ตอนที่ 14 : บทที่ 14 งานเลี้ยงอันแสนวุ่นวาย
“ฝ่าบาทเหตุใดไม่ให้พ่อครัวทำให้เล่าเพคะทรงมีพ่อครัวหลวงตั้งเยอะแยะจะทรงมาสั่งให้หม่อมฉันทำ ทำไมกัน” หวิ๋นเสียนบ่นขึ้นขณะนั่งมองคนตรงหน้าทานอาหารที่นางทำอย่างยากลำบากด้วยท่าทางยิ้มแย้ม ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า “เราอยากทานอาหารที่สนมรักทำให้ไม่ได้รึ”
หวิ๋นเสียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเหยเกก่อนจะพูดออกมาว่า “ทรงทำแบบนี้จะเอาคืนหม่อมฉันคราวก่อนหรือเพคะ”
“เจ้าพูดถึงเรื่องใดกัน” ฮ่องเต้ตอบด้วยท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวชวนให้หวิ๋นเสียนอดหมั่นไส้ท่าทางแบบนั้นของคนตรงหน้าไม่ได้
หลังจากแกล้งให้ฮ่องเต้ช่วยนางทำอาหารและป้อนของรสชาติแปลกๆไปนิดหน่อยคราวก่อนแล้ว ฮ่องเต้ก็แลดูจะชอบเสด็จมาตำหนักนางมากขึ้น ทั้งยังชอบส่งคนมาบอกก่อนด้วยว่าให้นางทำอาหารรอไว้ เสด็จมาบ่อยขึ้นเป็นใครก็คงยินดียิ่งนักถ้าไม่ติดว่าช่วงหลังๆนี้พระองค์แทบจะสั่งให้นางทำอาหารรอสามเวลาเลยนี่สิ เดี๋ยวนี้วันๆหวิ๋นเสียนแทบจะขลุกอยู่ในห้องครัวตลอดเวลาอยู่แล้ว ครั้นพอคิดจะแกล้งคนตรงหน้าซะบ้างโดยการทำอาหารรสชาติแย่ๆแต่ก็เหมือนเขาจะรู้ได้ แล้วก็ไม่ยอมกินอาหารจานนั้นไม่ว่านางจะพยายามป้อนให้ยังไงก็ตาม คิดแล้วก็น่าแค้นใจนักหวิ๋นเสียนมองไปทางเหล่านางกำนัลที่ถูกฮ่องเต้ส่งมาอย่างจิ้นเหอด้วยสายตาโกรธเคืองเล็กน้อยถ้าไม่ใช่พวกนางแอบไปบอกละก็คนตรงหน้าจะไม่ติดกับนางได้อย่างไร
พอเห็นท่าทางแบบนั้นของหวิ๋นเสียนฮ่องเต้ก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “ทำไมสนมรักไม่ถือซะว่าเป็นการทำตอบแทนบุญคุณเล็กๆน้อยๆที่เจ้าติดเราไว้ล่ะ” หวิ๋นเสียนเมื่อได้ยินดังนั้นคิ้วของนางก็ขมวดขึ้นก่อนจะถามขึ้นด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจว่า “หม่อมฉันไปติดหนี้บุญคุณพระองค์ตอนไหนกัน”
เขาจะถือว่าการรับนางมาเป็นสนมตอนที่เกือบจะถูกโบยตาย หรือการเว้นโทษต่างๆเวลานางทำไม่ผิดกฏระเบียบกับเขาเป็นบุญคุณงั้นรึ ทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุไม่ใช่รึไงกันแล้วจะมานับเป็นบุญคุณได้อย่างไร หวิ๋นเสียนได้แต่คิดอยู่ในใจโดยที่ไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าคิดเอาเรื่องเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งที่ทำให้นางติดหนี้เขาอยู่จริงๆ
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกันอยู่นั่นเองมู่กงกงก็เดินเข้ามาก่อนจะหันไปทางฮ่องเต้แล้วพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทได้เวลาแล้วพะยะค่ะ” พลางในใจก็เอาแต่คิดว่าช่วงนี้ฮ่องเต้ดูอยู่กับหลางเจี๋ยอวี๋เพลินซะจนลืมเวลาบ่อยยิ่งนักทำให้เขาต้องมาเตือนอยู่เรื่อย
