ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC KYUHAE ¦ - Good Morning, Vampire {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #12 : Good morning, Vampire :: Chapter XI

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 54


    Good Morning, Vampire.

     

    Super Junior Fan Fiction (Yaoi)

                                                                         Cast : Kyuhyun x Donghae x Siwon

    Author : xixiao’

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     


     

    CHAPTER X
    I

     

     


    “แวมไพร์อย่างเรา จะยึดถือระบบศักดินาแบบสหราชอาณาจักร โดยเปียร์จะถูกเรียกว่าเป็นพวกในรั้ว ส่วนพวกนอกรั้ว ก็ไม่ต่างอะไรจากแวมไพร์นอกรีตที่เปียร์ไม่ต้องการ”


    เสียงทุ้มว่าเรียบๆในขณะที่จัดการใช้ผ้าพันแผลพันมือให้อีกคนซึ่งได้แต่นิ่วหน้าอดกลั้นความเจ็บ อีทงเฮบ้าบิ่นมากที่กล้ากรีดมือตัวเองจนเป็นแผลยาวขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้น... มันกลับทำให้เรี่ยวแรงของโจวคยูฮยอนกลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ที่ได้รับอาหารประทังชีวิต เขาอยู่ต่อไปได้โดยที่สามารถครองสติ และไม่คลั่งไปกัดคอใครอย่างที่เคยเกิดขึ้นอย่างสุดวิสัยในคราวของกูฮารา


    “คิบอม... เขาก็เป็นพวกนอกรั้วหรือ?” เสียงใส่เอ่ยถามขึ้นเนิบๆพลางสะบัดมือที่มีผ้าพันแผลเบาๆด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก คยูฮยอนจัดการเก็บอุปกรณ์และยาลงกล่องใบเล็กๆ ก่อนจะจัดแจงเอามันไปวางไว้ยังตู้ยาที่อยู่ห่างออกไป


    “เดิมทีไม่ใช่...” เสียงนั้นเจือความผิดหวังมาแต่ไกลก่อนที่ร่างของคยูฮยอนจะเดินกลับมา ตาของเขาหลุบมองทงเฮด้วยความเศร้าสร้อยแล้วเสเบือนไปทางอื่นเมื่อความทรงจำในอดีตฉายขึ้นมาราวแผ่นฟิล์ม “คิบอมเองก็มีเชื้อสายของเปียร์”


    “เปียร์ที่ว่ามันคืออะไร?”


    แทรกถามขึ้นด้วยความสงสัย เขารู้ว่าคยูฮยอนจะต้องตอบ จะต้องยอมไขข้อข้องใจให้เขาอย่างที่ไม่มีอะไรปิดบังอีก “คงเทียบได้กับระบบขุนนางของมนุษย์ มีหน้าที่ดูแล ควบคุม และแยกโลกแวมไพร์ออกจากความเป็นจริง”


    “................”


    “พวกเราคือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรมีอยู่ในการรับรู้ของมนุษย์ เราจะไม่ปรากฏตัว และไม่แฝงตัวเข้ามาโดยไร้ซึ่งเหตุจำเป็น พวกคุณจึงไม่เชื่อว่าพวกเรามีตัวตนอยู่ ต่างจากมนุษย์เมื่อเป็นร้อยเป็นพันปีก่อนที่ไล่เอาลิ่มแหลมตามล่าพวกเราด้วยจำนวนที่มีมากกว่า”


    “แล้วที่คิบอมเรียกนายว่า... ว่าที่ดยุค?”


    “แค่เชื้อสาย... ผมเป็นแค่ลูกชายของดยุค ไม่ถือว่าเป็นเปียร์ที่แท้จริงจนกว่าจะได้รับการแต่งตั้ง” ร่างสูงเหยียดยิ้มบาง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเช้าแล้ว ดูเหมือนทงเฮจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้งแม้ว่าจะเพลียมาทั้งวันแล้วก็ตามที อยู่กับเขาอย่างนี้มนุษย์ธรรมดาก็คงจะเสียสุขภาพได้เหมือนกันที่ต้องนอนผิดเวลาบ่อยๆ “คุณหิวรึยัง?”


