คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Good morning, Vampire :: Chapter XIII
Good Morning, Vampire.
Super Junior Fan Fiction (Yaoi)
Cast : Kyuhyun x Donghae x Siwon
Author : xixiao’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
CHAPTER XIII
เสียงลิฟท์ดังขึ้นเมื่อถึงชั้นที่ต้องการ บริกรชายเดินนำไปยังห้องพักด้านในสุดพร้อมสัมภาระกระเป๋าสองใบที่อีทงเฮถือติดมือมาจากหลังรถ เบื้องหลังเขาคือร่างผอมสูงของแวมไพร์หนุ่มที่เงียบมาตลอดทาง
โรงแรมใจกลางเมืองอันดงถูกใช้เป็นที่พักสำหรับคืนนี้ ทงเฮเพลียเกินกว่าที่จะขับไปไหนได้ไกล ฝนยังตกหนัก... หนักเสียจนเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้าเขาเกือบจะขับชนท้ายรถกระบะอีกคันเพราะแทบมองไม่เห็นทาง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอาชนะความอึดอัด... ความอึดอัดที่วิ่งวนอยู่ภายในรถ หลังปล่อยตัวปล่อยใจเพื่อทดลองความรู้สึกบางอย่าง โดยไม่ทันได้คาดคิดว่ามันจะไม่มีทางเหมือนเดิมในเวลาต่อมา
บริกรหนุ่มไขประตูห้องพักพร้อมยื่นกุญแจให้วิศวกรหนุ่มเก็บรักษา ร่างเล็กแย้มยิ้มบางเป็นการขอบคุณ ก่อนจะรับช่วงต่อกระเป๋าใบย่อมเมื่อบริกรเดินกลับไปยังทางเดิม เลิกลั่กเล็กน้อย หากแต่ก็ถอยเท้าหลีกให้อีกคนเดินเข้ามา จัดการล็อกประตูแล้ววางสัมภาระทั้งหมดลงหน้าโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน
มีแต่ความเงียบและเสียงสายฝนซาที่แว่วมาจากภายนอก ไฟสีส้มสลัวจับแสงอยู่ที่ปลายเตียงคู่ขนาดกลาง ปล่อยให้ส่วนอื่นของห้องหม่นแสงลงตามระยะ โจวคยูฮยอนหยุดยืนยังบานประตูกระจกที่ปิดสนิท หากลองได้เปิดออกไปคงเสี่ยงที่ฝนจะสาดเข้ามาถึงข้างใน ร่างสูงจึงได้แต่ทอดมองมันประปรายลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ
อีทงเฮรู้สึกประหม่า ในหัวรู้สึกรุมร้อนรุมหนาวจนคิดอะไรไม่ออก เขาควรทำอะไร นั่งอยู่เฉยๆ หรือพักผ่อนให้หายเหนื่อย เพียงแต่เมื่อคยูฮยอนทำท่าจะหันกลับมาก็ระลึกได้ว่าตัวเองควรจะรีบไปอาบน้ำ ชุดคลุมอาบน้ำและผ้าเช็ดตัวทางโรงแรมมีให้ พร้อมๆกับรองเท้าใส่เดินภายในห้องอีกสองคู่ สบตากันอยู่เพียงครู่หนึ่ง ทงเฮก็หนีเข้าห้องน้ำไปโดยไม่พูดไม่พูดไม่จาเช่นเดียวกับอีกคน
‘ใครมันจะไปยอมรับกัน... สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์แบบนี้น่ะ....’
‘...............’
‘มันทั้งน่ากลัว... ขยะแขยง....’
‘...............’
‘พอคิดว่าจะต้องตายลงเดี๋ยวนั้น... ใจมันก็นึกรังเกียจ.........’
