ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC KYUHAE ¦ - Good Morning, Vampire {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #17 : Good morning, Vampire :: Chapter XVI

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 54



    Good Morning, Vampire.

     

    Super Junior Fan Fiction (Yaoi)

    Cast : Kyuhyun x Donghae x Siwon

    Author : xixiao’

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     






     

    CHAPTER XVI

     







    “สำคัญ... ผมจะให้คำนั้นกับคุณได้หรือเปล่า”


    “..........”


    “ไม่ใช่แค่เลือด... แต่เป็นคุณ.... คุณคนเดียวทงเฮ” ตาสีอำพันซึ่งจับจ้องมองยังอีกคนนั้นหาใช่ความว่างเปล่า แต่กลับลึกลงไปจนไม่อาจหาคำอธิบายออกมาได้ชัดเจน มีแค่อารมณ์สับสน แปร่งปร่า ความเงียบโรยตัวลงมาได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ เรียวปากวิศวกรหนุ่มขยับคล้ายกับมีสิ่งใดจะพูดออกมา ทว่ากลืนเงียบหายไป โจวคยูฮยอนจึงเปิดปากว่าต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่...”


    “นี่มันอะไรกันแน่...?” สองมือดันแผ่นอกแกร่งให้ออกห่างจนเห็นดวงหน้าขาวซีดชัดเจน พูดแทรกขึ้นมาเสียงแข็ง ทว่าแววตานั้นอ่อนแรงเกินกว่าจะเป็นอีทงเฮที่เคยเข้มแข็งอย่างที่ผ่านมา “นายจะมาพูดแบบนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันคงไม่มีความหมายถ้า...”


    “.............”


    เว้นช่วงไปพักหนึ่ง ลมหายใจจึงสูดลึก ตัดพ้อทุกการกระทำอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ความรู้สึกซึ่งอีทงเฮปรามาสตนเองว่างี่เง่าเกินคณา “ถ้าทุกอย่าง... จะเป็นแบบนี้”


    “.............”


    “ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่... แต่นายกำลังขอให้ฉันจบมันไม่ใช่หรือคยูฮยอน?”


    ถึงแรงบีบรัดที่อกซ้ายจะแน่นขนัดจนจุก หากแต่ร่างเล็กยังยืนยันที่จะพูดความคิดซึ่งอัดอั้นอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่แม้แต่จะวิ่งตามอีกฝ่ายได้ทันเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วไปหมด ไม่ควรเจอกัน คนสำคัญ ทั้งสองสิ่งต่างเป็นทางเลือกที่สวนทาง ทว่าเขากลับไม่มีสิทธิ์... ไม่มีแม้แต่กำลังความคิดที่จะพูดอะไรออกไปอย่างใจหวัง จะหาว่าไร้เหตุผลหรือคิดอะไรบ้าบอก็ช่าง แต่ที่เขายังอยู่ที่นี่... ตรงนี้... มันก็ชัดเจนมากพอว่าเพื่อใครไม่ใช่หรือ


    “ผมขอโทษ...”


    คยูฮยอนพูดคำนี้อีกแล้ว... คำสั้นๆง่ายๆที่ทงเฮไม่เคยแม้แต่จะร้องขอฟังมันสักครั้ง มากเท่าไหร่แล้วกับคำว่าขอโทษ แล้วคำตอบของทุกอย่างก็จะกลืนหายไปอย่างนั้นใช่ไหม ไม่มีสิทธิ์รับรู้อะไรเลยใช่หรือเปล่า


    บางทีทงเฮก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเขาถึงต้องรู้สึกเจ็บ... เจ็บจนเผลอแสดงอะไรออกไปอย่างไร้เหตุผล ไม่สิ... เพราะเขาไม่เคยได้รับเหตุผล ไม่เคยแม้แต่จะรู้ที่มาที่ไปของอะไรทุกอย่างซึ่งคยูฮยอนปฏิบัติ แม้จะเฝ้าหาข้อโต้แย้งให้ความรู้สึกตัวเองถึงหลายต่อหลายครั้ง...