    “นิดหน่อย” ยักไหล่ตอบน้อยๆก่อนจะอมยิ้มจนแก้มอวมเมื่ออีกฝ่ายลุกเดินหายเข้าไปในครัวอย่างรู้ใจ อยู่ร่วมกับมนุษย์ก็ต้องเรียนรู้ความเป็นอยู่ของมนุษย์ คยูฮยอนยังคงดูเพลียๆ แต่ก็ยอมทยอยเล่าอะไรหลายๆอย่างให้เขาฟังในขอบเขตที่สมควร ไม่ปิดบัง... แต่เลือกที่จะไม่จุดประเด็นพูดขึ้นมานอกเหนือเสียจากว่าเขาเป็นฝ่ายถาม


    “ทงเฮ” หน้านั้นโผล่พ้นกระจกกั้นของส่วนครัวออกมา ดูชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดถามออกด้วยสำเนียงแปลกๆจนฟังดูเหมือนคุณชายเงอะงะที่หยิบจับอะไรไม่เป็น “ไอ้สปาเก็ตตี้ที่อยู่ในกล่องนี่ มันกินได้ใช่ไหม?”


    แทบจะขำพรืดออกมาเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือของคยูฮยอนคือสปาเก็ตตี้กล่องแช่แข็งที่เขาซื้อมาตุนไว้ จริงสิ... แวมไพร์ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่แบบมนุษย์นี่นะ เพราะอย่างนั้นก็คงไม่ต้องมาคอยอุ่นอาหารกินเหมือนกัน อีทงเฮได้เรียนรู้เรื่องนี้จากการที่คยูฮยอนขับรถไม่ได้และช่วยเหลือคนจมน้ำไม่เป็น “กินได้ อ่า... ฉันกำลังอยากกินมันพอดี”


    “แล้วผม... ต้องทำอะไรก่อนรึเปล่า ข้างในมันแข็งติดกันเป็นก้อน”


    “เอาใส่ไมโครเวฟ อุ่นสามนาที” คยูฮยอนหันกลับไปมองในครัวก่อนจะเออออไปตามเรื่อง อย่างน้อยเขาก็รู้จักไมโครเวฟ... เจ้ากล่องสี่เหลี่ยมรูปร่างหน้าตาเหมือนจอโทรทัศน์ขนาดเล็กที่เปิดได้ เขาได้แอบรู้จักมันตอนที่ทงเฮพยายามจะทำนู่นทำนี่มาให้กินในช่วงก่อน ถึงตอนนี้จะพูดเต็มปากเต็มคำได้ว่าไม่รู้จัก ก็ยังดีกว่าตอนนั้นที่เขาต้องแสดงเหมือนเป็นมนุษย์ปกติที่ไม่น่าจะถามอะไรโง่ๆออกมา


    ราวๆสี่นาทีจานสปาเก็ตตี้ร้อนๆก็ถูกวางลงตรงหน้าวิศวกรหนุ่มบนโต๊ะอาหารที่เขาย้ายตัวเองมานั่งรอเมื่อเกือบนาทีก่อนหลังจากได้ยินเสียงกระทบของจานช้อนในครัว มือซ้ายของทงเฮยังคงวางอยู่บนหน้าตักในขณะที่มืออีกข้างหยิบช้อนส้อมขึ้นมาเก้ๆกังๆ ปกติแล้วเขาจะจับส้อมมือซ้าย แต่ครั้งนี้เปลี่ยนท่าจับอยู่หลายทีก็ไม่ได้ท่าที่ถนัดถนี่เหมือนมืออีกข้าง


    “คุณรบกวนผมได้นะ” เสียงทุ้มว่าขึ้นหลังจากใช้สายตามองอยู่นาน แน่นอนว่าทงเฮยอมแพ้อย่างง่ายดายเพราะไม่เขาไม่เคยมีทิฐิ คิดอีกแง่มันก็แชร์ดีในเมื่อเขาเองก็ยอมเจ็บตัวโดยไม่ทันคิดเพื่อที่จะให้เลือดคยูฮยอน  แต่หลังจากนี้คงต้องหาวิธีที่ดีกว่าก่อนที่เขาจะกลายเป็นโรคโลหิตจางและเลือดหมดตัวอย่างช้าๆไม่ต่างอะไรจากการโดนกัดคอ


    แม้จะไม่คล่องแคล่วทะมัดทะแมงแต่อย่างน้อยคยูฮยอนก็มีสองมือ แวมไพร์หนุ่มม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ลงกับช้อนในมือขวาแบบที่เขาเคยได้ดูในโทรทัศน์เวลาอยู่ว่างๆที่นี่ ทงเฮอ้าปากกินเต็มคำที่อีกฝ่ายป้อนมา เคี้ยวเนิบๆไปเรื่อยๆจนสปาเก็ตตี้หมดคยูฮยอนก็จัดการเอาจานไปวางในอ่างล้าง เดินกลับมาก็เห็นเจ้าของห้องวางแก้วน้ำเปล่าลงพอดีหลังจากดื่มเสร็จ เขาทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้งเมื่อรู้แก่ใจว่าข้อข้องใจของหนุ่มร่างเล็กคงยังไม่หมดในทีแรกแน่


    “ฉันสงสัย... ว่าพวกเงาประหลาดที่ฉันเคยเจอนั่นก็คือแวมไพร์ใช่ไหม?” พอคยูฮยอนพยักหน้ารับ ชายหนุ่มก็ว่าต่อราวกับได้ลำดับคำถามไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว “พวกนอกรีตที่ว่า พวกนาย... เอ่อ.. เปียร์น่ะ ใช้อะไรเป็นตัวตัดสินอย่างนั้นหรือ?”