โจวคยูฮยอนรู้ตัวว่าได้ทำพลาดที่ปล่อยให้เรื่องในรถเกิดขึ้นเพียงเพราะอารมณ์ความรู้สึกชั่ววูบ แค่ได้ยินคำปรามาสด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ใจทั้งดวงกลับบีบมวนจนรู้สึกแน่นขนัดไปทั้งอก เป็นอีทงเฮที่พูดมันออกมา... พูดราวกับว่าจงเกลียดจงชังเสียเต็มประดา... ในตอนนั้นขอเพียงแค่ให้อีกฝ่ายหยุดพูด... แค่หยุดคำพูดทุกอย่างลงแค่นั้นก็พอแล้ว
มันเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของเขาที่ประจักษ์แก่ใจ หลังเคยเกือบตกอยู่สภาพเดียวกับกึ่งอมนุษย์ที่ชานเมือง ทุกคำที่ได้ยินมันกรีดลึกลงไปจนรู้สึกเจ็บหนึบ ความทรงจำครั้งที่ได้ฝังเขี้ยวลงบนคอกูฮารายังคงชัดเจนในความคิด... และมันคงจะไม่เลือนรางเหมือนกับที่ไม่มีทางจางหายไปจากความทรงจำของอีทงเฮ
เพราะแวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีอารมณ์และความต้องการที่มากกว่ามนุษย์หลายเท่า เช่นเดียวกับตอนที่กระหายเลือดอย่างแสนสาหัส... ร่างกายก็ต้องการการตอบสนองต่อแรงอารมณ์ที่รุนแรงเช่นกัน
และผลจากสิ่งเร้าที่เกิดขึ้น กลับทำให้เขายิ่งต้องการเข้าใกล้... จนแทบห้ามตัวเองไว้ไม่ไหว
เช่นเดียวกับตอนนี้... ที่แวมไพร์หนุ่มรู้สึกทรมานเจียนตาย
เขากำลังรู้สึกว่าตัวเองบ้า... บ้ามากๆยิ่งตอนที่ส่องกระจกแล้วเห็นริมฝีปากบวมเจ่อจนดูผิดสังเกต ผิวกายใต้เสื้อเชิ้ตที่ถูกถอดออกไปยังคงเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำซึ่งเกิดจากริมฝีปากใครอีกคน ช่วงลำคอขาวนั้นปรากฏรอยเขี้ยวบางที่ข่วนเป็นทางยาว อีทงเฮไม่ได้รู้สึกเจ็บ... หากแต่ริมฝีปากนั้นยังคงรู้สึกชานิดหน่อย ยิ่งตอกย้ำถึงการกระทำน่าอายที่เขาปล่อยให้มันเกิดขึ้นโดยขาดสติ
มานึกย้อนดูแล้วทงเฮจำได้ดีว่าเขาคิดอะไรตอนที่ทำมันลงไป เพียงแค่ได้เห็นแววตาสีอำพันนั้นสะท้อนภาพใบหน้าตัวเอง ความรู้สึกบางอย่างกลับพุ่งขึ้นสูง รู้เพียงว่าอยากเข้าไปใกล้... ไม่ต่างอะไรจากตอนที่มีสัมพันธ์กับหญิงสาว
จะกล่าวว่าแรงเสน่หาที่เกิดขึ้นนั้นเขาไม่รู้ตัวก็คงผิด เพราะอีทงเฮรู้ตัวดีทุกอย่าง... รู้แม้กระทั่งว่าคยูฮยอนจูบย้ำลงที่ส่วนไหนบ้าง เพียงแต่เขาห้ามมันไม่ไหว กลับอยากให้ไฟที่สุมอกนั้นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ... เรื่อยๆอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากสิ่งที่แปลกใจคือทงเฮรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่พวกมีอารมณ์ทางเพศพร่ำเพรื่อ อย่างนั้นแล้วมันกลับเกิดขึ้นแทบทุกครั้งที่ถูกสัมผัส สัมผัสที่ปลุกเร้าความปรารถนาในกายให้ละทิ้งยางอายแล้วแสดงออกเฉกผู้ชายทั่วไป
แต่จุดเริ่มคือการที่คยูฮยอนจูบเขา... จูบด้วยแววตาที่หลากอารมณ์จนจับต้นชนปลายไม่ถูก
จากนี้ไปเขาควรจะทำตัวยังไง... ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วปล่อยให้ทุกอย่างเลือนหายไปกับสายฝนอย่างนั้นหรือ? มันอาจจะดูโง่เง่า... แต่กลับฉลาดที่สุดเท่าที่ความสับสนของอีทงเฮจะคิดได้ในยามนี้
เพียงแต่อาการรุมร้อนรุมหนาวและรู้สึกชาที่มือกับแผ่นหลังนี่กลับทำให้ร่างเล็กรู้สึกไม่ดีนัก หวังเพียงว่าแผลจะไม่อักเสบขึ้นมาจนทำให้อะไรๆต้องแย่ไปกว่านี้
ภาพที่โจวคยูฮยอนเห็นคือภาพของอีทงเฮที่กระชับเสื้อคลุมอาบน้ำให้มิดชิดยิ่งขึ้น หากแต่รอยแดงๆที่ประปรายอยู่ตามลำคอและเนื้อตัวนั้นกลับฉุกสายตาจนไม่อาจละไปไหนได้ ทงเฮหลบสายตาเขา ทำท่ารื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าและจัดเข้าตู้ราวกับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อไอเย็นนั้นซ้อนทับอยู่ที่แผ่นหลัง ครั้นหันไปกลับได้เห็นแววตาสีอำพันที่หลุบมองเขาด้วยความรู้สึกสับสน คยูฮยอนยืนอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างที่ตัวทงเฮเองไม่เรียกร้องจะฟัง
“ผมขอโทษ...”
