่า ช่วยรู้ตัวทีเถอะว่าฉันไม่อยากคุยกับนาย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายเปิดบทชวนคุยได้อย่างไม่น่าเลี่ยง
“หัวสูง? อันที่จริงผมเข้าใจนะว่าพี่หมายถึง รสนิยมดี”
“ไม่หรอก หัวสูงนั่นแหละ” ค้านเสียงเรียบ กาแฟมาเสิร์ฟพอดี อเมริกาโนใส่น้ำตาลครึ่งช้อนและไม่ใส่นมส่งกลิ่นหอมกรุ่น ตัดกับกลิ่นโกโก้ร้อนจากอีกแก้วที่อยู่ไกลออกไป เขาจึงได้รู้ว่าคยูฮยอนไม่ดื่มกาแฟ (อย่างน้อยก็ในเช้านี้)
“เดี๋ยวผมกับคุณแม่จะเข้าบริษัท พี่เองจะไปพร้อมเราไหมครับ”
“ฉันชอบขับรถเองน่ะ แล้วเผอิญว่าฉันเลี้ยวซ้าย แต่นายเลี้ยวขวา” ได้ยินอย่างนั้นคยูฮยอนก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ โดยไม่พูดอะไรต่อไปอีก ประจวบเหมาะกับที่จีฮยอนแต่งตัวเสร็จและทอดน่องลงบันไดมาพร้อมเครื่องหน้าโทนน้ำตาลและปากแดง ๆ “ขอตัวนะ”
อีทงเฮคว้ากระเป๋าและลุกเดินจากไปทั้งที่ยังไม่ทันจะได้กางหนังสือพิมพ์อ่านด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเขากระดกกาแฟหมดไปพร้อมกับอึกสุดท้ายเมื่อครู่ แลดูเป็นคนไม่ชอบทำอะไรชักช้า คยูฮยอนมองจนกระทั่งแม่ของตนเดินมาถึง
“แหม ไสก้นกลับไปทำงานได้สักที อยู่ขวางหูขวางตาอยู่ได้เป็นอาทิตย์ ๆ” เสียงของหล่อนบ่งบอกว่ายินดีอย่างที่ชายหนุ่มเข้าใจ จีฮยอนทรุดตัวนั่งลง หันไปสั่งน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่งกับสาวรับใช้ อีกมือก็รับเอาหนังสือนิตยสารจากสาวใช้อีกคน
“แต่พี่เขาเป็นเจ้าของบ้านนะครับแม่” คยูฮยอนค้านประโยคเมื่อครู่ สีหน้าเหมือนจะบอกมารดากลาย ๆ ว่านั่นเป็นสิ่งไม่ควรพูด
“อย่าลืมสิ คุณจุงโฮก็เป็นพ่อของแกเหมือนกัน” จีฮยอนจิ๊ปาก ตาของเธอกลอกขึ้น แล้วก็ก้มลงมองนิตยสารอีกครั้ง “เพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้ก็ย่อมเป็นของเราด้วย”
“พ่อ... ที่ผมแทบจะไม่เคยมาพบท่านเลยนะเหรอครับ” ชายหนุ่มว่า แค่ในมรดกเอ่ยถึงมารดาและเขา นั่นก็ถือว่าเป็นพระคุณอย่างสูงแล้ว
มินจีฮยอนไม่ต่อปากต่อคำกับลูกชายในเรื่องนี้ เธอให้ความสนใจกับรีวิวชุดเครื่องสำอางออกใหม่ และเดาได้เลยว่าคงคิดไปถึงการสั่งตัดชุดเพื่อให้เข้ากับลิปสติกสีบานเย็น กับเรื่องที่จะขอให้ลูกชายไปเป็นเพื่อนในสามสี่วันที่จะถึง ถึงตอนนี้ก็นึกขึ้นได้อีกเรื่อง ร่างนั้นยอมเอี้ยวตัว มองซ้ายขวาว่าคนรับใช้ไปทำงานอย่างอื่นแล้ว หล่อนก็ว่า
“จะขอเตือนไว้อย่างเด็ดขาดเลยนะ อย่าเข้าใกล้อีทงเฮเชียวล่ะ”
“ทำไมครับ เขาก็คุยด้วยได้...”