    นี่คือสิ่งที่ทงเฮตะขิดตะขวงใจตั้งแต่ทีแรก จะว่าไปมันก็คล้ายกับการแบ่งชนชั้นของมนุษย์ ไม่ว่าจะเรื่องเชื้อชาติ วรรณะ สีผิว หรืออะไรก็ตามแต่ที่สังคมประชาธิปไตยแย้งว่ามันไม่สมเหตุสมผล เช่นเดียวกับคำว่านอกรีตที่คุ้นเคยกันดีในศาสนาคริสต์ ทงเฮจำได้ลางๆว่ามันปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดช่วงสงครามอัลบิเจนเชียนครูเสดในอดีต กล่าวถึงพวกที่ไม่นับถือศาสนาคริสต์จากอัลไบ แม้ว่าปัจจุบันคำนี้จะถูกใช้อย่างแพร่หลายในความหมายที่ร้ายแรงก็ตามที


    คนถูกถามใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยๆอธิบายมันออกมาอย่างระมัดระวังเนื่องด้วยในสังคมของผีดูดเลือดหรือมนุษย์ก็ตามแต่ เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ “กลุ่มนอกรีตก็คือพวกที่ไม่ยอมรับในบทบาทและการจัดสินใจของเปียร์ พวกเขาต้องการความมีตัวตนและสิทธิที่เผ่าพันธุ์ควรจะได้รับ กึ่งๆจะเรียกได้ว่าพวกชนกลุ่มหัวรุนแรง ช่วงศตวรรษหลังมานี้เปียร์เริ่มกวาดล้างกลุ่มนอกรีตอย่างจริงจังซึ่งผลที่ตามมาก็คือการที่พวกเขาพยายามจะท้าทายอำนาจของเปียร์ด้วยการฆ่ามนุษย์...”


    ถึงตรงนี้ทงเฮพอจะปะติดปะต่ออะไรได้มากขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว เป็นเรื่องจริงที่ว่าแวมไพร์นั้นก็เพียงมนุษย์ที่ดื่มเลือดเป็นอาหาร สังคมแทบไม่ต่างจากระบบการปกครองที่มนุษย์ยอมรับกันในปัจจุบัน มีกฏเกณฑ์ การแบ่งแยก การลงโทษ หรือแม้แต่การจองจำ


    “แล้วที่บอกว่าคิบอมมีเชื้อสายของเปียร์... แล้วอย่างนั้นทำไมเขาถึงได้กลายเป็นพวกนอกรั้วกัน” วิศวกรหนุ่มหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่านอกรีตอันตอกย้ำถึงรอยด่างของประชาธิปไตยที่มนุษย์ยอมรับ เช่นกันทงเฮคิดว่าพวกนอกรีตนั้นก็มีสิทธิ์มีเสียงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะตัดสินไม่ได้ว่าอะไรคือความถูกต้องก็ตามที


    “คิบอมมีศักดิ์เป็นน้องชายของบารอน... บารอนเป็นศักดิ์ต่ำสุดของเปียร์ถ้าไม่นับรวมแวมไพร์ธรรมดาซึ่งไม่มียศ บารอนถูกพิพากษาโทษเพราะเขาเป็นคนเดียวในเปียร์ที่คัดค้านเรื่องการสังหารหมู่พวกนอกรีตทางตอนใต้ เปียร์อีกจำนวนหนึ่งเชื่อว่าเขามีความสัมพันธ์อันเป็นผลประโยชน์ร่วมถึงได้พูดเช่นนั้น”


    ทงเฮเงียบฟังด้วยความสะเทือนใจอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้เป็นคำพูด เขาไม่ได้เป็นแวมไพร์เฉกเช่นเดียวกับคยูฮยอนจึงอยู่ในระดับความคิดที่เป็นกลางแม้ว่าจะเจอเรื่องแย่ๆจากคิบอมมาก็ตามที แต่ถึงอย่างนั้น... แววตาที่สั่นไหวของอีกฝ่ายก็ทำให้ทงเฮปักใจเชื่อว่าอย่างน้อยคยูฮยอนก็ไม่ใช่เปียร์เสียทีเดียวที่จะมีความคิดเห็นเด็ดขาดถึงขั้นตัดขาดจากอดีตเพื่อนได้อย่างง่ายดาย