ฮ่องเต้พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดกับหวิ๋นเสียนด้วยสีหน้าราวกับเศร้าใจนักหนาว่า “เราต้องไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่คืนนี้ไม่อาจทานอาหารที่สนมรักทำได้”
“ดีแล้วเพคะ แค่นี้หม่อมฉันก็เหนื่อยจะแย่แล้ว” หวิ๋นเสียนรีบตอบกลับไป คำตอบนี้ทำให้ฮ่องเต้อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ก่อนจะกำชับหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งว่า “พรุ่งนี้จะเป็นงานเลี้ยงปีใหม่อย่าลืมที่เรากำชับไว้เล่า”
หวิ๋นเสียนได้แต่ทำท่าทางถอดถอนใจในสิ่งที่ได้ยิน ฮ่องเต้เมื่อเห็นดังนั้นก็อดลูบหัวนางไม่ได้เล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทีหยอกล้อว่า “ในงานเลี้ยงเราอาจไม่ได้พูดคุยกับสนมรักมากนักเจ้าคงไม่งอนเราใช่หรือไม่”
“ใครจะไปคิดแบบนั้นกันเพคะ” หวิ๋นเสียนถลึงตาตอบแล้วจึงส่งเสด็จฮ่องเต้ออกจากตำหนักไป ก่อนจะออกไปนั้นฮ่องเต้ยังคงหันมากำชับจิ้นเหอและนางกำนัลอีกสามคนว่า “งานเลี้ยงปีใหม่ที่จะถึงนี้ดูแลพระสนมของเจ้าให้ดีๆ”
หลังจากฮ่องเต้ออกไปแล้วหวิ๋นเสียนก็นังลงด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ปิ่นเล่อที่เห็นดังนั้นจึงถามขึ้นว่า “พระสนมจะถึงงานเลี้ยงปีใหม่แล้วนะเพคะ เหตุใดจึงทรงดูไม่ตื่นเต้นเลยเล่าเพคะ”
“ก็แค่งานเลี้ยงจะมีอะไรให้ตื่นเต้นกัน” หวิ๋นเสียนตอบ แต่แม้จะตอบไปแบบนั้นนางก็อดรู้สึกแปลกๆอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับงานในครั้งนี้เพราะยิ่งใกล้วันงานเท่าไหร่บรรยากาศในวังหลวงที่ดูเหมือนจะเงียบสงบกลับชวนให้รู้สึกถึงแต่ความผิดปกติมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากออกจากตำหนักของหลางเจี๋ยอวี๋และกำลังจะกลับไปที่ห้องทรงพระอักษรนั้น ฮ่องเต้ก็ถามมู่กงกงขึ้นด้วยสีหน้าปกติว่า “เป็นยังไงบ้าง”
“ทุกอย่างเป็นไปตามที่พระองค์คาดการพะยะค่ะ” มู่กงกงตอบ พอได้ยินดังนั้นฮ่องเต้ก็พยักหน้าตอบเล็กน้อยสีหน้าก่อนที่ของเขาจะดูเคร่งเครียดขึ้นบางส่วน
เวลาในแต่ละวันผ่านไปรวดเร็วนัก เผลอแปปเดียวก็มาถึงงานเลี้ยงปีใหม่แล้วหวิ๋นเสียนที่พึ่งจะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยกำลังเตรียมตัวจะออกจากตำหนักไปพร้อมกับปิ่นเล่อ แต่จิ้นเหอมาขวางหน้าพวกนางไว้ก่อนแล้วจึงพูดขึ้นว่า “พระสนมงานเลี้ยงวันนี้ให้พวกหม่อมฉันคอยติดตามข้างกายดีกว่าเพคะ”
“เอ๋ แต่ว่า..” หวิ๋นเสียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็อดแย้งขึ้นมาไม่ได้ แต่พูดไม่ทันจบปิ่นเล่อที่อยู่ข้างๆก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจเสียก่อน “พระสนมไม่เป็นไรเพคะยังไงเสียนี่ก็เป็นรับสั่งของฮ่องเต้”