คนเป็นแม่จิ๊ปากขัดใจ ดูเหมือนนี่เป็นเรื่องสำคัญทีเดียวที่อยากให้คยูฮยอนทำตาม “มันไม่ใช่ผู้ชาย”
____________________________________
บริษัทชางจินเฟอร์นิเจอร์มีข้อห้ามขึ้นมาเพิ่มอีกหนึ่งอย่างคือ ไม่ต้องไปแสดงความเสียใจอะไรกับนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์อีทงเฮเท่าใดนัก มันชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเขาไม่ชอบ ไม่ต้องการ และอย่ามีใครหน้าไหนมาพูดถึงโดยอ้างเรื่องมารยาทอะไรนั่น
“แค่ไปร่วมงานศพผมก็ซึ้งจะแย่อยู่แล้ว ขอบคุณครับ” เขายกมือขึ้นห้ามปาร์คจองซู ฝ่ายประสานงานผลิตภัณฑ์รุ่นพี่ของชเวซีวอน บางทีจองซูก็เป็นหนึ่งในกลุ่มร่วมรับประทานข้าวกลางวัน แต่บางทีเขาก็ต้องการแค่ซีวอน ผู้ซึ่งมีเพื่อนเยอะแยะมากมายแต่สละเวลาได้เสมอ
“นายนี่แปลกคน” ซีวอนลากเก้าอี้มานั่งลงข้างโต๊ะ นี่เป็นเวลาอู้งาน... เป็นเวลาที่ยังไม่มีงานมาให้ทำสักเท่าไหร่ “ใคร ๆ เขาก็อยากได้รับการแสดงความเสียใจกันทั้งนั้น”
“คนปกติคงร้องไห้ไว้ทุกข์ร้อยวัน”
“ไม่เอาน่า”
“อีกสิบห้านาทีจะได้เวลาพัก ฉันว่ามาคิดกันดีกว่าว่าวันนี้นายจะเลี้ยงฉันที่ร้านไหนดี”
ถึงตรงนี้ชายหนุ่มตัวสูงก็หัวเราะ บางทีการปลอบโยนมันอาจจะไม่จำเป็นจริง ๆ สำหรับทงเฮก็ได้ เขาใช้เวลานึกไม่ถึงห้าวินาที ซึ่งเดาได้เลยว่าจริง ๆ คงมีร้านในใจอยู่แล้ว “อาหารเวียดนามเป็นไง”
____________________________________
เป็นความบังเอิญที่โชคร้ายเมื่อชเวซีวอนใจตรงกับมินจีฮยอนขึ้นมาในวันนั้น ทงเฮยัดเอาผักเข้าปาก ดูไม่สบอารมณ์เสียจนซีวอนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจำต้องเหลียวไปมองทางประตูร้านซึ่งเห็นผู้หญิงแต่งตัวจัดกับผู้ชายในชุดสูทกึ่งสุภาพกำลังได้รับการต้อนรับจากพนักงาน
โจวคยูฮยอนตาดีกว่าแม่ เขายิ้มและโบกมือให้พี่ชายต่างสายเลือดซึ่งกำลังวางช้อนส้อมลงและหันไปหยิบแก้วน้ำดื่ม เขาให้แม่นำไปที่โต๊ะก่อน แล้วจึงเดินเลี่ยงมาทางโต๊ะที่คนสองคนนั่งอยู่ ยิ้มกว้างเอ่ยคำทักทาย “บังเอิญจังครับ”
ซีวอนเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ว่าสองคนตรงหน้ารู้จักกันได้อย่างไร เขาส่งสายตาถาม แต่ทงเฮไม่อยากแนะนำ “ใช่ บังเอิญ แต่เราใกล้จะกินเสร็จแล้วล่ะ”
