ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC KYUHAE ¦ - Pastel Crescent {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #2 : ` ( PASTEL CRESCENT ) ____chapter one .

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 55


    V I V A C I O U S







    Pastel Crescent

    Couple : Kyuhyun x Donghae

    Type : Fantasy Drama Romance

    Author : xerxixiao’


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------






     

    CHAPTER I










     

    “ลำบากแย่เลยนะครับแบบนี้”


    มือหยาบกร้านโน้มลงยกเอากระเป๋าเดินทางใบโตขึ้นอย่างไม่รู้สึกยี่หระเท่าไรนัก ต่างจากอีกคนที่ดูจะทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่ก็จัดการยกกระเป๋าอีกสองใบขึ้นวางบนรถเข็นซึ่งทางสนามบินจัดไว้บริการ แม้ว่าไม่ใช่คนผอมแห้งแรงน้อย แต่หากเทียบกับคนทรานซิลวาเนียแล้ว อาจารย์อีทงเฮ ไม่ได้ถือว่าเป็นคนสูงใหญ่และยังคงรูปลักษณ์กายภาพของคนเอเชียไว้ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน


    “ขอบคุณมากโยลันด้า ถ้าไม่มีคุณผมเองก็คงลำบากน่าดู”


    ภาษาโรมาเนียที่ฟังดูแล้วอาจยังแปร่งปร่า แต่ก็ฟังดูชัดพอตัวสำหรับคนต่างทวีปที่ใช้เวลาฝึกฝนมาถึงครึ่งปี ดวงตาเรียวรีสีน้ำตาลเข้มกลอกมองไปรอบๆเพื่อหวังจะเจอคนชาติเดียวกันให้พออุ่นใจบ้าง ทว่าไม่มี โรมาเนียเป็นประเทศที่สวยแต่ก็ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับโลก ส่วนการจะทำเรื่องเข้าประเทศนั้นยากยิ่งกว่า ชายหนุ่มจำได้ดีว่าต้องวิ่งเต้นเป็นเดือนๆเพียงเพื่อจะทำพาสปอร์ตสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในฐานะคนทำงานโดยไม่ต้องเทียวไล้เทียวส่งไปต่อพาสปอร์ตใหม่บ่อยๆ


    “อาจารย์เก่งๆอย่างคุณ ผมคิดว่าพวกเด็กนักเรียนคงชอบ”


    “นักศึกษาโยลันด้า พวกเขาโตแล้ว”


    “อา... ใช่ ผมลืมไป ที่นั่นคือมหาวิทยาลัย” โยลันด้าเป็นผู้ชายร่างผอมสูงดูทะมัดทแมง เขายักคิ้วสีเข้มของตัวเองอย่างติดตลก แล้วเดินนำออกไปจนถึงลานจอดรถกว้าง รถที่เจ้าถิ่นใช้นำมารับเป็นรถกระบะสีบลอนด์เงิน ค่อนข้างจะซ่อมซ่อสมอายุการใช้งาน แต่ถึงอย่างนั้นกลับเคลื่อนตัวไปอย่างนิ่มๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ


    ระหว่างทางโยลันด้าใช้เวลาในครึ่งชั่วโมงแรกพูดโอ้อวดเรื่องรถของเขาด้วยความภาคภูมิใจ ได้ความว่าเขาเป็นขารถยนต์ตัวเอ้! ทงเฮไม่รู้เรื่องรถมากนัก และเขาก็รู้ดีแล้วว่าถ้ารถมีปัญหาจะรีบแจ้นไปหาใครเป็นคนแรก


    “รถของคุณใหม่เอี่ยมเชียวล่ะ ผมเป็นคนล้างมันเองกับมือ”


    ตอนแรกอีทงเฮจะถามถึงสภาพและอายุการใช้งานของรถที่ทางมหาวิทยาลัยเตรียมไว้ให้ แต่คิดดูอีกทีโยลันด้าคงจะดูแลมันให้เป็นอย่างดีแล้ว (สังเกตจากคันที่นั่งอยู่ มันค่อนข้างเจ๋งมาก)











     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -










     

