ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปริศนาเจ้าหญิงผู้สาบสูญ

    ลำดับตอนที่ #2 : First step

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 49





    ตอนที่2>>>First step

    ปราสาทแห่งโครนัสได้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นหลังจากการทราบข่าวว่าเจ้าหญิงองค์น้อยสิ้นพระชนม์ไม่กี่ปี เพื่อคัดเลือกนักเรียนที่มีฝีมือความสามารถด้านการรบเพื่อจัดตั้งหน่วยกำลังรบพิเศษสืบหาร่องรอยมือสังหาร 

    แต่ไม่นานมานี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นโรงเรียนสอนเวทย์และอาวุธต่อสู้ที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นเด็กชาวบ้าน ลูกขุนนางหรือ แม้แต่เจ้าหญิงเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ หลังจากจบจากโรงเรียนต่างสร้างชื่อเสียงและวีรกรรมไว้มากมาย

    คนส่วนใหญ่จึงพยายามเพื่อเข้าไปยังโรงเรียนแห่งนี้ให้ได้แต่โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้สอบเข้าโดยวัดภูมิความรู้หรือฐานะ แต่เป็นผู้ฝีมือดาบหรือการใช้เวทย์มนต์ดังนั้นคนที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ได้ต้องมีความสามารถการต่อสู้อยู่พอตัว การใช้สินบนหรือโกงสารพัดวิธีจึงเป็นไปได้ยากมาก

    การสอบเข้าปีหนึ่งมีครั้งเดียว รับจำนวนที่จำกัดและได้จากการต่อสู้แบบพบกันหมดใครทำแต้มได้มากที่สุดก็มีสิทธิ์มากที่สุดและไล่ๆลงมาจนถึงเกณฑ์ที่รับ และขณะนี้การทดสอบก็สิ้นสุดไปสองเดือนกว่าแล้ว

    "ขอบัตรเชิญด้วยครับ"เสียงผู้เฝ้าประตูเอ่ย เพื่อตรวจผู้คิดแอบลักลอบเข้ามาโดยการไม่ได้รับเชิญไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดๆก็ตามแต่ วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดประตูโรงเรียน คนบางส่วนที่มาจากทั่วทุกสารทิศต่างหิ้วกระเป๋าเข้าพักหอและติดต่อเรื่องทะเบียนประวัติเพื่อทำบัตรประจำตัว

    "บัตรผ่านถูกต้อง ขอบคุณมากครับ"ผู้รักษาประตูเอ่ยเปลี่ยนเป็นสีหน้าแย้มยิ้มทันทีแต่เมื่อถึงคนต่อไปก็กลับมาตีหน้าขึงขังอีกครั้ง เขาเกลียดการคดโกงที่สุดและไม่คิดจะปรานีต่อบุคคลเหล่านั้น

    "แกหรือว่า   เรดคิลเล่อร์......"เสียงเบาๆเสียงหนึ่งดังมาจากพุ่มไม้เอ่ยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแน่นิ่งไป บุคคลผู้นี้รีบตรงไปรื้อกระเป๋าในทันที 'บัตรผ่านโรงเรียนโครนัส' โดยแลกกับใบเมเปิ้ลที่เข้าไปแทนที่บัตร

    "ผมพูดเรื่องจริงน่ะ ผมผ่านการทดสอบจริงๆแต่บัตรมันหายไป"ชายคนนั้นหาทั้งในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง จนรื้อกระเป๋าสัมภาระออกมาคนเผื่อเจอ
     

    "ถ้าหาเจอค่อยว่ากันแต่ถ้าหาไม่เจอปีหน้าค่อยว่ากัน"ผู้เฝ้าเอ่ยเหมือนรู้ทันเล่ห์

    กลิ่นหอมของดอกไม้.......ดอก.......

    ชายผู้งุนกับการหาของในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นหาเจ้าของกลิ่นทันที  กลิ่นที่ชวนหลงใหลราวกับกำลังตกในมนต์เสน่ห์ของแม่มดสาว  เจ้าของกลิ่นต้องเป็นสาวสวยเป็นแน่  และเป็นดังที่คาด ถึงแม้ลักษณะการเดินจะเป็นสไตล์ห้าวๆ ชุดแต่งอย่างหลวมแต่ดูทะมัดทะแม่ง  แต่สิ่งเหล่านั้นอยู่นอกเหนือสายตา ใบหน้าของเธอดูหวานราวกับน้ำผึ้ง ดวงตาเป็นประกายสีม่วงดำน่าดึงดูด ริมฝีปากได้รูป แก้มสีอมชมพู ผิวขาวนวลผ่อง ผมสีดำยาวพลิ้วไหวตามกระแสลม รูปร่างผอมเพรียวบาง  และกลิ่นหอมของดอกไม้  วินาทีที่เดินผ่านราวกับเวลาหยุดนิ่งทุกสายตาต้องจับจ้องไปที่เธอ

