คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Good morning, Vampire :: Chapter XIV
Good Morning, Vampire.
Super Junior Fan Fiction (Yaoi)
Cast : Kyuhyun x Donghae x Siwon
Author : xixiao’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
CHAPTER XIV
การหายไปของปัญหา... มันอาจทำให้อะไรๆดีขึ้น
เว้นเสียแต่ความรู้สึก... ของคนที่ยังอยู่ .
โทรศัพท์ในมือยังคงถูกจับจ้องด้วยตาสีอำพันสงบนิ่ง ทุกอย่างว่างเปล่า สับสน หากแต่กลับไม่มีทางเลือกสำหรับว่าที่ดยุคแห่งจักรวรรดิของผีดูดเลือดเช่นโจวคยูฮยอนแม้สักทาง หญิงสาวในชุดเดรสโทนดำยังคงง่วนอยู่กับการขับรถ ดูเหมือนเธอจะรู้ดี ตาคู่นั้นจึงรังแต่จะมองผ่านแผ่นกระจกหน้ามาเป็นพักๆ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็ยังเห็นเจ้าโทรศัพท์เครื่องจิ๋วนั่นมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
“บางทีคุณอาจจะต้องการแวะที่ไหนระหว่างทาง”
ตอนนี้แวมไพร์หนุ่มจำได้ชัดเจนแล้วว่าเธอชื่อซนกาอิน เสียงราบเรียบของหล่อนดึงความสนใจจากอีกฝ่ายได้ชะงัดนัก คยูฮยอนสบตากับเธอผ่านกระจก ครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ จึงตัดสินใจเอ่ยออกไปหยั่งเชิง “โรงพยาบาล... ผมอยากไปที่นั่น”
“น่าแปลกใจจริงๆ ที่คุณมีสัมพันธ์กับมนุษย์” เธอฉลาด และดูเหมือนจะคาดเดาบางสิ่งได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของในมือ สถานที่แห่งความสังเวชที่ไม่มีในหมู่มวลแวมไพร์ ความเงียบที่ได้รับตอบกลับมานั่นเองคือคำตอบที่ถูกต้อง “อย่าให้พวกเขาได้รู้เชียว ไม่อย่างนั้นมนุษย์ผู้นั้นคงอายุสั้นอย่างไม่ต้องสงสัย”
ยิ่งกว่าข้อห้ามและกฎหมายก็คือจารีต... จารีตที่ถือเป็นส่วนลึกของจิตใจซึ่งทุกผู้ย่อมรับรู้และทำตาม หากจะมีใครสักคนที่ฝืนจารีตก็ไม่ต่างอะไรจากเดินทวนกระแสน้ำเชี่ยว ให้ต้านทานอย่างไรก็ยิ่งดูไร้ความหมาย
และบัดนี้โจวคยูฮยอนกำลังจะกลับสู่รั้วแห่งจารีตนั้น... รั้วที่เขาเติบโตมาตลอดหนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดปี
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
เสียงฝีเท้าก้องสม่ำเสมอกลางโถงโรงพยาบาลขนาดเล็กชานตัวเมืองอันดง มีญาติผู้ป่วยบางตา กลิ่นสาปเลือดจางๆโชยเข้าปะทะจมูกจนตาคมกริบนั้นวาวแสง มือขาวซีดเกาะอยู่เหนือเคาน์เตอร์บริการ เรียกให้พยาบาลสาวเงยหน้าขึ้นฉีกรอยยิ้มหวานตามหน้าที่
“สวัสดีค่ะ”
“คนไข้ชื่ออีทงเฮอยู่ที่ไหนครับ?” ถามออกไปอย่างสุภาพ เพียงชั่วครู่ที่ก้มหน้าลงจดๆจ้องๆจอคอมพิวเตอร์ พึมพำเลขห้องท่องจำกับตัวเอง ครั้นเงยหน้าขึ้นจะให้คำตอบร่างสูงโปร่งก็อันตรธานหายไปจนมองหาไม่เจอ
แรงเดินที่เร่งรีบจนเกือบจะเกินคนปกตินั้นดูน่าตื่นตระหนกหากจะมีผู้พบเห็น หลังได้รับคำตอบที่แจ้งแก่ใจ ไม่ถึงนาทีแวมไพร์หนุ่มก็หยุดยืนอยู่ในลิฟท์เพื่อรอเวลาถึงชั้นที่ต้องการ เดินสวนบุรุษพยาบาลออกไปนายหนึ่ง ก้าวเดินไปอีกไม่ไกลก็เห็นหมายเลขห้องผู้ป่วยที่พยาบาลสาวบอกอย่างชัดเจน