หวิ๋นเสียนได้แต่หันไปมองปิ่นเล่อด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แต่ไหนแต่ไรปิ่นเล่ออยู่ข้างกายนางตลอดแม้พักหลังพอพวกจิ้นเหอถูกฮ่องเต้ส่งมานางจะหายไปบ้างเป็นบางครั้งบางคราวแต่เวลาปกตินั้นปิ่นเล่อมักจะอยู่ข้างๆกายนางเสมอส่วนพวกจิ้นเหอเพียงอยู่ในสถานะผู้ติดตามเท่านั้น ปิ่นเล่อพอเห็นสีหน้าแบบนั้นของเพื่อนรักก็พูดขึ้นด้วยท่าทียิ้มแย้มว่า “หม่อมฉันจะเตรียมขนมปีใหม่รอพระสนมกลับมานะเพคะ”
หวิ๋นเสียนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะแสร้งตอบกลับไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี “เจ้าต้องเตรียมให้มากๆนะรู้หรือไม่” ปิ่นเล่อพอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเพื่อนรักจึงตอบกลับไปว่า “ทราบแล้วเพคะ”
“ไปกันเถอะ” หวิ๋นเสียนหันไปพูดกับจิ้นเหอก่อนจะพากันเดินออกจากตำหนักไป ปิ่นเล่อหลังจากเห็นพระสนมทรงโปรดเดินออกจากตำหนักไปแล้วนางก็กลับไปทำงานของตนเอง
“จิ้นเหอทำไมงานเลี้ยงคราวนี้ถึงดูแปลกๆนัก” หวิ๋นเสียนถามคนด้านข้างขึ้นเสียงเบาทันทีหลังจากมาถึงบริเวณที่จัดงานเลี้ยงแม้ใบหน้าของนางจะยังคงรอยยิ้มไว้แต่ในใจก็อดวิตกกังวลไม่ได้ หลายวันมานี้ฮ่องเต้มาหานางบ่อยยิ่งนักแม้สีหน้าของเขาจะยิ้มแย้มแต่นางก็พอจะรู้ว่าเขาเก็บงำความเครียดไว้ภายในถึงอย่างนั้นนางก็ไม่อาจถามสิ่งใดออกไป
“พระสนมทรงคิดมากไปแล้วเพคะ” จิ้นเหอตอบ วันนี้หวิ๋นเสียนมีจิ้นเหอและมี่เฉิงคอยติดตามและอารักขาอยู่ข้างกายทั้งคู่เป็นนางกำนัลที่ฮ่องเต้ส่งมาจึงยังพอทำให้นางเบาใจไปได้ไม่น้อย
“นั่นสินะ” หวิ๋นเสียนได้แต่พึมพำออกมาเสียงเบาก่อนจะไปนั่งที่ของตน
งานเลี้ยงที่จัดในวันนี้นั้นมีการคุ้มกันแน่นหนาภายในงานก็มีองครักษ์อยู่โดยรอบ เหล่าแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเองก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่หวิ๋นเสียนเคยเห็นหน้าจากงานชมดอกไม้คราวก่อนแล้ว ที่ขาดหายไปมีเพียงหรูไฉเหรินที่ยังคงถูกกักบริเวณอยู่ส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือเหล่าขุนนางมากมายและแม่ทัพเยี่ยพี่ชายของเยี่ยเจาหรงนั่นเอง ใช้เวลาสักพักผู้คนก็มาร่วมงานกันจนครบงานเลี้ยงจึงได้เริ่มขึ้นจริงๆเสียที
“งานเลี้ยงคราวนี้ฮองเฮาจัดได้ไม่เลวนัก” ฮ่องเต้พูดขึ้นหลังจากมองไปรอบๆ ข้างซ้ายขวาของที่นั่งพระองค์นั้นคือฮองเฮาและลี่เฟยถัดมาเป็นเยี่ยเจาหรงและสนมคนอื่นๆเรียงลำดับลงมา ส่วนที่นั่งของหวิ๋นเสียนอยู่ไม่ไกลจากฮ่องเต้มากแต่ก็ไม่ได้ใกล้นัก
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเอ่ยชมเพคะ” ฮองเฮาตอบกลับพร้อมรอยยิ้มงดงาม การสนทนาดำเนินต่อไปเรื่อยๆหวิ๋นเสียนที่ไม่รู้จะคุยกับใครจึงสนใจแต่เพียงของกินที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นแต่พอสังเกตแล้วกลับพบว่าของกินที่อยู่ตรงหน้านางดูจะแปลกกว่าของคนอื่นๆอยู่ไม่น้อย
