ตอนที่ 8 : บทที่ 8 เมามาย
หลังจากงานเลี้ยงท่ามกลางแสงจันทร์นั้นไม่ว่าใครก็คิดว่าฮ่องเต้ต้องเสด็จไปที่ตำหนักของลี่เฟยเป็นแน่ แต่คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเสด็จไปค้างที่ตำหนักรักนิรันดร์ของลี่เฟยได้ไม่นานเท่าใดนักก็เสด็จไปที่ตำหนักรุ่งรวีแทน!
เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักรุ่งรวีนั้นได้แต่รีบออกมาเปิดประตูต้อนรับฮ่องเต้ด้วยท่าทางตกอกตกใจ ด้วยไม่นึกว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาในคืนนี้ซ้ำพระสนมของพวกเขาในตอนนี้ก็อยู่ในสภาพเมาเละเทะน่าดู
“เราได้ยินมาว่าพระสนมของพวกเจ้าดื่มหนักจนอาละวาดเช่นนั้นรึ” ฮ่องเต้ถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย ประโยคนี้นั้นถึงกับทำให้เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักแทบทุกคนถึงกับอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าฮ่องเต้รู้ข่าวนี้ได้ยังไง ในเมื่อพวกเขาอุตส่าห์ปิดตำหนักและให้เหล่าองครักษ์ออกไปเฝ้าด้านนอกเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงหรือมีข่าวรั่วไหลออกไปเต็มที่ สักพักนางกำนัลและขันทีแทบทุกคนก็มองมาทางปิ่นเล่อผู้ซึ่งเป็นนางกำนัลคนสนิทข้างกายพระสนมของพวกเขามากที่สุด
“เอ่อ..” ปิ่นเล่อได้แต่อ้ำอึ้งไม่กล้าตอบสิ่งใดออกไปก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกไปว่า “ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะหลางไฉเหรินมิได้อาละวาดเลยแม้แต่น้อย”
เพล้ง!
เสียงอะไรสักอย่างแตกดังออกมาจากในตำหนักทำให้คำพูดเมื่อกี้ของปิ่นเล่อหมดความหมายไปในทันที
“เจ้าคิดจะหลอกเราอย่างงั้นรึ” ฮ่องเต้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยียบ จนปิ่นเล่อได้แต่ต้องรีบคุกเข่าขอชีวิตด้วยความตกใจ “ไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะๆ”
ฮ่องเต้ไม่สนใจเหล่าข้ารับใช้ที่ต่างกลัวจนตัวสั่นพวกนี้อีก เพียงแต่ก้าวอาดๆไปยังห้องด้านในตำหนักทันที แม้ปิ่นเล่อและเหล่าข้ารับใช้คนอื่นๆจะอยากหยุดฮ่องเต้ไว้เพื่อรักษาชีวิตของพวกเขาเท่าใด แต่ก็ไม่อาจลากตนเองไปเจอความตายจากการขัดขวางฮ่องเต้ได้อยู่ดี แต่ละคนจึงได้แต่ทำหน้าสิ้นหวังแล้วจ้องมองไปทางตำหนักด้านใน
ภายในห้องด้านในนั้นหวิ๋นเสียนนั่งอยู่ข้างหน้าต่างเหม่อมองแสงจันทร์ด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตาข้างกายนางเต็มไปด้วยขวดสุรามากมายบ้างก็ตกแตกบ้างก็วางอยู่บ้างก็ล้มลงไป ฮ่องเต้เมื่อเห็นดังนั้นก็ได้แต่ขมวดคิ้วยุ่งจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความแปลกใจ
“สนมรักเจ้าเป็นอันใดกัน” ฮ่องเต้ถามขึ้นด้วยท่าทางห่วงใย
หวิ๋นเสียนที่ได้ยินดังนั้นได้แต่ส่งเสียงประชดประชันออกมาจากลำคอก่อนจะพูดขึ้นว่า “มาแล้วงั้นเรอะเจ้าปีศาจร้าย” หวิ๋นเสียนพูดพลางลุกขึ้นชี้หน้าคนตรงหน้าด้วยท่าทางโงนเงน “เจ้า เป็นเพราะเจ้า ชีวิตข้ามันถึงได้เหลวแหลกไม่มีชิ้นดีเช่นนี้”
ฮ่องเต้ที่ได้ยินดังนั้นถึงกับยืนแข็งค้างไปทันที เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ด้านนอกเองเมื่อได้ยินดังนั้นใจของพวกเขาก็แทบจะหล่นลงไปที่ตาตุ่มในทันที นี่อย่างไรเล่าคือสาเหตุที่พวกเขาปิดตำหนักไม่ยอมให้เรื่องราวใดๆรั่วไหลออกไป นั่นเพราะพระสนมของพวกเขากำลังเมาเละเทะและกล่าวด่าทอฮ่องเต้อย่างร้ายแรง!
