ตอนที่ 15 : บทที่ 15 ลี่เฟยผู้เป็นที่โปรดปรานเหนือใคร
หลังจากพวกจิ้นเหอคุ้มกันหวิ๋นเสียนกลับตำหนักแล้ว ก็ค่อยๆประคองนางให้ไปนั่งลงที่เตียง หวิ๋นเสียนต้องใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะพอหายตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นได้ พวกจิ้นเหอต่างพากันช่วยนางเปลี่ยนชุดและเช็ดล้างบาดแผลถลอกเล็กๆน้อยๆ ตอนนั้นเองปิ่นเล่อก็พึ่งจะเดินกลับเข้ามาในตำหนัก
“พระสนมเกิดอะไรขึ้นเพคะ” ปิ่นเล่อถามขึ้นด้วยสีหน้าตกใจทันทีเมื่อเห็นว่าหวิ๋นเสียนเหมือนจะได้รับบาดเจ็บกลับมา จิ้นเหอที่อยู่ข้างกายหวิ๋นเสียนนั้นเพียงตอบกลับไปว่า “พระสนมเพียงหกล้มเล็กน้อยเท่านั้น”
พูดจบจิ้นเหอก็มองปิ่นเล่อด้วยแววตาเย็นเยียบก่อนจะถามขึ้นว่า “ทำไมเจ้าพึ่งกลับตำหนัก ไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่ในตำหนักตลอดเวลารึ” ปิ่นเล่อเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นแล้วรีบตอบกลับด้วยเสียงร่าเริงว่า “ข้าจะทำขนมปีใหม่ให้พระสนม แต่ของไม่พอข้าจึงต้องออกไปเอามาเพิ่ม”
จิ้นเหอได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
“เมื่อกี้นี้มันเรื่องอะไรกัน” หวิ๋นเสียนพึมพำออกมาเบาๆขณะคิดถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยง จิ้นเหอเมื่อเห็นดังนั้นได้แต่พูดเตือนขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงว่า “หลางเจี๋ยอวี๋โปรดทรงเย็นพระทัยเพคะ ทรงพึ่งหายดีอย่าวิตกกังวลมากไปดีกว่าเพคะ”
หวิ๋นเสียนพยักหน้าตอบเล็กน้อย ก่อนที่จะได้ยินปิ่นเล่อถามขึ้นว่า “พระสนมทรงบาดเจ็บแบบนี้เรียกหมอหลวงดีมั้ยเพคะ”
“ไม่ต้อง แค่แผลเล็กน้อยเท่านั้น” หวิ๋นเสียนตอบ ก่อนจะนึกถึงภาพของลี่เฟยซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการเอาตัวมาบังฮ่องเต้ไว้ เลือดที่ไหลออกมานั้นบาดแผลคงไม่ธรรมดาเป็นแน่ พอนึกถึงสายตาของฮ่องเต้ที่มองลี่เฟยในตอนนั้นหวิ๋นเสียนก็ได้แต่พูดออกมาเสียงเบาด้วยท่าทีเศร้าสร้อยเล็กน้อยว่า “อีกอย่างตอนนี้หมอหลวงคงงานยุ่งอยู่เป็นแน่”
ขณะเดียวกันที่ตำหนักรักนิรันดร์ ฮ่องเต้กำลังเดินวนไปมาอย่างร้อนใจ ฮองเฮาที่เห็นเช่นนั้นอดไม่ได้ต้องเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ฝ่าบาทโปรดทรงเย็นพระทัยลงก่อนเพคะ ลี่เฟยย่อมต้องไม่เป็นอันใดแน่เพคะ”
“เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรบาดแผลนางสาหัสถึงเพียงนั้น อีกทั้งเลือดนางยังไหลออกมาอีกไม่น้อย” ฮ่องเต้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกังวลใจ ฮองเฮาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปกุมมือฮ่องเต้พาพระองค์ให้นั่งพักลงแล้วพูดขึ้นว่า “ลี่เฟยทรงเป็นคนดีเช่นนั้น สวรรค์ย่อมต้องคุ้มครองเป็นแน่เพคะ”