    “ลืมทุกอย่างไปซะ แล้วคุณจะปลอดภัย”


    ท้ายสุดแล้วความรู้สึกทุกอย่างกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพียงเพราะหน้าที่ เผ่าพันธุ์ และเหตุผลค้ำคอ อะไรที่เกิดขึ้นซึ่งแวมไพร์หนุ่มไม่เคยลืมและกำลังหาคำอธิบายให้มันจนพร้อมจะพูดออกไป ทว่าก็เขาเอง... เขาเองที่กำลังบอกให้ทงเฮทิ้งทุกอย่าง เขามาเพื่อจะทำสิ่งนี้... หากเป็นไปได้จงเก็บมันให้ลึก เพราะหากเมื่อไรที่คยูฮยอนปล่อยให้มันออกมา สิ่งนั้นเองที่จะยื้อตัวเขาไว้กับผู้ชายคนนี้ ยื้อไว้... แม้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้รับจะมีเพียงความเจ็บปวดเหลือแสนก็ตามที




    เพราะเป็นคนสำคัญ... ถึงได้ทำแบบนี้....


    ใช่... นี่คือสิ่งที่โจวคยูฮยอนกระทำต่อความรัก




    แผ่นหลังนั้นกำลังเดินออกไปตามทางเดิม กลับไป... ยังที่ซึ่งความเป็นนิรันดร์ จะไม่ได้พบเจอ ในที่ๆไม่มีทางเข้าถึง อยู่คนละโลก... และตลอดไป

     




     

    ขอยืมไฟแช็คได้ไหมครับ

     




    ถ้ายังไม่รู้จะไปที่ไหน พักที่นี่ก่อนก็ได้ ยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอ? ผมชื่ออีทงเฮ เรียกทงเฮก็ได้

    ผมชื่อโจวคยูฮยอน

     




    นายบอกว่าฉันไม่ควรไว้ใจนาย.... และฉันก็กำลังเป็นแบบนั้น

    .............

    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะตัดสินว่านายเป็นคนไม่ดี

    ผมอาจจะไม่เคยบอกอะไรคุณเลย แต่มั่นใจเถอะครับ... ผมจะไม่ทำร้ายคุณหรอก

     




    ผมต้องไปแล้ว

    ไป ? นายเล่นตลกร้ายอะไร คิดจะไปไหนกัน พูดเร็วเสียจนคิดว่าคยูฮยอนอาจจะฟังมันไม่รู้เรื่อง เรียวปากบางพูดย้ำอีกทีเมื่ออีกคนดูเหมือนไม่คิดจะตอบอะไรเขาเลยสักคำ นายจะไปไหน ?

    คยูฮยอนสูดลมหายใจลึกราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูดในสมอง ก่อนจะบอกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเรียบเป็นปรกติ ไปจากคุณ นั่นเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณไม่ต้องเดือดร้อนเพราะผม

    พวกเงาประหลาดเมื่อกี้น่ะ เป็นพวกเดียวกับที่ฉันเห็นบนตึกนั่นใช่ไหม

    มันไม่ใช่เรื่องของคุณ

    ไม่ใช่เรื่องของฉัน ? เหอะ... ร่างเล็กแค่นเสียงออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันไปถลึงตามองคนตรงหน้าที่ยืนนิ่งไม่ต่างอะไรจากท่อนไม้ที่ไร้การตอบสนอง แล้วไอ้ที่มีคนตายอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไอ้เงาปีศาจหรือคนที่ฉันเคยเจอบนตึกนั่น แล้วก็ไอ้ที่ฉันต้องขับรถหนีพวกนั้นแทบเป็นแทบตายนั่นนายก็จะบอกว่าไม่เกี่ยวงั้นสิ ถามจริงเถอะโจวคยูฮยอน... ฉันยอมรับว่าฉันเป็นฝ่ายพูดเองว่าจะไม่คาดคั้นเรื่องส่วนตัวของนาย แต่จนถึงขั้นนี้แล้วนายก็ยังจะปล่อยให้ฉันเป็นไอ้งั่งที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปพร้อมกับนายโดยที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นเหรอ ? จะเห็นแก่ตัวไปหน่อยรึเปล่า

    ความอดทนของอีทงเฮสิ้นสุดลงพร้อมกับคำต่อว่าตัดพ้อที่ร่ายยาวใส่คนปั้นหน้านิ่งที่ทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทงเฮถอนหายใจด้วยทีท่าที่เรียกได้ว่ากำลังระงับสติอารมณ์อย่างถึงที่สุด ก่อนจะคว้าข้อมืออีกคนและลากเดินกลับไปที่รถด้วยกัน

    ทงเฮ ?