พูดประโยคเดิมไม่ต่างไปจากทุกทีเวลาที่รู้สึกผิด ทงเฮกระชับมือซึ่งดึงคอชุดคลุมอาบน้ำให้แน่นขึ้น เงยหน้าสบตาทั้งที่หยดน้ำยังลู่ลงตามเรือนผมเปียกหมาดๆ “ช่างมันเถอะ”
อีกครั้งที่รู้สึกประหม่าเมื่อสายตาของร่างสูงจับจ้องอยู่ที่ลำคอขาวอย่างไม่ตั้งใจ วิศวกรหนุ่มรู้สึกอึดอัด เขาทำตัวไม่ถูกกับความเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่มาพร้อมคลื่นพายุครั้งนี้ ตัดสินใจเลี่ยงมานั่งลงยังปลายเตียง คยูฮยอนรื้อหยิบกล่องทำแผลออกมาก่อนจะนั่งซ้อนลงข้างหลังอย่างรู้งาน ถึงยังไงเขาก็ต้องคอยทำแผลเพื่อไม่ให้มันอักเสบ อีกครั้งที่ทงเฮจำต้องเห็นรอยจูบบนเรือนร่างตัวเองเมื่อต้องแหวกคอเสื้อออกจนกึ่งเปลือยท่อนบน
เหตุการณ์ซ้ำซากซึ่งคยูฮยอนบังคับตัวเองให้รู้สึกชินกับมันอย่างซ้ำๆ การอดกลั้นและอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายในยังคงตีกันวุ่น อีทงเฮสะดุ้งเล็กๆทุกครั้งที่ถูกแตะโดยปลายนิ้วเย็นเยียบ ไม่อาจรับรู้ถึงความทรมานที่เจ้าของสัมผัสจำต้องแบกรับมันไว้เพียงเพื่อความสบายใจของเขา...
ทางใดเล่าที่จะเลี่ยงจากกันได้บ้าง.. ในตอนนี้มันแทบไม่มีอยู่เลย....
ใช่ว่าในหัวของวิศวกรหนุ่มจะว่างเปล่า เขาเองก็เป็นผู้ชายที่เข้าใจอะไรได้ดี เช่นเดียวกับความลำบากใจเมื่อเห็นว่าคยูฮยอนจงใจหยุดทุกอย่างแม้ว่าสีหน้านั้นจะไม่สู้ดีนัก อีทงเฮไม่ได้รังเกียจถ้าจะต้องช่วยในสิ่งที่ทำได้... หากแต่ไม่ใช่สิ่งที่ทอดไปสู่ความสัมพันธ์ระยะยาวซึ่งตัวเขายังไม่พร้อมจะยอมรับ...
คยูฮยอนทำแผลให้ด้วยระยะห่างอันไม่ก่อให้เกิดความลำบากใจดังเช่นที่ทงเฮกลัว ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีโดยไร้ซึ่งการแตะต้องร่างกายจากแวมไพร์หนุ่ม ทั้งที่ควรจะเบาใจและรู้สึกดีขึ้น... แต่ท่าทีเช่นนี้เองที่ทำให้ทงเฮเป็นห่วงอีกฝ่ายจับใจ ห่วงในการเก็บกดความรู้สึก... สกัดกลั้นทุกอารมณ์ปรารถนาตราบจนวินาทีสุดท้าย....