มือเรียวผลักบานประตูเข้าไปเงียบกริบ สิ่งแรกที่เห็นในแสงมืดสลัวคือร่างนิทราที่ระโยงอยู่กับสายน้ำเกลือ อีกร่างคือนายตำรวจหนุ่มชเวซีวอนที่นั่งงีบอยู่บนโซฟาสำหรับญาติผู้ป่วย แรงเดินของแวมไพร์นั้นเบาหวิว... และมันมีประโยชน์เหลือเกินสำหรับการที่จะระวังไม่ให้ใครตื่นขึ้นมา
จ้องมองใบหน้าหลับใหลไม่ได้สติบนเตียงหัวใจก็พลันเจ็บปวดขึ้นมาอีกครา เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขายังได้ตระกองกอดอีทงเฮด้วยความรู้สึกที่กึ่งสุขกึ่งทรมาน ตอนนี้โจวคยูฮยอนรู้ดี... ไม่ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ก็ตามแต่ที่จะมีโอกาสได้เห็นหน้า แต่ต่อไปมันคงยากที่จะได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะด้วยเผ่าพันธุ์... สถานะ... เหตุการณ์... หรือแม้แต่ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป....
แสงจันทร์ค่อยๆเคลื่อนคลาหายไปเมื่อม่านเมฆเริ่มเข้าบดบัง หากแต่สิ่งสุดท้ายที่คยูฮยอนตัดสินใจทำ คือการโน้มลงจุมพิตที่กลีบปากบางด้วยความว่างเปล่า ไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ เพียงแค่ส่วนลึกในกายบอกว่าอยากทำเท่านั้น... แค่นั้นเอง
โทรศัพท์มือถือเครื่องคุ้นตาถูกวางลงยังข้างตัวเจ้าของ ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะพกมันติดตัวไป สมองของคยูฮยอนนับเวลาที่ยิ่งใกล้เข้ามาเต็มที... ว่าที่ดยุคแน่ใจ... เขาจะต้องกลับมาหาทงเฮอีกในระยะเวลาอันใกล้....
และเมื่อถึงตอนนั้น... เขานี่เองที่จะเป็นฝ่ายปกป้องอีทงเฮด้วยชีวิตที่มี....
“ร่ำลากันเรียบร้อยดีเหรอคะ?” หญิงสาวเชื้อแวมไพร์กอดอกเหนือยนต์หนะสีขาวคันหรู ร่างสูงของคยูฮยอนเดินกลับออกมาแล้ว เพียงแต่คำเอื้อนเอ่ยแรกนั้นไม่ใช่คำตอบอย่างที่เธอคาดไว้ในทีแรก
“ไปเถอะ... ก่อนที่ฟ้าจะสว่าง”
กลับสู่รั้วของเหล่าแวมไพร์... ที่ๆจากมา
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
แสงสว่างเริ่มสาดเข้าแยงตาพร้อมๆกับอาการไข้ที่ลดลง เปลือกตาบางลืมขึ้นมองเพดานสีขาวแปลกตา พอได้เหลียวมองไปรอบๆก็เห็นเป็นสภาพห้องพักกึ่งจะเหมือนโรงแรมแต่ไม่ใช่ ชเวซีวอนนั่งงีบอยู่บนโซฟาริมหน้าต่าง ครั้นจะหยัดกายลุกขึ้นมือเชื่อมสายน้ำเกลือก็สัมผัสเข้ากับโทรศัพท์ส่วนตัวที่ถูกวางทิ้งไว้ อาการมึนหัวยังเล่นงานเป็นพักๆจนต้องทิ้งตัวลงนอนแผ่หราบนเตียงตามเดิม ซีวอนสะดุ้งตื่นแล้ว ชายหนุ่มรีบลุกมาดูอาการคนป่วยที่นอนโคลงศีรษะไปมาช้าๆ ยังคงปวดหัวอยู่นิดหน่อย ทั้งกายรู้สึกรุมๆแต่ก็ยังมีเรี่ยวแรงมากกว่าเมื่อคืน
“หมอบอกว่าแผลของคุณเกิดอักเสบขึ้นมา เลยโดนไข้เล่นงาน ถ้าเช้านี้อาการหายห่วงก็ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลต่อ” เสียงทุ้มของนายตำรวจว่าอยู่ใกล้หู ทงเฮแทบจำอะไรไม่ได้เลย ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นเหมือนจะเป็นใบหน้าของใครบางคน... ใช่ ใครบางคน
“คยูฮยอนล่ะ?”