    ขึ้นรถสิ เขาพูดกับคยูฮยอนเสียงเรียบก่อนจะเปิดประตูรถฝั่งคนขับเตรียมจะเข้าไปนั่ง แต่เมื่อเห็นอีกคนยังคงยืนนิ่งโดยไม่มีทีท่าที่จะเปิดประตูรถ เขาจึงเดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่งและดันตัวคยูฮยอนให้เข้าไปนั่งอย่างเผด็จการ อย่าคิดว่าฉันหายโกรธนายล่ะ เพียงแต่ฉันทิ้งคนที่กำลังเดือดร้อนไม่ได้แค่นั้นเอง

     




     

    แม้ตาเรียวรีจะสั่นไหวจนเริ่มเห็นภาพทุกอย่างเบลอเพราะน้ำตาซึ่งรื้นขึ้นมา ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้เหลียวหันกลับ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เห็นว่าผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเข้มแข็งกว่าใครกำลังพ่ายแพ้ต่อความดึงดันของน้ำตาเป็นครั้งที่สอง ไม่มีเสียงสะอื้น สงบนิ่ง... และเงียบงันเกินกว่าที่จะรั้งใครไว้ได้




    เพราะถ้ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง... อีทงเฮคงไม่มีสิทธิ์ค้านอะไรออกไปอีก...







    เพียงแต่....







     

    “ถ้าหากว่า...”




    ร่างสูงชะงักหยุดหน้าบานประตู เห็นเพียงลายไม้สัก และเสียงเดียวที่แว่วเข้าโสตประสาท ซึ่งเขากำลังฟัง... ฟังมันด้วยความอุ่นร้อนซึ่งแผ่ซ่านไปทั้งตัว กลิ่นกายหอมยังคงติดจมูก และหากหัวใจของแวมไพร์ยังคงเต้น... มันอาจจะกำลังหลุดออกมาจากอก เพียงเพราะกับดักซึ่งเขาขุดฝังตัวเองให้จมลงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โจวคยูฮยอนก็แค่แวมไพร์ขี้ขลาดตนหนึ่ง... ที่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตา จำกัดตัวเอง... อยู่กับคำว่าเส้นขนาน


    และบางทีเขาอาจจะยอมทิ้งทุกอย่าง เพียงเพราะสัมผัสอุ่นที่แตะลงบนมือเย็นเยียบ ดึงให้เอี้ยวตัวหันกลับไป รั้งไว้ด้วยนัยน์ตาแน่วแน่... ดังเช่นอีทงเฮที่เขาได้รู้จักเสมอมา




    “...ฉันรักนาย”


    “............”


    “ทุกอย่าง... มันก็จะยังเป็นแบบนี้ใช่ไหม?”








     

    ผมไม่เคยเชื่อในเรื่องงมงายปรัมปรา

    แต่สิ่งที่ผมกำลังเผชิญ มันกลับหาคำอธิบายอื่นใดไม่ได้

    เขาเป็นเจ้าของสัมผัสเย็นเยียบ ผิวขาวซีด และนัยน์ตาสีอำพันโรจน์

    ไม่แตะอาหาร ไม่โดนแดด และไม่พูดเรื่องตัวเองให้ผมรู้


     

    หากสิ่งที่น่าลำบากใจที่สุด คือการที่หัวใจของผมมันบอกว่า...

    ผมรักเขา

    เขา... ที่เป็นผู้ชาย และไม่ใช่มนุษย์

     







    “อย่าคิดว่าฉันหายโกรธนายล่ะ เพียงแต่ฉัน...”