“ทำไมท่านต้องจับได้ชื่อข้าด้วย รู้บ้างไหมว่าชีวิตข้าต้องลำบากและอยู่กับความหวาดกลัวมากเพียงใดเพราะพฤติกรรมอันไร้สาระของท่าน” หวิ๋นเสียนยังคงชี้หน้าด่าคนตรงหน้าอย่างอัดอั้นตันใจต่อไปแบบไม่รู้ตัว ก่อนที่จู่ๆนางก็จะกลับไปมีท่าทีโศกเศร้าหมดอาลัยตายอยากนั่งฟุบอยู่ข้างหน้าต่างแล้วร้องห่มร้องไห้อย่างน้อยใจในโชคชะตาว่า “ฮึก ฮือ สวรรค์เหตุใดจึงได้โหดร้ายกับข้าเช่นนี้”
ฮ่องเต้ที่เห็นสภาพของหวิ๋นเสียนตรงหน้านั้นถึงกับไม่รู้จะทำตัวเช่นไรดี พลันนั้นเขาก็ได้ยินมู่กงกงซึ่งเฝ้าอยู่ด้านหน้าห้องและคงจะได้ยินเรื่องราวทั้งหมดถามขึ้นมาอย่างลังเลว่า “ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าหลางไฉเหริน..”
ยังพูดไม่ทันจบฮ่องเต้ก็รีบออกคำสั่งไปในทันทีว่า “ห้ามใครเข้าใกล้ตัวตำหนักแล้วถ้ามีใครเอาเรื่องในวันนี้ไปพูดต่อแม้แต่คนเดียวล่ะก็ ประหาร!”
ทันทีที่เสียงอันทรงพลังของฮ่องเต้สิ้นสุดลง เหล่านางกำนัลและขันทีนั้นก็ถึงกับต้องรีบวิ่งออกให้ห่างจากตัวตำหนักและปิดปากของตนให้เงียบสนิทด้วยใจที่สั่นระรัว
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ตำหนักสักคนแล้วฮ่องเต้ก็เดินเข้าไปหาหวิ๋นเสียนก่อนจะดึงขวดสุราออกจากมือนางแล้วพูดขึ้นว่า “สนมรักเจ้าเมามากแล้วพักผ่อนก่อนเถิด” คำพูดแต่ละประโยคของหวิ๋นเสียนที่พูดใส่เขาก่อนหน้านี้นั้นทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย หากมาลองคิดดูแล้วเขาก็คงทำเรื่องโหดร้ายลงไปจริงๆ ใครจะไปนึกเล่าว่าหญิงสาวที่ตนเองเสี่ยงไปจับชื่อนางขึ้นมาได้นั้นจะกลายเป็นเด็กสาวที่ใสซื่อและน่ารักน่าชังจนน่าแกล้งขนาดนี้
“ท่านมาหาข้าทำไมกัน ไปหาลี่เฟยสิ” หวิ๋นเสียนหันไปพูดใส่คนตรงหน้าด้วยท่าทางประชดประชันอีกครั้ง
“ใช่สิข้ามันไม่สวยอย่างใครเขานี่ เป็นแค่อดีตนางกำนัลจากโรงซักล้าง” นางพูดไปพลางหัวเราะไป อารมณ์ของหวิ๋นเสียนตอนนี้แลดูแปรปรวนง่ายยิ่งนัก ฮ่องเต้ได้แต่มองหญิงงามที่พูดจาดูหมิ่นตนเองเบื้องหน้าอย่างถอดถอนใจ
นี่นางโกรธหรือว่าน้อยใจเขาใช่หรือไม่
“ท่านคงจะเห็นข้าเป็นเด็กๆให้แกล้งง่ายล่ะสิ” หวิ๋นเสียนยังคงพูดระบายความในใจอย่างไม่หยุดยั้ง ฮ่องเต้เมื่อเห็นดังนั้นก็ได้แต่อุ้มนางขึ้นมาจะพาไปพักผ่อนที่เตียงแล้วพูดขึ้นว่า “สนมรักเจ้าเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้ว”
