ตอนที่ 16 : บทที่ 16 การหักหลังอันเกินกว่าจะให้อภัย
หลังจบการประชุมของขุนนางช่วงเช้า ท่ามกลางโถงอันใหญ่โตโอ่อ่าก็เหลือเพียงแต่ฮ่องเต้ผู้ยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยท่าทีน่าเกรงขาม และขุนนางวัยกลางคนในชุดอัครมหาเสนาบดีผู้หนึ่งเท่านั้น
“สืบสวนได้ความว่าอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ถามขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้นอัครมหาเสนาบดีลี่ก็ตอบอย่างมั่นคงว่า “เป็นไปตามที่พระองค์คาดการก่อนหน้านี้ เหลียงอ๋องซ่องสุมกำลังพลแอบสับเปลี่ยนองครักษ์และเหล่าข้ารับใช้ภายในงานพะยะค่ะ”
หลักฐานและพยานล้วนแล้วแต่ชี้ไปที่เหลียงอ๋องรวมอีกทั้งยังเป็นหลักฐานที่จับได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานแล้วเสียด้วยซ้ำ เพียงพบพิรุธแค่เล็กน้อยก็ทรงสืบสาวเรื่องราวต่อก่อนจะแกล้งทำไปตามแผนของฝ่ายตรงข้ามเพื่อรอตลบหลัง แล้วจึงให้ขุนนางที่มีตำแหน่งสูงอย่างเขาเป็นผู้สืบสวนเรื่องนี้เพื่อไม่ให้ดูเหมือนการจัดฉากจนเกินไป ทั้งยังหลีกเลี่ยงคำครหาที่อาจตามมาได้เป็นชายที่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ พอคิดได้ดังนั้นอัครมหาเสนาบดีลี่ก็อดลอบมองฮ่องเต้หนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาชื่นชมปนซับซ้อนไม่ได้
“จับตัวเหลียงอ๋องได้แล้วรึยัง” ฮ่องเต้ถามขึ้นอีกครั้ง
“ยังพะยะค่ะ” อัครมหาเสนาบดีลี่ตอบ ฮ่องเต้เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติแล้วถามขึ้นว่า “ข้าได้ข่าวว่าเจ้าสั่งปิดตำหนักของหลางเจี๋ยอวี๋”
ได้เห็นท่าทีไม่พอใจของฮ่องเต้ดังนั้นอัครมหาเสนาบดีลี่ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางน่าเชื่อถือว่า “นางกำนัลที่เข้าไปขวางหลางเจี๋ยอวี๋ไว้นั้นเดิมเป็นคนของเหลียงอ๋องก่อนจะถูกส่งไปตำหนักหลางเจี๋ยอวี๋แล้วถูกย้ายออกพะยะค่ะ” พูดถึงตรงนี้เขาก็นิ่งเงียบไปเล็กน้อยราวกับไม่อยากจะพูดต่อ ฮ่องเต้ที่พอจะทายสิ่งที่ขุนนางอาวุโสข้างกายคิดออก ได้แต่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วถามขึ้นด้วยเสียงที่ราวกับจะคาดคั้นว่า “จะบอกว่านั่นอาจเป็นแผนล่อให้เราสนใจเพื่อคลายการป้องกันลงอย่างนั้นสินะ”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก” อัครมหาเสนาบดีลี่มิได้มีปฏิกิริยาอะไรต่อท่าทางอันน่าเกรงขามของบุคคลตรงหน้าเขาเพียงแต่ตอบกลับไปอย่างมั่นใจ
“นางกำนัลพวกนั้นเป็นเราส่งไปแล้วจะไปเกี่ยวกับนางได้อย่างไรกัน” ฮ่องเต้ถามขึ้นอีกครั้งสีหน้าเขาเริ่มฉายแววไม่พอใจแต่ยังคงสีหน้าท่าทางน่าเกรงขามเอาไว้อยู่ อัครมหาเสนาบดีลี่จึงตอบกลับไปว่า “มีคนพบเห็นว่านางกำนัลผู้นั้นติดต่อกับคนรับใช้ใกล้ชิดหลางเจี๋ยอวี๋ก่อนวันงานพะยะค่ะ”