    ถ้อยคำเฉกในวันวานคือสิ่งที่วิศวกรหนุ่มจำได้ขึ้นใจ เขาเคยพูดคำนี้ในครั้งที่รั้งอีกฝ่ายไว้ให้อยู่ด้วยกัน ตอนนั้นเป็นเพียงเพราะมนุษยธรรม... ความสงสาร หรืออะไรก็ตามแต่ เพียงแต่มันไม่เหมือนเวลานี้... ไม่... ซ้ำยังมากขึ้นทุกวัน มากขึ้น... จนทำให้ลืมไปว่าโจวคยูฮยอนเป็นใคร... มาจากไหน... หรือเป็นอะไรที่เขาไม่ควรจะข้องเกี่ยว


    รสจูบที่บดเบียดลงมาอีกครั้งซึ่งอีทงเฮยินยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างเต็มใจ รุกเร้าเข้าหา หยาบกร้าน และจากอารมณ์ส่วนลึกของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ แลกลิ้นหากันด้วยความรู้สึกเสน่หาซึ่งพร่ามัวไปกับบางสิ่ง อุณหภูมิในร่างกายพุ่งสูง ทว่ากลับรู้สึกอบอุ่น พอดี เพียงเพราะอ้อมกอดเย็นเยือกซึ่งกระหวัดร่างเขาเข้าหา โดยไม่มีทางหนีไปไหนได้อีก


    เมื่อร่างทั้งร่างเซถอย ต้นขาสัมผัสกับขอบเตียงเพียงครู่แผ่นหลังจึงโอนอ่อนลงบนผืนผ้านวมนุ่ม ดวงหน้าหล่อเหลากำลังทาบทับลงมา นัยน์อำพันจ้องมองด้วยความรู้สึกซึ่งอัดแน่นตรงข้ามกับความว่างเปล่า ครู่เดียวที่มือเรียวของทงเฮประคองใบหน้านั้นมองไว้จนชัด ลังเลนิดหนึ่ง ร่างสูงจึงกดริมฝีปากลงกับลำคอขาว เสียวซ่านเมื่อรับรู้ถึงความเย็นของทนต์กระดูก จูบไล่ตั้งแต่หลังกกหูไล้ต่ำลงมา ย้ำ... ซ้ำ... ได้ยินเสียงครางครือแผ่วเบา มือเรียวแกร่งกระชับเอวร่างข้างใต้เข้าหา กระทั่งลืมสิ้นทุกอย่าง... ด้วยสัญชาตญาณ กลิ่นเลือดอ่อนๆโชยเข้าจมูก ตานั้นยิ่งโชนขึ้น ซึ่งเมื่อรู้ตัวอีกที... ก็เมื่อแรงบีบที่หัวไหล่ซึ่งเรียกสติเขาให้คืนกลับมา พร้อมกับเขี้ยวซึ่งกำลังกดย้ำจนแทบทะลุเชิงคอขาวลงไป


    คิ้วเรียวนั้นขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยสีหน้าที่แฝงแววของความตระหนก เมื่อคยูฮยอนลองได้ก้มมองอีกครั้ง กลับเห็นเพียงรอยแผลข่วนสะเปะสะปะจากคมเขี้ยวซึ่งย้ำอยู่บนรอยจูบเข้มช้ำ ปีศาจในกายเขาร่ำแต่จะกดเขี้ยวลงไปบนคอขาว รุนแรงด้วยความโหยหาซึ่งปะทุสูง...







     

    ปัง ปัง ปัง

     







    หากแต่เสียงทุบประตูห้องที่ดังจนทั้งคู่ต้องผละออกยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ทันทีที่แวมไพร์หนุ่มตั้งหลักถลาลุก บานประตูนั้นกลับพังเข้ามาได้สำเร็จ พร้อมร่างขาวซีดสองคนในชุดคลุมสีดำสนิท ยิ่งกลิ่นเลือดอ่อนๆคละคลุ้ง ทงเฮกลับได้เห็นว่านัยน์ตาทั้งสองคู่ของผู้มาเยือนกลับยิ่งโชนแสงอย่างชัดเจน


    ไม่รอช้าร่างหนึ่งพุ่งเข้าหาคนบนเตียงด้วยหมายมั่นจะขย้ำให้ตายคามือ ทว่าแรงปะทะนั้นมาไม่ถึง เมื่อว่าที่ดยุคถลาเข้ารับแรงจู่โจมด้วยสองมือก่อนจะเหวี่ยงผู้บุกรุกไปอีกทางจนข้าวของล้มระเนระนาด


    “ทงเฮ...”