พอตื่นขึ้นมาก็ถามถึงน้องชายที่เคยบอก ซีวอนไมได้ว่าอะไรแต่ทำท่าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรติดต่อให้ หากแต่พอเหลือบไปเห็นโทรศัพท์สีดำบนตักอีกฝ่ายก็กดวางสายแทบไม่ทัน ตาคมเบิกขึ้นฉายแววฉงน ถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมาดูให้ชัดเจน จนแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นเครื่องที่เขาบอกให้คยูเก็บไว้ไม่ผิด
“คยูฮยอนล่ะครับ?” ถามซ้ำขึ้นมาอีกรอบอย่างแคลงใจ ฟ้าสว่างแล้วทำให้ร่างเล็กอดจะนึกเป็นห่วงชายหนุ่มนอกเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไม่ได้ ในเวลาแบบนี้คยูฮยอนไปอยู่ที่ไหน ไม่ต้องหลบแดดหนีไปอยู่สักแห่งหรอกหรือ
“เมื่อคืนเขาไม่ได้มากับเรา ผมเลยให้เขาเก็บโทรศัพท์ของคุณไว้เผื่อติดต่อ แต่ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้ผมไม่แน่ใจ” ตอบกลับไปฉะฉานชัดถ้อยคำจนคนได้ฟังนิ่งไปถนัด ทงเฮคว้าเอาโทรศัพท์คู่ใจขึ้นส่องดูโดยไร้ความหมาย ตีความได้ตรงกับซีวอนว่าคยูฮยอนคงมาที่นี่แน่ แต่ตอนนี้หายไปไหนไม่มีใครรู้
อาจจะหลบแดดอยู่ที่โรงแรม... วิศวกรหนุ่มหวังเช่นนั้น
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
ย่านชานเมืองกรุงโซลในเวลานี้แทบไม่มีรถราวิ่งผ่านเช่นเวลาแดดออก ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว... แสงสลัวสีครามที่สว่างขึ้นตามเวลาเร่งให้รถยนต์สีขาวเพียงหนึ่งเดียวบนท้องถนนต้องเพิ่มความเร็วขึ้นอีก คนบนรถยังสีหน้าสงบนิ่ง ไร้ซึ่งแววแห่งอารมณ์ใดๆ
โบสถ์เก่าคร่ำคร่าในเวลาฟ้าสางนั้นช่างดูวังเวงจนสมควรแก่เหตุที่คนจะไม่เข้าใกล้ ทั้งแปลกแยก เป็นเอกเทศ ไร้ซึ่งความน่านับถือเพราะแม้แต่ยอดกางเขนเหนือกำแพงแหลมสูงยังหักเปราะเหลือเป็นเพียงแค่ซากไม้ แวมไพร์สาวในเดรสสีโทนดำจัดการดึงม่านเถาวัลย์ลงคลุมรถ ก่อนจะเดินลัดเลาะตามทางเดินหินที่มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่รำไรเพื่อเข้าสู่ประตูโบสถ์ เช่นเดียวกับโจวคยูฮยอน... พวกเขาคุ้นเคยกับที่นี่
ภายในโบสถ์นั้นช่างโอ่โถงแต่ไร้ซึ่งความงดงาม ไม้กางเขนทุกแห่งถูกหักเปราะจนไม่เป็นรูปร่าง เช่นเดียวกับสัญลักษณ์ศักดิ์ต่างๆที่ถูกคว่ำลงบ้าง ทำลายจนสิ้นบ้าง และไร้การบูรณะโดยสิ้นเชิง
“พร้อมแล้วใช่ไหมคะ?” ซนกาอินเอี้ยวตัวหันมองคนที่ยืนห่างออกไปเป็นครั้งสุดท้าย ครั้นเห็นผู้เป็นนายพยักหน้า เธอก็จัดการเลื่อนอิฐบล็อกที่แตกหักหลังแท่นกางเขนราวเล่นรูบิค ไม่เกินครึ่งนาที พื้นหินกลับเคลื่อนตัวลดหลั่นลงตามขั้น เผยให้เห็นซุ้มประตูโค้งมน และบันไดสูงชันที่ทอดตัวลงสู่ความมืดมิด