นอกเหนือจากคำขอโทษแล้วคยูฮยอนไม่ได้พูดอะไรอีกเลย... ไม่แม้แต่จะสนทนาถึงแผนการในวันรุ่งขึ้น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเชื่องช้า... น่าเบื่อ... และชวนอึดอัดอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมาอย่างอีทงเฮ ร่างหนึ่งได้แต่นั่งมองสายฝนด้วยสายตาว่างเปล่า ในขณะที่อีกคนสวมเสื้ออยู่หน้ากระจกบานใหญ่ เงากระจกมองเห็นเพียงเตียงโล่งๆ คยูฮยอนไม่มีเงา... ไม่มีแม้แต่สีเลือดหรือความอบอุ่นในร่างกายดังเช่นที่เขามี แต่ความใส่ใจที่มีให้อีกฝ่ายนี่เอง... ที่ยิ่งทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจมองข้ามอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ใบหน้าขาวซีดเผือด มือที่พันแผลไว้กลับเกิดอาการชาเช่นเดียวกับความรู้สึกแสบปร่าที่แผ่นหลังซึ่งค่อยๆมีอาการตามกัน
ในยามนี้ทงเฮบังคับตัวเองเพียงให้คิดถึงหนทางต่อจากนี้ไป สิ่งที่เกิดขึ้น ต้นสายปลายเหตุ อันจะส่งผลถึงอนาคตของทั้งชีวิตเขาและคยูฮยอน จากเหตุการณ์ที่ได้พบเจอ ไม่ว่าจะเป็นการที่คนในหมู่บ้านปฏิเสธการขอซื้อเลือด กล่าวหาว่าแวมไพร์เป็นปีศาจ พบเปียร์เดินอยู่ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หนำซ้ำยังแวมไพร์กึ่งอมนุษย์กระหายเลือดตนนั้น... ยิ่งคิด อีทงเฮก็ยิ่งไม่เข้าใจความซับซ้อนที่เกิดขึ้น บางทีคยูฮยอนคงจะให้คำตอบได้ดีกว่า แต่มันจะมีประโยชน์อะไรเล่าในเมื่ออีกฝ่ายได้แต่นั่งเงียบราวตกอยู่ในภวังค์เช่นนี้
เขาอยากให้คยูฮยอนอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น อยากให้พูดจาด้วยคำพูดเหยียดยาวอย่างเช่นที่คอนโดมิเนียม ใช้เวลาคิดอยู่พักใหญ่ อีทงเฮก็ไม่แม้แต่จะคิดออกว่าควรพูดอะไรออกไปเป็นอย่างแรก
“คยูฮยอน...”
เหลียวใบหน้าขึ้นสบตาเรียวรีสีดำสนิท ไม่มีคำพูดตอบรับใดๆดังที่ทงเฮได้คาดการณ์ไว้ ร่างเล็กรวบรวมความกล้าอยู่อึดใจหนึ่ง สาวเท้าเดินเข้าไปนั่งลงยังเก้าอี้ข้างโต๊ะเล็กที่หันหน้าเข้าหาคู่สนทนาได้อย่างพอดิบพอดี แต่กลับเป็นความเงียบที่โรยตัวลงมาขัดจังหวะ คนหนึ่งกำลังเรียบเรียงคำพูด ขณะที่อีกหนึ่งแวมไพร์ได้แต่รอฟังด้วยความสงบนิ่ง
“ที่นายบอกว่า... หมู่บ้านนั้นไม่ปลอดภัย นายรู้สึกถึงอะไรงั้นหรือ?”
ครู่หนึ่งร่างสูงเงียบอยู่อย่างนั้น เขาได้แต่ทบทวนความคิดในหัว ลำดับเหตุการณ์ทุกอย่างโดยแสร้งลืมบางเรื่องไปอย่างที่ทงเฮจงใจให้เป็น “ผมแน่ใจตอนที่เห็นคนของเปียร์ ในหมู่บ้านนั้นไม่ได้มีแค่เรา... ที่เป็นคนนอก”
“................”
“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น แต่มันไม่ปกติแน่ที่มีคนของเปียร์มาเดินเพ่นพ่านในเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ผู้ชายคนนั้นเองก็แสดงท่าทางว่ารังเกียจผมถึงขนาดนั้น... อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา”
‘ฉันจำได้ พวกนั้นก็ตาสีเหลืองๆแบบแกนี่แหละ ไม่พอใจเข้าหน่อยก็ฆ่าทิ้ง’
“แล้ว... แวมไพร์ตัวนั้นล่ะ...?” แค่พูดถึงก็รู้สึกขยะแขยงหวาดกลัวจนแทบคลื่นไส้ ผีดูดเลือดที่เป็นดั่งสัตว์ป่า ขาดสติสัมปชัญญะรุกเข้าจู่โจมเหยื่อหวังเพียงเป็นอาหาร จำได้ขึ้นใจ... และคงไม่มีวันลืม
“มีบ้างที่แวมไพร์คลุ้มคลั่งไปโผล่ตามที่อยู่อาศัย รอโอกาสเข้าทำร้ายมนุษย์เพียงเพื่อดื่มเลือดตามสัญชาตญาณ... แต่พวกเขาจะมีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น ขาดความคิด สติ และการควบคุมไปอย่างสิ้นเชิง... ในเดือนหนึ่งเปียร์ต้องจัดการแวมไพร์นอกเหล่าพวกนี้ไปไม่รู้กี่ตนต่อกี่ตน...”
“.................”