พอได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็นิ่งงันไปเล็กน้อย “หลักฐานล่ะ”
อัครมหาเสนาบดีลี่จ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ลดละก่อนจะพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “พยานผู้พบเห็น เป็นองครักษ์ของพระองค์ที่ซ่อนกายอยู่โดยรอบงานพะยะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นแววตาของฮ่องเต้ก็ราวกับมีเปลวไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวไหลผ่านวาบ เขาอุตส่าห์วางแผนทุกอย่างเป็นอย่างดีหวังว่าจบงานนี้จะได้ตัดขั้วอำนาจในราชสำนักของเหลียงอ๋องลง คาดไม่ถึงว่าจู่ๆหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจะมาโดนโยงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แถมพยานยังเป็นคนของเขาอีกงั้นรึ! ดูท่าคนทำคงวางแผนตลบหลังเขามาอีกทีอย่างดีเพียงเพื่อจะให้วังหลังมีขั้วอำนาจเดียวตลอดไป ฮ่องเต้จ้องมองคนตรงหน้าอย่างเย็นชาก่อนจะพูดขึ้นว่า “คนอื่น อย่างอื่นเล่า”
“ยังไม่พบพะยะค่ะแต่คาดว่าอีกไม่นานคงต้องพบแน่” พอได้ยินคำตอบที่แสนจะมั่นใจของขุนนางอาวุโสตรงหน้านี้ ภายในใจของชายหนุ่มก็โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก แต่ก็ทำได้เพียงถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆจากการระงับอารมณ์โกรธเต็มที่ว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
อัครมหาเสนาบดีลี่ที่เห็นท่าทีเหมือนจะกริ้วของคนตรงหน้าลอบยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยดังเดิมว่า “คนรับใช้ใกล้ชิดหลางเจี๋ยอวี๋ผู้นั้นยินดีจะยอมบอกชื่อคนที่ข่มขู่นางพะยะค่ะ”
พอได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็ไม่มีอารมณ์จะฟังสิ่งใดอีกต่อไปเขาเพียงโบกมือเล็กน้อย อัครมหาเสนาบดีลี่ก็ทูลลาก่อนจะถอยออกจากตำหนักแห่งนี้ไปทันที
ตระกูลลี่นับวันจะกำเริบเสิบสานเกินไปเสียแล้ว เพียงแต่พวกเขาเป็นขุนนางเก่าแก่และมีพรรคพวกมากมายจึงยังไม่มีโอกาสได้กำจัดให้สิ้นซากเสียที อำนาจของพวกเขาทั้งในราชสำนักและวังหลังก็มีแต่จะมากขึ้นทุกวัน ชายหนุ่มได้แต่อารมณ์เสียอยู่เป็นนานก่อนจะเรียกมู่กงกงเข้ามา
ช่วงเวลาใกล้ค่ำที่ตำหนักรุ่งรวีขณะที่หวิ๋นเสียนกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ด้วยท่าทีเป็นกังวลนั่นเอง ประตูตำหนักที่ถูกปิดมาหลายวันก็ถูกเปิดออกพร้อมกับราชองครักษ์ที่ดูคุ้นตาจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา
“พวกเจ้าต้องการสิ่งใดกัน” หวิ๋นเสียนถามเหล่าราชองครักษ์ที่ทำความเคารพนางอยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าหวาดระแวง หัวหน้าราชองครักษ์ตอบกลับด้วยท่าทีนอบน้อมแต่มีเสียงดังฟังชัดว่า “มีรับสั่งให้นำนางกำนัลปิ่นเล่อไปเข้าพบฝ่าบาทเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”
