คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : วันแห่งการเริ่มต้น
ขอโทษค้าตอนแรกก็ว่าอัพเพิ่มแล้วน่ะไปๆมาทั้งที่อัพและไม่ได้อัพหายเกลี้ยง อัพใหม่แล้วกันค้า....
********
หน้ากากเป็นสิ่งที่สวมไว้เพื่อปกปิดใบหน้า ปกปิดบุคลิกที่แท้จริงของคนๆนั้น เมื่อขึ้นเวที บุคคลผู้นั้นก็จะเปลี่ยนเป็นตัวละครในเรื่อง ทั้งสีหน้า ทั้งอารมณ์สื่อออกมาได้อย่างชัดเจน จนสามารถดึงดูดผู้ชมเสมือนเข้าไปอยู่ในเรื่องนั้นๆด้วย แต่มันไม่ได้ใช้เฉพาะบนเวทีเท่านั้นยังสามารถใช้กับ...... กริ๊ง!กริ๊ง! เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นพร้อมการเริ่มต้นของเช้าวันใหม่ เด็กหนุ่มปรือตาขึ้น ก่อนหยันตัวลุกเหยียดแขนขึ้นฟ้าจนสุดมือ เขาแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อยเพื่อสังเกตแสงยามเช้า แสงอาทิตย์อ่อนๆต้องผมสีดำขลับตัดซอยสั้นสะท้อนเป็นเงางาม เข้ากับรูปหน้าที่คล้ายกับงานประติมากรรมชิ้นเอก ถึงมันจะดูยุ่งเหยิงไปบ้างก็ตามที ตาสีแดงราวกับทับทิมใสบริสุทธิ์ คิ้วและริมฝีปากเรียวได้รูป ร่างผอมบางสมส่วนไม่คล้ายผู้หญิงมากเกินไป ใบหน้ามีราศีจับแม้ในยามนี้ ก๊อก!ก๊อก! “คุณหนูขอรับ......”ชายผู้อยู่หลังประตูเคาะเป็นมารยาทก่อนจะเปิดเข้ามาอย่างไม่รอเสียงตอบรับ “ตื่นแล้วหรือขอรับ”เด็กหนุ่มตระกูลลูกขุนนางสูงศักดิ์เพียงเอ่ยตอบคำเดียวอย่างงัวเงียก่อนจะหยิบแปรงเดินเข้าห้องน้ำไป “อืม” “วันนี้มีเรียนน่ะขอรับ”ในขณะเอ่ยเสียงรอดผ่านประตู คนรับใช้ส่วนตัวก็สาวเท้าตรงไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดที่ต้องใส่ในวันนี้ เขาหยิบออกมาสี่ตัว ก่อนจะแขวนตัวหนึ่งไว้นอกตู้บริเวณที่จัดไว้ให้แขวนโดยเฉพาะ “กรุณารักษาเวลาด้วยน่ะขอรับ”หลังจากเจ้าของเสียงผู้หอบหิ้วเสื้อผ้าเอ่ยจบเสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายผู้สูงศักดิ์เดินลงจากบันไดในชุดนักเรียนแขนยาวถุงมือและผ้าพันคอสีแดง ผมยังคงแสดงความยุ่งเหยิงอยู่ อาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ราวกับว่ามันเป็นทรงผมของเจ้าตัวอยู่แล้ว ใบหน้าแม้จะผ่านน้ำแล้วก็ยังคงแสดงความงัวเงียอย่างชัดเจน “ผมจะบอกตารางนัดหมายในวันนี้น่ะครับ”คนรับใช้ผู้ใกล้ชิดเอ่ยขึ้นมองสมุดจดบันทึกในมือ ส่วนเด็กหนุ่มกำลังทานอาหารเช้าที่ถูกเตรียมไว้อยู่ก่อนแล้ว ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆทั้งสิ้น “ตอนบ่ายมีนัดถ่ายแบบนะขอรับ ผมจะให้รถไปรับ” “อืมงั้นหรือ”เขาเอ่ยเสียงเรียบราวกับมันเป็นเรื่องที่ปกติ “สี่โมงเย็นมีการประชุมบริษัทครับ” “แล้วคาริเน็ตล่ะ” “ไม่ได้ขอรับ ท่านคาริเน็ตวันนี้ติดประชุมกับบริษัทอื่นครับ”ผู้ทำประดุจเลขาส่วนตัวเอ่ยตอบเสียงเรียบ “และทุ่มครึ่งมีงานราตรีขอรับ” “ไม่ไปไม่ได้หรือ” “ไม่ได้ขอรับ การที่ตระกูลซีรีริส1ในสามตระกูลขุนนางใหญ่ไม่ร่วมงานเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่งครับ “งั้นนายก็ไม่แทนสิ” “ถ้าเป็นงานเลี้ยงหน้ากากก็พอแอบอ้างได้หรอกขอรับ” “ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นงานเลี้ยงหน้ากากล่ะเจ้าของเสียงเอ่ยขึ้นขณะยกนมขึ้นดื่ม “ทางนั้นเป็นฝ่ายจัดขอรับ ทุกอย่างก็ต้องขึ้นกับฝ่ายนั้น ผมเตรียมชุดไว้หมดแล้วเรื่องขอลาเรียนก็เรียบร้อยแล้วขอรับ คอนแท็กเลนส์อยู่นี่ขอรับ ส่วนแว่นตาอยู่ในกระเป๋าน่ะขอรับ”ผู้รับใช้ส่วนตัวเอ่ยพร้อมยื่นกล้องใส่คอนแท็กเลนนส์ให้ “อืม” “รถมารออยู่แล้วน่ะขอรับ” “ไม่ต้องฉันจะเดินไปเอง”เสียงนั่นฟังดูไร้อารมณ์แต่รู้สึกต้องทำตามในทันที “แต่ว่า....”คนรับใช้เอ่ยตะกุกตะกัก “ทำเช่นนั้นไม่ได้น่ะขอรับ แค่การที่คุณหนูเลือกโรงเรียนเองนายท่านก็โกรธจนผมจะหัวหลุดจากบ่าแล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู....” “ก็ให้มันหลุดไปเลยสิ”เสียงตอบเอาแต่ใจตัวเองดังขึ้นในขณะเดินออกนอกประตูรั้ว ผ่านทางเดินที่มีแต่คนใช้โค้งอย่างน้อมนอบพร้อมเสียงอรุณสวัสดิ์อย่างพร้อมเพียง “คุณหนูขอรับ เดินออกไปแบบนั้นสุขภาพ....”คนรับใช้ใกล้ชิดรีบวิ่งไล่ตามไปในทันที อากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้คนรับใช้ตีหน้าเป็นห่วงมากขึ้น แต่ก็ต้องหยุดความคิดนั้นเพราะการไล่ตามอย่างไร้ประโยชน์จะมีแต่จะทำให้ตารางรวน ถึงตามตัวได้ถ้าอีกฝ่ายยืนยันว่าจะไม่ก็คือ ไม่! “คอยดูแลคุณหนูด้วย ตามไปดูว่าคุณหนูเข้าไปโรงเรียนหรือยัง”เสียงคนรับใช้ใกล้ชิดเอ่ยสั่งกับหนึ่งในหลายคนที่ยืนอยู่หน้าประตู “อย่าให้คุณหนูรู้ตัวล่ะ ยังไม่อยากโดนโกรธ”เขาเอ่ยกำชับก่อนจะแยกย้ายไปตามหน้าที่ตน “นี่เธอรู้เปล่าเพอร์โซน่าร์น่ะได้ขึ้นปกนิตยสารของสัปดาห์นี่ด้วยน่ะ”เสียงเจี้ยวจ้าวดังขึ้นแต่เช้า