    ถึงตอนนี้ทงเฮกลับได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าของใครอีกคน คยูฮยอนไม่ได้เบนมองทางเขา สายตานั้นจับจ้องอยู่ร่างทั้งสองของศัตรูซึ่งตั้งท่าจะเข้าจู่โจมอย่างมาดร้าย เพียงชั่วพริบตา แวมไพร์หนุ่มกลับเป็นฝ่ายพุ่งเข้าปะทะ ลากร่างทั้งสองให้พ้นจากธรณีประตู แล้วจึงตวาดเสียงก้องด้วยความร้อนใจมาทางเขา




    “หนีไป!!




    ไม่มีเวลาให้ลังเล ทงเฮรีบถลาลุกลงจากเตียงแล้ววิ่งเซออกไปจากห้องด้วยสภาพจิตใจที่ยังไม่ตั้งมั่นดีนัก ครั้นจะวิ่งกับไปตามทางเดินที่เชื่อมเข้าสู่ลิฟท์หน้าของโรงแรม กลับเห็นร่างของแวมไพร์สาวในชุดคลุมสีดำอีกสองตนกำลังย่างสามขุมเข้ามา ไม่เสียเวลาคิด ชายหนุ่มรีบผันตัวเองวิ่งสุดแรงไปอีกทาง แค่เสี้ยววินาทีให้เขาพอจะตริตรองหาทางออกยังไม่มี วิศวกรหนุ่มจึงคิดได้เพียงคำว่าเสี่ยง... ซึ่งเขาไม่อาจรู้ถึงผลลัพธุ์ใดๆที่จะตามมาได้เลย




















     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-




















     

    ทั้งห้องระเนระนาดไปด้วยการต่อสู้ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง ไม้ว่าจะสร้างบาดแผลให้สักกี่ครั้ง เพียงไม่นานเนื้อหนังกลับแนบชิดดังเดิมราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปวดร้าวไปทั้งตัว หากแต่โจวคยูฮยอนกลับมองไม่เห็นสิ่งใดรอบตัวซึ่งจะนำมาใช้สังหารศัตรูร่วมเผ่าพันธุ์ซึ่งอยู่ตรงหน้าได้เลย


    หวังเพียงว่าตอนนี้ทงเฮจะหนีไปได้สำเร็จ การบุกรุกครั้งนี้คยูฮยอนเชื่อว่าความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ต้องเกิดขึ้น สังหารเขาทิ้งก่อนที่จะขึ้นรับตำแหน่งอย่างนั้นหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้น เป้าหมายของคิมคิบอมไม่ต้องทำลายเปียร์ให้สิ้นซากเลยหรือไร?




















     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-




















     

    คิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อภาพที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้าคือสิ่งของซึ่งกระจัดกระจายออกมาถึงพื้นระเบียงจากประตูห้องซึ่งเปิดกว้าง ถุงอาหารเย็นถูกวางทิ้งไว้ที่พื้น มือขวาเลื่อนไปหยิบเอาปืนซึ่งเหน็บไว้ที่เอวขึ้นมาตั้งท่าระวังภัยไม่ต่างจากตอนที่ต้องทำคดีอันตราย ใจนึกห่วงเพียงคนในห้องซึ่งอาจเป็นอะไรไป กระนั้นร่างสูงจำต้องมีสติ เล็กปากกระบอกปืนไปตรงหน้า กระทั่งสองท้าวก้าวมาถึงหน้าประตูห้องซึ่งเขาเพิ่งออกไปเมื่อราวครึ่งชั่วโมงก่อน


    ร่างของผู้ต้องสงสัยซึ่งหายไปหลายวันกำลังถูกกดบีบคออยู่กับพื้นในท่าทีซึ่งเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ใกล้กันนั้นคือชายอีกคนซึ่งกำลังยันตัวเองให้ลุกขึ้นขึ้นจากกองโต๊ะที่เหลือเพียงซากหักพัง ตัดสินใจเหนี่ยวไกออกไปจนกระสุนทะลุเข้ากับแขนซึ่งบีบคอคยูฮยอนอยู่ ช่วยให้ร่างซึ่งกำลังเสียเปรียบหยัดตัวลุกขึ้นได้อีกครั้งและล็อกเอาร่างโชกเลือกจากแรงกระสุนให้หันมาทางเขาด้วยสีหน้าดุดัน




    “ยิงเข้าที่หัวใจ!!