    สิ่งที่เห็นทั้งหมดแทบไม่น่าเชื่อว่าเธอก็ผ่านการทดสอบด้วย ดูราวกับสตรีผู้อ่อนแอ ต้องการผู้ปกป้องดูแลอย่างใกล้ชิด สงสัยจะเป็นพวกนักเวทย์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่ใดสักแห่ง

    "จะขอทราบชื่อได้ไหมครับ"

    "คนไร้ความสามารถแม้กระทั่งบัตรผ่านใบเดียวยังรักษาไม่ได้น่ะคู่ควรกับที่ฉันจะบอกชื่อด้วยหรือ"เสียงนั้นกระทบเข้ากลางใจเขาอย่างแรง ถึงจะฟังไพเราะแต่แฝงด้วยคำเชือดเฉือน

    "อย่าทะเลาะกันดีกว่าครับ"เสียงชายคนหนึ่งแทรกกลางวงสนทนาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมสีน้ำตาลประกายแดงไหม้ ดวงตากลมตาสีเหลืองทองซุกแววขี้เล่น ใบหน้าสดใสราวกับเด็กไร้เดียงสา ซื่อๆคนหนึ่ง แต่แฝงความน่ารักอยู่ในตัว

    "รักและสันติภาพครับ"เขาเอ่ยจบประโยคคมดาบก็จ่อที่คอเขาแล้วแต่สีหน้าเขากลับไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย เขาเอานิ้วสองนิ้วค่อยคีบดาบให้เลื่อนออกจากจุดตาย หญิงเจ้าของดาบกลับกำชับดาบแน่นพร้อมส่งแววตาดุๆมาให้ เจ้าของเสียงรีบปล่อยดาบทันทีพร้อมยกมือในท่ายอมแพ้

    "เราควรจะสนิทกันไว้ดีกว่าครับ ผมชื่อลีออนครับ"หญิงคนนั้นลดดาบลงแล้วสะบัดตัวหนีทันที ชายที่ชื่อลีออนมือแตะอกถอดหายใจยาว

    "เอเลซ่า"ชายผู้พึ่งรอดตายเลิกคิ้วขึ้น


              "
    ชื่อของฉันน่ะ"เธอเอ่ยขณะรวมผมเดินเขาไปในปราสาท ฉายแววรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยราวกับเจอเรื่องสนุก ชายผู้นี้แม้ดาบจ่อที่คอก็ยังยิ้มออกอีกเหรอ

    "ต้องขอบใจฉันซะล่ะที่ยังไว้ชีวิต"คำทิ้งท้ายอย่างเป็นปริศนาก่อนจะจากไป ประโยคนั้นไม่รู้ว่าได้กล่าวไว้กับใคร สายตาเหลือบมองไปยังเจ้าของสัมภาระกระจัดกระจายเต็มพื้นอย่างเย้ยหยัน

    "ไว้ปีหน้าเจอกัน"ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นกล่าวอวยพรก่อนตามเข้าปราสาทเช่นกัน

    เสียงจากการพูดคุยทำความรู้จักกันดังเป็นบริเวณกว้าง บางส่วนก็รู้จักกันแล้วในการประลอง  บางส่วนก็พึ่งทำความรู้จักกันในไม่ช้า  แต่ก็มีบางเป็นบางส่วนที่ไม่คิดจะทำความรู้จักใครเลยราวกับไม่อยากสนิทกับพวกชั้นต่ำ

    "พวกมดปลวกนี่ส่งเสียงกันได้ดังหนวกหูจริงๆสมแล้วที่ไม่มีสกุลลุ่นชาติ"เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างหงุดหงิด เขาเสียเวลานั่งรอเวลานานพอควรแล้ว แม้ใบหน้าเขาสื่อว่าเป็นคนอารมณ์ร้อนได้อย่างดีบวกกับผมและดวงตาแดงประกายเพลิงด้วยแล้ว

    "นึกว่าใครที่แท้เจ้าชายมิเกร่าขี้แพ้น่ะเองทำเป็นเบ่ง"เสียงดังมาจากคนหนึ่งในกลุ่ม

    "ว่าไงน่ะ"เขาตวาดขึ้นทันทีทำให้หลายคนหันมามองเหตุทะเลาะวิวาท


              "
    แพ้พวกเราแล้วทำเบ่งน่าภูมิใจหรือไง"

    "ข้าเห็นว่าพวกแกอ่อนแล้วสงสารเลยอ่อยให้ต่างหาก"

    "งั้นเอากันตรงนี้เลยไหม ให้มันเห็นจะๆกันไปเลยว่าใครแน่กว่ากัน"

    "คิดรุมหรือไง หมาขี้แพ้ก็ยังเป็นหมาขี้แพ้อยู่วันยังค่ำ"


              "
    พวกไม่มีสมองก็ได้แค่นี้ล่ะน่า"

    "ว่าไงน่ะกล้าหลบลู่เจ้าชายอย่างข้าเชียวหรือ"เหล่าผู้เห็นเหตุการณ์ล้วนแต่ดูอยู่ห่างๆถอยกันได้ระยะหนึ่ง ยกเว้นชายคนเดียวที่ยืนยันจะนั่งที่เดิม เข่าข้างหนึ่งชันขึ้นวางบนขั้นบันไดเพื่อรองศีรษะ เขานั่งหลับรอคอยเวลาอย่างไม่สนใจสถานการณ์