“ปิ่นเอ๋อ งั้นเหรอ” หวิ๋นเสียนถามขึ้นด้วยความแปลกใจ คิ้วของนางเองก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาทจะต้องการพบนางไปทำไมกัน”
“ฝ่าบาททรงบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่พระสนมต้องทรงทราบพะยะค่ะ” หัวหน้าราชองครักษ์พยายามตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดที่เขาจะทำได้เนื่องจากเขารู้ดีว่าสตรีตรงหน้าสำคัญต่อพระทัยของฮ่องเต้เพียงใด หัวหน้าราชองครักษ์ที่ตอบไปตามที่ฮ่องเต้สั่งได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วพลางคิดว่าคำตอบแบบนี้จะไม่ทำให้ใครโกรธได้อย่างไรกัน
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หวิ๋นเสียนที่ได้ยินดังนั้นดูโกรธอย่างเห็นได้ชัด “แล้วถ้าข้าสั่งให้เจ้าตอบเล่า”
“กระหม่อมไม่อาจขัดรับสั่งของฮ่องเต้ได้” หัวหน้าราชองครักษ์ยังคงยืนยันคำเดิม ยังไม่ทันที่หวิ๋นเสียนจะได้พูดสิ่งใดออกไป ปิ่นเล่อก็เดินออกมาจากตำหนัก นางแสร้งหันมายิ้มให้หวิ๋นเสียนด้วยท่าทีเศร้าๆเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “พระสนมนี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทหม่อมฉันจะขัดได้เช่นไรเพคะ”
ได้ยินดังนั้นหวิ๋นเสียนจึงได้แต่ปล่อยให้ราชองครักษ์พาเพื่อนรักตรงหน้าไป นางมองกลุ่มคนที่จากไปจนกระทั่งประตูตำหนักปิดลงอีกครั้ง หวิ๋นเสียนก็ล้มตัวลงนั่งด้วยท่าทีเหนื่อยล้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ทำไมกันข้าถึงรู้สึกว่าแววตาของนางแปลกไป”
ที่ตำหนักซึ่งเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ พระองค์ทรงยืนอย่างเกรงขาม สายตาของพระองค์เย็นยะเยียบขณะจ้องไปยังหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง “เจ้าคิดจะใส่ร้ายพระสนมของตนเองเจ้าต้องการสิ่งใด”
หลังได้ยินน้ำเสียงที่ดังมาจากคนตรงหน้า ปิ่นเล่อก็รีบร้องขอเมตตาทันทีว่า “หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนี้จริงๆเพคะหม่อมฉันไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงพูดถึงสิ่งใด โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”
ฮ่องเต้ไม่ได้ใส่ใจการแสดงของหญิงสาวตรงหน้า เพียงส่งเสียงดูแคลนออกมาจากลำคอเล็กน้อยก่อนจะถามซ้ำขึ้นอีกครั้งว่า “เจ้ารับคำสั่งมาจากใคร” แต่หญิงสาวตรงหน้าเขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม “หม่อมฉันมิได้รับคำสั่งมาจากใครทั้งนั้นเพคะ”
ปัง!
เสียงฝ่ามือของฮ่องเต้ทุบลงบนโต๊ะข้างๆดังกึกก้อง ก่อนที่เสียงอันโกรธเกรี้ยวจะดังตามมา “พระสนมของเจ้าดีต่อเจ้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกลายเป็นเพียงพวกนกสองหัวดีแต่เสแสร้งไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ!”