คยูฮยอนรู้ว่าเขาถูกไล่กลาย ๆ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ถือสา เขาเพียงแต่บอกขอตัวแล้วกลับมาที่โต๊ะของตนกับแม่อย่างรู้หน้าที่ เมื่อจีฮยอนถามว่าไปไหน ชายหนุ่มก็ได้แต่ตอบว่าออกไปโทรศัพท์
“อันที่จริงแม่ก็อยากจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับลูก แต่ดันมีเรื่องคุณจุงโฮเสียก่อน...” หล่อนว่าเสียงอ่อนในช่วงท้าย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องใหญ่กว่าการที่คยูฮยอนเรียนจบหลายร้อยเท่า ระหว่างรออาหารดวงตาก็ชำเลืองมองไปรอบ ๆ โทนสีสวย และน้ำตกตรงมุมร้อนนั่นก็หรูหราดี บางทีที่บ้านก็น่าจะมีสักเครื่องในสวนจิบชา
ทว่าเกลียดสิ่งใดมักเจอสิ่งนั้น จีฮยอนเห็นคนที่เธอชังนักหนาและเขาเองก็ชังเธอเช่นเดียวกัน อีทงเฮนั่งกินข้าวอยู่กับ... ก็คงเป็นคู่ขากระมัง พอเกลียดแล้วมองอย่างไรก็ไม่ดี หล่อนจึงเห็นมันเป็นเกินเพื่อน
“ดูสิ... มานั่งกินข้าวกับผู้ชายด้วยกันสองต่อสองในร้านแบบนี้ คุณจุงโฮแกไม่หนักใจบ้างหรือไงนะมีลูกชายชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อ”
“แต่แม่ครับ ร้านนี้ก็ไม่ใช่ร้านคู่รักเสียหน่อย เขาอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้” คยูฮยอนแก้ต่าง เขาไม่เห็นว่าทงเฮกับผู้ชายคนนั้นจะกระหนุงกระหนิงอะไรกันตรงไหน กินข้าวกันไปคุยกันไป เรื่องปกติสามัญ
“โอ๊ย... จะใช่เพื่อนเร้อ แกก็รู้ว่ามันไม่ใช่ผู้ชาย ไอ้ที่ว่าเป็นเพื่อน ๆ นั่นคงกินกันเองหมดแล้ว”
ชายหนุ่มไม่กล้าคิดว่าคำพูดของแม่หยาบคายแต่ดูเหมือนเขาจะปฏิเสธความจริงไม่ได้ พี่ชายนอกสายเลือดคนนั้นก็บุคลิกท่าทางดีทีเดียว จีฮยอนบอกว่าทางนี้ได้เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินและหุ้นของบริษัท อีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นของลูกในไส้อีจุงโฮที่ไม่เคยจะเหลียวแลนึกอยากเข้าบริษัท แต่กลับไปทำงานกับบริษัทเล็ก ๆ ในแวดวงเฟอร์นิเจอร์ (ถึงแม้จะเป็นบริษัทน่าจับตามองที่คงได้เติบโตอีกไกล) แต่กับบริษัทใหญ่อย่างมุนยองกรุ๊ปที่มีทั้งโรงงานและบริษัทฝ่ายขายเป็นห้างสินค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ ยังไงก็นับเป็นความต่างชั้นทางธุรกิจอย่างปฏิเสธไม่ได้ คนอย่างลูกชายอีจุงโฮไม่โง่ก็คงบ้า อำนาจและทรัพย์สินอยู่ในมือขนาดนี้กลับไม่แยแสแต่ทิ้งให้เธอเป็นคนดูแลจัดการ แน่นอนว่าเธอย่อมยินดีที่จะขึ้นบังเหียนประธานบริหารใหญ่อย่างไม่ต้องเชิญ และนั่นยิ่งทำให้อีทงเฮยอมถอยห่างออกไปกว่าเดิมอย่างเต็มใจ