    เสียงนั้นตวาดดังพร้อมๆกับอีกร่างของผู้ไม่หวังดีที่เตรียมปะทะเข้าทางด้านหลังของคยูฮยอน ชายหนุ่มตรงหน้ายิ่งล็อกร่างในพันธนาการแน่นขึ้นเมื่อแรงขัดขืนนั้นกำลังจะหลุดจากการกอบกุมของเขาในที่สุด




    “เร็ว!!!!




    ท้ายแล้วชเวซีวอนก็จำต้องเหนี่ยวไกออกไปอีกครั้งพร้อมๆกับกระสุนซึ่งทะลุเข้ายังอกซ้ายของเป้าที่อีกฝ่ายล็อกไว้ เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังลั่น กระทั่งทั้งร่างค่อยๆหายไปในสภาพผงธุลี


    อีกร่างพุ่งเข้าใส่คยูฮยอนจากด้านหลังหากแต่มาไม่ถึงเมื่อกระสุนทะลุเข้าที่อกซ้ายจนหายไปไม่ต่างจากร่างเมื่อครู่ มือของชเวซีวอนนั้นสั่นเทา เขาเห็นเพียงอาการถอนหายใจโล่งอกของอีกฝ่ายก่อนจะถูกตาสีอำพันนั้นปรายมองเคร่งเครียด มือซึ่งจับปืนนั้นตกลงข้างตัว


    ครั้นลองตั้งสติและมองไปรอบๆอีกครั้ง... ไม่มีแม้แต่ซากศพของชีวิตที่เขาเพิ่งจะสังหารไปราวเหลือเชื่อ ทั้งยังผู้ชายซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัย... และนัยน์ตา ซึ่งผิดแผกไปจากมนุษย์ทั่วไปอย่างชัดเจน กำลังจ้องมองมา...




    “นี่มัน... อะไร....?”





















     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-




















     

    ฝีเท้ายิ่งเร่งไวเมื่อร่างของแวมไพร์สาวสองตนกลับกลายเป็นเงาดำประหลาดไล่ตาม อีทงเฮรู้ตัวว่าเขากำลังถูกความตายกระชั้นชิด และลิฟท์ขนของตรงหน้าซึ่งกำลังจะปิดลงนั่นเอง ที่เขาตั้งให้เป็นทางรอดสุดท้ายเมื่อทุกทางหนีนั้นเป็นเพียงกำแพงตันๆซึ่งไร้ทางหนีทีไล่ใดๆ


    ข้อมือฟาดเข้ากับประตูลิฟท์ซึ่งกำลังปิดลงจนปวดร้าวและคงจะขึ้นรอยช้ำในอีกไม่ช้า กดปุ่มปิดรัวด้วยใจที่แทบหลุดออกมาจากอก กระทั่งได้ยินเพียงเสียงแรงปะทะเมื่อประตูลิฟท์ปิดลงได้ทันอึดใจสุดท้าย ลิฟท์กำลังเคลื่อนตัวลงสู่ชั้นล่างสุด และหากโชคดี ก็คงมีเพียงแค่แวมไพร์สี่ตนนี้ที่ไล่ล่าเขาและคยูฮยอนอยู่ภายในโรงแรม




    เพียงแต่ถ้า... อีทงเฮ ไม่ใช่ผู้ชายที่โชคดีเข้าข้าง....




    ประตูลิฟท์เปิดออกเมื่อถึงชั้นล่างจนวิศวกรหนุ่มแทบหยุดหายใจอีกครั้ง ใบหน้าที่เขาจำได้แม่นยำกำลังปรากฏอยู่เบื้องหน้า ท่าทีสบายๆ เฉกเช่นเพื่อนเก่าซึ่งไม่ได้พบเจอกันมานานของนักเขียนหนุ่มผิวสีน้ำผึ้ง ยิ้มนั้นถูกเหยียดส่งให้เขา จากคิมคิบอมนั่นเอง




    “ไม่ได้เจอกันนานนะ... อีทงเฮ”











     

    TBC
















    (ปาดเหงื่อ........)
    ตอนนี้.... ด๋อยมากเลย ;_ ;  .................................

    อีดิท ; ลืมไปซะสนิท.... ลองทำปกออกมาแล้ว ชอบแบบไหนเลือกกันเลยนะคะ ._ .



    แบบที่หนึ่ง



    แบบที่สอง

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×