    “แล้วทำไมนายถึงต้องหนีล่ะ... ด้วยศักดิ์ของนายแล้วก็น่าจะมีเปียร์อีกมากที่ให้การช่วยเหลือไม่ใช่หรือ?” หน้าไร้สีเลือดของอีกคนกลับยิ่งดูหม่นหมองลงถนัดตาเมื่อถูกถามถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมีสภาพอย่างทุกวันนี้


    “เรา... สายเลือดดยุค... ถูกสังหารจนสิ้นเมื่อเกือบสองเดือนก่อน” เจ้าของคำถามหน้าชาวาบ ทงเฮรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ก้าวข้ามไปถึงเรื่องที่เขาไม่สมควรจะรับรู้มากขึ้นทุกขณะ ความจริงที่คยูฮยอนซึ่งเป็นถึงบุตรชายของดยุคต้องมาหนีหัวซุกหัวซุนปะปนไปกับกลุ่มมนุษย์จนพลาดพลั้งไปถึงหลายต่อหลายครั้ง “อย่างที่ผมบอกว่าเปียร์ก็ไม่ต่างอะไรจากระบบขุนนางของมนุษย์ เพราะอย่างนั้นผมถึงคิดว่าไม่สามารถไว้ใจใครได้”

    “................”


    “บางครั้ง... เราก็ต้องมีความถูกต้องเป็นอำนาจฝ่ายตัดสินแม้ว่าความจริงมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่พวกเราก็อยู่มาได้โดยที่มีเปียร์เป็นชนชั้นปกครอง เราจึงไม่สามารถปฏิเสธการตัดสินของเปียร์ได้แม้ว่าบางทีสิ่งที่พวกเขาทำมันอาจจะไม่ถูกต้อง...” หยุดพูดไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะว่าต่อด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลงจนทงเฮยินยอมที่จะหมดสิ้นความอยากรู้อยากเห็นเพียงแค่คยูฮยอนขอให้หยุด “หลังจากที่คิบอมแหกรั้วออกไปเพื่อสมทบกับกลุ่มนอกรั้ว พวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้น... แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการก็ย่อมมากขึ้นตามกำลังที่มี ผมเชื่อว่ายังมีกลุ่มนอกรั้วอีกมากที่หวังจะพึ่งกำลังของคิบอมอย่างที่พวกเขาไม่เคยได้รับมาก่อน”


    “หมายความว่าตอนนี้คิบอมก็เป็นกำลังสำคัญของพวกนอกรั้วสินะ”


    การไม่ตอบของคนตรงหน้าทำให้ทงเฮแน่ใจว่าเขาเข้าใจได้ถูกต้อง เช่นนี้เองที่ทำให้คยูฮยอนไม่ปริปากบอกอะไรเพราะนั่นหมายถึงความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างที่จะตามมา หากถามว่าตอนนี้พร้อมไหมที่จะต้องรับมือกับคิมคิบอมเพียงลำพัง วิศวกรหนุ่มตอบได้ทันทีว่าไม่ เขาเป็นเพียงมนุษย์ที่ไม่มีกำลังใดๆมากพอ แต่คยูฮยอนคงไม่ยอมแพ้ดังที่เคยได้ลั่นวาจาไว้ตอนที่ปะทะกับคิบอมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน


    “เรามีเวลาเท่าไหร่ กว่าที่พวกนั้นจะกลับมาอีก”


    “อย่างน้อยๆก็สองสัปดาห์... แต่สำหรับคิบอมแล้ว สองสัปดาห์เป็นอย่างมาก” น้อย... แต่ก็มากพอที่จะหาทางหนีทีไล่ไว้ได้ ทงเฮคิดเช่นนั้น เขาหุนหันลุกขึ้นเพื่อที่จะหาแรงผลักดันในการใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทงเฮอาจจะลืมไปว่ามือของเขาเจ็บอยู่... เสียงร้องโอดครวญทำให้คยูฮยอนรีบผุดลุกจากที่นั่งอีกฝั่งมาประคองมือโชกเลือดไว้


    ร่างสูงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงลำคอเมื่อกลิ่นของโลหิตที่ซึมเลอะผ้าพันแผลจนเป็นดวงสีแดงนั้นมันช่างยั่วยวน แต่เขาเพิ่งได้รับมัน... การรักษาสติและความอดทนจึงมีมากกว่าในยามปกติหลายเท่า


    “เพราะผม...”