“เหตุใดในงานเลี้ยงแบบนี้หลางเจี๋ยอวี๋จึงดื่มชาเล่า” หนึ่งในพระสนมที่นั่งอยู่ข้างหวิ๋นเสียนพูดขึ้นสีหน้าของนางแสดงให้เห็นถึงความแปลกใจยิ่งนักยามที่มองไปที่ถ้วยชาตรงหน้าหวิ๋นเสียน เสียงของสนมนางนี้นั้นไม่ดังไม่เบาแต่ก็มากพอจะเรียกความสนใจจากคนโดยรอบบางส่วนได้ ยังไม่ทันที่หวิ๋นเสียนจะได้ตอบอะไรก็ได้ยินฮ่องเต้พูดขึ้นว่า “เราเป็นคนสั่งเอง หลางเจี๋ยอวี๋ดื่มสุรามากไม่ได้ให้นางดื่มเพียงแค่ชาก็พอแล้ว”
คำพูดที่ดังขึ้นนั้นทำให้เหล่าผู้คนที่รอชมฉากสนุกต้องอดเสียดายอยู่ไม่ได้เล็กน้อย เพราะหากเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ใครจะกล้าพูดสิ่งใดต่อเล่า
หวิ๋นเสียนเพียงแต่มองไปที่ฮ่องเต้ด้วยท่าทีแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้บางๆ นางรู้ดีว่าอาหารของตนเองแตกต่างจากคนอื่นเพราะอะไร นั่นเพราะคำพูดที่เขากำชับนางไว้อย่างไรเล่าเพียงแต่นางไม่นึกว่าเขาจะเปลี่ยนมันมากขนาดนี้ตอนนี้ตรงหน้าหวิ๋นเสียนมีแต่อาหารที่มีแต่ผักไม่ก็ผลไม้แล้วก็น้ำชาราวกับจะอยากให้นางสุขภาพดีมากๆซะอย่างนั้น พอเห็นของกินบนโต๊ะของคนอื่นแล้วนางก็อดอิจฉาบ้างไม่ได้ หวิ๋นเสียนที่ไม่มีอะไรทำนั้นได้แต่มองการแสดงตรงหน้าฆ่าเวลาต่อไปเท่านั้น
ฮองเฮากับลี่เฟยที่นั่งอยู่ด้านข้างฮ่องเต้นั้นได้แต่ทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็เพียงแค่พริบตาเดียว เนื่องจากพวกนางพูดคุยกับฮ่องเต้ตลอดเวลาจึงไม่นึกว่าฮ่องเต้จะสนใจหรือได้ยินเรื่องเมื่อกี้ด้วย
“ฝ่าบาททรงรอบคอบยิ่งนักเพคะถึงอย่างไรน้องหญิงก็พึ่งจะหายดี” ลี่เฟยพูดขึ้นด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ ฮ่องเต้เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มให้นางเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ลี่เฟยช่างเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดียิ่งนัก”
“ถึงอย่างไรก็ไม่อาจสู้ฮองเฮาได้เพคะ พระนางทั้งเข้าอกเข้าใจผู้อื่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตายิ่งนักทั้งยังจิตใจดีงามเพราะทรงสวดมนต์ให้ฝ่าบาทและแผ่นดินของเราทุกวันเชียวนะเพคะ” ลี่เฟยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมก่อนจะหันไปยิ้มอ่อนหวานให้ฮองเฮา
ฮองเฮาเมื่อได้ยินลี่เฟยเอ่ยถึงตนเช่นนั้นก็พูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ลี่เฟยชมข้ามากไปแล้ว เดี๋ยววันนี้ข้าจะสั่งให้คนส่งดอกไม้งามอีกมากมายไปให้ที่ตำหนักเจ้าดีหรือไม่ ได้ข่าวว่าช่วงนี้ลี่เฟยปลูกดอกไม้งดงามไว้ที่สวนในตำหนักมากมายนัก”
มุมปากของลี่เฟยกระตุกเล็กน้อย แม้บนใบหน้านางจะยังคงรอยยิ้มอ่อนหวานตลอดเวลาแต่นางรู้ดีว่าฮองเฮาต้องการพูดประชดนางที่ว่างเพราะแต่ละครั้งฮ่องเต้เสด็จมาหาไม่ค่อยนานจนต้องหาอะไรทำเพื่อจะดึงความสนใจจากเขา!
