ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    God Liked

    ลำดับตอนที่ #1 : อาภรณ์พระเจ้าและการจากไปของคุณปู่

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 56


    ตอนที่ 1 อาภรณ์พระเจ้าและการจากไปของคุณปู่

     

    โรงแรม เซนเตอร์  แกรนด์

                    ในห้องรับประทานอาหารของโรงแรม  ในเวลาอาหารมื้อเย็น  โต๊ะที่นั่งทุกโต๊ะเต็มไปด้วยแขกที่เข้า

    พักในโรงแรมหรูใจกลางเมืองหลวงของโรมาโน่  สก็อต  แม็คโดนัลด์  ในวัย
    18 ปี  อยู่ในหน้าที่บริกร

    ของโรงแรมแห่งนี้  หน้าตาหมดจด  จัดว่าหล่อเหลาในระดับหนึ่ง  ผมที่ถูกหวีเรียบร้อย  จัดทรงด้วยน้ำมันแต่ง

    ทรงผม  ในชุดบริกรสีน้ำเงินเข้ม  กางเกงแสล็คสีดำ  ในชุดยูนิฟอร์มของโรงแรม  ตรงหน้าอกขวาเป็นรูปต้น

    ปาล์มสัญลักษณ์ของโรงแรม


                    “ชาร้อน  ได้แล้วครับ  คุณผู้หญิง” สก็อต  พูดกับหญิงสาววัยกลางคนที่เป็นหนึ่งในแขกของ

    โรงแรม  พร้อมโค้งตัวเสิร์ฟเครื่องดื่มอย่างนอบน้อม


                    หญิงสาววัยกลางคนผู้นั้นไม่ได้ยินดียินร้ายหรือกล่าวขอบคุณใดๆ  ราวกับสก็อตไม่มีตัวตน  แต่เขา

    ก็ชาชินเสียแล้วกับแขกที่เข้ามาพักในโรงแรมหรูแบบนี้


                    สก็อต  เข้ามาทำงานในโรงแรมนี้มาเกือบ 1 ปีแล้ว  หลังจากคุณปู่ของเขาล้มป่วยลง  สก็อต

    ต้องหางานทำเพื่อนำเงินไปรักษาคุณปู่  โชคดีที่คุณปู่ฝากฝังไว้กับคนรู้จักที่เข้ามาเยี่ยมเมื่อคุณปู่ป่วยเข้าโรง

    พยาบาลใหม่ๆให้สก็อตเข้ามาทำงานในนี้  ในตำแหน่งที่ดูต่ำต้อยในสายตาคนอื่น  แต่สำหรับเขาแล้ว  ไม่ว่า

    จะตำแหน่งอะไร  ขอให้ได้ทำงานเพื่อนำเงินไปรักษาปู่ก็เป็นพอแล้ว


                    จวบจนเวลา 4 ทุ่มครึ่ง  เลิกงานวันนี้  ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเรียก  พนักงานบริกรทุกคนเข้าประชุม 

    ในวันพรุ่งนี้ทางโรงแรมจะมีงานใหญ่  “งานประมูลสมบัติของนักล่าสมบัติครั้งที่ 
    68 จะจัดขึ้นที่โรงแรม

    เซ็นเตอร์  แกรนด์แห่งนี้  จะมีนักล่าสมบัติชั้นสูงมากมายจากทั่วทุกมุมโลกมาชุมนุมในงานประมูลสมบัติกัน

    ที่นี่  สก็อตถูกจัดวางตำแหน่งให้เสริฟเครื่องดื่มแก่เศรษฐีที่เข้าประมูลสมบัติล้ำค่าจากทั่วมุมโลกเพียงในห้อง

    รับรอง


                    หลังจากเลิกงาน  เขาเดินไปเยี่ยมคุณปู่ที่โรงพยาบาลเช่นเคย  แต่ในวันนี้ในใจของเขากลับมีเรื่อง

    ให้คิดต่างออกไปจากทุกวัน


                    เมื่อยังเด็ก  เท่าที่จำความได้  เขาโตมากับคุณปู่  คุณปู่มักเล่าเรื่องราวของนักล่าสมบัติ  การผจญ

    ภัยของนักล่าสมบัติผู้กล้า  เรื่องแล้วเรื่องเล่า  จนความใฝ่ฝันในวัยเด็กของเขาอยากจะเป็นนักล่าสมบัติ