กลิ่นสาปชื้นของผืนดินโชยเข้าปะทะจมูกจนชวนรู้สึกคลื่นเหียน แต่ไม่ใช่สำหรับผีดูดเลือด... สีหน้าสงบนิ่งนั้นกระหยิ่มรับกลิ่นอายที่คุ้นเคย ไม่ลังเลเลยที่จะเดินนำลงไป ตามด้วยร่างสูงโปร่งที่พากายตามลงเบื้องล่าง ลูบไล้สากหินข้างกำแพงอุโมงค์เพียงสองสามที พื้นดินด้านนอกก็กลับเคลื่อนตัวขึ้นปิดเรียบเป็นปกติอีกครั้ง พร้อมๆกับแสงไฟนวลส้มซึ่งส่องสลัวเป็นระยะตามทางเดิน บันไดหินชันทอดตัวลงสู่ใต้พิภพอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ลึกลงไปเกินความสูงของตึกสิบชั้น แสงสว่างรำไรคล้ายแสงจันทร์ก็ปรากฏแก่สายตา ทางเดินตีวงกว้างออกเรื่อยๆ กระทั่งกลืนไปกับหินอุโมงค์ใต้ดินขนาดยักษ์ เทียบเท่าเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งที่มีผังเมืองอย่างชัดเจน
ค้างคาวสีดำทะมึนกรูกันบินตัดหน้าผู้มาใหม่ราวต้อนรับ เสียงส้นสูงของกาอินยังคงสะท้อนก้องยามลงฝีเท้าเหยียบไปบนทางเดินขรุขระ ใต้ผืนสะพานยาวเป็นทางน้ำที่ทอดตัดสองฝั่งเมือง บ้านเรือนแต่ละหลังไร้แบบแปลน ค่อนไปทางตะวันตก หากแต่ก็ไม่ได้วิจิตรน่าอยู่ดังที่ควรจะเป็น
บานประตูใหญ่เบื้องหน้าคือจุดหมายของการกลับมา ปราสาทโกธิคสีหินทะมึนสูงชะลูดจนยอดเกือบแตะกับเพดานอุโมงค์ ลวดลายสลักทุกอย่างนั้นช่างน่าเกรงขาม สัญลักษณ์ดาวห้าแฉกกลับหัวสลักอยู่บนบานประตู กระทั่งมันค่อยๆเปิดออก พร้อมนัยน์ตาสีอำพันหม่นหลายคู่ที่จับจ้องเป็นตาเดียว ลานเดินขนาดใหญ่เป็นทางเดินเข้าสู่ตัวปราสาทโอ่อ่า ไม่ได้กว้างราวพระราชวังบนดิน แต่ก็ไม่ได้เล็กน้อยไปกว่าความน่าเกรงขาม ตอนนี้หัวใจของคยูฮยอนนั้นเต้นระทึกนัก นานนับสองเดือนที่เขาออกไปจากที่นี่ รั้วสูงใหญ่ใต้ล่างที่เพิ่งได้เดินผ่านมานั่นเอง... คือความทรงจำเลวร้ายของทุกอย่าง
ที่นี่เองที่พ่อของเขาเคยกล่าวว่ามันเป็นเพียงคุกขนาดยักษ์ซึ่งจองจำบรรดาผีดูดเลือดให้เป็นเอกเทศจากชีวิตเหนือพื้นดิน อาจเคยมีปราสาทสูงใหญ่กลางม่านหมอก หรือแม้แต่ความยิ่งใหญ่มโหฬารที่เผยอท้าทายมนุษย์ แต่ทุกวันนี้แวมไพร์เป็นผู้แพ้... เป็นฝ่ายที่ยอมรับความอัปยศด้วยจำนวนที่ลดน้อยลงและอพยพลงสู่ใต้ผืนดิน หลีกหนีจากการมีตัวตนตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป
เพดานลักษณะเป็นซุ้มประตูยอดแหลมซ้อนกันยาวไปจนถึงส่วนกลางโอ่โถง ลวดลายสีสดวิจิตรอยู่ตามบานหน้าต่างทรงผอมสูง โต๊ะไม้เนื้อดียาวกินเนื้อที่นับสิบที่นั่ง เก้าอี้ทุกตัวล้วนมีเจ้าของนั่งอยู่ บรรยากาศเคร่งเครียดอยู่ในความสงบ ตราบเท่าที่โจวคยูฮยอนมาถึง แทบทุกผู้พากันดันตัวลุกขึ้นจนเก้าอี้ไม้ส่งเสียงครืดคราดดังสนั่นก้องไปทั่วทั้งบริเวณ แวมไพร์ทุกตนในทีนี้ล้วนมีอายุ การแต่งกายแบบตะวันตกล้าสมัยนั้นขับให้ดูน่าเกรงขาม ต่างจากเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทและกางเกงยีนส์ลำลองของผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวจากครอบครัวดยุคเต็มกลืน
“กาอิน เธอพาเขากลับมาได้ยังไง?”
เสียงใหญ่พร่าของวิสเคานท์สูงวัยร้องขึ้นด้วยความตระหนก คนถูกถามได้แต่ยิ้มย่อง โค้งศีรษะลงทีหนึ่งเป็นการให้ความเคารพแก่ทุกยศศักดิ์ในที่นั้น “เราพบท่านที่เมืองอันดง หมู่บ้านค้าเลือด”
คยูฮยอนไม่รู้ชะตากรรมนักว่านอกเหนือจากกาอินแล้วเขาอยู่ท่ามกลางความยินดีหรือสิ่งใด การที่บุตรชายเพียงคนเดียวของดยุคใหญ่หายตัวไปนานนับสองเดือน ซ้ำยังกลับมาในสภาพที่ซอมซ่อปานเด็กหนุ่มเหลือขอ ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มมีความหวังของทุกตนกลับแย้มขึ้น โค้งคำนับอนาคตผู้นำของเหล่าเปียร์ ไม่เว้นแม้แต่มาควิสเฒ่า ผู้ซึ่งกุมอำนาจสูงสุดในยามนี้ ถ้าได้เรียงจากระบบศักดินาของเปียร์ที่ยึดถือกันตราบปัจจุบันอันได้แก่ ดยุค มาควิส เอิร์ล วิสเคานท์ และบารอน เป็นยศสุดท้าย
ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ความสงบ แวมไพร์หนุ่มถูกเชิญให้นั่งยังหัวโต๊ะฝั่งขวา ตรงข้ามกับมาควิสที่มีอำนาจลดหลั่นลงมาจากดยุค การถกเถียงในใจเริ่มเกิดขึ้นทางสีหน้า เมื่อดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มในสายตาจะยังไม่พูดอะไรออกมาแม้สักคำ
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
กาอินโน้มลงกระซิบข้างหูแนะนำบารอนคนปัจจุบันแก่ร่างสูง ชั่งใจอยู่พักหนึ่ง เสียงทุ้มนุ่มก็ตอบกลับไปราบเรียบจนไม่อาจเดาได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในหัว “อย่างที่ท่านเห็น ผมยังมีชีวิตอยู่”
หาใช่การกวนประสาทดังเช่นที่มนุษย์ถือสากันอย่างยิบย่อย เพราะแวมไพร์นั้นไม่มีการเจ็บป่วย บาดแผลก็สมานหายได้ในระยะเวลาจำกัด เช่นนั้นแล้วก็คงจะเหลืออยู่แค่คำว่าสูญสลายหรือยังคงชีวิตไว้แค่นั้น ใจของคยูฮยอนไร้สิ้นแล้วซึ่งความหวั่นเกรง เขาใช้เวลาเตรียมใจรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นมานานพอดู นี่เองความจริง... ความจริงที่เขาควรจะกลับมาเผชิญมันตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนไม่ใช่หนีหายเอาตัวรอดไปด้วยความตระหนกอย่างที่ได้ทำ หาใส่สิ่งที่ควรแก่การดูหมิ่น ในเมื่อมันเป็นกลเกมที่ไม่มีใครคาดคิด ครอบครัวดยุคถูกบุกเข้าสังหารอุกฉกรรจ์ และแรงบีบคั้นคงไม่อาจทำให้ใจของแวมไพร์อายุน้อยตนหนึ่งตรี่ตรองสิ่งใดได้ถ้วนถี่ เป็นการเปิดโอกาสเหมาะที่จะลอบสังหารให้สิ้นซาก