และแน่นอนว่าเร็ว ๆ นี้ ตำแหน่งใหญ่ด้านการบริหารนั้นก็ต้องตกเป็นของโจวคยูฮยอนตามการปูทางของมารดาอย่างเลี่ยงไม่ได้
____________________________________
คยูฮยอนอยากหาหนังสืออ่าน ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงเรียนรู้งานที่บริษัทและยังไม่มีอะไรน่าหนักใจนัก เป็นสัปดาห์หน้าที่เขาจะถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และระหว่างนี้มินจีฮยอนย่อมยินดีให้ลูกชายเธอเที่ยวเตร่หรือหาหนังสืออ่านฆ่าเวลาในกรณีที่ไม่ใช่คนชอบเที่ยว
ห้องหนังสือกับห้องทำงานอยู่รวมกัน ร่างโปร่งไม่ทันสังเกตว่าช่องใต้ประตูมีแสงไฟสีเหลืองนวลทอดออกมาเล็กน้อย ครั้นเปิดประตูเข้าไปนั่นแหละเขาถึงเห็นว่าอีทงเฮผู้เป็นพี่ชายกำลังนั่งง่วนอยู่กับจอคอมพิวเตอร์แมคอินทอชขนาดใหญ่และข้าวของระเกะระกะบนโต๊ะอีกกองหนึ่ง (หลังจากที่ของ ๆ อีจุงโฮถูกย้ายออกไป ห้องนี้ก็ถูกยึดโดยเจ้าของใหม่)
“เอ่อ... ขอโทษครับ ผมแค่จะมาหาหนังสืออ่าน...”
สายตานั้นบอกเขาว่า ตามสบาย มุมหนังสืออยู่ทางขวามือ และมันคงไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธินักในเมื่อชั้นหนังสือกับโต๊ะทำงานถูกแยกโซนอย่างชัดเจน ทงเฮไม่มีท่าทีสนใจคยูฮยอนเลย เขาแทบจะไม่ทำเหมือนชายหนุ่มมีตัวตนอยู่ในห้องเดียวกันด้วยซ้ำ จนกระทั่งร่างนั้นบิดขี้เกียจนั่นล่ะ ถึงได้หันมามองเป็นครั้งที่สอง
“ทำไมพี่ถึงไม่รับช่วงต่อจากคุณจุงโฮ... คุณพ่อล่ะครับ” เปิดปากถามไปเสียงสุภาพ ในมือมีหนังสืออยู่สามเล่ม และเขาคิดว่าคงจะหาอ่านเพิ่มอีก
คนตรงโต๊ะทำงานถอนหายใจ “ตัดปัญหา”
นั่นดูจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนมากทีเดียว คยูฮยอนฉลาดพอสำหรับการเข้าใจความหมาย ในใจทงเฮนั้นคิดบ้างหรือเปล่าว่าเขาและแม่มาแย่งสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาไป มันคงไม่ทรพีกระมังหากเขารู้สึกเห็นใจ อย่างไรเสียชายหนุ่มก็คิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรได้
“ได้หนังสือหรือยังล่ะ” เสียงนั้นเอ่ยถาม ร่างโปร่งชูสันหนังสือให้ดู และครั้งนี้เขาคิดว่าทงเฮเริ่มจะยอมพูดด้วยมากขึ้นในที่สุด “กำลังไม่มั่นใจหรือ?”