    อันดับหนึ่งของโลกให้ได้  แต่แล้วความฝันนั้นก็ถูกโยนทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อคุณปู่ล้มป่วยลง


                    ประตูถูกเปิดออกอย่างเบา  เพื่อระวังไม่ให้คนในห้องตื่นขึ้นมาด้วยเสียงบิดลูกบิดประตู  สก็อตคง

    คิดว่าคุณปู่คงหลับไปแล้ว


                    “ไง สก็อต  ที่โรงแรมเป็นไงบ้างล่ะ”  คุณปู่เอ่ยทักหลานชาย  แม้ยังนอนซมป่วยอยู่แต่วันนี้ราวกับดู

    คุณปู่แข็งแรงขึ้นผิดหูผิดตา


                    สก็อต  ยิ้มให้แม้จะเหนื่อยสายตัวแทบขาด  แต่เขาก็ไม่เคยปริปากบ่น  ตอบกลับคุณปู่  “ก็เหมือน

    เดิมล่ะครับปู่  แต่
    ”  สก็อตก้มหน้าเงียบไป 


                    คุณปู่เห็นหลานชะงักเงียบไปเลยเอ่ยถามขึ้น  “แต่อะไร


                    สก็อต  กล้ำกลืนบางอย่างแล้วกล่าวออกไป  “พรุ่งนี้ที่โรงแรมจะมีการประมูลสมบัติของนักล่า

    สมบัติน่ะครับปู่”


                    คุณปู่มองหน้าสก็อตอย่างเห็นใจ  “ปู่จำได้นะ  ตอนเด็กๆ  แกมักจะเล่นเป็นนักล่าสมบัติอยู่บ่อยๆ 

    ข้าจะเป็นนักล่าสมบัติอันดับหนึ่งของโลกให้ได้เล้ย
    แกชอบตะโกนแบบนี้อยู่บ่อยๆ  เสียงดังลั่นไปแปด

    บ้านหกบ้าน” คุณปู่พูดจบก็หัวเราะลั่นห้อง


                    “ก็ปู่อ่ะแหล่ะ  เล่าเรื่องนักล่าสมบัติให้ผมฟังก่อนนอนทุกคืน” สก็อตเห็นปู่หัวเราะดีขึ้นก็ดีใจ  แม้

    ความฝันของเขาในตอนนี้จะไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้เลย


                    “ผมว่าปู่พักเหอะ  ผมจะอาบน้ำนอนแล้วเหมือนกัน  แต่วันนี้ปู่ดูสดชื่นนะครับ  ดีขึ้นแบบนี้น่าจะ

    ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะครับเนี่ย” สก็อตพูดกับคุณปู่  คุณปู่พยักหน้ายิ้มให้  ก่อนจะห่มผ้าหลับไป


                    ไฟในห้องพักผู้ป่วยปิดลง  ในห้องมีเพียงเขา   คุณปู่ที่ตอนนี้คงหลับไปแล้ว  กับห้องอันว่างเปล่า 

    …..นานเท่าไหร่แล้วนะ  ที่เขากินนอนอยู่ที่นี่  ทางโรงพยาบาลเซนท์  แกรนด์    ก็ใจดี  แม้ปกติจะไม่

    อนุญาตให้ญาติผู้ป่วยมาพักข้างคืน  แต่กลับยกเว้นเป็นพิเศษให้สก็อตรายนึง   เขาเหม่อมองเพดานถึง

    ความฝันของเขาที่เลือนรางห่างหายไปนาน  แต่แค่ได้ยินคำว่า  นักล่าสมบัติ  หัวใจของเขาก็เต้นโครมคราม 

    จิตวิญญาณลุกโชนอย่างบอกไม่ถูก


     

    “งานประมูลสมบัติของนักล่าสมบัติครั้งที่  68  โรงแรม เซนเตอร์  แกรนด์


                    ในวันนี้สก็อตต้องเข้างานก่อนเวลาปกติ  1 ชั่วโมง  เขาไม่มีโอกาสแม้จะได้พบนักล่า

    สมบัติตัวเป็นๆ  ว่ามีหน้าค่าตาเป็นอย่างไร  จะองอาจ  เก่งกาจ  เหมือนในเรื่องเล่าของคุณปู่หรือเปล่า  เขา

    ต้องอยู่ห้องรับรองแขกอีกห้องหนึ่งเพื่อรับรองเศรษฐี  ผู้นำประเทศ  และบุคคลที่ชืนชอบในสมบัติอันล้ำค่า