“ลี่เฟยปลูกเองงั้นรึ” ฮ่องเต้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย
“ฝ่าบาททรงแกล้งลืมได้เช่นไรกันเพคะ” ฮองเฮาพูดขึ้นด้วยท่าทีหยอกล้อ ก่อนจะพูดย้ำราวกับว่าทั้งคู่กำลังแกล้งล้อเล่นกันอยู่ว่า “ลี่เฟยทรงลงมือปลูกเองเลยนะเพคะ”
ฮ่องเต้เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของฮองเฮาก็กลับมาทำสีหน้ายิ้มแย้มราวกับว่าเรื่องที่พูดเมื่อกี้เป็นเพียงเรื่องหลอกเท่านั้นแล้วหันไปพูดกับลี่เฟยว่า “เราจะลืมได้อย่างไรกัน”
“หม่อมฉันนึกว่าช่วงนี้พระองค์จะทรงพูดคุยกับน้องหญิงเพลินจนลืมไปเสียแล้ว” ลี่เฟยตอบด้วยสีหน้าราวกับจะน้อยใจนิดๆ ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะหันไปพูดกับเยี่ยเจาหรงว่า “ช่วงนี้ฝีมือการเดินหมากของเยี่ยเจาหรงก็ดีจริงๆไปพูดคุยพลางเดินหมากกับนางพลางก็เพลินไม่น้อย”
ลี่เฟยที่ได้ยินดังนั้นหันไปยิ้มให้กับเยี่ยเจาหรงเล็กน้อย นางอยากจะเอ่ยกระทบถึงหลางเจี๋ยอวี๋ที่ฮ่องเต้เสด็จไปหาบ่อยจนกลายเป็นพระสนมทรงโปรดไปแล้วต่างหากเล่า แต่นี่พระองค์กลับทรงหันไปพูดถึงเยี่ยเจาหรงแทนแค่นี้ก็รู้แล้วว่าพระองค์ทรงอยากปกป้องหลางเจี๋ยอวี๋ยิ่งนักถึงกับกันนางออกห่างจากการพูดคุยที่อาจเกิดปัญหาตามมา
“ฝ่าบาททรงกล่าวเกินไปแล้วนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หม่อมฉันทำได้เพคะ” เยี่ยเจาหรงตอบกลับใบหน้าที่แลดูนิ่งสงบของนางพอประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆแล้วช่างดูงดงามยิ่งนัก ฮ่องเต้เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพูดกลับไปอย่างอารมณ์ดีว่า “พูดแบบนั้นได้อย่างไรกันนอกจากเดินหมาก บทกลอน กวีเจ้าก็ยังเชี่ยวชาญอีกมากสมแล้วที่เป็นน้องสาวของแม่ทัพเยี่ยจริงๆพวกเจ้าล้วนไม่เคยทำให้เราผิดหวัง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เยี่ยเจาหรงและแม่ทัพเยี่ยพูดขึ้นพร้อมกัน แม้เยี่ยเจาหรงจะรู้ว่าที่ฮ่องเต้เอ่ยถึงนางเพราะอะไรนางก็ไม่ได้ใส่ใจตราบใดที่พระองค์ยังทรงดีต่อนางและพี่ชายก่อนจะหันไปยิ้มให้ลี่เฟยเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่มีความเย้ยหยันซ่อนอยู่ภายใน