กว่าจะอุ้มหวิ๋นเสียนมาที่เตียงได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อนางดิ้นไปมา แต่ครั้นจะทำให้นางสลบไปซะก็เกรงว่าถ้าทำบ่อยจะไม่ดีเท่าใดนัก หวิ๋นเสียนเมื่อถูกวางลงที่เตียงแล้วก็ได้แต่จ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาคับแค้นใจแล้วพูดขึ้นว่า“ข้าจะบอกอะไรให้ฟังนะ ข้า-โต-แล้ว!”
โอ้ นี่นางติดใจเรื่องที่เขาแกล้งนางราวกับเด็กๆมากเลยใช่หรือไม่ ฮ่องเต้ได้แต่คิดไม่ตกอยู่ในใจ ขณะมองหญิงงามตรงหน้าบ่นไปมาไม่หยุด สักพักดวงตาคู่งามคู่นั้นก็จ้องเขาด้วยตาเป็นประกายแล้วพูดขึ้นว่า
“ถ้าไม่เชื่อล่ะก็ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านดู!” พูดจบหวิ๋นเสียนก็กระชากฮ่องเต้ลงมาที่เตียงแล้วรีบขึ้นไปนั่งบนตัวของเขาทันที เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับตกใจจนเบิกตาโพลง นี่นางไปเอาแรงมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน
“สะ สนมรักเจ้าควรจะใจเย็นๆก่อน” ฮ่องเต้รีบพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของหวิ๋นเสียนที่เปลี่ยนไป หวิ๋นเสียนราวกับจะไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นในหัวของนางตอนนี้ช่างขาวโพลนยิ่งนักนางแทบจะไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรหรือพูดอะไรอยู่ด้วยซ้ำ ก่อนที่หวิ๋นเสียนจะลูบใบหน้าชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เคลิบเคลิ้มขึ้นอีกครั้งว่า “ใจเย็นอะไรเล่า ท่านเองไม่ใช่รึไงที่อยากทำแบบนี้นักหนา”
แม้หลายครั้งเขาจะมองนางราวกับเด็กและแกล้งนางบ่อยไปบ้าง แต่ตอนนี้มันต่างกันในเมื่อนางแต่งหน้าแต่งตัวเสียจนงดงามยิ่งนัก แล้วการมีสาวงามมานั่งอยู่ตรงหน้าแบบนี้จะให้เขาอดใจไหวได้อย่างไร! แม้จะคิดดังนั้นฮ่องเต้ก็ยังพยายามอดทนฝืนกลั้นเต็มที่ด้วยความที่หญิงสาวตรงหน้านั้นไม่เหมือนคนอื่นๆที่แล้วมา
“ไม่ชอบข้างั้นเหรอ” หวิ๋นเสียนถามขึ้นด้วยสีหน้าน้อยใจเมื่อเห็นคนตรงหน้าไร้ซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ
ฮ่องเต้ที่เริ่มจะทนท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าไม่ไหวได้แต่จับมือนางไว้แล้วถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและแสดงถึงความเป็นห่วงว่า “เสียนเอ๋อแบบนี้เจ้าจะเสียใจทีหลังได้”