    "เราตกลงจะสู้หนึ่งต่อหนึ่งโดยใช้ตัวแทน ถ้าเจ้าแพ้ก็หนีกลับบ้านไปเลย แต่ถ้าพวกเราแพ้เรายินดีจะกลายเป็นทาสตลอดชีวิตเป็นไง"

    "ทาสน่ะข้ามีเยอะแยะ ถ้าพวกเจ้าแพ้จะยินดีปลิดชีพตัวเองไหมล่ะ"

    "ได้ตกลงตามนี้ เจ้าเป็นกรรมการแล้วกัน"มือนั้นชี้มายังชายที่นั่งนิ่งไม่ไหวติ่ง เขาค่อยๆเปิดตาช้าๆอย่างไร้อารมณ์ ผมสีเงินประกายทองยามต้องแสงอาทิตย์ ดวงตาเขียวเข้มอมน้ำเงินราวกับน้ำทะเลคิ้วและดวงตาเรียวคมได้รูป จนผู้หญิงแลแล้วต้องหลงในเสน่ห์

    ทั้งสองดึงดาบออกจากฝักตั้งในท่าเตรียมพร้อมรอชายเบื้องหน้าส่งสัญญาณ แต่แล้วแทนที่เสียงจะเป็นการบอกการเริ่มต้นกลับเป็นอีกเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาจากด้านหลังกองนักมุง

    "สันติครับ!"เขาผ่ากลางวงล้อมเขามาห้ามทั้งสองฝ่ายทันที

    "ถอย!"ทั้งสองเอ่ยตะโกนพร้อมกันอย่างหัวเสียเพราะความแค้นที่อยากระบายถูกขัดจังหวะ

    "อ่ะ! อาร์จีสจังทำไมไม่ห้ามพวกเขาล่ะ"ลีออนเอ่ยเสียงใสราวกับไม่รู้สถานการณ์ เสียงใสๆนั้นทำให้ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมึนงงไม่ใช่เพราะความกล้าบ้าบิ่นหรือการยื่นมือเข้ามาสอดแต่เป็นเพราะเขากำลังคุยกับมังกรปั้นที่เลื้อยพันราวบันได

    "ทำไมไม่ตอบล่ะ"เขาล้วงมือเขาควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าก่อนจะแลบลิ้นออกมาอย่างเขินๆเพื่อกลบความเปิ่นตนเอง เขาเห็นมังกรนี้เป็นคนไปได้ไงเนี่ย


              "
    อยากสู้ก็สู้ทำไมข้าต้องไปห้ามพวกเขาด้วย"เสียงมีเสน่ห์ดังขึ้น มองแว่นตารุ่นคุณปู่อย่างเลื่อนลอย เหมือนวิญญาณยังเข้าร่างไม่สมบูรณ์

    "โดยการเป็นกรรมการน่ะเหรอครับ"ขณะพูดเขาก็เอามือดุนแว่นตาขนาดใหญ่เกินพอดีให้เข้าที่ แต่สักพักหนึ่งมันก็ตกลงมาตรงจมูกอีกครั้ง ถ้าไม่มีขาแว่นเกี่ยวหูไว้มันคงตกแตกไปนานแล้ว

    "ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะเป็น"เขายังคงนั่งค้างอยู่ในท่าเดิม การแทรกระหว่างกลางการต่อสู้นั้นทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดอาการหงุดหงิดจนเลือดพุ่งขึ้นสมอง พาลหาเรื่องพวกเขาแทน

    "พวกนายน่ะหลีกกันไปให้หมดเลย"มิเกร่าเอ่ยเสียงแค้น

    กลิ่น........

    พวกเขาต้องหยุดชะงักเพราะกลิ่นหอมรุนแรงของดอกไม้  จากหญิงผู้หนึ่ง งดงามออกปานนี้แต่ต่างคนต่างรู้สึกไม่เคยพบเห็นหล่อนเลย  แม้การต่อสู้จะพบกันหมดบางก็จำหน้าได้ บางก็จำไม่ได้ บางก็แฝงตัวใต้หน้ากาก แต่หญิงสาวสวยขนาดนี้ไม่น่าจะลืมไปโดยง่าย หญิงสาวผู้มากลิ่นรัญจวน

    เงาดำเข้ามาบดบังสถานที่แห่งนั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะค่อยๆเคลื่อนไป มันเป็นเงาของนกยักษ์ ทุกคนแหงนมองขึ้นไปยังเจ้าของเงาขนาดใหญ่  นกอินทรีย์ยักษ์ที่มาพร้อมกับ......

    ความตายต้องมาเยือนที่นี่ในไม่ช้าใครกันจะเป็นเหยื่อรายต่อไป.......