    สิ่งแรกที่อาจารย์หนุ่มคิดหลังได้เห็นบ้านพักคือ เยี่ยม! บ้านปูนกึ่งไม้สไตล์พื้นเมืองซึ่งคงอายุเยอะพอสมควร แต่เหลือเชื่อที่มันยังทั้งใหม่เอี่ยมถูกทำความสะอาดเป็นอย่างดี เยื้องออกไปคือรถยนต์ทรงเหลี่ยมสไตล์เก่าสีดำเมี่ยม คลาสสิคสมกับความเป็นทรานซิลวาเนียไม่หยอก


    “บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานานเชียวล่ะ พอทำความสะอาดสักหน่อยเลยได้เห็นว่าความทรุดโทรมมันน้อยเหลือเชื่อ” โยลันด้าขยิบตาให้ทีหนึ่งแล้วจึงถือกระเป๋าเดินนำเข้าไปให้ อยู่พูดคุยอีกสักพักก็ขอตัวกลับเพราะบอกว่ายังมีงานให้ต้องสะสางอีกมาก สัมภาระที่เอามาล้วนเป็นของส่วนตัว บางทีใช้เวลาจัดเองคงจะสะดวกกว่า


    “ขอบคุณโยลันด้า”


    มองดูคนเจ้าถิ่นถอยรถออกไปจนลับสายตา หันกลับมาก็ต้องถอนหายใจเล็กๆกับกระเป๋าใบโตถึงสามใบที่บรรจุเสื้อผ้าและหนังสืออีกเกือบยี่สิบเล่ม คิดว่าคงใช้เวลาจัดไม่นานและแทบไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม ที่นี่มีข้าวของสำหรับครัวเรือนพร้อมอยู่แล้ว ในตอนนี้จะขาดก็แต่....


    ครอบครัว... ครอบครัวที่ควรจะต้องมาทรานซิลวาเนียด้วยกันและเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุข




    ถ้าไม่เพียงแต่เขา...




    พอนึกถึงก็รู้สึกปวดขมับขึ้นมาอย่างร้ายกาจเสียจนต้องรื้อหายาประจำตัวในกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งจนข้าวของกระจัดกระจาย น้ำเปล่าที่เหลืออยู่ค่อนขวดหลังซื้อติดมาจากที่สนามบินหมดลงในการดื่มเพียงแค่สองอึก  อาการยังไม่ทุเลาลงเท่าไร แต่อีกสักพัก... แค่อีกสักพัก....


    ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรความทรงจำเลวร้ายนั้นจะเลิกตามหลอกหลอนเขาสักที




    เมื่อไรกัน....











     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -










     

    คืนเดือนเพ็ญส่องสว่างเสียจนรู้สึกอยากจะมองจันทร์ หนังสือประวัติศาสตร์กรีกโบราณในมือสร้างความเพลิดเพลินตลอดจนข้อขบคิดเพื่อลับสติปัญญาอาจารย์หนุ่มให้ยิ่งเท่าทวี เงียบสงบ... เสียจนคิดว่าอาจจะคล้อยหลับไปได้ในไม่ช้า


    บ้านไม้สไตล์คันทรี่หลังโตท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกของชานเมือง ผืนป่า และสีสันของดอกไม้ใบหญ้าช่างสร้างความสุขให้เพิ่มขึ้นทวีคูณหากเทียบกับชีวิตในเมืองที่เคยอาศัยอยู่ ทั้งยังหญิงสาวที่รู้สึกรักที่สุด... หญิงสาวที่เขาฝากฝังชีวิตไว้กับเธอโดยคิดไปถึงความนิรันดร์


    หากแต่เสียงกุกกักจากบริเวณสวนข้างบ้านกลับทำให้ต้องชะงักหยุดความฝันแสนหวาน ด้วยความเป็นหัวหน้าครอบครัวค้ำคอชายหนุ่มจึงต้องหยิบเอาปืนคู่ใจจากในห้องโถงซึ่งเชื่อมกับระเบียงขึ้นมากระชับแน่นไว้ในมือ ก้าวเท้าไปด้วยความเงียบเชียบ กระทั่งเห็นแผ่นหลังมหึมาของบางสิ่งที่กำลังง่วนอยู่กับ...