หวิ๋นเสียนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ได้แต่ตอบกลับมาเสียงเบาว่า “ท่านพูดเรื่องอะไรกัน” ขณะที่นางก็ค่อยๆโน้มตัวลงมาซุกไซ้คนตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ คงเพราะหวิ๋นเสียนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรนางถึงได้เอาแต่ซุกไซ้คนตรงหน้าไปมาราวกับลูกแมวตัวน้อยๆที่กำลังเล่นซุกซน
การกระทำแบบนี้แทบจะทำให้ฮ่องเต้อยากจะโยนสามัญสำนึกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนออกและปลดปล่อยอารมณ์อันรุ่มร้อนของเขานัก หากนางเป็นเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆมากมายที่เขาเคยพบเจอล่ะก็เขาคงจะทำแบบนั้นไปนานแล้ว
ตอนที่ฮ่องเต้แทบจะทนไม่ไหวแล้วนั่นเอง เขาก็ถามคนตรงหน้าขึ้นด้วยเสียงอันแหบพร่าว่า “เสียนเอ๋อ..เจ้าแน่ใจงั้นเรอะ” ก่อนจะได้ยินเสียงเล็กๆของคนที่ซุกไซ้อยู่ตรงซอกคอเขาพูดออกมาเบาๆว่า “ข้าน่ะ...”
ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อไปจู่ๆการเคลื่อนไหวของร่างเล็กๆบนตัวเขาก็หยุดลงซ้ำยังแน่นิ่งไม่ไหวติงเลยด้วยซ้ำ ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มที่ร่างกายยังคงร้อนรุ่มถึงกับอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ พอลองหันไปมองร่างบางตรงหน้าดูก็พบว่านางหลับไปเสียแล้ว ทั้งยังหลับอย่างมีความสุขราวกับว่าเขาเป็นที่นอนชั้นดีอีกด้วย!
ให้ตายเถิด มาทำให้เขาอยากแล้วก็จากไป นางช่างโหดร้ายยิ่งนักนี่นางกำลังลงโทษเขาอยู่ใช่หรือไม่! ฮ่องเต้ได้แต่ตะโกนอยู่ในใจถึงความอยุติธรรมที่ตนได้รับมา
จากนั้นเขาก็ค่อยๆยกร่างของหวิ๋นเสียนขึ้นก่อนจะวางนางลงนอนด้านข้างดีๆ ใบหน้าที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นทำให้เขาอดหัวเราะให้ตัวเองออกมาไม่ได้เล็กน้อย ก่อนจะปัดผมที่ร่วงลงมาปิดหน้าของนางออก แล้วพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีว่า “เจ้าช่างโหดร้ายกับข้าซะจริง”
ร่างของเขานั้นยังคงร้อนรุ่มจากการกระตุ้นของหญิงสาวตรงหน้าไม่หาย แต่ตอนนี้เข้าจะทำอะไรได้เล่าจะให้เขาฉุดกระชากทำความปราถนาของตนให้เป็นจริงหรือ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจปล่อยให้ตนเองทำเช่นนั้นได้ ฮ่องเต้ได้แต่ค่อยๆเลื่อนใบหน้าไปใกล้ร่างบางที่กำลังหลับพริ้มอยู่ทีละน้อยก่อนจะประทับจุมพิตอันแสนอ่อนโยนลงตรงหน้าผากของนาง
ท่ามกลางแสงจันทร์ส่องสว่างในคืนนั้น หนึ่งหญิงสาวนอนหลับอย่างมีความสุข หนึ่งชายหนุ่มนั่งจ้องหญิงงามด้วยแววตาเปี่ยมความหมาย หนึ่งคนรักเศร้าทุกข์ระทมใจ หนึ่งดวงใจเปลี่ยนแปลงไปไม่รู้ตัว...