เสียงโหยหวนดังผ่านม่านกระจกภายนอกเข้ามาจนหลายสายตาหลุบลงอย่างสังเวช เว้นเสียแต่ผู้มาใหม่ เขาไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา เป็นหน้าที่ของเปียร์ ที่จะแจ้งแก่อดีตบุคคลภายนอก ซึ่งกำลังจะเข้ารับตำแหน่งดยุคในไม่ช้า
“ท่านคงได้ประจักษ์แล้วว่าอาณาจักรของเราถึงคราวลำบาก แหล่งค้าเลือดของเราถูกปิดตายแทบทุกทาง เหล่าชนเริ่มอดอยาก พยายามตะกายขึ้นไปเหนือผืนดินเพียงเพื่อล่าเหยื่อตามสัญชาตญาณ ได้บ้างไม่ได้บ้าง... จนกำลังของเราไม่อาจมากพอที่จะตามจัดการทุกปัญหาได้อย่างเคย” เป็นคำตัดพ้อสมเพชของมาควิสเฒ่าฝั่งตรงข้าม แวมไพร์ไม่ใช่กลุ่มชนโหดเหี้ยมดังเช่นที่ถูกใส่ร้ายในอคติความเชื่อของมนุษย์ เปียร์ยินยอมที่จะเสียทรัพย์สินเงินตราเพื่อแลกกับการได้เลือดมาอย่างถูกต้อง ชุบเลี้ยงชีวิตประชากรส่วนน้อยที่เหลือรอดอยู่ มันดีแค่ไหนแล้วที่พวกเขาไม่เปิดประตู... ยอมเปลี่ยนอาณาจักรให้เป็นคุกขนาดยักษ์เพื่อป้องกันการล่าอย่างหิวกระหายเช่นในอดีต และความขลาดขันนี้เอง... ที่ทำให้มีกลุ่มแวมไพร์จำนวนหนึ่งซึ่งพยายามจะแหกรั้ว... ตั้งตนเป็นพวกนอกรีต หนีออกจากคุกใต้ดินเพื่อออกล่าเหยื่อเยี่ยงสิ่งมีชีวิตที่แสนภาคภูมิ เบียดเบียนเป็นวัฏจักร ย้ำถึงการมีตัวตนแก่มนุษยชนอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจของเปียร์
“คิมคิบอมนั่นไง... เด็กหนุ่มนั่นทะยานออกจากรั้วเพื่อเป็นกำลังหลักแก่พวกนอกรีต พลาดจริงๆที่เราไม่สังหารมันตามบารอนผู้พี่ไปเสีย” คราวนี้เป็นความเห็นของเอิร์ลบ้าง เปียร์หลายคนเห็นด้วยกับความเห็นที่ว่าเปียร์อ่อนกำลังลงตามสภาพจิตใจซึ่งมีเพียงความเยือกเย็นเด็ดขาดในอดีต ภาวะผู้นำถูกถกเถียงและสั่นคลอนด้วยแรงกระทำจากพวกนอกรั้วซึ่งหวังโค่มล้มอำนาจ โจวคยูฮยอนจะมีสิทธิ์อะไรเล่า... ในเมื่อนี่เป็นเพียงครั้งแรกที่เขาได้ร่วมโต๊ะในการหารือ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าเปียร์ทุกผู้ตนชัดๆ... เป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้ว่าภาระหนักอึ้งต่อจากนี้มันยากเย็นเพียงใด
“ท่านคงกำลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง... อันที่จริงเราน่าจะปล่อยให้ท่านได้พัก”
“ไม่เป็นไร ว่าต่อเถอะครับ” โค้งศีรษะน้อยๆอย่างถือในอายุ ตาคมกริบสีอำพันวาวโรจน์ ฉายรับอำนาจซึ่งกำลังถูกหยิบยื่นให้โดยไร้ข้อโต้แย้ง
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
“คุณเห็นเป็นยังไงบ้าง?”