หลังจากนั่งมองการสนทนาของกลุ่มคนตรงหน้ามาได้สักพักฮองเฮาก็พูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทต่อไปเป็นการร่ายรำพิเศษจากนางรำหลวงเพคะ” ราวกับจะทรงพูดขึ้นเพื่อหยุดการพูดคุยอันน่าเบื่อหน่ายนี้ ฮ่องเต้ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมายิ้มให้อย่างพึงพอใจเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “ดีจริงๆ”
เสียงพูดคุยในงานเลี้ยงค่อยๆเงียบลงเมื่อเสียงดนตรีอันแสนไพเราะค่อยๆบรรเลงขึ้นมา เหล่านางรำในชุดสีแดงเป็นสิริมงคลเยื้องย่างเข้ามาในงานพิธีอย่างงดงาม ท่วงท่าของพวกนางอ่อนช้อยราวกับจะพริ้วไหวไปกับสายลมและเสียงเพลง หนึ่งในนางรำกลุ่มนั้นช่างโดดเด่นยิ่งนักนางอยู่ใจกลางเหล่านางรำทั้งหมดหมุนตัวและร่ายรำอย่างงดงามก่อนจะพลันหมุนแขนและมือที่อ่อนช้อยไปด้านหลังยามที่นางหันใบหน้ามาอีกครั้ง ก็สะบัดมือข้างหนึ่งและผ้าที่พริ้วไหวไปด้านหน้า ภาพที่เห็นนั้นช่างงดงามจนน่าตื่นตะลึง ช่วงที่เหล่าผู้คนต่างจ้องมองการร่ายรำตรงหน้าอย่างไม่วางตาอยู่นั่นเองเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อช่วงที่นางรำคนนั้นสะบัดมืออย่างงดงามนั้นนางได้เขวี้ยงมีดสั้นที่ซุกซ่อนไว้ออกมาด้วย
เคร้ง!
องครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ปัดมีดสั้นนั้นออกได้ทันท่วงทีก่อนจะออกคำสั่งเสียงดังว่า “อารักขาฮ่องเต้”
ช่วงที่ทุกคนยังตามสถานการณ์ตรงหน้าไม่ทันนั่นเอง เหล่าองครักษ์รอบๆงานก็เริ่มเคลื่อนไหวเพียงแต่ส่วนใหญ่มิใช่การเคลื่อนไหวเพื่อไปป้องกันฮ่องเต้แต่ดูเหมือนจะเป็นการเคลื่นไหวเพื่อหมายจะกำจัดฮ่องเต้และคนในงานทิ้งมากกว่าต่างหากเล่า!