ฮ่องเต้เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เสียงของมู่กงกงจะดังขึ้น “ฝ่าบาท”
พอหันไปมองมู่กงกงที่กำลังเดินเข้ามาฮ่องเต้ก็ถามขึ้นว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
“แม่ทัพเยี่ยและเหล่าราชองครักษ์จับตัวคนร้ายที่เหลือได้หมดแล้วพะยะค่ะ ส่วนผู้บาดเจ็บนั้นมีไม่น้อยแต่ในหมู่พระสนมแล้วนอกจากลี่เฟยก็ทรงไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย” มู่กงกงตอบ โดยพยายามเน้นไปที่ส่วนหลังของสิ่งที่พูดด้วยรู้ว่าลึกๆแล้วฮ่องเต้ยังทรงห่วงใยสิ่งใดอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของฮ่องเต้ก็ดูผ่อนคลายลงไม่น้อยก่อนจะพูดขึ้นเพียงแค่ว่า “อืม ดี”
“ฝ่าบาทแม่ทัพเยี่ยกับหัวหน้าราชองครักษ์ถามมาว่าพวกที่จับได้จะให้ทำเช่นไรพะยะค่ะ” มู่กงกงถามขึ้นอีกครั้ง ฮ่องเต้ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า “เอาพวกมันไปขังไว้รอการสืบสวน ให้คนเฝ้าให้แน่นหนาอย่าให้ใครมาชิงไปหรือปล่อยให้มันแอบฆ่าตัวตายเป็นอันขาด”
พระองค์ทรงเว้นช่วงไปอีกเล็กน้อยราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง มู่กงกงเห็นดังนั้นก็ยืนรอฟังคำสั่งต่อไปแล้วเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีลี่รับผิดชอบสืบสวนคดีในครั้งนี้ ก่อนเราจะไปสืบสวนด้วยตนเอง”
พอรับคำสั่งเสร็จแล้วมู่กงกงก็จากไป ฮ่องเต้เมื่อเห็นมู่กงกงเดินออกไปแล้วก็หันมาพูดกับฮองเฮาอย่างอ่อนโยนว่า “ฮองเฮากลับตำหนักของเจ้าไปก่อนเถิด เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้เหล่าสนมคงหวาดกลัวอยู่ไม่น้อยเจ้าก็ดูแลพวกนางหน่อยแล้วกัน”
“เพคะฝ่าบาท” ฮองเฮาตอบกลับอย่างเข้าใจความหมาย พระองค์ทรงพูดราวกับห่วงใยเหล่าสนมยิ่งนักแต่คนที่ทรงห่วงใยจริงๆนั้นคือใครกัน คนที่อยู่ในห้องแล้วล้อมรอบด้วยหมอหลวงนั่นหรือคนทีไม่ได้อยู่ที่นี่ตอนนี้กันแน่ นางหันมายิ้มอย่างงดงามให้กับฮ่องเต้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วงว่า “หม่อมฉันทูลลา พระองค์ก็ทรงรักษาพระพลานามัยด้วยนะเพคะ”
ตอนที่กำลังจะเดินออกจากตำหนักไปนั่นเองฮองเฮาก็ได้ยินเสียงฮ่องเต้พูดขึ้นลอยๆอีกครั้งว่า “จัดการเลื่อนขั้นลี่เฟยให้เป็นซูเฟยด้วยเล่า ถือว่าตอบแทนในสิ่งที่นางทำ”
คำพูดนั้นทำให้ฮองเฮาชะงักเท้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอย่างเย็นชาขึ้นมาแล้วเดินออกจากตำหนักไป เดินออกมาได้ไม่นานนางกำนัลคนสนิทข้างกายก็ถามขึ้นด้วยท่าทางสงสัยว่า “ฮองเฮาเพคะคิดว่าครั้งนี้เป็นฝีมือใครเพคะ”