ชนกาอินเอ่ยถามเสียงแผ่วยามยื่นมือออกไปรับแก้วไวน์ทรงสูงบรรจุของเหลวสีชาดมาวางไว้บนโต๊ะเล็กข้างโซฟาที่นั่ง คยูฮยอนนั่งเงียบมาพักใหญ่แล้ว... หลังได้เข้าประชุมอย่างไม่คาดคิดด้วยฐานะไม่เป็นทางการ ดูเหมือนแวมไพร์หนุ่มจะยิ่งประจักษ์อำนาจของตัวเองมากขึ้น จนทั้งศีรษะหนักอึ้งเกินกว่าจะเรียบเรียงสิ่งใดออกมาเป็นคำพูดได้ง่ายดาย
“ไม่คิดว่าที่เราเป็นอยู่มันจะแย่ขนาดนี้ แม้แต่เปียร์เองยังระส่ำระส่ายจนหาความเชื่อมั่นไม่ได้...” เสียงลมหายใจขาดช่วง ชีวิตของเมื่อวานกับวันนี้ช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง... แม้จะเตรียมใจมาก่อนหน้า แต่ก็ยังอดกังวลถึงโลกข้างบนนั้นไม่ได้ แค่อีทงเฮเท่านั้นที่เขาเป็นห่วง... อยากเห็นแก่ตัวเพื่อที่จะกลับขึ้นไป แต่เหมือนคนละโลก...
ต่อให้ทงเฮโดนเล่นงานเสียตอนนี้... คยูฮยอนก็ไม่มีแม้แต่ปัญญาจะคอยปกป้องได้อย่างเคย
เลือดเหลวในแก้วไวน์รสนิยมชั้นสูงยังคงหมุนวนเป็นวงอยู่ภายในแก้ว มือเรียวหยุดขยับมัน ก่อนจะยกขึ้นจิบยังริมฝีปากสีสด ชีวิตที่คุ้นเคย... ไม่ต้องกระเสือกกระสนหาเหยื่อคนใดมารองรับความต้องการอีก
แค่เพียงสองอึก... เพียงสองอึกก็ทำให้ความรู้สึกในกายกลับบีบมวนจนเหมือนแรงอารมณ์จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสี้ยวหน้าของคนที่เคยชิดใกล้... รสโลหิตที่สร้างความรู้สึกเคยชิน... และกลิ่นกายหอมหวนยั่วเย้าต่อแรงปรารถนา... ร่างสูงฝืนใจกระดกเลือดส่วนที่เหลือจนหมดแก้ว แม้จะคลื่นเหียนแปร่งปร่า หากแต่มันก็ช่วยสงบอาการคลุ้มคลั่งของอารมณ์ลงได้ในชั่วอึดใจ แน่นอนว่ากาอินเห็นสิ่งนี้ดี...
“คุณไม่ควรที่จะปล่อยให้ร่างกายเคยชินในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
“..............”
“ไม่คิดบ้างหรือว่ายิ่งคุณปรารถนาในตัวเขา... สักวันคุณนี่เองที่จะเป็นคนฝังเขี้ยวลงไปอย่างไม่มีทางเลือก” ร่างผอมระหงปราดเข้ามายกถาดแก้วไวน์ขึ้นกระชับจับในสองมือ ตาสีอำพันของเธอจ้องมองผู้เป็นนายด้วยความสมเพชก็ไม่ใช่ สังเวชก็ไม่เชิง “คุณคงไม่คิดที่จะเปลี่ยนเขาใช่ไหมคะ”
แม้จะเงียบฟัง แต่คยูฮยอนรู้ดีว่าซนกาอินหมายถึงอะไร....