มันเป็นบรรยากาศปกติของโรงเรียน ‘สห’ ทั่วๆไป “ก็แค่นายแบบทำไมต้องตื่นเต้นด้วย”เสียงชายในกลุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเซ้งๆ “ก็อีแค่นักร้องคนเดียว ไม่รู้ทำไมถึงดังนักหนาก็แค่หน้าตาดีเท่านั้นเอง เสียงก็แค่เพราะนิดหน่อยเอง แต่ก็น่ะ หล่อนมีปัญญาเป็นแฟนเขาหรือ หรือว่ารู้จักเขา เขาก็ไม่รู้จักเธอ จะพูดถึงทำไมนักหนามองความจริงซะบ้าง เหมือนกับผู้ชายในโรงเรียนไม่มีคนไหนดี” “ที่แท้ก็อิจฉา” “ไม่ได้อิจฉา” “อิจฉาๆๆ” “ไม่ได้อิจฉา!1”เขาตระโกนเสียงดัง เกือบทันทีที่เสียงประตูถูกเปิดออกสร้างความตื่นตระหนกแก่เจ้าของเสียงอย่างมาก แต่เมื่อหันไปมองผู้มาใหม่ก็ต้องลอบถอนหายใจเสียงดัง เพราะคนผู้นั้นไม่ใช่อาจารย์ “อย่าทำให้ตกใจอย่างนี้สิโซ”ชายผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวตรงไปยังโต๊ะของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ “เมื่อคืนเล่นเกมส์ดึกหรือไง”เจ้าของเสียงกล่าวเอ่ยอย่างสนิทสนมพร้อมตรงเข้าล็อคคอหลวมๆ “ดูสิงัวเงียเชียว”หญิงสาวเมื่อครู่หันกลับมาสนใจเพื่อนผู้เดินเข้ามาใหม่เช่นกัน “อย่าบอกว่านายยังไม่ได้นอน หรือว่านายไม่สบาย!”เพื่อนที่ล็อคคอตั้งข้อสมมุติฐาน ทรงผมสีดำขลับกระเซิงไม่เข้ารูป ชี้บ้าง งอบ้างแต่ก็ดูไม่เป็นก้อนพันกัน แว่นบดบังดวงตาสีดำนิลประกายสวยแต่แฝงไม่ใส่ใจโลกไว้ เสื้อผ้าหลวมเกินพอดีจนเหมือนไม่ใช่เสื้อของตัวเอง มือเท้ารองหัวที่จะฝุบกับโต๊ะทุกเมื่อ สายตาจะปิดลงในไม่ช้า ถ้าไม่โดนเพื่อนสนิทล็อคอยู่ล่ะก็คงเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว “ก็เปล่า” “นายนี่เมื่อไรจะออกอาการกระตือรือร้นหรือรู้สึกรู้สากับเขาบ้างน้า”เพื่อชายเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็ชินแล้วที่เจ้านี่เป็นแบบนี้ “นี่ๆโซคิดว่าเพอร์โซน่าร์เท่ห์ม่ะ หน้าตาดูคมแล้วก็เท่ห์มากๆ ดวงตามีเสน่ห์ราวกับดึงดูดใจให้ละลาย ถึงยังงั้นก็ยังสวยเหมือนผู้หญิงด้วย” “ฟังแล้วงงแฮะ” “ก็มันจริงนี่นา”สองคู่กัดเริ่มทะเลาะกันอีกครั้งดังเช่นทุกวัน “อิลเธอน่ะเงียบไปเลยฉันขี้เกียจเถียงขี้เกียจฟัง” “นายนั่นแหละผิดทีโอ”เธอเอ่ยเสียงหงุดหงิด “ทำไมทุกครั้งนายต้องขัดฉันทุกที” “ช่างหวานเหลือเกิน มดเดินเป็นสายเลย”เสียงที่สามดังขึ้นหลังเดินเข้าไปเก็บของบริเวณโต๊ะตัวเอง “หวานกับผีสิ”ทั้งสองเสียงพร้อมใจกันตะโกนกลับทั้งที่เพื่อนสาวที่มาใหม่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงครึ่งไม่บรรทัดมาตรฐาน “ยังคิดตรงกันเสียอีก”หญิงสาวเอ่ยแซว “เงียบไปเถอะ”ทั้งสองเอ่ยพร้อมกันอีกครั้งทำให้เจ้าของคำพูดเมื่อครู่หัวเราะคิกคัก จนทั้งห้องได้ยินแต่ไม่ใช่เพราะเสียงหัวเราะนั้นดังสนั่นแต่เป็นเพราะเสียงตะโกนเมื่อครู่ และเสียงเลื่อนประตูที่ทั้งสามเจ้าของเสียงไม่ทันสังเกต “ไปยืนนอกห้อง”อาจารย์สั่งทำโทษทันที “ไม่ยุติธรรม โซนายต้องไปด้วย”เพื่อนชายเอ่ยเสียงน้อยใจ “ทำไมล่ะ”เขาเอ่ยเสียงงัวเงียอีกครั้ง “ก็นายเป็นเพื่อนเรานิ” “นี่เงียบได้แล้ว! ”อาจารย์เอ็ด “โซเธอก็ต้องไปด้วย” “ทำไมล่ะครับ” “ก็เสียงคุยเมื่อกี๊นี่” “งั้นทำไมอาจารย์ไม่ไปยืนด้วยกันล่ะครับ” “ก็เพราะ.....”อาจารย์เงียบไปครู่หนึ่ง เพื่อหาเหตุผลที่เหมาะสม “เพราะอาจารย์เป็นอาจารย์”ทีโอดัดเสียงหญิงก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเข้มราวกับกำลังเล่นละครอยู่ “แน่นอนครับอาจารย์จะเป็นคนอื่นไปได้ยังไง”เสียงนั้นทำให้เพื่อนแอบหัวเราะคิกคักออกมา “หัวเราะอะไร หรืออยากจะไปยืนเป็นเพื่อนเจ้าพวกนี้” “งั้นผมว่าวันนี้อาจารย์คงต้องสอนโต๊ะกับเก้าอี้แล้วมั้ง”ทีโอเอ่ยปนขำก่อนจะชิงออกนอกห้องกลัวโทษจะเพิ่มมากขึ้นแต่มันก็สายไปซะแล้ว “เอาไม้บรรทัดไปคนละอันด้วย”อาจารย์เอ่ยสั่ง “จะให้พวกผมลองสอนอาการข้างนอกหรือครับ”เขาส่งคำถามกวนประสาทอีกครั้งราวกับเด็กมีปัญหา “แล้วถ้าหนูไม่มีจะขอยืมอาจารย์ได้ไหมค่ะ”อิลเอ่ยถามเหมือนเด็กไร้เดียงสา “แหมเธอแล้วอาจารย์จะสอนด้วยอะไรล่ะจ๊ะ”เขาดัดเสียงล้ออีกครั้งด้วยท่าทางมีความสุข “นั่นสิเนอะ”หญิงสาวเอ่ยเสียงสนับสนุน “ฮิๆๆ”อีกหนึ่งสาวก็ยังคงหัวเราะไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่ “ดีแล้วที่ออกมา น่าเบื่อออกอาจารย์อะไรแต่งหน้าซะหนาเตอะ วันๆเอาแต่งส่องกระจก สอนก็ไม่สอนชอบว่านักเรียนโง่ สอนแล้วไม่จำโดนซะบ้างก็ดี”ทีโอเอ่ยเสียงงึมงำด้วยใบหน้ายิ้มพอใจที่ได้ตอกกลับเป็นบางครั้งบางคราว “ใช่”สองสาวเอ่ยสนับสนุน “งั้นมั้ง”อีกเสียงตอบงัวเงียไม่แสดงความเห็น คาบสองก็เป็นคาบที่สุดแสนจะน่าเบื่อไม่แพ้กันเพราะอาจารย์เป็นประมาณ ‘น้ำท่วมทุ่ง’ อธิบายอะไรก็ไม่รู้ไม่ได้เข้าท่าสักนิดยิ่งฟังยิ่งงงไปๆมาๆก็วกกลับเข้าคำพูดเดิม แค่เนื้อหาแบบน้ำธรรมดาก็เบื่อจะแย่อยากรีบๆเลิกซะที “วันนี้มีเพื่อนใหม่เข้ามาสองคน”อาจารย์เจ้าของคาบเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับนักเรียนอีกสองคน เสียงกรี๊ดกร้าวก็ดังขึ้นเพราะหนึ่งในนั้นเป็นชายผมดำขลับยาวมัดไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตาสีแดงราวกับทับทิมล้ำค่าซ่อนความคิดบางอย่างไว้ในใจ รูปร่างสมส่วน ใบหน้าคม คิ้วเรียวได้รูป พร้อมทำให้ใจละลายได้ทุกเมื่อ “คล้ายเพอร์โซน่าร์เลย” “หล่อจัง!”เสียงจากหญิงสาวส่วนใหญ่ซุบซิบเสียงดัง มองชายที่มีสีดวงตาและใบหน้าคล้ายใครคนหนึ่งที่พวกเขาชื่นชอบ “เงียบๆด้วย!!”อาจารย์ตะโกนเสียงไม่พอใจ ไม่อยากกินเวลาเรียนมากเกินกว่านี้ “สวัสดีครับผมชื่อคาริเน็ต”เสียงกรี๊ดจากหญิงสาวดังขึ้นก่อนจะเงียบลง “คาริเน็ตจะมาเรียนกับเราตั้งแต่วันนี้ ที่จริงเขาจบจากมหาลัยชื่อดังในต่างประเทศแล้วเพราะฉะนั้นบางเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ถามเขาได้ เขาลองมาใช้ชีวิตมัธยมเป็นกรณีศึกษาเพื่อนำไปใช้ในการทำงานน่ะ” “ฝากตัวด้วยครับ” “ไม่จริงน่ะอายุเท่าไรแล้วเนี่ยดูอายุใกล้เคียงกับพวกเราเลย” “ความลับครับ”เขาเผยยิ้มแสดงความเป็นมิตร “ฉัน คริตตี้เรื่อง.....”อีกหนึ่งสาวก็สวยราวกับนางฟ้าแต่ประชากรหญิงในห้องมากกว่า จุดสนใจจึงพุ่งไปหาคาริเน็ตเสียส่วนใหญ่จนไม่สนใจอีกหนึ่งชีวิตที่ยืนอยู่ “ก็แค่หน้าเหมือนดาราอย่าทำเป็นตื่นเต้นไป ฉันน่ะเป็นคนปั้นเพอร์โซนาร์มากับมือ ไม่เชื่อ”เธอชี้ไปยังชายหนุ่มขี้เซา โซเพียงมองด้วยตาไม่สนใจโลกกลับ “ฉันจะปั้นเขาให้เป็นดารา”ถึงโซจะเป็นคนที่รูปร่างดีจนเกือบจะคล้ายผู้หญิง แต่หน้าตาและผ้าเผ้ากลับเป็นตัวผลักดันบุคลิกเขาไปในทางลบ ตัวค่อยข้างดำและเป็นรอยแผลเป็นอยู่หลายจุด จนหาจุดที่งดงามไม่ได้เลย การที่เอ่ยนั้นเป็นการยากยิ่งไม่รู้ว่าเป็นแค่การชี้มั่วๆหรือเปล่า “แน่ใจเหรอที่พูดแบบนั้น”ทีโอขัดทันที “เจ้าหมอนี่น่ะแค่การบ้านมันยังไม่อยากจะส่งเลย ขนาดมีงานให้ลอกชนิดประเคนถึงที่มันยังไม่ค่อยอยากจะทำเลย ไอ้ปั้นเป็นดาราน่ะเรื่องความพยายามปรับปรุงตัวก็เป็นศูนย์แล้ว” “ได้ยินคำว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลกไหม สักวันหนึ่งแหละ”เธอเอ่ยด้วยความมั่นใจในตัวเองสูง “ขอให้จริงเถอะ”อิลเอ่ยเสริม “นั้นสิ”เบลอีกหนึ่งเพื่อนสนิทเอ่ยสนับสนุน “พอๆๆเริ่มเข้าเรียนเลยดีกว่า”อาจารย์เอ่ยแทรก “คริตตี้ถ้าเธอมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามเพื่อนได้น่ะ” “ค่ะ”เธอเอ่ยด้วยเสียงยิ่งผยอง ราวกับว่าเพื่อนน่ะไม่จำเป็นต้องถามหรอกเพื่อนต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องมาถาม “การโกหกเป็นสิ่งไม่ดีน่ะแม่สาวน้อยถึงหน้าจะส่วนก็เถอะ”คาริเน็ตเอ่ยกระซิบข้างหูก่อนจะเดินตรงไปเลือกที่นั่งว่างตามใจชอบ “มาทำไมครับ”โซซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นเสียงปนหงุดหงิดเล็กน้อย “น้องชายสุดที่รักมาเรียนโรงเรียนสามัญทั่วไปทั้งที่ พี่ก็แค่อยากตามาดูเท่านั้นเอง” “พ่อสั่งมาล่ะสิ” “เปล่าสักหน่อยน่ะ”เขาตีสีหน้าหงอนๆเล็กน้อย “แค่เมื่อเช้านายเดินมาเท่านั้นแหละ” “ผมไม่ใช่คนร้ายที่ต้องคอยโดนจับผิดตลอดเวลาน่ะครับ” “แค่ลูกชายสุดรักสุดหวงเอ่ยปากจะมาเองพ่อก็แทบคลั่งแล้ว ฉันเลยต้องคอยมาคุมความประพฤตินายสักพัก” “ฮาร์ปรายงานเรื่องนี้เรอะ” “แค่นายเดินออกมาคนใช้ก็เห็นกันหมดแล้ว” “แต่ถ้าไม่รายงานพ่อก็ไม่มีทางรู้หรอกยังไม่กลับมาสักหน่อย” “นั่นสิน่ะ ถือว่าเป็นวันดวงซวยที่พ่อโทรมาเช็ควันนี้แล้วกัน”การสอนดำเนินไปจนเกือบจะพักเที่ยงเสียงประกาศก็ดังก้องเรียกตัวชายที่ชื่อโซออกมาระหว่างเรียนกะทันหัน “โชคดีน่ะไอ้น้องเลิฟ”คาริเน็ตเอ่ยเสียงกระชิบ “นายนี่โรคเยอะจริงๆ เมื่อวานตรวจโลหิตจางไม่ใช่หรือ เมื่อวันก่อนลาป่วย แล้วนี่จะไปไหนอีกล่ะ”ทีโอเอ่ยถามตรงอย่างไร้มารยาท อีกฝ่ายได้แต่ตอบ ‘อือ’ ก่อนเดินจากไป ซึ่งแน่นอนนั่นไม่ใช้คำตอบของปัญหาแต่มันเป็นคำตอบในแบบฉบับของเพื่อนที่ชื่อโซ “อะไรน่ะ”เพื่อนสาวผู้มาใหม่เอ่ยถามเพื่อนข้างๆอย่างอยากรู้อยากเห็น “โซเขาป่วยบ่อยน่ะ บางทีเลยต้องขออนุญาตกลับก่อน บางทีก็ต้องไปตรวจสุขภาพ ขาดเรียนบ่อยจนการบ้านไม่ค่อยจะทันเขา”เบลเอ่ยอธิบายก่อนจะกล่าวต่อท้าย “ล้มเลิกความคิดจะปั้นโซซะเถอะ”โดยล่ะคำที่จะพูดบางคำไว้ ‘ถึงจะพูดด้วยอารมณ์ พูดจริงกล่าวโกหกหรืออะไรก็ตามแต่ แต่บอกได้คำเดียวล้มเลิกไปซะก่อนจะต้องผิดหวัง’ “มิน่าถึงชอบทำหน้าขี้เซาเหมือนพวกขาดเลือด”คริตตี้เอ่ยงึมงำต่อคนเดียว
ความคิดเห็น