    ลมหายใจขาดห้วงจนแทบตายลงเสียเดี๋ยวนั้นเมื่อร่างนั้นหันมาพร้อมกับทารกโชกเลือดในปาก เลยออกไปคือหญิงสาวซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาในชุดเดรสสีชมพูสวยที่ไร้ชีวิต หน้าท้องของหญิงสาวเป็นแผลเหวอะหวะและถูกแหวกออกจนเห็นภายในน่าสะอิดสะเอียน ราวกับร่างยักษ์อัปลักษณ์นั้นกำลังสแยะยิ้มให้เขาจนทารกซึ่งคาบไว้ร่วงหล่นลงกระแทกกับพื้นหญ้า







    มันคือมนุษย์หมาป่า...


    มนุษย์หมาป่า....







    มนุษย์หมาป่า....

     




















     

     

    “ไม่!!


    สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมาถึงสี่ปี เหงื่อชื้นไหลโทรมกายทั้งที่อากาศค่อนไปทางเย็นสบาย ตาสีดำกลอกมองไปรอบๆก่อนจะหลุบลงเมื่อตั้งสติได้ว่าสิ่งนั้นคือความฝันจริงๆ


    ฝันร้ายซึ่งเคยเป็นเรื่องจริง... ฝันร้ายที่ฆ่าให้เขาตายทั้งเป็น... ฝันร้ายที่ไม่มีทางให้อภัยคนซึ่งปกป้องครอบครัวไม่ได้....




    มนุษย์หมาป่าบ้าบออะไรกัน... มันไม่มีทางมีจริงหรอก




    น้ำตาไหลมาเป็นสายจนกระทั่งตามมาด้วยเสียงสะอื้นอย่างโหยหาราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้น... เหตุการณ์ที่เขาพบภรรยาซึ่งกำลังตั้งครรภ์อยู่ที่ชายป่าในสภาพไร้ชีวิต หัวใจของชายหนุ่มบิดเบี้ยวเป็นเกลียวคลื่นเหมือนจะตายลงให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น


    ทั้งที่เป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นได้ยากมากสำหรับสังคมปัจจุบัน แต่ทำไมถึงต้องเป็นคนที่เปรียบเสมือนชีวิตของอีทงเฮ




    ผลสรุปของเหตุการณ์นั้นคือครอบครัวเขาตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย....


    ซึ่งไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในนิยายปรัมปราพวกนั้นอย่างที่หญิงชราในละแวกพูดกันแน่นอน!











     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -










     

    การเรียนการสอนในวันแรกผ่านไปด้วยดี เขาไม่ใช่อาจารย์ชาวเอเชียคนแรกที่มาสอนที่นี่เพียงแต่เป็นจำนวนน้อยมากเท่านั้น โรมาเนียไม่ใช่ประเทศที่ได้รับความนิยมนักสำหรับความเจริญก้าวหน้าทางหน้าที่และค่าครองชีพ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ออสเตรเลีย... ประเทศเหล่านั้นต่างหากที่ผู้คนส่วนมากนิยมไปตั้งต้นชีวิต แต่ยิ่งเจอคนเยอะมากๆเท่าไรเขาก็ยิ่งกลัว... กลัวต่อความบิดเบี้ยวในใจตัวเองเสียจนอาจจะเป็นบ้าขึ้นมาก็ได้


    บางทีถ้าเขาคุ้นเคยกับที่นี่มากขึ้นในอนาคตอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ คนรอบข้างที่เอาแต่พูดว่าให้เขาลืมอดีต ลืมความเจ็บปวดที่ผ่านมาทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่ได้เข้าใจเขาจริงๆเลยน่ะมันก็แค่คำปลอบประโลมจอมปลอมไม่ใช่หรือไง... เพราะไม่ได้สูญเสียด้วยตัวเอง... ไม่เจอสิ่งนั้นด้วยตัวเอง... ไม่ได้เห็นภรรยาและลูกในท้องเป็นศพอยู่ต่อหน้าต่อตายังจะกล้ามาพูดอะไรอีก


    ต้องทนมาตั้งเท่าไรกับความอึมครึมรอบกายที่ทุกคนต่างพากันถอยห่าง ทั้งที่เนื้อแท้เคยเป็นคนสุขุมและใจดีกลับกลายเป็นอารมณ์ร้ายและสร้างกำแพงต่อทุกคนที่เข้ามาไว้สูงชัน มันไม่มีอะไรหรอกที่จะช่วยลบล้างความผิดในอดีตออกไปได้ วันนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขาปล่อยให้ภรรยาไปคนเดียวล่ะก็.... เหตุการณ์แบบนั้นไม่มีวันจะเกิดขึ้น... ไม่มีวัน