บรรยากาศอันน่ากลัวจากคนตรงหน้าถึงกับทำให้ปิ่นเล่อสะดุ้งด้วยความตกใจเนื่องจากไม่เคยเห็นฮ่องเต้ในท่าทางเช่นนี้เพราะตลอดเวลาที่นางเห็นพระองค์ที่ตำหนักรุ่งรวีนั้นทรงมักจะอารมณ์ดีและยิ้มแย้มยิ่งนัก แต่พอนึกถึงเหตุผลของทุกสิ่งที่นางยอมสู้ทำมาก็พยายามทำใจให้สงบลงก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงใสซื่อว่า “ฝ่าบาททรงเรียกหม่อมฉันมาตอนนี้ทรงมีรับสั่งใดเพคะ”
พอได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมาเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ดี ดีเรารู้แล้วว่าเจ้าต้องการสิ่งใด” เขาพูดขณะชี้ไปที่หญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะจับหน้านางให้หันมามองเขาตรงๆมือที่จับคางของนางไว้นั้นบีบแน่นซะจนหญิงสาวตรงหน้าถึงกับเผลอร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา เห็นดังนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่เย็นเยียบว่า “เราจะให้เจ้าในสิ่งที่เจ้าต้องการแต่จำเอาไว้หากเจ้ากล้าลากพระสนมของเจ้ามาเกี่ยวแม้เพียงนิดล่ะก็เราจะทรมานเจ้าและสั่งประหารตระกูลเจ้าทั้งตระกูลซะ”
ปิ่นเล่อที่ได้ยินดังนั้นก็ดวงตาเป็นประกายวาววาบทันที นางพยายามยิ้มหวานก่อนจะพูดขึ้นว่า “หากฝ่าบาทต้องการเช่นนั้นหม่อมฉันก็จะทำตามที่พระองค์ต้องการเพคะ”
พอได้ยินคำตอบนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็มีประกายเย็นชา ก่อนจะปล่อยมือออกจากหน้าหญิงสาวตรงหน้าแล้วสั่งเหล่าราชองครักษ์คนสนิทและมู่กงกงที่เฝ้าอยู่โดยรอบขึ้นว่า “ออกไปให้หมด”
มู่กงกงเมื่อได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าแปลกใจไม่น้อย พระองค์จะทรงให้สิ่งที่หญิงตรงหน้าต้องการจริงๆรึ คำถามของหญิงสาวเมื่อกี้นั้นสื่อได้อย่างชัดเจนว่าต้องการสิ่งใด ดึกดื่นค่ำมืดเช่นนี้ฝ่าบาททรงเรียกนางมาแม้พระองค์ต้องการเพียงสอบสวนแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะต้องการมากกว่านั้นเสียแล้ว ที่แท้ก็อยากมอบกายถวายตัวเป็นพระสนมของฮ่องเต้ให้มีศักดิ์เท่าคนที่ตนเรียกว่าเพื่อนรักนั่นเอง มู่กงกงได้แต่มองหญิงสาวด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะมองเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธของฮ่องเต้ที่มองมาก็พอจะเข้าใจในความต้องการทันทีจึงพยักหน้าและเดินออกไป
หญิงสาวผู้นี้ช่างโง่งมจริงๆ นั่นคือสิ่งที่มู่กงกงคิดอย่างถอดถอนใจ
พอยามเช้าใกล้จะมาเยือนฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นจากเตียงให้เหล่านางกำนัลช่วยพระองค์แต่งกาย พอรู้สึกถึงความว่างเปล่าจากที่ๆควรจะมีคนข้างกายหญิงสาวบนเตียงก็ค่อยๆลืมตาขึ้นนางมองไปทางฮ่องเต้ที่กำลังแต่งองค์ด้วยสายตาหลงใหล จ้องมองจนพระองค์เกือบจะแต่งตัวเสร็จหญิงสาวก็ตัดสินใจถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานถึงสิ่งที่สงสัยมานานว่า “ฝ่าบาทพระองค์ทรงชื่นชอบหลางเจี๋ยอวี๋ไหมเพคะ”