นัยน์ตาสีอำพันเงยขึ้นมองอีกคนอย่างเป็นห่วง สังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อครู่ว่าดวงหน้าอีกฝ่ายนั้นซีดเผือด ยิ่งชัดเจนเมื่อร่างทั้งร่างโงนเงนไปมาไม่ตรงนิ่งเหมือนเคย หากแต่อีทงเฮยังคงมองตอบเขา... มองด้วยแววตาที่พร่ามัว “คุณโอเครึเปล่า?”
พยักหน้ารับน้อยๆแม้จะรู้ว่าอาการตัวเองไม่สู้ดีนัก บางทีนี่อาจจะเป็นเพียงพิษไข้ ทงเฮเชื่อว่าหลังได้นอนหลับพักผ่อนสักตื่นมันคงจะดีขึ้น แค่เพียงหยัดตัวลุก ร่างทั้งร่างกลับเซถลาจนคยูฮยอนต้องเข้ามาประคองไว้
“ได้นอนพักสักตื่นคงจะดีขึ้น” ถึงปากจะว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่คยูฮยอนได้สัมผัสกลับไม่ใช่เลย ผิวกายร้อนเกินอุณหภูมิปกติของร่างกายมนุษย์ ริมฝีปากแห้งผากขยับผะแผ่วอีกครั้งแต่กลับไร้เสียง ดึงดันทิ้งตัวลงนอนข่มความกระสับกระส่าย ยิ่งถูกคยูฮยอนแตะต้องเขากลับยิ่งรู้สึกหนาวจนสั่น ทุกอย่างดูแย่ลงไปหมด...
เสียงโทรศัพท์มือถือของอีทงเฮสั่นครืดกับโต๊ะหัวเตียงหากแต่ไม่มีทีท่าว่าร่างเล็กจะลุกไปรับ ยังคงข่มตาหลับอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่ต้องการรับรู้สิ่งใด ทั้งสมองและสายตาพร่ามัว
เฝ้ารออยู่ค่อนคืนก็ไม่มีแววว่าวิศวกรหนุ่มจะอาการดีขึ้น อาการไข้แบบฉับพลันที่คยูฮยอนไม่รู้จักกำลังเล่นงานจนคนในนิทราต้องนอนตะแคงขด เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำอะไรไม่ถูกนอกเหนือเสียจากลุกจากที่นั่งเพื่อเดินไปดูอีกฝ่ายเป็นพักๆ บางทีทงเฮควรจะต้องไปโรงพยาบาลหรือพึ่งการแพทย์ แต่โจวคยูฮยอนไม่ใช่มนุษย์ หนำซ้ำยังถูกตามล่า สถานการณ์ข้างนอกไม่มีความปลอดภัยพอที่เขาจะพาคนตรงหน้านี้ไปเสี่ยงอันตรายซึ่งไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่...
ครุ่นคิดอยู่นานสองนานทุกหนทางก็มีแค่ความไม่แน่นอน เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกสมเพชตัวเองนักถ้าเทียบกับทงเฮแล้ว มนุษย์คนนี้ทั้งกล้าเสียกล้าเสี่ยง กล้าที่จะเดินหน้าไปเสมอแม้ไม่รู้ถึงชะตากรรมที่ต้องพบเจอ
ยิ่งนานวันเข้า... กลับยิ่งรู้สึกแบ่งแยกระหว่างอีทงเฮกับตัวเองมากขึ้นเหลือเกิน
โทรศัพท์เครื่องเล็กสั่นเพราะสายเรียกเข้าอีกครา ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์นั้นเขาไม่รู้จักว่าเป็นใคร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นอะไรกับร่างเล็กที่นอนป่วย แต่ถึงอย่างนั้นการได้ติดต่อกับมนุษย์สักคนในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องดีกว่า... เมื่อการเฝ้ามองของเขาไม่ช่วยให้ร่างกายของเพื่อนร่วมทางทุเลาลง อย่างน้อยๆ... อะไรๆอาจจะดีขึ้นบ้าง หวังไว้เช่นนั้น
( ทงเฮ... นี่คุณอยู่ไหน? )
เป็นเสียงที่คยูฮยอนไม่คุ้นหูเอาเสียเลย ปลายสายเอ่ยเรียกอีกครั้งเมื่อได้ยินเพียงความเงียบสงัด ลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง คยูฮยอนก็ตัดสินใจเสี่ยงบอกออกไปด้วยความรู้สึกว่างเปล่า “ผมเป็นน้องชายของทงเฮ...”