            

    "ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ปราสาทแห่งโครนัส"เสียงแตร์ดังขึ้นพร้อมกับการประกาศจากบนตัวปราสาททั้งราชาและราชินีมองดูเหล่าผู้ถูกเลือกอย่างเศร้าสร้อย ถ้าลูกของเรายังอยู่คงอายุไล่เลี่ยกับพวกเขาเหล่านี้ แต่ถึงตอนนี้แม้แต่เบาะแสก็ยังคลุมเครือ

    เสียงจากเบื้องล่างเงียบสงบรอการประกาศอย่างตั้งใจ แม้การต่อสู้เล็กๆที่เกิดเมื่อครู่ก็ยังต้องยุติลงเพื่อฟังเสียงนั้น ระหว่างที่กำลังอวยพรแก่นักศึกษาเข้าใหม่และแจกแจงรายละเอียด ทหารคนหนึ่งตรงมากระซิบที่ข้างหูทหารราชองค์รักษ์ทั้งสองทำให้ต้องตามไปดูสถานการณ์ทันที  'สถานการณ์เร่งด่วน'

    "หอพักที่นี่แยกเป็นสองฝั่งคือ ฝั่งขวาปราสาทเวดาส สำหรับผู้ใช้เวทย์ และฝั่งซ้ายปราสาทแคดมัสสำหรับพวกที่ใช้อาวุธต่อสู้ ภายในนั้นได้แยกเป็นฝั่งหอชายและหอหญิงโดยมีทางเชื่อมต่อตรงกลาง เรื่องเวลาการปิดทางเชื่อม ผู้คุมหอจะแจ้งอีกที ปราสาทเคออสด้านหน้าพวกท่านสำหรับรับรองเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่ต้องการความสงบ เชิญพวกท่านแยกย้ายกันไปตามสะดวก"เมื่อเสียงประกาศจบลง ทหารเมื่อครู่วิ่งเข้ากระซิบข้างหูกษัตริย์ทันที

    "ฝีมือดาบเฉียบมากไม่คิดแม้แต่จะปล่อยให้เหยื่อได้ป้องกันตัว"เสียงองค์รักษ์ฝ่ายซ้ายวิเคราะห์ พิจารณาจากรูปการ ดาบยังไม่ทันได้ออกจากฝักเลย

    "พบอะไรบ้าง"องค์รักษ์ฝ่ายขวาเอ่ยถามทหารอีกสองสามคนที่รื้อค้นตัวและกระเป๋าในบริเวณนั้น


             "
    จากสภาพแล้วน่าจะเป็นนักเรียนที่จะเข้ายังโรงเรียนโครนัส สัมภาระกับสภาพศพที่พบใกล้ๆปราสาทแต่กลับไม่พบใบผ่านทาง"องค์รักษ์ฝ่ายขวาเอ่ยวิเคราะห์บ้าง

    "ดูท่าเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาซะแล้ว มีมือสังหารลอบเข้ามาในวังเพื่อต้องการอะไรบางอย่างเหมือนเมื่อ17ปีก่อน"องค์รักษ์ทั้งสองมองยังใบเมเปิ้ลที่พบ

    "แต่เรายังสรุปไม่ได้ว่าเกี่ยวพันกับ 17ปีก่อนหรือเปล่า และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกมันต้องการอะไร"กษัตริย์เจ้าของปราสาทเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นสภาพศพบริเวณป่านอกประตูวัง เพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้นที่เป็นตัวตัดสินว่าใช่ มันก็ไม่ได้บ่งบอกได้ว่าใครเป็นคนร้ายหรือตัวบงการ

    ทั้งสามรู้แต่เพียงว่าอาจมีนักฆ่าลอบเข้ามาเสียแล้ว...........

    "สั่งกำลังพลให้สืบสวนหาผู้มีพิรุธอย่างเร่งด่วน"กษัตริย์ถ่ายทอดคำสั่งไปยังองค์รักษ์ และเหล่าทหารทันที เพื่อลดการสูญเสียให้มากที่สุด และเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวาย ต้องทำการอย่างเงียบที่สุด

    ปราสาทฝั่งซ้าย ปราสาทแคดมัส สถานที่รวบรวมเหล่ายอดฝีมือมือฉมัง  และ เชี่ยวชาญด้านการใช้อาวุธในการปะมือ  ถนัดใช้ความเร็ว ไหวพริบและกำลังเข้าห้ำหัน ผิดกับเหล่านักเวทย์ที่ต้องเป็นฝ่ายซุ่มโจมตีในระยะไกล วิเคราะห์สถานการณ์อย่างชาญฉลาดเพราะการจะร่ายมนต์แต่ละบทต้องกินเวลาไปมากจึงมักจะเป็นฝ่ายสนับสนุนด้านหลังเสียมากกว่า 

    การแจกแจงรายละเอียดเป็นไปอย่างช้าๆเพื่อให้หมดข้อสงสัย และเป็นปัญหาในภายหลัง  เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธโดยเฉพาะดาบต่างรวมกลุ่มกันฟังการอธิบายอย่างตั้งใจ