พอยามเช้ามาถึงหวิ๋นเสียนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยอาการปวดศีรษะเล็กน้อย พลันนั้นเองก็ได้ยินเสียงมีสเน่ห์ของคนข้างๆดังขึ้น “เจ้าตื่นแล้วรึ”
หวิ๋นเสียนตกใจไม่น้อยก่อนจะสังเกตเห็นว่าข้างกายนางมีคนนอนอยู่ หวิ๋นเสียนจ้องมองไปยังฮ่องเต้ที่อยู่ในท่านอนตะแคงเท้าแขนจ้องมองนางอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะถามขึ้นว่า “ฝ่าบาทเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่กันเพคะ”
ฮ่องเต้เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำท่าน้อยใจเล็กน้อย “สนมรักไม่ดีใจที่เราอยู่ที่นี่หรืออย่างไรกัน” หวิ๋นเสียนที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันได้แต่พยายามมองไปรอบๆด้วยท่าทางงงงวย นางจำได้เพียงแค่ว่าเมื่อคืนนางไปงานเลี้ยงชมดอกไม้งามมาแต่กลับรู้สึกมึนเมาขึ้นมาจึงขอตัวกลับตำหนักก่อนแล้วเรื่องราวต่อจากนั้นเล่า
หวิ๋นเสียนพยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกก่อนจะสังเกตเห็นว่าในห้องของนางนั้นมีขวดสุราอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งนางยังมานอนอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมยังเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้วด้วยอีก ด้วยความที่หวิ๋นเสียนจำเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้บวกกับท่าทางอารมณ์ดีของชายหนุ่มตรงหน้าหวิ๋นเสียนจึงอดที่จะถามขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือไม่ได้ว่า “ฝ่าบาทเมื่อคืนนี้...”
ฮ่องเต้ที่แค่ดูจากท่าทางของหวิ๋นเสียนก็พอจะทายได้ว่านางคิดอะไรอยู่แม้ว่าความจริงแล้วเมื่อคืนเขาจะไม่ได้ทำอะไรนางก็ตาม เพียงแค่บอกให้นางกำนัลมาช่วยนางอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วเขาก็นอนหลับข้างๆนางก็เท่านั้น แต่พอเห็นสีหน้าของคนตรงหน้าแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสร้งทำสีหน้าตกใจแล้วพูดขึ้นว่า “โอ้สนมรักจำไม่ได้หรือนี่” ก่อนจะพูดขึ้นเชิงหยอกเย้าพร้อมกับลูบหัวนางเบาๆว่า “เมื่อคืนนี้เป็นค่ำคืนอันร้อนแรงของสองเราอย่างไรเล่า”
“ฝ่าบาททรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้ว” หวิ๋นเสียนตอบกลับไปด้วยท่าทางหวาดระแวง ก่อนที่ฮ่องเต้จะพูดขึ้นว่า “เราจะล้อเจ้าเล่นได้อย่างไร” พูดจบเขาก็หัวเราะร่าขึ้นมาเสียงดัง
เห็นท่าทีดังนั้นหวิ๋นเสียนจึงปักใจเชื่อว่าคนตรงหน้าคงจะแกล้งหลอกนางเล่นแล้ว นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ฝ่าบาทเหตุใดจึงไม่ไปหาลี่เฟยเล่าเพคะ”