“ฝีมือใครก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะยุ่ง” ฮองเฮาตอบพร้อมกับหันไปทำสายตาต่อว่านางกำนัลข้างกายเล็กน้อย นางกำนัลผู้นั้นเมื่อโดนดุก็ได้แต่ทำสีหน้าสำนึกผิดก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วจากเหตุการณ์ครั้งนี้พระองค์ทรงคิดว่าลี่เฟยจะทรงเป็นเช่นไรเพคะ”
คำถามนั้นทำให้มุมปากของฮองเฮายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ดูท่าจบเรื่องนี้ลี่เฟยผู้ไร้เทียมทานก็คงกลับมาแล้ว”
ฮ่องเต้ทรงเลื่อนขั้นลี่เฟยเป็นซูเฟย ตำแหน่งของนางมั่นคงถึงเพียงนี้ทั้งยังมีอัครมหาเสนาบดีลี่กับขุนนางมากมายคอยหนุนหลัง ถึงแม้นางจะได้ชื่อว่าเป็นที่โปรนปรานเหนือใครแต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยแสดงทีท่าว่าจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาเลยสักครั้งแม้พระองค์จะทรงเลื่อนขั้นนางมาเรื่อยๆก็ตามนั่นทำให้ฮองเฮาไม่เคยกังวลเรื่องตำแหน่งของตน
ถึงอย่างไรก็ตามหากลี่เฟยได้ยินเรื่องการเลื่อนขั้นนี้ก็คงจะดีใจยิ่งนัก ฮองเฮายิ้มอย่างเย้ยหยันออกมาเล็กน้อยก่อนจะนึกถึงสายตาของฮ่องเต้ที่มองลี่เฟยและสายตาของพระองค์ที่มองหลางเจี๋ยอวี๋แล้วจึงพูดขึ้นมาเบาๆว่า “แต่จะอยู่ได้นานสักแค่ไหนกัน”
พอเวลาเข้าใกล้ช่วงเย็นหวิ๋นเสียนก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีเหล่าทหารมากมายมาปิดตำหนักไว้ พอมองประตูตำหนักที่ถูกปิดลงแล้วก็ได้แต่ถามนางกำนัลข้างกายด้วยท่าทีหวั่นใจอยู่ไม้น้อยว่า “ทำไมถึงมีทหารมาปิดตำหนักกัน”
จิ้นเหอที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่ตอบด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “พวกเขาบอกว่าพระสนมอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์จึงต้องกักท่านไว้สักระยะเพคะ”
“ข้าเนี่ยนะมีส่วนข้องเกี่ยวกับการลอบปลงพระชนม์” หวิ๋นเสียนพูดขึ้นราวกับไม่อยากจะเชื่อ มือที่ถือถ้วยยาอยู่นั้นพลันค้างอยู่กับที่ นางจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน!
“แล้วฮ่องเต้ทรงจับผู้บงการได้หรือยัง” หวิ๋นเสียนถามขึ้นอีกครั้ง
จิ้นเหอส่ายหัวไปมาเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไปว่า “ตามที่หม่อมฉันรู้มา ตอนนี้อัครมหาเสนาบดีลี่เป็นผู้สืบสวนเรื่องนี้อยู่เพคะ” ก่อนจะหันมาลอบมองท่าทีพระสนมของตนแล้วพูดต่อว่า “ว่ากันว่ามีหลักฐานว่าคนที่บงการเหตุการณ์นี้คือเหลียงอ๋องเพคะ”
“แล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า” หวิ๋นเสียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น นางไม่เคยพบกับเหลียงอ๋องเลยด้วยซ้ำที่เคยพบก็มีเพียงแค่พระชายาของเหลียงอ๋องเท่านั้น นึกไปนึกมาหวิ๋นเสียนก็นึกถึงวันที่นั่งคุยกับชายาเหลียงอ๋องวันนั้นก่อนจะกลับตำหนักมาพบกับของมากมาย หวิ๋นเสียนพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนคิดว่า “อย่าบอกนะว่า...”