( น้องชาย? อ่า... พวกคุณอยู่กันที่ไหนครับ แล้วทงเฮล่ะ? )
เสียงทุ้มไม่ได้ถามซอกแซกเกี่ยวกับสถานะของเขานัก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อความคิดของแวมไพร์หนุ่มในตอนนี้เพียงต้องการใครสักคน... คนที่จะช่วยทงเฮได้
“เราอยู่ที่อันดง... ทงเฮอาการไม่ดีนัก เขา... ต้องการความช่วยเหลือ” ร่างสูงกำหมัดแน่น... ยิ่งตอกย้ำว่าตัวเขาเองอ่อนแอเพียงใดเมื่อเจอสถานการณ์คับขันเช่นนี้ แค่คนๆเดียวยังปกป้องไม่ได้... ทั้งที่เคยมั่นใจมาตลอดว่าความเป็นแวมไพร์นั้นเหนือกว่ามนุษย์ทุกอย่าง... แต่ไม่ใช่เลย... ตัวเขายามนี้ช่างน่าสมเพชยิ่งกว่าอะไรดี
( ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ! พวกคุณอยู่ส่วนไหนของอันดง? )
“โรงแรมซินชอน ห้องหกหนึ่งสามเก้า...”
( ตกลง คิดว่าไม่เกินสองชั่วโมงผมคงไปถึงที่นั่น )
เสียงจากปลายสายตัดไปแล้ว... มือเรียวทิ้งลงข้างตัวด้วยความรู้สึกว่างเปล่า โจวคยูฮยอนรู้สึกแย่เหลือเกิน... เขาไม่สามารถทำอะไรได้ หรืออาจทำได้แต่เขาก็คิดมันไม่ออก จนกระทั่งต้องขอความช่วยเหลือจากคนในสายโทรศัพท์ซึ่งไม่รู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน เป็นเรื่องน่าแปลกที่เพียงแค่ประโยคสั้นๆ เสียงทุ้มนั้นก็กลับถามถึงที่พักอย่างร้อนรนโดยไม่แม้แต่จะตรวจสอบหาความจริงเท็จ
ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงยังข้างเตียง ทอดสายตามองเหงื่อที่ผุดพรายออกมาตามเนื้อตัว เขาอยากจะปกป้อง... อยากจะทำอะไรให้ได้บ้างในยามที่อีกฝ่ายอ่อนแอ พออยู่ตัวคนเดียวแล้วคยูฮยอนกลับเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง
เอื้อมไปกระชับมือเรียวไว้ ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกที่มีอยู่ในตอนนี้คืออะไร มันมากกว่าตอนที่แค่รู้สึกว่าอยากได้เลือด มากกว่าความรู้สึกที่ว่าอีทงเฮเป็นคนที่ช่วยเขา ใช่... มันมากมายกว่านั้น มากจนเกินกว่าสิ่งมีชีวิตในรั้วที่ไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกอื่นใดเช่นเขาจะเข้าใจ
เสียงครางท้วงในลำคอคนป่วยนั้นร่างสูงพอจับใจความได้ว่าหนาว ดวงตาสีอำพันวูบไหว ค่อยๆปล่อยมือที่กอบกุมอีกฝ่ายออกอย่างช้าๆ เอี้ยวตัวไปดึงผืนผ้าห่มขึ้นสูงจนมิดอก
แม้แต่ความอบอุ่นในเวลาแบบนี้... โจวคยูฮยอนยังให้อีทงเฮไม่ได้....
ยิ่งสองมือบนหน้าตักประสานกันแน่นเท่าไหร่ คยูอยอนกลับยิ่งรู้สึกถึงความเย็นเยียบ ไร้กระแสเลือด สำหรับมนุษย์แล้วพวกเขาเป็นเพียงซากศพ เป็นผีดูดเลือด สิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจที่ไม่ต่างอะไรปีศาจเท่านั้นน่ะหรือ?