ผู้ถูกถามมิได้ตอบสิ่งใดเพียงแต่สะบัดแขนเดินออกจากห้องไปทันที แม้แต่หน้าของนางก็มิได้มอง ก่อนที่พระองค์จะลับสายตาไปมีเพียงเสียงอันแสนเย็นชาดังตอบกลับมาว่า “กลับไปซะแล้วข้าจะให้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ”
หญิงสาวได้แต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าแข็งค้าง เหตุใดเขาถึงได้เย็นชาเช่นนี้มิใช่ว่าเมื่อคืนเขากับนางพึ่งจะสุขสมกันไปหรอกรึนางมั่นใจว่าทำให้เขาพึงพอใจได้จากตัวช่วยและเคล็ดลับที่คนผู้นั้นบอกมา แต่เขากลับเย็นชาถึงเพียงนี้และไม่แม้แต่จะมองกลับมาด้วยซ้ำ ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดต่อหรือแต่งตัวให้ดีๆหญิงสาวก็เห็นขันทีคนสนิทข้างกายของฮ่องเต้เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยยา ไม่รู้เพราะเหตุใดแค่เห็นก็ชวนให้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงในใจ
ฮ่องเต้ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักด้วยท่าทีนิ่งสงบ พอได้ยินเสียงข้าวของกระจัดกระจายและเสียงร้องโวยวายของสตรีด้านในดังออกมาเล็กน้อยก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ หมากเล็กๆตัวนี้ที่ทางด้านนู้นวางมาเขาจะหาวิธีควบคุมมันเองเพื่อที่มันจะได้ไม่แว้งกัดผู้ที่มันควรจะภักดีอีก
สักพักขันทีคนสนิทก็เดินออกมาพร้อมกับถ้วยยาที่ว่างเปล่าเขาเพียงแต่ยื่นม้วนผ้าสีทองออกไปให้เล็กน้อยอีกฝ่ายก็รับอย่างเข้าใจ แต่เพราะพอจะรู้ว่าในราชโองการเขียนสิ่งใดไว้ก็อดถามขึ้นด้วยท่าทีลังเลไม่ได้ว่า “ราชโองการนี่ เกรงว่าหลางเจี๋ยอวี๋จะคิดมากได้”
พอได้ยินดังนั้นฮ่องเต้หนุ่มก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงแม้บนใบหน้าเขาจะมีความเหนื่อยล้ามากเพียงใดก็ตามว่า “ช่วงนี้เราคงยังไปหานางไม่ได้ กำชับจิ้นเหอให้ดูแลนางให้ดี”
ชายหนุ่มได้แต่คิดอย่างถอดถอนใจ ตอนนี้เขาทำได้เพียงเท่านี้ ได้แค่ปกป้องนางจากการถูกใส่ร้ายป้ายสีแลกกับการปล่อยให้ฝั่งตรงข้ามมีกำลังเล็กๆเพิ่มขึ้น เขาที่มีเพียงขุนนางฝ่ายฮองเฮาไม่มากคอยสนับสนุนยังไม่อาจมีอำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือได้ แม่ทัพเยี่ยที่กุมอำนาจทหารเองก็ยังทำตัวเป็นกลางแล้วไหนจะขุนนางที่เคยเป็นพวกกับเหลียงอ๋องอีกเล่า ตัวเขาในตอนนี้แค่ปกป้องตัวเองก็ยังลำบากเต็มกลืน จึงได้แต่หวังว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้นางจะเข้มแข็งและพอปกป้องตัวเองได้ขึ้นบ้างเท่านั้น
ปิ่นเล่อถูกพาตัวกลับมาที่ตำหนักรุ่งรวีเป็นอย่างดี แม้ที่ตามมาจะมีมู่กงกงและเหล่าขันทีข้างกายฮ่องเต้บางคนแต่สีหน้าของพวกเขาดูแข็งทื่อยิ่งนัก แต่หวิ๋นเสียนก็มิได้ใส่ใจนางสนใจเพียงแต่เพื่อนรักของตนเท่านั้น พอนางเห็นปิ่นเล่อกลับมาก็รีบวิ่งเข้าไปหาจนจิ้นเหอเอ่ยห้ามแทบไม่ทันแล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “ปิ่นเอ๋อเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