    “แผลแค่นี้เอง บอกแล้วไงว่ามันดีกว่าการที่ให้นายมากัดคอฉันตาย” ทงเฮพูดอย่างที่ใจคิด ถึงตอนนี้จะแยกจากคยูฮยอนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรในเมื่อเขาไม่มีทางเลือกอื่น อย่างไรเสียเขาอาจจะต้องตายในไม่กี่วันข้างหน้าหากคิมคิบอมฟื้นขึ้นมา หรือในแง่ของมนุษยธรรม ตอนนี้เขาก็ทิ้งคยูฮยอนไปไม่ได้เหมือนกัน...


    “ผมจะไม่ให้คุณทำแบบนี้อีก” คยูฮยอนแย้ง เขากลัวการเสพติด... เพียงแค่นี้เลือดของอีทงเฮก็เร้าความกระหายในตัวเขาให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่มากเกินพอดีแล้ว ขืนยังดื้อดังใช้วิธีนี้ต่อไปเรื่อยๆคงเป็นตัวทงเฮเองที่จะแย่ลง “เราพอจะไปขอซื้อเลือดจากโรงพยาบาลได้ไหม?”


    ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง อีทงเฮก็พูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ติดจะกังวลหลังจากลองคิดให้รอบคอบ “เลือดมีราคาสูงมากในทางการแพทย์ เขาจะสอบถามและตรวจสอบประวัตินายอย่างละเอียดเลยล่ะก่อนที่จะยอมรับเงินก้อนโต”


    “................”


    “แล้วปกติ... พวกแวมไพร์ต้องฆ่าคนเสมอเลยหรือเพื่อที่จะดื่มเลือด”


    คยูฮยอนส่ายศีรษะเล็กน้อย นึกไปถึงเลือดจำนวนมากที่จะลำเลียงมาถึงในรั้วราวๆหนึ่งสัปดาห์ต่อครั้ง “เปียร์ติดต่อซื้อเลือดจำนวนมากจากพ่อค้าเลือดในตลาดมืด พวกเขาไม่ได้ใช้เลือดจากการบริจาคในวงกว้างของมนุษย์ แต่ที่มาของเลือดที่พวกเราใช้ดื่มกันอยู่ทุกวันคือเลือดจากผู้คนในชนบท พวกเขายากจนมากพอที่จะยอมขายแม้กระทั่งเลือด”


    เป็นเรื่องเล็กๆที่ไม่ได้ถูกตีแผ่ในสังคมจนแม้แต่อีทงเฮยังคิดไม่ถึง อาชีพค้าเลือดอย่างนั้นหรือ... คนบางคนก็ขาดแคลนมากเสียจนยอมขายชีวิตและสิ่งที่มีอยู่ เพียงเพราะพวกเขาไม่มีอะไรที่จะใช้ประทังอยู่ได้นอกจากเลือดเนื้อ


    “ถ้าเราไปขอซื้อจากพวกเขาล่ะ” เสนอความเห็นขึ้นมาดื้อๆ ตอนนี้ที่เขาคิดคือที่นี่ไม่มีทางที่จะปลอดภัยเพราะทางฝั่งคิบอมรู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่าง และกลับกันหากว่าเขาและคยูฮยอนหาที่ตั้งหลักได้ การรับมืออาจจะมีทางเลือกมากขึ้น “ยังไงอยู่ที่นี่ก็คงไม่ปลอดภัยไปกว่ากันนัก หลบไปหาทางหนีทีไล่บ้างอะไรๆอาจจะดีกว่านี้ก็ได้”


    คยูฮยอนใช้ความเงียบเป็นคำตอบอีกครั้ง เขากำลังทำให้ทงเฮต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย...


    เมื่อเห็นอีกคนยังคงนิ่งใช้ความคิดอยู่อย่างนั้น คนอย่างอีทงเฮไม่ใช่พวกที่จะรออันตรายมาหาถึงที่ เสียงใสพูดออกไปจริงจังจนคนฟังต้องเงยหน้าขึ้นมอง “เราไม่มีทางเลือกแล้วไม่ใช่หรือไง?”


    “แล้วคุณ...?”