“ใช่แล้วเพคะ เป็นอย่างที่พระสนมคิด” จิ้นเหอที่ราวกับจะทายความคิดของหวิ๋นเสียนได้ตอบกลับไป
หวิ๋นเสียนที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อันดีกับคนข้างกายของเหลียงอ๋อง ก็เป็นไปได้ว่านางอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์คราวนี้ แต่แค่พูดคุยกันครั้งเดียวเท่านั้นก็คิดจะปักใจว่านางเป็นพวกของเหลียงอ๋องแล้วรึ
“ของเหล่านั้นไม่มีอันตรายใดๆใช่หรือไม่” หวิ๋นเสียนถามขึ้นด้วยท่าทีหนักใจ จิ้นเหอตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า“ไม่มีเพคะ คาดว่าอีกไม่นานก็น่าจะเปิดตำหนักนี้ได้”
โชคดียิ่งนักที่วันนั้นหลางเจี๋ยอวี๋สั่งให้พวกนางตรวจของทุกอย่างไว้ก่อนแล้วจึงมั่นใจได้ว่าไม่น่าจะมีสิ่งใดที่อาจก่อให้เกิดปัญหามาภายหลังได้ หากค้นหาสิ่งใดไม่เจอ หรือไม่มีพยานและหลักฐานเพียงพอว่าหลางเจี๋ยอวี๋เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ตำหนักแห่งนี้ย่อมถูกปิดได้ไม่นานแน่
แม้ความจริงควรจะเป็นเช่นนั้นแต่พอผ่านไปอีกสองสามวัน ตำหนักก็ยังคงถูกปิดต่อไปหวิ๋นเสียนเริ่มร้อนใจขึ้นมาไม่ได้เล็กน้อย “นี่ก็หลายวันแล้วเหตุใดจึงยังปิดตำหนักแห่งนี้อยู่อีกเล่า พวกเขาก็ค้นไม่เจออะไรแล้วแท้ๆ”
“พระสนมอย่าคิดมากไปเลยเพคะ โปรดถนอมพระวรกายด้วย” จิ้นเหอที่เห็นหวิ๋นเสียนเอาแต่กังวลใจมาหลายวันได้แต่พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
หวิ๋นเสียนหันไปมองนางกำนัลข้างกายตนแล้วยิ้มให้เล็กน้อย ช่วงหลังๆนี้พวกจิ้นเหอคอยรับใช้ข้างกายนางดียิ่งนัก ทำให้นางอุ่นใจอยู่ไม่น้อยจะว่าไปแล้วพักหลังก็ไม่ค่อยได้เจอปิ่นเล่อเลย แม้จะเจอแต่เพื่อนรักของนางคนนี้ก็แลดูราวกับจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
“ปิ่นเอ๋อเล่า” หวิ๋นเสียนถามจิ้นเหอขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
“นางไม่สบายเพคะจึงยังไม่อาจมารับใช้ใกล้ชิดพระสนมได้” จิ้นเหอตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หวิ๋นเสียนได้ยินดังนั้นก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้เล็กน้อย หากไม่สบายหนักตอนนี้คงไม่ดีเท่าใดนัก ตำหนักถูกปิดอยู่อย่างนี้จะเรียกหมอมาก็ยังมิได้ พอคิดดังนั้นนางก็รีบร้อนลุกขึ้นก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปดูนางเสียหน่อย”
พวกจิ้นเหอรีบมาขวางทางนางทันที “อย่าพึ่งดีกว่าเพคะช่วงนี้พระสนมก็อาการไม่ดีเท่าใดนัก ควรจะระวังไว้ก่อน”
หวิ๋นเสียนได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจ แต่โดนห้ามขนาดนี้ต่อให้พยายามยังไงก็คงฝ่าพวกนางไปไม่ได้อยู่ดี คิดได้ดังนั้นหวิ๋นเสียนก็นั่งลงอย่างเดิม
จิ้นเหอที่เห็นพระสนมของตนห่วงเพื่อนรักยิ่งนักอดพูดเตือนขึ้นมาไม่ได้ว่า “พระสนมท่านระวังนางไว้บ้างก็ดีนะเพคะ”