ครุ่นคิดเรื่องเดิมซ้ำๆอยู่ถึงสองชั่วโมง คยูฮยอนก็ถูกปลุกขึ้นจากภวังค์ด้วยเสียงเคาะประตูรัวๆถึงสี่ที อาคันตุกะที่เขาได้ขอร้องไว้คงจะมาถึงแล้ว ครั้นพอลุกไปเปิดนั่นเอง... โจวคยูฮยอนจึงได้รู้ว่าเจ้าของชื่อชเวซีวอนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ก็คือนายตำรวจหนุ่มซึ่งเขาเคยได้พบเจอในห้างสรรพสินค้าเมื่อนานมาแล้ว
พยักหน้าขอบคุณให้เสียทีหนึ่ง ซีวอนก็ตรงปราดเข้าไปดูอาการของคนป่วยด้วยความเป็นห่วง พอได้เห็นผ้าพันแผลที่มือนั้นก็ยิ่งตกใจ ช้อนร่างทั้งร่างขึ้นจากเตียงด้วยความรู้สึกร้อนใจจนแสดงอกทางสีหน้า “ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ ทำไมคุณไม่พาเขาไปโรงพยาบาล”
นอกจากจะตอบไม่ได้แล้วคยูฮยอนยังยิ่งทวีความรู้สึกผิดเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกไป ซีวอนเองก็ไม่ได้ใส่ใจรอคำตอบนัก ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินในระยะความเร็วที่ทำให้ไม่เสียหลัก คยูฮยอนไม่ได้เดินตามไป... ด้วยความรู้สึกดั่งไฟที่แผดเผาอยู่ในอก ทั้งร้อนรุ่ม... สับสน... จนเหมือนจะฆ่าให้ตายลงอย่างช้าๆ
ชเวซีวอนเหลียวกลับมามองน้องชายของวิศวกรหนุ่มอีกครั้ง สั่งกำชับอย่างรอบคอบเมื่อแน่ใจแล้วว่าอีกคนจะไม่ตามไปที่โรงพยาบาลแน่ “คุณเก็บมือถือของทงเฮไว้กับตัว เผื่อว่าทงเฮต้องการคุณ จะได้ติดต่อกันได้”
พอได้เดินกลับเข้ามาในห้อง คยูฮยอนจึงได้สังเกตเห็นบางสิ่งผ่านกระจกหน้าต่าง แวมไพร์รูปร่างกึ่งอมนุษย์... กำลังจับจ้องยังสองคนที่เพิ่งแยกจากเขาไป แล้วชเวซีวอนก็สตาร์ทรถ โดยที่ไม่อาจมองเห็นถึงหายนะซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น
สิ่งนี้เองที่ทำให้ร่างสูงต้องเปิดกระจกหน้าต่างบานโตออก กระโดดเลาะลงไปยังพื้นข้างล่างด้วยความสามารถเฉพาะตัวของเผ่าพันธุ์ ไล่ตามร่างปีศาจคลั่งซึ่งกำลังปรากฏกายสู่เหนือพื้นถนน ไล่ตามรถของนายตำรวจหนุ่มไปด้วยกลิ่นเลือดชวนกระหายของอีทงเฮ
หากแต่กลิ่นเฉพาะของผีดูดเลือดด้วยกันดูเหมือนจะเรียกความสนใจจากกึ่งอมนุษย์ได้มากกว่า เป้าสายตามันจึงเบนกลับหมายประทุษร้ายผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ร่างกายของคยูฮยอนอ่อนเพลียลงทุกขณะ เขาจะปล่อยให้แวมไพร์ตนนี้ตามรถของซีวอนไปไม่ได้... นี่เอง สิ่งที่คยูฮยอนจะทำได้ในเวลาคับขันเช่นนี้
แรงมหาศาลพุ่งเข้าจู่โจมร่างสูงจนตกลงไปในพงหญ้าข้างทาง มือเรียวกวาดไปรอบๆ เพียงตั้งใจจะหาอาวุธปลายแหลมสักชิ้นเพื่อสังหารสิ่งมีชีวิตตรงหน้าให้สิ้น คยูฮยอนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่คิดด้วยซ้ำว่าการมายังเมืองอันดงในครั้งนี้จะต้องเจอกับอะไรที่คาดไม่ถึง และท้ายสุดแล้วกลับไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง....
และเรี่ยวแรงที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ... ทำให้เขาต้องพลาดพลั้งแก่ความอ่อนแอของตนเอง เฉียดจะถูกสังหารถึงหลายครั้งแม้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้จะเรียกได้ว่าเป็นความต่ำชั้นซึ่งอ่อนแอที่สุดในเหล่าแวมไพร์ก็ตามที แรงปะทะหยาบโลนที่กดใบหน้าลงแนบกับพื้นหญ้า และแรงบีบที่ต้นแขนนั้นทำเขารู้สึกเจ็บจนแทบโอดครวญ...