ปิ่นเล่อที่มักจะยิ้มแย้มต่อใบหน้าใสซื่อของเพื่อนรักตรงหน้าจ้องมองมือที่จับนางอยู่ด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะทำท่าปัดออกเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นไร”
“พระสนม” จิ้นเหอเอ่ยเรียกหวิ๋นเสียนขึ้นด้วยท่าทีเป็นห่วงก่อนจะหันไปมองปิ่นเล่อแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ติเตียนว่า “เจ้าทำไมถึงกล้าทำกิริยาเสียมารยาทเช่นนี้”
“ไม่เป็นไร นางอาจแค่อารมณ์ไม่ดีเท่านั้น” หวิ๋นเสียนรีบพูดอธิบายขึ้นแทนเพื่อนรักของตน มู่กงกงที่เห็นดวงตาที่ใสซื่อของหลางเจี๋ยอวี๋คู่นั้นได้แต่ยืนมองด้วยใบหน้ารู้สึกผิดก่อนจะประกาศขึ้นว่า “นางกำนัลปิ่นเล่อรับราชโองการ”
พอได้ยินดังนั้นเหล่าผู้คนในตำหนักก็ได้แต่ทำสีหน้าแปลกใจก่อนจะพากันคุกเข่าลง ปิ่นเล่อที่อยู่เบื้องหน้ามู่กงกงนั้นรอรับราชโองการด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่มู่กงกงจะประกาศต่อไปว่า “นางกำนัลปิ่นเล่อซื่อสัตย์ตั้งใจรับใช้พระสนมเป็นอย่างดี มอบพระราชทินนามชง แต่งตั้งเป็นชงเหม่ยเหริน จบราชโองการ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี” เสียงขอบพระทัยของปิ่นเล่อนั้นดังกังวาล ในขณะที่คนผู้อื่นยังได้แต่แข็งค้างอยู่กับที่เฉกเช่นเดิม หวิ๋นเสียนเป็นคนหนึ่งที่ตกใจยิ่งนักนางรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังฝันไป ยันมู่กงกงเดินจากไปแล้วก็เหมือนหวิ๋นเสียนจะยังไม่รู้ตัว จิ้นเหอจึงต้องสะกิดนางก่อนจะค่อยๆช่วยพยุงนางขึ้นมา
หวิ๋นเสียนมองไปทางเพื่อนรักตรงหน้าอย่างม่อยากจะเชื่อสายตา “ปิ่นเอ๋อ...”
คาดไม่ถึงว่าจะได้เพียงคำตอบอันแสนเย็นชากับรอยยิ้มจอมปลอมเฉกเช่นปกติกลับมาจากคนตรงหน้า “หวิ๋นเสียนข้าคงต้องไปจากเจ้าแล้ว”
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดปิ่นเล่อจึงกลายเป็นพระสนมได้ ราวกับคนตรงหน้าจะรู้ได้จึงยิ้มให้อย่างงดงามก่อนจะตอบกลับมาว่า “รู้หรือไม่ว่าอยู่ข้างกายเจ้ามันน่าเบื่อเพียงใด เจ้าได้รับโอกาสเป็นพระสนมแต่กลับทำตัวโง่งมไม่คิดชิงความโปรนปรานจากฮ่องเต้ เจ้าเอาแต่ทำเรื่องโง่ๆซ้ำๆหากไม่มีข้าอยู่เคียงข้างเจ้าก็คงตายไปร้อยรอบแล้ว ข้าอดคิดไม่ได้มาตลอดว่าทำไมคนเช่นเจ้าจึงได้เป็นพระสนมด้วย”
คำพูดแต่ละคำช่างแทงใจยิ่งนัก หากนางไม่มีปิ่นเล่ออยู่ก็คงผ่านคืนวันอันยากลำบากแต่ละวันมาไม่ได้จริงๆ ทุกๆครั้งที่เจอปัญหาทุกๆทางออกที่นางได้มาล้วนมาจากเพื่อผู้แสนดีคนนี้ เหตุใดตอนนี้เพื่อนรักตรงหน้าจึงได้เปลี่ยนไปนัก
ปิ่นเล่อมองมาที่หวิ๋นเสียนด้วยสายตาดูแคลนเล็กน้อย “หากข้ายังอยู่ข้างเจ้าข้าก็เป็นได้เพียงนางกำนัลของพระสนมโง่ๆคนหนึ่งเท่านั้น หากเจ้าตกอับข้าก็ตกอับ หากเจ้าตายข้าก็ต้องตายตามงั้นรึ แล้วดูเจ้าตอนนี้สิสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรเล่าแม้พระองค์จะโปรดเจ้าแต่ก็เพียงเพราะแค่ความแปลกใหม่ก็เท่านั้นตอนนี้พระองค์ก็ทรงกลับไปหาลี่เฟยแล้ว”