    “ฉันมันพวกชอบเสี่ยง มากกว่ารอความตายอยู่กับที่”










     

    -+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-










     

    โจวคยูฮยอนรู้สึกไม่ดีนักเมื่อทงเฮตัดใจโทรไปลางานกับทางบริษัทเมื่อเช้า แต่ถึงอย่างนั้นถ้าจะปล่อยให้ทงเฮไปทำงานดังเช่นปกติเขาก็คงยอมไม่ได้ รถยนต์คันเก่งถูกสตาร์ทออกจากบ้านในช่วงเย็นที่แดดกำลังตก ก่อนหน้านั้นทั้งทงเฮและเขาได้มีโอกาสนอนพักไปงีบหนึ่งก่อนที่จะต้องตื่นขึ้นมาจัดของใส่กระเป๋าเดินทางใบย่อมเพื่อมาที่นี่... เมืองเก่าแก่ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ทงเฮบอกว่าในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ข้างหน้าที่นี่จะมีเทศกาลหน้ากากขึ้นชื่อ และหากปล่อยให้ถึงตอนนั้นคงไม่ดีนัก แต่ร่างเล็กข้างๆกลับบอกกับเขาว่าไม่น่าจะต้องอยู่ที่นี่ถึงหนึ่งอาทิตย์ อย่างน้อยๆพวกเขาควรจะหาทางทำอะไรได้ก่อนหน้าที่คิบอมจะกลับมา


    ชานเมืองอันดงนั้นเงียบสงัด ไม่มีตึกราบ้านช่องที่สูงตระหง่านหรือวี่แววของนักท่องเที่ยวดังเช่นในตัวเมือง หมู่บ้านเล็กที่เคยขึ้นชื่อเรื่องการทำหน้ากาก บัดนี้กลับไม่มีแม้สักบ้านที่เปิดประตูออกสังสรรค์กันดังเช่นที่ทงเฮคาดไว้ในความคิด บ้านไม้ซอมซ่อที่ตั้งห่างกันออกไปเป็นอาณาบริเวณนั้นทำให้วิศวกรหนุ่มยิ่งคิดหนัก เขาคงต้องวกรถกลับเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะหาโรงแรมคุณภาพดีสักหลังเพื่อจะใช้เป็นที่พักตลอดระยะเวลาที่ยังอยู่ที่นี่


    ไฟหน้ารถดับลงเมื่อทั้งเขาและคยูฮยอนตกลงกันว่าจะจอดรถตรงลานกว้างๆที่มีเพียงเศษใบไม้แห้งซึ่งไม่มีใครทำความสะอาด ตรงเข้าไปในละแวกบ้านเรือนไม่ถึงสามสิบเมตรก็ได้เจอหญิงชราที่ออกมาตักน้ำอยู่ข้างบ่อ


    “คุณป้าครับ...”


    หล่อนสะดุ้งตัวโยนจนถังน้ำในมือเกือบหล่นทับปลายเท้า อีทงเฮรีบถลาตัวเข้ามาช่วยจับหูถังไว้ได้ทัน หากแต่ก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดเมื่ออาการบาดเจ็บบนมือข้างถนัดมันวาบขึ้นมาหลังลืมตัวคว้าของหนักไปเต็มมือ หญิงชราทำท่าจะรีบเข้ามารับถังไปจากมือชายหนุ่มที่กัดฟันครวญ เพียงแต่มือขาวซีดของใครอีกกลับรีบเข้ามาคว้ามันวางไว้ที่พื้นแล้วรีบดูอาการคนเจ็บอย่างเป็นห่วง


    หากเมื่อนัยน์ตาสีอำพันเงยขึ้นมองเจ้าถิ่น หล่อนก็ถอยกรูดอย่างหวาดหวั่น ร่างท้วมเตี้ยวิ่งหนีหายไปในความมืดโดยไร้เหตุผลเพียงแค่เห็นเขา...


    “เขาเป็นอะไร...” ทงเฮเสสายตามองไปยังร่างที่เพิ่งวิ่งหายไป สะบัดมือเบาๆสองสามทีหลังอาการเจ็บทุเลาลงบ้างแล้ว ร่างเล็กตัดสินใจเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้านโดยมีคยูฮยอนเดินชิดติดอยู่ข้างหลัง ทั้งหมู่บ้านวังเวงราวกับไม่ได้อยู่ในเมืองขึ้นชื่อคยูฮยอนกล่าวไว้ว่าพอจำได้ประปรายว่าพ่อของเขาเคยพูดถึงที่นี่ เพียงแต่ทำไม... ทำไมหญิงชราคนเมื่อครู่ถึงต้องวิ่งหนีเพียงแค่ได้เห็นคยูฮยอน คนพวกนี้ไม่น่าจะรู้เรื่องผีดูดเลือดไม่ใข่หรือ


    เสียงกุกกักของฟืนไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไปทำให้ทั้งคู่รีบเร่งฝีเท้า ตอนกลางคืนช่างอันตราย แต่ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็ออกมาตอนกลางวันไม่ได้เช่นกัน และถ้าเป็นอย่างนั้น แม้จะในยามแดดจ้าก็คงเรียกได้ว่าอันตรายไม่ต่าง


    ร่างผอมคล้ำของชายวัยกลางคนที่กำลังรวบท่อนฟืนเข้าเป็นมัดอย่างทุลักทุเลนั้นกลายเป็นเป้าหมายของอีทงเฮในทันทีที่เห็น เขาตัดสินเดินบุ่มบ่ามเข้าไปอีกครั้งด้วยทีท่าเป็นมิตร หากแต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเห็นก็กลับชะงักไป แล้วทำท่าจะถอยหนีกลับเข้าบ้านทันทีเมื่อคยูฮยอนเดินเข้ามาใกล้


    เพียงชั่วพริบตาที่เขาจะดึงประตูเปิดออก มือไร้สีเลือดกลับผลักประตูบานนั้นปิดเข้าไปอีกครั้ง แวมไพร์หนุ่มหยุดยืนตรงหน้า ตาสีอำพันปราดมองอีกฝ่ายราบเรียบ


    “ผมเพียงมาขอความช่วยเหลือ...”


    ชายเมืองอันดงมีทีท่าหวาดหวั่น ทงเฮเดินเข้ามาจับบ่าเขาไว้แล้วส่งยิ้มให้ สัมผัสอุ่นๆและนัยน์ตาสีเอเชียเฉกคนปกติทำให้ชายวัยกลางคนวางใจว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นมนุษย์ แต่กับอีกคนที่ยืนขวางหน้าอยู่นี้... เขาก็มั่นใจว่าไม่ใช่มนุษย์เช่นกัน

     










     

     

     

    รอยแผลที่ข้อพับแขนยามเสิร์ฟแก้วน้ำให้นั้นทงเฮมั่นใจว่ามันเป็นแผลจากการเจาะเลือด ชายคนนี้เองก็คงเคยขายเลือดด้วยเหมือนกัน ดวงตาสีดำนั้นกลอกไปมาอย่างไม่เต็มใจนักที่พวกเขาเข้ามาอยู่ร่วมในบ้าน และเมื่อใดที่มันมองไปทางคยูฮยอน ตาคู่นั้นกลับขวางกร้านและฉายแววหวาดหวั่นอย่างปิดไม่มิด


    “พวกคุณมีธุระอะไรกับที่นี่” เสียงนั้นแข็งกร้าวไร้ซึ่งความยินดี ทั้งคยูฮยอนและทงเฮพร้อมใจกันมองข้ามอากัปกิริยานี้ แวมไพร์หนุ่มปล่อยให้ทงเฮเป็นฝ่ายต่อรองกับเจ้าบ้าน เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการนักกับคนผู้นี้


    “พวกผมมาจากโซล ผมชื่ออีทงเฮ ส่วน...”


    “ผมถามว่าพวกคุณมีธุระอะไร” ชายอันดงถามอีกครั้งด้วยกิริยาหยาบคาย ทงเฮอึกอัก ส่วนร่างสูงยังคงเรียบเฉย ตาคู่นั้นปรายมองไปทางคนพูด เพียงเท่านั้นเขาก็ยอมลดกิริยาลงโดยดุษณี


    “ผมเห็นแผลที่มือคุณ... คุณเคยขายเลือดให้พวกพ่อค้าใช่ไหม?” ร่างเล็กสงบอารมณ์แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงตามหลักมารยาท เขาไม่มีรอยยิ้มบนดวงหน้า อีทงเฮไม่ใช่คนมีความอดทนสูงนักในเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์


    ชายร่างผอมฮึดฮัดอยู่เล็กน้อย เขาเดินลงไปนั่งบนเก้าอี้ไม้หน้าเตาผิง บนโต๊ะเล็กมีขนมปังจำนวนหนึ่งและบุหรี่เพียงไม่กี่มวน “ตอนนี้เลิกแล้ว”


    เขาตอบเสียงห้วนและหยิบบุหรี่ขึ้นอังกับไฟแช็คที่ล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงสีซอมซ่อ ทงเฮมองชายอันดงทีหันไปมองคยูฮยอนที ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงชั่งใจถามออกไปเสียงพร่า “แล้วคุณพอจะรู้ไหม... ว่าเราจะไปหาซื้อเลือดจากที่ไหนได้อีก”


    เสียงใหญ่แค่นหัวเราะ สูบบุหรี่แล้วพ่นควันออกมาอีกเฮือกใหญ่ “พวกแกก็มาเอาไปหมดแล้วไม่ใช่รึไง รีดเลือดยังกับเราเป็นวัวควาย สมใจแล้วก็ให้เป็นตายตามมีตามเกิด”


    “อะไรนะ....”