    ยิ่งคิดไปมากแค่ไหนกลับยิ่งวนเวียนกลับมาอยู่แค่เรื่องเดิม เรื่องเดิมเรื่องเดียวซึ่งหลอกหลอนหัวใจและความคิดให้บ้าคลั่งจนคิดจะตายตามไปหลายครั้ง


    เคยมีความคิดที่จะบำบัดตัวเองอย่างจริงจังมั่งไหม...











     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -










     

    แผนที่ที่โยลันด้าให้พาอาจารย์หนุ่มต่างเชื้อชาติให้มาถึงตึกสูงใหญ่คล้ายกับสถานพินิจขนาดย่อม หากไม่มีป้ายติดอยู่ด้านหน้าอีทงเฮคงไม่เชื่อว่าที่นี่คือสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าประจำมณฑลคลูชที่เขาอาศัยอยู่ (ที่เรียกว่าทรานซิลวาเนียก็คือชื่อภูมิภาคที่ติดปากสำหรับชาวต่างชาติ)


    ทำไมถึงคิดจะมาที่นี่อีทงเฮก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะพลั้งปากบอกโยลันด้าไปว่าอาจจะคิดรับเลี้ยงเด็กสักคนไว้เพื่อเหตุผลบางอย่าง ซึ่งก็คือหวังผลสำหรับการฟื้นฟูจิตใจที่เสียภรรยาและลูกไปซึ่งอีทงเฮยังไม่ยอมรับในข้อนั้น พอพูดไปโยลันด้าก็ได้แต่หัวเราะเสียงดังแล้วทำท่าจะเข้ามาตบบ่าเพียงแต่ถ้าเขาไม่ถอยหนีอย่างลืมตัวเสียก่อน เป็นอาจารย์ก็ไม่แปลกที่จะถือตัว โยลันด้าพูดโดยที่น้ำเสียงฟังดูไม่เหมือนค่อนแคะ ยังแนะนำอีกว่าบางทีเด็กโตอาจจะเหมาะกับอาชีพอาจารย์อย่างเขามากกว่าเพราะสามารถปล่อยให้ดูแลตัวเองได้ ซึ่งที่นี่ก็มีให้เลือกตั้งแต่เด็กที่ยังแบเบาะไปจนถึงเด็กอายุ 17-18 เลยทีเดียว


    อาจารย์หนุ่มไม่รู้ตัวว่าได้เผลอยิ้มออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรเมื่อได้เห็นเด็กๆวิ่งเล่นกันอย่างพลุกพล่าน ซิสเตอร์ประจำสถานสงเคราะห์เป็นคนนำเขาเที่ยวชมที่นี่อย่างยินดีโดยให้เหตุผลว่าพวกเขาเป็นเด็กที่ไม่ค่อยจะถูกใส่ใจจากสังคมมากนัก


    “ส่วนใหญ่คุณไปได้พวกเขามาจากที่ไหนครับ?”


    “ครอบครัวของพวกแกเสียจนไม่มีผู้ดูแล หรือไม่ก็พวกญาติๆนั่นล่ะค่ะที่ส่งมาที่นี่เพราะไม่อยากรับเป็นภาระ” ซิสเตอร์ยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะว่าต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เด็กๆสามารถอยู่ที่นี่ได้จนถึงอายุสิบแปด เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือออกไปหางานทำและใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ มีบ้างที่ขอช่วยงานอยู่ที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณ แต่ไม่นานนักหรอกค่ะ ทุกคนมีที่ไปเสมอเมื่อพวกเขาเป็นผู้ใหญ่”


    “พวกเขาได้ไปโรงเรียนไหมครับ?”