“ไม่มีใครปรารถนาความทุกข์อันยาวนานนี้หรอกค่ะ...”
เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนที่เธอจะเดินหายลับไปพร้อมบานประตูซึ่งปิดสนิทลง หญิงสาวพูดในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน... ความคิดที่จะเปลี่ยนมันไม่มีอยู่ในหัวและไม่ควรจะมีดังเช่นที่ผ่านมา แวมไพร์ที่เอาชนะสิ่งนั่นไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรจากความคิดต่ำๆชั่ววูบ ไม่มีมนุษย์คนใดปรารถนาชีวิตยืนยาวนี้อย่างแท้จริงหากพวกเขาได้รู้ถึงความทุกข์ทรมานยามต้องเอาชนะสัญชาตญาณในกายเพียงเพื่อดำรงความเป็นสัตว์ประเสริฐเอาไว้
สิ่งที่โจวคยูฮยอนเป็นอยู่คือความพ่ายแพ้ต่อความต้องการ... แต่เขาจะไม่มีวันปล่อยให้สัญชาตญาณดิบเอาชนะได้เป็นครั้งที่สอง
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
ข้าวของทุกอย่างในห้องยังคงอยู่ครบ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้ หรือแม้แต่สภาพล่าสุดที่อีทงเฮได้เห็น ซีวอนไม่มีคำตอบอะไรให้เขาได้เลย พนักงานโรงแรมปฏิเสธการพบเห็นโจวคยูฮยอน อีกครั้งที่แวมไพร์หนุ่มหายตัวไป... หายไปจากชีวิตของทงเฮโดยไร้การบอกกล่าวใดๆดังเช่นเมื่อครั้งก่อน แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันเล่า... เขาไม่รู้เรื่องสักอย่าง ไม่รู้ถึงความเป็นไปอะไรเลย
“คุณจะเอายังไงต่อ จะกลับโซล หรือ...”
“อยู่ที่นี่” วิศวกรหนุ่มว่าเสียงแข็ง กระชับโทรศัพท์มือถือแน่นเสียจนกลัวว่ามันจะแหลกคามือ “คุณกลับไปก่อนก็ได้นะ อยู่กับผมมันคงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”
ยิ่งได้ฟังคำพูดมีเลศนัยยิ่งยากที่นายตำรวจหนุ่มจะยอมปล่อยไป เขาไม่รู้ว่าอะไรคืออันตรายที่ทงเฮพูดถึง ไม่รู้แม้กระทั่งเหตุผลในการตัดสินใจซึ่งมันคงจะไม่ได้ตื้นเขินเพียงแค่อยากรอคยูฮยอนเท่านั้น มันต้องมีอะไรมากกว่า... และเกี่ยวพันกับรูปคดีที่ทงเฮพยายามปกปิด เหตุผลที่ชเวซีวอนตัดสินใจโทรหาเขาเมื่อคืน และได้มาหยุดอยู่ที่นี่ “ทงเฮ...”
“ครับ?”
“ลองไม่คิดว่าผมเป็นตำรวจ.... ผมอยากถามความจริงจากคุณสักสามข้อ”
“..............”
“คุณปกปิดอะไรผมอยู่บ้าง คยูฮยอนเป็นใครกันแน่... เขาอยู่ในที่เกิดเหตุคืนที่กูฮาราเสียชีวิตใช่ไหม...?”
TBC
ไม่เคยอัพฟิคอะไรไวเท่าเรื่องนี้ -_-.... จะตันยังไงก็ต้องดั้นด้นแต่งให้ออก ฮรึก....*
ยิ่งแต่งไปก็ยิ่งรู้สึกว่า โจวแกจะไหวไหม ;A ; เป็นแวมไพร์ใส ๆมาทั้งชีวิตงี้ 55555555.
การตัดสินใจและความรู้สึกของต่างฝ่ายต่างชัดขึ้น พร้อม ๆกับสถานการณ์ที่เริ่มเคร่งเครียด
ไม่ต้องกลัวว่ากาอินจะมาสร้างความร้านฉานอะไรนะคะ ไม่มีแน่ เราเพิ่มมาสวย ๆเฉย ๆ ._ .
ความคิดเห็น