อ่านใจน้องชายออกได้ไม่ยาก หนังสือสามเล่มนั่นล้วนแต่เกี่ยวกับการบริหารและเป็นภาษาอังกฤษทั้งสิ้น “ทบทวนความรู้น่ะครับ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะใช้ในการทำงานจริงได้แค่ไหน”
จบคำร่างบนเก้าอี้บุหนังก็ลุกขึ้น เดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ และเลือกหนังสือออกมาเปิดดู ตอนนี้เองที่คยูฮยอนรู้ว่าทงเฮตัวเตี้ยกว่าเขาสักราว ๆ หกถึงเจ็ดเซนติเมตรได้ มันก็ไม่ได้ดูต่างกันมากเท่าไหร่ เพียงแต่ต้องหลุบตาลงนิดหนึ่งเวลาสนทนากัน
“เอาไปอีกสองเล่มสิ ช่วยได้ดีเชียวล่ะเวลาที่นายต้องการตรวจสอบการทุจริต... มีโอกาสสูงน่ะนะโดยเฉพาะในบริษัทใหญ่ ๆ”
“ขอบคุณครับ”
ทงเฮระบายยิ้มอ่อน ๆ ปากของเขาบางเฉียบ แต่ดวงตาเรียวรีนั้นคยูฮยอนคิดว่าสวย มันเป็นประกาย และออกจะ... “มองอะไร”
“เปล่าครับ” ยิ้มตอบไปแล้วก็หุบได้ยาก มันเป็นเรื่องดีที่พี่ชายยอมโอนอ่อนให้เขาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ทำลายบรรยากาศอึดอัด (ในเวลาที่มินจีฮยอนไม่ได้อยู่ด้วย) ได้พอสมควร “ขอบคุณนะครับ พี่”
พยางค์สุดท้ายของประโยคถูกเว้นวรรคแยกต่างหาก ริมฝีปากของทงเฮเป็นเส้นตรง เขาเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน คยูฮยอนรู้งาน หมดเวลาสานสัมพันธ์แล้ว หนังสือห้าเล่มนี่มากพอที่จะหายเบื่อไปอีกเกือบสัปดาห์
ทงเฮยอมเงยหน้าขึ้นจากกระดาษเปล่าก็ตอนที่เสียงประตูปิดเงียบไปแล้ว
____________________________________
การนั่งแท่นประธานฝ่ายบริหารไม่เลวร้ายอย่างที่โจวคยูฮยอนกลัว ในวันแรกมีแค่การประชุมที่ลงตัวดีอยู่แล้วและการเซ็นเอกสารอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น มินจีฮยอนอยู่ห้องของเธอ เธอไม่ได้ย้ายตำแหน่งตัวเองจากรองประธานบริหารไปที่ตำแหน่งไหน (อันที่จริงคยูฮยอนหวังให้แม่มานั่งทำงานบนเก้าอี้ของเขามากกว่า) เธอว่า ไม่เป็นไร ยังไงลูกก็มีแม่คอยช่วยเหลืออยู่ดี ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกเกร็งน้อยลงเลย
สาว ๆ ในบริษัทต่างซุบซิบเวลาที่เขาเดินผ่าน รวมถึงเลขานุการสาวหน้าห้องที่วันนี้ก็ดูจะแต่งหน้าจัดและเสื้อผ้าสีฉูดฉาดเป็นพิเศษ แต่นี่เป็นปัญหาเล็กเมื่อจวนถึงเวลาอาหารกลางวัน จีฮยอนมารดาคงไม่ออกไปไหนในวันนี้ เธอเลือกจะสั่งอาหารมากินแต่เขาไม่อยาก
สมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ ถูกหยิบขึ้นมาจากมุมโต๊ะ บนหน้าหลังสุดของสมุด มีที่อยู่ของบริษัทชางจินเฟอร์นิเจอร์
____________________________________
“วันนี้หนังเรื่องคลาวน์แอตลาสเข้าโรงแล้ว”
ชเวซีวอนกำลังยืนเท้าโต๊ะอยู่ตรงหน้า ทงเฮเพียงแต่ยิ้มอย่างรู้ทันแล้วมองดูคนในบริษัทต่างพากันทยอยออกไปกินข้าว “แล้วยังไง ก็จะให้ไปค้างที่คอนโด ฯ ใช่ไหม”