    บางคนก็แอบหลี่หญิง บางคนคุยรบกวน  บางคนก็ยืนพิงเสาหลับ บางคนก็ดูท่าเฉิ่ม บางคนทำหน้าเป็นแมวเซา  ปีนี้มันอะไรกันเนี่ย มาตรฐานมันตกลงหรือไง ผู้คุมเจาะรายละเอียดไปด้วยพิจารณาบุคลิกแต่ละคนไปด้วย หรือพวกนี้เป็นพวกซุ่มเงียบ แต่ถึงกระนั้นถ้าบุคลิกไม่ให้จะซุ่มหรืออะไรก็แล้วแต่...มันก็เสียชื่อสถาบันหมด

    "เวลาการปิดหอสำหรับปราสาทแคดมัส คือ 22 นาฬิกาตรงไม่มีคำอุทธรณ์หรือการเรียกร้องใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าเหตุจำเป็นใดๆก็ตาม มาสายก็ต้องนอนกินน้ำค้างอยู่ด้านนอกนั่นแหละ หรือไม่ก็ออกไปเช่าหอนอกอยู่ซะ"เสียงบ่นดังเล็กน้อย

    "เวลาปิดประตูปราสาทคือ 21 นาฬิกาถ้าจะออกไปข้างนอกก็ขอให้กรุณากลับให้ตรงเวลาด้วย เราจะไม่เปิดประตูรับคนที่มาช้าแม้เพียงเสี้ยววินาที"เสียงบ่นเริ่มดังขึ้น

    "อย่างนี้ก็แปลว่าต้องกลับมาก่อนเวลาปิดปราสาท"บางคนตีหน้าผิดหวัง

    "ถ้ามีข้อสงสัยอะไรก็ยกมือถาม เพราะถ้าผมพูดจบแล้วพวกคุณก็หมดสิทธิ์ถาม"ชายใจกล้าคนหนึ่งยกมือขึ้นทันที ผมสีเขียวอ่อนๆมองสบายตา ดวงตาสีครามซึมๆมองแล้วเซื่องๆเหมือนแมวนอนเซาแต่คำถามที่ยิงออกมากลับยียวนกวนพระบาทาสิ้นดี

    "แม่เคยสอนไว้ครับว่าถ้าคนพูดยังไม่จบเราก็ไม่สมควรแทรก"

    "เคยได้ยินสุภาษิต เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามไหม บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎหมาย  ที่นี่ก็มีกฎของหอเช่นกัน ถ้ายังปรับตัวไม่ได้ก็ควรปรับได้แล้ว"เมื่อสิ้นประโยคมือนั้นก็ยกขึ้นมาอีกครั้ง


              "
    แต่ผมหลิ่วตาไม่เป็นนี่ครับ มันหลิ่วยังไงเหรอครับ"เขาถามอย่างซื่อๆผู้คุมหอพยายามสะกดอารมณ์ไว้

    "ข้อนี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าผมศึกษาได้ข้อมูลเมื่อไรจะแจ้งให้ทราบครับ"เขาเอ่ยจบประโยคแล้วรีบเข้าเรื่องต่อก่อนมันจะนอกประเด็นไปมากกว่านี้

    "ส่วนเรื่องทางเชื่อมระหว่างสองตึกเราจะปิดตั้งแต่ 18 นาฬิกา ถ้าจะพบสาวๆล่ะก็นัดกันให้ดีๆก่อนขึ้นหอล่ะ เพราะทางขึ้นฝั่งใครฝั่งมัน เนื่องจากมีการตรวจบัตรกันผู้แอบแฝง แต่ถ้าจะให้ดีไปพบกันข้างนอก..."มือจากชายคนเดิมยกขึ้นมาอีกครั้ง

    "ผมมีคำถามครับ"

    "ว่ามา"

    "บัตรอะไรหรือครับ"

    "บัตรประจำตัวที่จะแจกภายในเย็นนี้น่ะสิ"ผู้คุมพูดอย่างเหลืออด นี่โง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่

    "ขอสั่งห้ามชายหญิงอยู่กันสองต่อสองภายในห้องและถ้า..."เสียงนั้นยกมือขัดขึ้นอีกครั้ง

    "มีอะไร"

    "คุณตกคำว่าเดียวกันครับ"ผู้คุมเลิกคิ้วสงสัย มันจะเล่นอะไรของมันอีก

    "ชายหญิงไม่สมควรอยู่ห้องเดียวกันครับ"ผู้คุมถึงกับกันฟันกรอด มันก็ต้องรู้ความหมายเป็นนัยกันอยู่แล้ว เขาพยายามอธิบายต่อไปโดยไม่คิดจะใส่ใจในคำถามอีก

    "ถ้าเลยเวลา 18 นาฬิกาไปแล้วผู้ตรวจหอพบว่าพวกคุณยังอยู่หอของอีกฝ่าย" ชายผู้นั้นยกมือขึ้นอีกครั้ง 