“ทำไมเจ้าจึงพูดเช่นนั้นเล่า นางเป็นเพื่อนสนิทข้า” หวิ๋นเสียนรีบแย้งขึ้นมาทันทีทำเอานางกำนัลทั้งสี่ได้แต่ทำสีหน้าลำบากใจ เนื่องจากพวกนางพอจะรู้ดีว่าช่วงหลังนี้เพื่อนรักของพระสนมทำตัวแปลกๆอยู่ไม่น้อย จิ้นเหอที่ยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบได้แต่เอ่ยเตือนพระสนมของตนด้วยความหวังดีว่า “ในวังหลวงแห่งนี้ยากนักที่จะไม่มีคิดอิจฉาหรือแสวงหาอำนาจเพคะ”
สิ้นประโยคนั้นทบรรยากาศรอบกายคนทั้งกลุ่มก็กลับเข้าไปสู่ความเงียบดังเดิม
อีกด้านหนึ่ง ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัดดวงตาของหญิงงามที่มีท่าทีอ่อนแรงก็ค่อยๆลืมขึ้น
“ฝ่าบาท” เสียงอ่อนหวานอันเบาบางนั้นเรียกให้คนที่นั่งอยู่ไม่ไกลรีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วงทันที ฮ่องเต้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าฟื้นแล้วรึ เป็นเช่นไรบ้างยังเจ็บอยู่รึไม่”
เมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงของคนตรงหน้าแล้วลี่เฟยก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า “แค่มีพระองค์อยู่ข้างกายเจ็บแค่นี้หม่อมฉันย่อมทนได้อยู่แล้วเพคะ”
ฮ่องเต้เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อยแต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา ก่อนจะหันไปหยิบถ้วยยาที่วางอยู่ด้านข้างแล้วพูดขึ้นว่า “ทานยานี่สักหน่อยแล้วพักผ่อนให้เยอะเถอะ รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้เราเป็นห่วงมากเพียงใด”
ลี่เฟยเพียงทำสีหน้าซาบซึ้งใจ เมื่อเห็นคนตรงหน้าเตรียมจะป้อนยาให้นาง “หากพระองค์ปลอดภัยต่อให้ตายหม่อมฉันก็ไม่เสียดายเพคะ”
“เราขอสั่งเจ้าอย่าพูดแบบนี้ออกมาอีกเป็นครั้งที่สองเข้าใจหรือไม่” ฮ่องเต้พูดขึ้นด้วยสายตาตำหนิหญิงสาวเบื้องหน้าเล็กน้อย ลี่เฟยเมื่อได้ยินดังนั้นก็เพียงตอบกลับไปด้วยเสียงและรอยยิ้มที่บางเบา “เพคะ”
ห้ามพูดแต่มิได้ห้ามทำ ดวงตาที่ไม่มีรอยยิ้มอยู่ภายในเฉกเช่นใบหน้านั้นหรือว่าพระองค์ทรงเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ลี่เฟยได้แต่เพียงคิดอยู่ในใจ ก่อนที่ดวงตาของนางจะเป็นประกายวาววาบเพียงชั่วครู่
หากทรงเปลี่ยนไปแล้วที่ต้องทำก็แค่ดึงพระองค์กลับมา!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะฉลาด และรู้เท่าทันเล่ห์มารยา แผนร้ายของยัยซูเฟย ขอให้ฉลาดจริงๆน่ะ และอย่าให้แผนของยัยซูเฟยที่จะทำให้ฮ่องเต้กลับมาเป็นเป็นเหมือนเดิมไม่สำเร็จ และไม่ว่าจะมีแผนร้ายอะไรๆก็อย่าให้สำเร็จน่ะค่ะ
รีบอัพด่วนค่ะ เยอะๆด้วย
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 6 มิถุนายน 2559 / 20:44
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 6 มิถุนายน 2559 / 21:00
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 6 มิถุนายน 2559 / 21:07
แต่ เรื่อง ลี งูเห่าจำศีลตัวนี้ ฮ่องเต้จะฉลาดขึ้นบ้างไหม?? แกฉลาด แต่มักโง่ในเรื่องง๊าย ง่าย ส่วน ปิ่นเล่อ!! ถ้านางเป็นหนอนจริง นางเอกเราคงเจ็บปวดน่าดู