    “ก็ซิสเตอร์อย่างเราๆนี่แหละค่ะที่เป็นคนสอนหนังสือพวกแก สถานสงเคราะห์เราไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเทอมหรือดูแลเด็กๆเมื่อต้องออกไปสู่โลกภายนอก”


    บางทีเขาอาจจะคิดเป็นจริงเป็นจังในสิ่งที่พูดไปกับโยลันด้า ยิ่งได้มาเห็นเด็กๆที่นี่สภาพจิตใจยิ่งเอนเอียงไปว่าต้องการพวกเขามาเติมเต็มให้กับความสูญเสียเมื่อหลายปีก่อนอย่างปฏิเสธไม่ได้ จะรับเด็กเล็กมากๆก็อาจไม่ไหวเพราะงานอาจารย์ที่นี่ค่อนข้างนัก อาจจะเป็นต้องเด็กที่โตสักหน่อย สักสิบสองสิบสามคงจะกำลังดี




    “ซิสเตอร์ครับ”


    “โอ้ขอบคุณจ้ะมาร์คัส”


    ชายที่ทงเฮเห็นคุยอยู่กับซิสเตอร์เรื่องเอกสารบางอย่างในมือเป็นเด็กหนุ่มชาวเอเชียซึ่งน่าอายุราวๆสิบเจ็ดสิบแปดแล้วกระมัง จมูกโด่งเป็นสัน มีผมหยักศกสีมะฮอกกานีและผิวกายขาวจนเกือบซีด ทว่าดวงตานั้นดูสร้อยเศร้าเสมือนจะสื่อไปถึงความโหดร้ายที่เคยพบเจอ จ้องมองไม่ละสายตาจนอีกฝ่ายรู้ตัว และกลอกสายตามามองตอบเขาอย่างชัดเจน “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”


    ภาษาโรมาเนียของเด็กคนนั้นแคล่วคล่องจนชัดว่าคงอาศัยอยู่นี่มานานพอดูหรืออาจจะตั้งแต่เกิด อาจารย์หนุ่มส่ายศีรษะเล็กๆและส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษที่เสียมารยาท รู้สึกอุ่นใจขึ้นหน่อยเมื่อได้รับรอยยิ้มบางๆตอบกลับมาอย่างไม่ถือโทษ รู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาดแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป


    “เขาชื่อมาร์คัส เป็นเด็กชาวเกาหลีเหมือนกับคุณมังคะ อีกสามเดือนเขาจะอายุครบสิบแปดปีเลยมาปรึกษากับฉันบ่อยๆเรื่องชีวิตใหม่”


    ซิสเตอร์ว่าไปตามเรื่องราว ทงเฮเองก็ถามต่อโดยไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องสนใจเรื่องของเด็กคนนั้น “แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหนครับ?”


    “เห็นว่าจะไปหางานทำตามร้านฟาสต์ฟู้ดส์และเก็บเงินหาห้องเช่าถูกๆอยู่น่ะค่ะ ไกลกว่านี้แกว่ายังคิดไม่ออก สังคมเดี๋ยวนี้มันอยู่ยากจะตายไป เสียดายแกเหมือนกันนะคะที่เป็นเด็กใฝ่เรียนน่าดูแต่ไมได้เรียนมหาวิทยาลัยต่อ”


    “เด็กที่ออกจากที่นี่ไป ต้องหางานทำเลี้ยงตัวเองกันทุกคนเลยเหรอครับ”


    “ถ้าไม่โชคดีมีคนรับเลี้ยงและส่งแกเรียนน่ะค่ะ”




    ถึงตรงนี้ความคิดเล็กๆกลับผุดขึ้นในในหัวอย่างช่วยไมได้ เขาไม่เคยมีความคิดที่จะรับเด็กซึ่งกำลังย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่มาอยู่ในปกครองสักนิด แต่กับเด็กคนนี้ที่รู้สึกเอ็นดูอย่างประหลาด ราวกับมีบางสิ่งเกี่ยวโยงทั้งสองเข้าด้วยกันไว้โดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร... อาจจะเป็นนัยน์ตาเศร้าๆที่สื่อถึงกันนั้นกระมัง



































    ข้อมูลเกี่ยวกับทรานซิลวาเนียไม่แม่นเท่าไหร่
    ใครที่รู้สึกขัดใจต้องขออภัยด้วยนะคะ ._ .
    ตอนนี้ก็แต่งแบบบวม ๆด้วย ฮาาาา
    ฝากด้วยนะคะ !



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×