พริบตาเดียวในงานก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและความวุ่นวายมากมาย มีเหล่าองครักษ์สู้กันเองอยู่เต็มไปหมด นางรำ นางกำนัลและขันทีบางส่วนก็กลับกลายเป็นนักฆ่าที่ปลอมตัวมา ฮองเฮาที่อยู่บนพระที่นั่งใกล้ๆกับฮ่องเต้รีบหันไปบอกคนด้านข้างว่า “ฝ่าบาทรีบออกจากที่นี่ก่อนเถิดเพคะ”
รอบกายฮ่องเต้ฮองเฮาและลี่เฟยตอนนี้มีองครักษ์มากมาย แต่ถึงอย่างนั้นที่อยู่คุ้มครองพวกเขาได้จริงๆก็มีไม่มากเพราะมีคนคอยเข้ามาจะลอบปลงพระชนม์ตลอดเวลา
หวิ๋นเสียนที่เห็นเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าก็ตื่นตระหนกไม่ต่างจากคนอื่นๆเช่นกัน ยังดีที่มีจิ้นเหอซึ่งอยู่ข้างๆพูดขึ้นเตือนสตินางขึ้นว่า “พระสนมสงบพระทัยก่อนเพคะ”
หวิ๋นเสียนหันไปมองนางด้วยสายตาตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นท่าทีสงบนิ่งของจิ้นเหอและมี่เฉิงนางก็พอจะสงบใจลงได้บ้าง จิ้นเหอเมื่อเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นอีกครั้งว่า “โปรดตามพวกหม่อมฉันมาด้วยเพคะ”
หวิ๋นเสียนพยักหน้าและรีบลุกตามแต่โดยดีแต่ก็ยังไม่วายหันไปมองทางฝั่งฮ่องเต้ด้วยความกังวลใจ จิ้นเหอที่เห็นนางหันไปมองแบบนั้นจึงพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเพคะรอบๆงานเลี้ยงแห่งนี้มีองครักษ์ซ่อนอยู่มากมาย ฝ่าบาทไม่เป็นไรแน่เพคะ”
มีองครักษ์ซ่อนอยู่งั้นรึ! หวิ๋นเสียนได้แต่ลอบสงสัยในใจก่อนจะพยายามออกจากงานเลี้ยงไปท่ามกลางความวุ่นวายรอบกาย
ฮ่องเต้ที่หันไปมองรอบงานแวบหนึ่งพอเห็นหญิงสาวเหมือนจะได้รับการคุ้มกันออกไปแล้วก็โล่งใจเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสนใจสถานการณ์ตรงหน้าตอนนี้ตัวเขาจะถอยก็ลำบากเพราะองครักษ์ในงานแห่งนี้ส่วนมากไม่ใช่คนของเขาทั้งนั้น ต้องรอให้เหล่าองครักษ์ที่ซ่อนอยู่รอบนอกเข้ามา ยังดีไม่น้อยที่ในงานยังมีแม่ทัพเยี่ยและคนของเขาอยู่บ้างจึงพอปกป้องพระสนมและแขกเหรื่อในงานได้แต่ก็มีนักฆ่าของฝ่ายตรงข้ามที่ปลอมเป็นนางกำนัลและขันทีปะปนอยู่ในงานไม่น้อยด้วยนี่สิ
แม้สถานการณ์จะดูย่ำแย่แต่ก็ยังพอควบคุมไหว ฮ่องเต้รับดาบมาจากองครักษ์ข้างกายก่อนจะใช้มันแทงไปยังนักฆ่าที่กำลังพุ่งเข้ามา ภาพนั้นทำให้หญิงสาวสองคนข้างกายเขาตกใจไม่น้อยฮ่องเต้จึงมองฮองเฮากับลี่เฟยเล็กน้อยก่อนจะหันไปสั่งองครักษ์ข้างกายว่า “คุ้มกันพวกนางกลับตำหนักซะ”
ยังไม่ทันที่องครักษ์ข้างกายจะคุ้มกันหญิงสาวทั้งคู่ไปได้ไกล และยังไม่ทันที่ฮ่องเต้จะได้เสด็จออกไปไหนก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนดังมาจากทิศทางหนึ่งดึงความสนใจเขาไปว่า “หลางเจี๋ยอวี๋ระวังเพคะ!”