ร่างสูงยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยแต่ใบหน้าหล่อนั้นก็ไม่ได้ดูน่าเกลียด สาว ๆ ในบริษัทคงจะชอบถ้าซีวอนยิ้มอย่างนี้ให้พวกเธอบ้างวันละสามเวลา “แค่ไม่อยากให้นายขับรถกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ”
“อ้อ คงมีคนดักตีหัวฉันไปเรียกค่าไถ่” ทงเฮรับมุข ทั้งที่รู้ว่านี่มันเป็นมุขโบราณล้านปีสิ้นดี “เอาล่ะ ฉันไม่ใช่สาวน้อย เพราะงั้นนัดดูหนังคืนนี้เราอเมริกันแชร์”
คนถูกดักทางหัวเราะร่าที่ถูกรู้ทันนิสัยหน้าใหญ่ชอบรีบควักจ่ายก่อนที่คนอื่นทันจะได้ล้วงกระเป๋า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนคนพิเศษอย่างทงเฮ ซีวอนจะเร็วขึ้นหลายปีแสงทีเดียว “พี่จองซูโบกมือเรียกแล้ว คนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้คงกินกันร้านใกล้ ๆ”
“ไปกินเถอะ ถ้าหิวแล้วจะตามไป”
เพราะซีวอนไม่ใช่คนจุกจิกทงเฮถึงชอบ ชายหนุ่มแยกไปรวมกลุ่มกับปาร์คจองซูและเพื่อนร่วมงานผู้ชายอีกห้าหกคนแต่ดูเหมือนเวลาตอนนี้จะไม่เป็นใจให้เขาทำงานนัก เพราะมีโทรศัพท์เรียกจากประชาสัมพันธ์ชั้นล่างว่ามีคนมาขอพบ และพอลงไปถึงนั่นแหละถึงได้แสดงอาการแปลกใจเพราะคน ๆ นั้นคือน้องชายนอกไส้ของเขานั่นเอง
“มีธุระอะไร?”
“ผมแค่จะมาชวนพี่ไปทานข้าวน่ะครับ” ทันทีที่พูดจบคิ้วนั้นก็เลิกขึ้นจนโจวคยูฮยอนต้องขยายความกึ่งการขอร้อง “ผมยังรู้สึกไม่ชินกับการกลับมาอยู่ที่นี่เท่าไหร่ แล้วก็โชคดีที่พี่ยังไม่ทันจะออกไปไหน”
เขายิ้มแห้ง ๆ เสียจนทงเฮสงสาร เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เจอลูกหมาน่ารัก ๆ นั่นล่ะ
“โซราเขาตอบตกลงไปดูหนังรอบมิดไนท์กับฉันแล้วว่ะ ได้ความสัมพันธ์ถึงจุดสุดยอดแน่ ๆ”
“คงไม่ใช่รอบคืนนี้ใช่ไหมครับพี่จองซู?” ซีวอนพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะตักอาหารเข้าปากคำใหญ่ กลุ่มผู้ชายบนโต๊ะเดียวกันมักจะส่งเสียงดังเป็นพิเศษ และส่วนใหญ่เสียงที่ดังกว่าเพื่อนมักจะเป็นของคังโฮดง
“ทำไม แกนัดดูหนังกับสาวที่ไหน” ย้อนกลับไปแต่ไม่ถูกเสียทั้งหมด “อ้าว?”
ทั้งกลุ่มมองหน้าจองซูราวกับจะถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น เขาชะเง้อคอมองไกลออกไปฝั่งหน้าตึกบริษัท อีทงเฮกำลังเดินมากับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทคนหนึ่ง และทั้งคู่ก็ขึ้นไปบนรถสีดำเมี่ยมแบบที่ตรงข้ามกับรถสีขาวของทงเฮ ทั้งกลุ่มเองก็กำลังมองภาพเดียวกัน
“ไหนว่าจะตามมากินข้าวด้วยกันไง อุตส่าห์สั่งเผื่อซะเยอะเลย” บ่นแต่ก็คีบเอาเนื้อชิ้นโตเข้าปาก “สงสัยเย็นนี้ได้เข้าฟิตเนสแน่เลยว่ะ เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้หุ่นไม่ฟิต”
ประโยคคำถามแรกของจองซู ซีวอนตอบไม่ได้ แต่เขาก็มองจนกระทั่งรถสีดำคั้นนั้นลับตาไปบนท้องถนนที่คาคั่ง
ความคิดเห็น