    "คุณจะโดน โทษสถานหนักมีสิทธิ์ถึงไล่ออก"ผู้คุมเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจแต่เสียงนั้นกลับตะโกนโวกเวกขึ้นมาทันที


              "
    ผมไม่เข้าใจครับ"

    "เรื่องอะไร"

    "หอฝั่งตรงข้ามนี่หมายถึงหอเวดาสหรือเปล่าครับ"ผู้คุมเม้นปากเล็กน้อยสะกดความโกรธ มันจงใจยั่วหรือไง

    "หมายถึงชายก็ต้องอยู่หอชาย หญิงอยู่หอหญิง หรือไม่ก็ไปอยู่กันข้างนอก"

    "ครับ"บรรยากาศเงียบลงสักพัก ผู้คุมหอกำลังจะเปิดปากเอ่ยต่อแต่ชายคนเดิมก็ยิงคำถามขึ้นมาอีกครั้ง

    "แล้วถ้า ชายอยู่กับชายกันสองต่อสอง หรือหญิงอยู่ห้องเดียวกับหญิงสองต่อสองล่ะครับ"ผู้คุมถึงกับเลือดพุ่งขึ้นสมองมันอะไรหนักหนา คำถามแบบนี้ก็คิดขึ้นมาได้

    "นั่นก็เป็นเรื่องปกติเพราะว่าปราสาทนี้แชร์ห้องกันอยู่ แล้วแต่จำนวน สองบ้างสามบ้างมากสุดก็สี่คน ถ้านอนไม่พอก็ไปอยู่กับรุ่นพี่ ปีหนึ่งอยู่ชั้นบนสุดส่วนปีสองปีสามก็ไล่ๆลงมา"

    "ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น"ชายคนนั้นเอ่ยต่อ ภายในกลุ่มต่างเงียบกริบมองการผลัดกันถามผลัดกันตอบอย่างเมามัน แต่ก็มีบุคคลที่สามขึ้นมาขัดจังหวะอย่างกะทันหัน ชายผู้คุมทำหน้าซีเรียสทันที

    "เราจะขอแจ้งเรื่องเวลาหอใหม่ ขอเลื่อนเวลาปิดหอเป็น21นาฬิกา"หลังจาการพูดคุยกันอยู่สองคนครู่หนึ่งผู้คุมหอก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง  ผู้คนต่างร้องเสียงดังคุยกันอย่างกับผึ้งแตกรัง

    "คุณต้องแจ้งเหตุอันสมควรครับ"เสียงแมวเซาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

    "เป็นเหตุสุดวิสัย"เขาเอ่ยคำเสียงเฉียบขาด

    "และขอเลื่อนเวลาปิดประตูปราสาทเป็น 16 นาฬิกา ถ้าใครมีปัญหาก็เชิญออกไปได้เลย"เสียงเหล่านั้นเงียบลงทันที

    "แยกย้าย"เมื่อจบผู้คุมประตูรีบตามคนแจ้งข่าวไป

    เสียงราวกับผึ้งแตกรังขยายวงกว้างขึ้นเนื่องจากมันบินกระจายแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง  เสียงที่แสดงความไม่พอใจเล็กน้อยถึงปานกลาง และแม็กซิมัม

     'อยากรู้ในเหตุผล จะบอกสักคำได้ไหม'

    "มันเรื่องอะไรกันน่ะ"เสียงหนึ่งสบถอย่างไม่พอใจ

    "ใช่"อีกเสียงตอบรับ

    "กลับปราสาทตั้งแต่พระอาทิตย์ยังโด่งอยู่เลย สงสัยต้องจบลงที่หาผู้หญิงสักคนในหอเป็นแฟนมั้งเนี่ย มี 'กิ๊ก' ก็ลำบากด้วย"ชายผู้นั้นเอ่ยเสียงเหี่ยว

    "ฉันว่ามันก็ไม่แย่เสียทั้งหมดเหรอ"เขาผงกศีรษะไปทางหญิงสาวคนหนึ่ง 'เอเลซ่า' ใบหน้าเริ่มมีความหวังเล็กน้อยแต่ว่าแววตาคู่นั้น

    "สวยน่ะแต่ดูถ้าจะดุฉันไม่เอาด้วย..."

    "ผมว่าเราเข้ามาที่นี่เพื่อเรียนน่ะครับ"ลีออน บุคคลที่สามเข้าแทรกวงสนทนาด้วยรอยยิ้มแต่แล้วเดินยังไม่ทันกี่ก้าวก็สะดุดขาตัวเองล้มซะแล้ว

    โครม!