    “ฉันจำได้ พวกนั้นก็ตาสีเหลืองๆแบบแกนี่แหละ ไม่พอใจเข้าหน่อยก็ฆ่าทิ้ง แกน่ะ... มาอยู่กับเจ้าปีศาจนี่ได้ไงกัน” ท้ายประโยคชายวัยกลางคนหันมามองทงเฮพลางชี้มือชี้ไม้ เขาอาจจะกลัวจนเสียสติไปแล้วถึงลืมท่าทีหวาดกลัวที่แสดงต่อคยูฮยอนไปในทีแรก


    “คุณเข้าใจผิดแล้วครับ เขาไม่ใช่พวกปีศาจ....”


    “จะไม่ใช่ได้ยังไง! พวกปีศาจนั่นก็เป็นแบบนี้!! ตานี่น่ะเป็นสีเหลือง ตัวเย็นๆไม่มีสีเลือด แล้วก็ไวยังกับอะไรดี” ประโยคที่ได้ยินทำเอาคนฟังหวั่นวูบ ในใจเกิดวิตกจริตขึ้นมาจนคิดไปถึงหลายทาง เปียร์ไม่เคยเป็นผู้ซื้อโดยปราศจากพ่อค้าคนกลาง อาจมีเหตุอะไรสักอย่างเกิดขึ้นภายในรั้ว


    หรือคิดอีกแง่... คิมคิบอมรู้เรื่องในรั้วเป็นอย่างดี...


    ตาสีอำพันนั้นวาวโรจน์ เหงื่อเย็นซึมชื้นตรงขมับ สัมผัสเย็นฉวยเข้าที่มืออีกคนโดยไม่พูดอะไร “นายจะไปไหน?”




    “ที่นี่ไม่ปลอดภัย...”







     

    TBC












    ตอนนี้พระเอกของเราพูดมากหน่อยนึงเพื่ออธิบายให้นายเอกและรีดเดอร์เข้าใจ 5555.
    ตอนนี้ค่อนข้างจะเนือย ๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ ;_; ให้พระ-นายเค้าพักเหนื่อยกันบ้าง....

    เนื้อเริ่มออกทะเลมาก.... เราก็อยากกู่ให้กลับค่ะ แต่คงไม่ทันแล้ว สาบานได้ว่าตอนแรกมันเป็นแค่ฟิครักเท่าน๊านนนนนน
    หลายคนอาจจะสงสัยว่าพล็อตเรื่องนี้มาจากไหน รักไม่มีวันตาย ทไวไลท์ หรืออะไร
    เราจะสารภาพก็ได้ค่ะ.... ความจริงคือมันมากจากเรื่อง.... คู่ใหญ่พายุฟัด หนังพี่เฉินหลงอะค่ะ -/////////////-
    อันนี้จริงๆ เลย คือแม่เราเป็นคนชอบดูหนัง เปิดเคเบิ้ลที่มันชอบเอาหนังเก่ามาฉายไรงี้
    เราได้ดูเมื่อราวๆ ปีก่อน อยู่ดีๆมันก็นึกขึ้นได้เพราะติดใจฟามหล่อของพระรองแวมไพร์ในเรื่อง
    เฉินกวานซีจึงออกมาเป็นคยูฮยอนพระเอกแวมไพร์แบบนี้นี่เองค่ะ 55555555. (เบื้องหลังสวัสดีผีดูดเลือดทำเอาเราอายมาก -///////////////-)

    เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อเรื่องนี้เหมือนกันนะคะ.... แวมไพร์ใหญ่สู้ฟัด
    ศึกฟัดโซลสะเทือนอะไรเทือกนี้...
    พูดไปก็คงสงสัยกันอีกว่าชื่อเรื่องกู๊ดมอร์นิ่งแวมไพร์มันมาได้ยังไง
    เอาจากใจคือตันชื่อเรื่องค่ะ คิดไม่ออก นึกถึงกู๊ดมอร์นิ่งทีชเชอร์แล้วก็เลยตั้งฮา ๆเกรียน ๆไปงั้น (ฮา)


    สุดท้ายนี้ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจอีกครั้งนะคะ :D อยากอัพเดทหรือคุยกันเล่นๆก็เจอกันในทวิตเตอร์ได้เลย ;}

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×