ฮ่องเต้เมื่อได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะเขาให้คนแอบสังเกตตำหนักรุ่งรวีไว้และให้เหล่าองครักษ์คอยรายงานความผิดปกติตลอดเวลา เมื่อคืนนี้ก็คงไม่รีบมาเพียงเพราะได้ยินว่าจู่ๆตำหนักแห่งนี้ก็ปิดประตูทั้งยังไม่ยอมให้ใครเข้าออกเสียด้วยซ้ำ แต่พอเขาอุตส่าห์รีบมาเพราะนึกว่าในตำหนักเกิดเรื่องอะไรกลับกลายเป็นต้องมาเจอสาวงามที่เมาเละเทะด่าทอเขาไม่หยุดปากแทนนี่สิ ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนฮ่องเต้ก็ได้แต่หลุดขำออกมาอย่างอารมณ์ดี
“หากไม่มาเราคงไม่รู้ว่าสนมรักทุกข์ใจถึงเพียงนี้” ฮ่องเต้ตอบ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางให้คำมั่นสัญญาว่า “สนมรักไม่ต้องกังวลใจไปต่อจากนี้เราจะแกล้งเจ้าให้น้อยลงมากๆ”
พอได้ยินดังนั้นหวิ๋นเสียนก็ได้แต่ทำปากเบ้สีหน้าแสดงถึงความไม่เชื่อถืออย่างเต็มที่ ปากเขาบอกว่าจะแกล้งนางให้น้อยลง แต่ตอนนี้ก็ยังแกล้งนางอยู่มิใช่หรือ หวิ๋นเสียนคิดในใจ
“ตอนนี้เราต้องไปแล้ว” ฮ่องเต้พูดขึ้นอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นให้เหล่านางกำนัลช่วยแต่งตัว หวิ๋นเสียนได้แต่มองคนที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี ก่อนจะใส่เสื้อคลุมปิดบังชุดตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเดินส่งคนตรงหน้าออกจากตำหนักไป
พึ่งจะก้าวเท้าออกจากตัวตำหนักได้ไม่นานฮ่องเต้ก็หันไปมองเหล่าข้ารับใช้ของตำหนักรุ่งรวีแล้วพูดกำชับขึ้นว่า “พวกเจ้าจงจำคำสั่งของเราเอาไว้ห้ามนำสุรามาให้พระสนมของพวกเจ้าเด็ดขาด หากเราไม่ได้อนุญาติ”
“ฝ่าบาทเหตุใดต้องทำเช่นนั้นด้วยเพคะ” หวิ๋นเสียนที่ยืนอยู่ด้านหลังถามเขาขึ้นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ
ฮ่องเต้เมื่อได้ยินดังนั้นก็หันมากุมมือหวิ๋นเสียน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยท่าทางอันแสนอ่อนโยนว่า “สนมรักจำคำของเราเอาไว้นะว่าอย่าได้ดื่มสุรามากเกินไปอีกเป็นอันขาด ทางที่ดีสนมรักควรจะดื่มแค่ขวดเดียวพอหรือไม่ต้องดื่มเลยอาจจะดีกว่า”
ก่อนจะเว้นช่วงจ้องหน้านางสักพักแล้วพูดต่อด้วยท่าทางเปี่ยมความหมายว่า “เพราะถ้ามากไปกว่านั้นเราเกรงว่าจะรับมือกับท่วงท่าอันร้อนแรงของเจ้าดั่งเช่นเมื่อคืนไม่ไหวอีกเสียแน่นอน”
พูดจบฮ่องเต้ก็หมุนกายเดินจากไปปล่อยให้หวิ๋นเสียนได้แต่ยืนหน้าแดงก่ำขึ้นมาด้วยความโกรธปนกระดากอาย
คนอยู่มากมายขนาดนี้เขาพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน! ในขณะที่ในใจของหวิ๋นเสียนกำลังตะโกนร้องถึงเรื่องผิดๆที่โดนโยนมาให้นั้น เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักทุกคนที่รู้เรื่องเมื่อคืนนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาและต่างพากันคิดว่า
ฮ่องเต้พูดแบบนี้แปลว่าทรงไม่ถือสาหาความเรื่องเมื่อคืนใช่หรือไม่อีกทั้งยังทรงไม่ต้องการให้พวกเขาพูดความจริงให้พระสนมทรงโปรดผู้นี้ฟังออกมา ดังนั้นพวกเขาต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ให้ดี
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอค่าาาาอัพๆๆ