    "ผมนี่เอาอีกแล้ว"เขาเขกหัวเตือนสติตัวเองเบาๆ ความเปิ่นทำพิษอีกแล้ว

    "นายนี่ยอดเป็นบ้าเลยเถียงกับผู้คุมจนเนื้อหาที่น่าเบื่อกลายเป็นเรื่องสนุกไปแล้ว"

    "แน่นอน!"เขาเอ่ยรับคำชมอย่างเต็มปากเต็มคำ สภาพแมวเซาเมื่อครู่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


              "
    งั้นพวกเราไปก่อนน่ะ"กลุ่มนั้นเอ่ยขึ้นทิ้งแมวเจ้าปัญหายิ้มอารมณ์ดีอยู่คนเดียว

    "คุณทอริด แห่ง อีรอส"ผู้เป็นเจ้าของชื่อถึงกับตาเบิกกว้าง


              "
    นายรู้ได้ไง"เขารีบหันกลับไปถามทันที

    "แสดงว่าผมเดาถูก"ชายผู้เต็มไปด้วยรอยยิ้มจู่ๆก็เอ่ยขึ้นกับชายที่เดินผ่านหน้าเขาไป

    "เดางั้นหรือ"เขายิ้มแห้งๆ ไม่มีทางที่จะเดาถูกหรอกชื่อมีเป็นแสนล้านชื่อ แล้วชื่อที่เขาใช้แข่งก็เป็นชื่อปลอม

    ชื่อตอนแข่งกับชื่อตอนลงทะเบียนไม่จำเป็นต้องเป็นชื่อเดียวกัน เราจะแต่งชุด ชื่ออะไรลงแข่งก็ได้ตามความพอใจเพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด บางคนเป็นพวกเก่งเงียบกลัวๆกล้าๆไม่อยากเปิดเผยหน้าตาแต่พอใส่หน้ากากปุ๊บ กลับกลายเป็นคนละคนอาจรวมถึงเจ้านี่ด้วย

    "บอกมานายรู้ชื่อฉันได้ยังไง"

    "เอ....."ลีออนทำท่าครุ่นคิด

    "ยังไงน้า....ไม่รุสิครับ"

    "นายเป็นใครกันแน่"ถึงเขาจะชอบกวนคนอื่นก็เถอะ แต่ก็ไม่ชอบให้คนมาทำแบบเดียวกันกับตัวเอง

    "ขอโทษที่เสียมารยาทครับ ผมชื่อลีออน"

    "ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น"ทอริดกระชากเสียง ใครจะไปอยากรู้ชื่อนายกัน

    "สันติครับ สันติ"ลีออนส่งยิ้มให้อย่างใจเย็น  ทอริดรู้สึกเสียเส้นเล็กน้อยที่มีคนมาลูบคมแต่แล้วเขาหัวเราะออกมาเบาๆ เจ้านี่ก็น่าสนุกดีแฮะ คงเข้ากันได้ อย่างน้อยมีเพื่อนก็ยังดีกว่าไม่มี

    "เฮ้!"อยู่ดีๆเจ้าของเสียงก็หันไปให้ความสนใจกับสิ่งอื่น

    "อาร์จีส! เอเลซ่า!ไปทานข้าวกัน"เขาเอามือป้องปากตะโกน ส่วนมืออีกข้างโบกเรียกความสนใจ  หญิงคนนั้นชื่อเอเลซ่าหรือน่ารักชะมัด ทอริดมองตามเสียงนั้นไป แววตาเขาเปรียบจากแมวเป็นเสือ(ผู้หญิง)ทันที ที่แท้ก็พวกบ้าหญิง


    "ค่ำคืนแห่งความสงบผ่านไปด้วยดีครับ ยังไม่มีเหตุการณ์การเคลื่อนไหวผิดปกติ"ทหารซึ่งเป็นสายตรวจกะดึกเอ่ยรายงานสถานการณ์เป็นระยะๆ

    "ทราบแล้ว"อีกเสียงนึกเอ่ยดังขึ้นผ่านทางต่างหูขนาดจิ๋ว เป็นเสียงขององค์รักษ์ฝ่ายขวา

    "เหตุการณ์เป็นไงบ้าง"องค์รักษ์ฝ่ายซ้ายที่ยังคงจัดการเรื่องหลักฐานการชันสูตรติดต่อผ่านทางนาฬิกาที่ดูแล้วเหมือนมันเคยผ่านศึกมากโชกโชน ทั้งเรือนมีแต่รอยขีดข่วน

    "เหตุการณ์สงบ ทั้งที่หอและบริเวณรอบๆรวมถึงปราสาทหลังนี้ด้วย"องค์รักษ์ฝ่ายขวายังคงรักษาการณ์อยู่ยังวังด้านในสถานที่ขององค์ราชาและราชินี ปราสาทสกายรอน

    "หวังว่ามันคงจะสงบแบบนี้ให้ได้ตลอดน่ะ

    "ปรารถนาเช่นนั้นเหมือนกัน"

    ยามรัตติกาลอันมืดมิดผู้คนบางส่วนกลับเข้าหอปิดไฟนอนแล้วแต่บางส่วนยังคงรวมกลุ่มเสวนาอยู่ด้านล่างเนื่องจากยังคงปรับตัวไม่ได้กับสภาพแวดล้อมใหม่ พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ถึงการเคลื่อนไหวเงียบๆเลยแม้แต่น้อย  ความตายที่กำลังจะมาเยือนแก่บุคคลหนึ่งในไม่ช้า