ชั่วนาทีที่ขุมนรกดึงร่างกายให้ดำดิ่ง สัญลักษณ์ดาวห้าแฉกกลับหัวแลบเข้ามาในสายตา ก่อนที่เสียงกรีดร้องและแรงจองจำจะหายไป พร้อมๆกับเสียงเดินสวบสาบแหวกพงพืชรกชัฏ พยุงเขาให้ลุกขึ้นจากวินาทีย่อยยับในชีวิต
“พวกเขาคงไม่คิด... ว่าลูกชายคนเดียวของท่านดยุคจะต้องมาอยู่ในสภาพตกต่ำถึงเพียงนี้”
เป็นเสียงราบเรียบของหญิงสาวที่คุ้นตา ตาเรียวรีของเธอนั้นกรีดทับด้วยอายไลน์เนอร์ที่ตวัดเส้นจนคมปลาบ ชุดเดรสรัดรูปสีโทนเทาดำ สวมทับด้วยสูทสง่ากำลังยืนฉีกรอยยิ้มไร้อารมณ์อยู่ตรงหน้า และเข็มกลัดรูปดาวห้าแฉกกลับหัวสีทองบนหน้าอก... สัญลักษณ์ที่ชี้ชัดถึงกลุ่มชนแวมไพร์ซึ่งเขาจำได้แม่นยำ
หนึ่งในเหล่าแวมไพร์ที่เรียกตัวเองว่าเปียร์
“คนของฉันรายงานว่าพบซากของพวกกึ่งกลายพันธุ์อยู่ที่ลานกว้างในหมู่บ้านค้าเลือด พวกเขาเห็นคุณ ฉันจึงต้องออกมาตามหาคุณให้ว่อน...” หล่อนรวบสองแขนเข้ากอดอก จ้องมองว่าที่ดยุคด้วยแววตาระคนความฉงน “เปียร์ต้องการคุณ”
ใช่ว่าเขาจะไว้ใจผู้หญิงคนนี้ได้เสียเมื่อไหร่ โจวคยูฮยอนไม่กล้าไว้ในใคร ในดวงตาสีอำพันนั้นล้วนมีเล่ห์กลและความกระหายมากเสียยิ่งกว่ามนุษย์ แล้วสิ่งใดเล่าที่เรียกว่าหลักประกัน
“หากท่านว่าที่ดยุคไม่ไว้ใจเปียร์... นั่นคงเป็นความสั่นคลอนอย่างถึงที่สุดของเรา” ราวกับอ่านใจออก หญิงสาวยังคงร่ายถ้อยคำด้วยน้ำเสียงท้าทาย คยูฮยอนเคยได้เห็นเธอทำงานอยู่กับพ่อเขาถึงหลายครั้งเวลาที่เหล่าเปียร์เรียกประชุม จะเรียกว่าคนสนิทก็คงใช่กระมัง “หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น... ทุกเสียงล้วนถามหาแต่คุณ... แล้วมันก็น่ายินดีที่คุณยังมีชีวิตอยู่”
“................” ร่างเล็กอรชรของหญิงสาวย่อลงจนหัวเข่าแทบติดพื้น คว้าเอามือแวมไพร์หนุ่มไว้ระดับใบหน้า ก้มลงจุมพิตด้วยความนอบน้อมและภักดี หมดคราบแววตาจองหองดังตอนที่ได้ช่วยเหลือเขาในทีแรก
“กลับไปยังที่ของท่านเถอะนะคะ... มายลอร์ด”
TBC
มาอัพแล้วค่ะ ;A ; คงได้เห็นแง่ความคิดของพระเอกแวมไพร์กันมากขึ้นแล้ว
โอยยยยย ตอนนี้ทำเอาเราเครียดมากจริง ๆมันไม่สนุกเลย โฮ* แก้แล้วแก้อีกจนไม่ได้ลงสักที
สำหรับคนที่กลัวว่าพระรองของเราจะไม่มีบท... หมดห่วงแล้วนะคะ 555555.
ใครที่คิดว่าวิศวกรของเราจะต้องอยู่อย่างเหงา ๆในพาร์ทต่อ ๆไปล่ะก็.... คงผิดถนัดค่ะ ไม่เหงาหรอก -OO-
ตอนหน้าได้เจอกับชีวิตในรั้วของคุณว่าที่ดยุคแน่นอน ;}
มีคนถามถึงเรื่องรวมเล่มด้วย... เอาจริง ๆคือก็ยังไม่ได้คิดหรอกค่ะ -_-;;
เราเองก็ไม่รู้ว่าคนอ่านฟิคนี้จริงๆมีมากแค่ไหน แล้วถ้าทำมาแล้วจะมีใครอยากได้รึป่าว
ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกันนะคะ 5555555. (ทำไมหลัง ๆทอล์คยาวทุกที -_-)
สำหรับที่ถามกันเกี่ยวกับเพลงหน้าเพจ
เพลงก่อนหน้านี้คือเพลง Love's to blame ส่วนเพลงปัจจุบันที่ใช้อยู่นี่คือเพลง You and me ค่ะ :D
ความคิดเห็น