“ทำไมเจ้าถึง” หวิ๋นเสียนได้แต่พูดขึ้นมาอย่างอดกลั้น นัยน์ตาของนางคลอไปด้วยน้ำตา ปิ่นเล่อที่เห็นเช่นนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ทำไมข้าถึงกลายเป็นพระสนมได้งั้นรึ”
ปิ่นเล่อจ้องมองไปยังพระสนมผู้โง่งมตรงหน้าก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าวแล้วพูดขึ้นว่า “เพราะข้าคือพยานคนสำคัญที่จะชี้เป็นตายได้ว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับเหลียงอ๋องหรือไม่อย่างไรเล่า”
พอได้ยินดังนั้นใจของหวิ๋นเสียนก็พลันสั่นสะท้าน ประโยคต่อไปที่ได้ยินยิ่งทำให้นางเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
“หากมิใช่เพราะฮ่องเต้ทรงรู้สึกติดค้างเจ้าอยู่บ้างก็คงไม่ยอมแต่งตั้งข้าแลกกับคำให้การนั่นหรอก” ปิ่นเล่อยังคงพูดสิ่งที่จะทำให้อดีตเพื่อนรักตรงหน้าเจ็บช้ำใจต่อไป หวิ๋นเสียนที่ได้ยินสิ่งเหล่านั้นก็รู้สึกว่าวิธีนี้ช่างสกปรกยิ่งนักนางถามคนตรงหน้าขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “เจ้าขึ้นมาเป็นพระสนมด้วยวิธีแบบนี้คิดจริงๆงั้นรึว่าพระองค์จะทรงโปรดปรานเจ้าได้”
“ตราบใดที่ข้าหาวิธีทำให้พระองค์สำราญใจได้ข้าไม่เชื่อว่าพระองค์จะไม่กลับมาหาข้าอีก” ปิ่นเล่อพูดมุมปากของนางยกยิ้มขึ้นมาอย่างซ่อนความนัยไว้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงและท่าทางราวกับนึกถึงฝันอันหอมหวานขึ้นทีละคำช้าๆว่า “อย่าง-เมื่อ-คืน-นี้อย่างไรเล่า”
หวิ๋นเสียนที่ได้ยินดังนั้นจากความรู้สึกเศร้าใจก็เริ่มกลายเป็นความโกรธจนตัวสั่นนางชี้หน้าหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังว่า “เจ้า เจ้าไม่ใช่ปิ่นเอ๋อ”
ปิ่นเล่อที่ได้ยินดังนั้นจ้องนางกลับด้วยดวงตาแข็งกร้าวทันที ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในศักดิ์ศรีของตนว่า “ใช่ ตอนนี้ข้าคือชงเหม่ยเหริน มิใช่นางกำนัลต่ำศักด์ผู้นั้นอีกต่อไป!”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้อาจจะโหดร้ายแต่ก็เพื่ออนาคตอันสดใสของหวิ๋นเสียนนะคะหวังว่าผู้อ่านทุกคนจะเข้าใจนะจ๊ะ ไรเตอร์ตัดสินใจลำบากมากมายกว่าจะเขียนตอนนี้ออกมา
**เนื้อหาต่อจากนี้ติดตามต่อได้ใน e-book นะคะ หรือจะซื้อเป็น coin ผ่านแอพเด็กดีก็ได้ค่ะ แต่ราคาจะถูกตั้งให้เท่ากับเล่มที่ขาย e-book นะคะ
link -> https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=44662
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=44662
องค์ลงกันเป็นแถว ของขึ้นกันหลังอ่านจบเลย
ฮ่องเต้ไร้อำนาจขนาดนี้เลยเหรอ เฮ้อ ฮ่องเต้ลงทุนเสียตัวเพื่อหวิ๋นเสียนเลยน่ะเนี่ย อยากให้กงกงเตรียมน้ำสนมยาฆ่าเชื้อ (ในแบบโบราณ) ในฮ่องเต้อาบมากๆ
ฮ่องเต้และหวิ๋นเสียนสู้ๆ อยากให้ทั้งยัยปิ่นเล่อ ยัยซูเฟย และอัครเสนาบดีลี่และพรรคพวกได้รับกรรมไวๆจัง น่ะค่ะไรท์ แต่ถ้างั้นฮ่องเต้ก็ไม่ได้รักยัยซูเฟยงั้นสิ แต่ทำเป็นโปรดปรานเพราะตระกูลลี่
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 9 มิถุนายน 2559 / 11:11