    บุรุษชุดแดงเลือดเดินตามสายทางที่ทอดยาวไร้ผู้คน เสียงฝีเท้าราวกับแมวขโมยทั้งเบาและรวดเร็ว ผ้าคลุมพลิ้วสะบัดตามแรงลม จนเขามาอยู่ยังห้องเป้าหมาย รอยยิ้มอย่างเลือดเย็นก็เผยให้เห็น มือค่อยๆเอื้อมไปบิดประตูอย่างช้า บุคคลในห้องคงหลับไปแล้วเพราะภายในห้องนั้นมืดสนิท ร่างนั้นตรงไปที่เตียงทันทีที่ในท่าจับดาบ

    "ข้ามีข้อแลกเปลี่ยนจะเสนอ"เสียงนั้นดังรอดผ่านตู้หนังสือด้านหลังซึ่งถูกปิดไฟไปแล้วเพราะเป็นส่วนที่ไม่ได้ใช้

    "เจ้าเป็นใคร"เสียงราชาเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้เอ่ยถามทันที

    "ข้าคือมือสังหาร"

    "เจ้าต้องการอะไร สังหารข้างั้นหรือ"

    "เปล่า! วันนี้ข้าไม่ได้มาสังหารใครทั้งนั้นเพียงแต่ข้ามีข้อแลกเปลี่ยน ท่านไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ เพียงแต่ฟังข้อเสนอของข้าให้จบก่อน แต่ถ้าท่านเรียกทหารในตอนนี้ท่านอาจจะไม่ได้พบกับเบาะแสอะไรอีกเลย"ราชามือท่าทางครุ่นคิดชั่วครู่แต่ยังคงก้มมองเอกสารอยู่

    "ท่านคงอยากรู้ใช้ไหมว่าใครเป็นคนฆ่าพระธิดาของท่าน"เสียงลึกลับมองท่าทางของชายเจ้าของแผ่นดินอย่างพอใจ เขาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารทันที

    ฉึก!

    เสียงดาบแทงเข้าใต้ผ้าห่มอย่างแรง แต่เขารู้สึกถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง ใต้ผ้าห่มผืนนั้น เขารีบดึงมันออกทันที หมอนข้างที่ปริแตกด้วยรอยดาบของเขา ด้วยความร้อนรนจึงรีบหาเจ้าของห้องเพราะเป้าหมายอาจรู้ทันและหลบซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่ง

    "เจ้ากำลังหาข้าอยู่ใช่ไหม"เสียงในเงามืดดังขึ้น ก้อนเมฆค่อยๆเคลื่อนออกจากแสงจันทร์สาดสว่างทั่วมุมห้อง เจ้าของเสียงเดินออกมาในมาดขรึม ชายที่ชื่ออาร์จีส มือสังหารถึงกับผงะ เป้าหมายไหวตัวทันแต่เขาไม่มีทางปล่อยให้งานพลาดเป็นแน่

    "เรดคิลเล่อร์อาซาเลีย(Azalea) ผู้มาพร้อมอินทรีย์ยักษ์และความตาย"ชายเจ้าของเสียงรับดาบอย่างง่ายดาย การโรมรันฟันแทงเป็นไปอยู่สองสามครั้งก่อนจะผละแยกจากกันเพื่อดูเชิง

    "ข้าได้ข่าวว่างานใดที่เจ้ารับไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้งนี้...."เขาเว้นช่วงพูดเล็กน้อยมองเลือดข้างแก้มไหลซิบๆ  ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งหน้ากากแตกเป็นสองเสี่ยงเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงาม

    "ข้าได้ยินมาว่าหากนักฆ่าคนใดถูกล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงหรือว่าทำงานพลาดโทษสถานเดียวคือตาย มันจริงหรือเปล่าเรดคิลเล่อร์อา..ไม่สิเอเลซ่า (Aelaza)"แต่มือสังหารไม่คิดจะปริปากตรงเข้ามาหมายเอาชีวิตเขาอีกครั้ง การปะดาบเป็นไปอย่างสูสี อาร์จีสไม่ได้ใส่ใจในอาวุธมากนักเขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

    "ข้าพบศพนอกปราสาทนั่นก็เป็นฝีมือเจ้าหรือเปล่า เพื่อแฝงตัวเข้ามา
    สังหารข้า ครั้งนี้เจ้าพลาดแล้วแต่ข้าก็มีข้อเสนอแลกเปลี่ยน  ไหนๆเจ้าก็ต้องตายอยู่แต่ถ้าข้าไม่พูด
    "เขารอดูปฏิกิริยาตอบสนองของคนเบื้องหน้า



    **********

    ไม่รุว่าแนวไปซ้ำกับใครหรือเปล่า  ก็ต้องขอโทษด้วยน่ะ 
    ชื่อก็ไม่รุพิมพ์สับกันหรือเปล่า  อ่านเองตาลายเอง จะแก้ไขในภายหลัง


    เราจิงจังและจิงจายง่ะ
    ขอให้เม้นท์กันเยอะๆน้า   T^T

    รักผู้อ่านทุกคนค้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×