ผู้ที่ตะโกนขึ้นนั้นคือนางกำนัลคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเข้ามาขวางทางหนึ่งในองครักษ์ที่กำลังแทงดาบมาทางหวิ๋นเสียนไว้ นางกำนัลผู้นั้นถูกผลักออกและฆ่าทิ้งอย่างง่ายดาย หวิ๋นเสียนตื่นตระหนกในเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างมากนางจึงสะดุดข้าตัวเองล้มลงไป ในงานนี้มีเหล่าผู้ประสงค์ร้ายไล่ฆ่าผู้คนในงานอยู่ไม่น้อยเพียงแต่นางไม่นึกว่าจะมาถึงตนได้เร็วขนาดนี้ ชั่วขณะที่ดาบนั่นจะแทงเข้ามานั่นเอง จิ้นเหอและมี่เฉิงสองนางกำนัลข้างกายก็รีบนำดาบสั้นที่ซ่อนไว้ภายในออกมาแล้วป้องกันคมดาบนั้นได้ทันท่วงที ก่อนที่อีกสองนางกำนัลอย่างหรงเสวี่ยและหลิ่งอี้ที่ถูกฮ่องเต้ส่งมาที่ตำหนักนางด้วยเหมือนกันจะโผล่เข้ามาในงานและฆ่าคนที่หมายจะเอาชีวิตหวิ๋นเสียนผู้นั้นในชั่วพริบตา
หวิ๋นเสียนตกใจและหวาดกลัวจนแทบไม่เหลือแรง เหตุการณ์เมื่อกี้นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว แต่เหตุการณ์ที่ดึงความสนใจของฮ่องเต้ไปได้เล็กน้อยเมื่อกี้นั้นก็เพียงพอที่จะให้พระองค์เปิดช่องว่างอีกทั้งด้วยจำนวนองครักษ์ที่น้อยลงเพราะแบ่งไปคุ้มกันฮองเฮากับลี่เฟยและจำนวนนักฆ่าที่เข้ามาใกล้พระองค์มากขึ้นจึงทำให้พระองค์ไม่อาจป้องกันได้รอบด้าน แค่นั้นก็เพียงพอที่จะให้นักฆ่าลอบเข้ามาถึงตัวพระองค์ได้ไม่ยาก
ลี่เฟยซึ่งเป็นคนแรกที่เห็นนักฆ่าคนนั้นเกือบจะไปถึงตัวฮ่องเต้แล้วนั้น รีบสลัดตัวออกจากองครักษ์ด้านข้างก่อนจะวิ่งไปขวางทางนักฆ่าผู้นั้นไว้ นางตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “ฝ่าบาทระวังเพคะ”
ฉึก!
ดาบของนักฆ่าผู้นั้นแทงเข้าไปที่ตัวของลี่เฟยซึ่งอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้คมดาบนั้นเฉียดจุดตายไปไม่มาก ก่อนที่นักฆ่าผู้นั้นจะโดนองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ฆ่าทิ้งในพริบตา
“ลี่เฟยๆ” ฮ่องเต้ที่เห็นเหตุการณ์เมื่อกี้นั้นมีแววตื่นตระหนกในดวงตาอยู่ไม่น้อยน้อยทรงรีบเข้ามาประคองลี่เฟยไว้ ลี่เฟยเพียงยิ้มบางแล้วมองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้าก่อนจะพูดขึ้นมาเสียงเบาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาททรงปลอดภัยก็ดีแล้วเพคะ”
พอดีกับที่เหล่าองครักษ์ด้านนอกและทหารของแม่ทัพเยี่ยพากันกรูเข้ามาในงานจัดการจับกุมผู้ที่ก่อความวุ่นวายไว้ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ควบคุมได้แล้วฮ่องเต้ก็รีบอุ้มลี่เฟยขึ้นหันไปสั่งองครักษ์ข้างกายให้จับกุมพวกที่เหลือไว้และรีบเดินออกจากงานเลี้ยงและรีบสั่งมู่กงกงขึ้นทันทีว่า “ตามหมอหลวงมา”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตานั้นอาจไม่เห็นอยู่ในสายตาของใครหลายๆคน แต่หวิ๋นเสียนเห็นมันได้อย่างชัดเจนขณะที่จิ้นเหอและคนที่เหลือคุ้มกันนางออกจากงานไป
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนต่อไปจะลงพรุ่งนี้ช่วงเย็นนะคะ แล้วก็คืนนี้ดึกๆช่วงหลังห้าทุ่มไรเตอร์จะแก้คำผิดแต่ละตอนนะคะ หวังว่าจะสนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้นะ ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ติดตามด้วยค่า ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พระเอกของเราอย่าโง่เลยนะ
พระเอกของเราอย่าโง่เลยนะ