    มากหน้าหลายตา  ที่ไม่แตกต่างกับแขกที่เข้าพักในโรงแรมแห่งนี้แต่อย่างใด  ไม่อาจสร้างสีสันใดๆให้กับชีวิต

    ของเขาให้ตื่นเต้นขึ้นมา


                    …..จะนึกเสียดาย  แต่เขาก็อิดออดไม่ได้  เมื่อหัวหน้าสั่งมาเขาทำได้เพียงก้มหน้าทำตามหน้าที่ 

    แต่ในใจก็คิดเพียงว่า  วันนี้มันก็ไม่ได้พิเศษอะไรกว่าทุกวันหรอก  แค่วันที่ต้องทำงานวันหนึ่งเท่านั้น  แล้วมันก็

    ผ่านไป


                    …..แต่ลึกๆในใจแท้จริงแล้ว  มันกลับเศร้าอย่างบอกไม่ถูก  พ่อแม่ตัวเองเป็นใครก็ไม่รู้  มีเพียงปู่

    คนเดียวเท่านั้นที่ดูแลเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก  แม้นิทานเรื่องเล่าของปู่จะเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาเพื่อกล่อมเด็กเข้านอน 

    หรือมันเป็นเรื่องจริง  แต่ตอนนี้ความฝันของเขาถูกพับเก็บเข้าลิ้นชักไปเรียบร้อยแล้ว


                    แม้ระยะทางจากโรงแรมไปยังโรงพยาบาลจะไกลกว่า 5 กิโลเมตร  แต่เขาเลือกจะเดินไปแทนแม้

    จะเหนื่อยแต่ก็เลือกประหยัด  เขาทานเพียงข้าวกล่องของพนักงานประทังชีวิต  เพียงท้องอิ่มมีแรง  ก้มหน้า

    ก้มตาทำงาน  ขอเพียงให้ผู้มีพระคุณเพียงหนึ่งเดียวของเขาหายกลับมาเป็นปกติ


                    …..แต่วันนี้มันกลับเศร้ากว่าปกติ  เศร้าซะจนอยากจะร้องไห้ออกมา  เขาร้องครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

    กันนะ  คงเป็นตอนชกต่อยกับเพื่อนละแวกบ้านในตรอกดินเหนียวอันยากแค้นลำบากแล้วโดนคุณปู่ตีซ้ำ 

    แต่วันนี้ฟ้ากลับร้องไห้แทนเขา  ฝนฟ้าที่จู่ๆก็ฝนตกลงมาอย่างไม่มีทีท่ามาก่อน


                    เขาวิ่งหลบฝนเข้าที่รอรถประจำทางข้างทาง  แสงไฟรถคู่หนึ่งแล่นฝ่าฝนมาแต่ไกล  แต่ภายใต้

    หลังคาตรงป้ายรอรถตรงนี้มีเพียงเขากับค่ำคืนฝนพรำ   นี่คงเป็นรถเที่ยวสุดท้ายของวัน  รถจอดยังป้าย

    ประจำทางตรงที่เขายืนอยู่


                    “เฮ้ย  ไอ้หนุ่ม  ขึ้นรถรึเปล่า”  พนักงานเดินตั๋วของรถประจำทางคันนั้นตะโกนถามมา  สก็อตส่าย

    หน้าตอบกลับ  เขารอให้ฝนหยุดซะดีกว่า  คงอีกนาน
    หรือไม่นาน  เขาเลือกเดินดีกว่า  พนักงานขับรถ

    ตะโกนบอกโชเฟอร์ให้ออกรถไป


                    อากาศยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บ  แต่หัวใจชายหนุ่มกลับหนาวเหน็บยิ่งกว่า  หากคิดในแง่ร้ายหาก

    คุณปู่เป็นอะไรไป  เขาจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตดี
    แต่นั่นอาจจะเป็นหนทางให้เขาเลือกทิ้งหน้าที่บริกรที่นี่

    ไปเป็นนักล่าสมบัติอย่างที่ฝันก็ได้
    ….แต่ก็คงไม่เขาต้องไม่ให้คุณปู่เป็นอะไรไปแน่นอน  แม้จะต้องทิ้ง

    ความฝันของตัวเองก็ตาม


                    สก็อต  ทอดถอนหายใจ  พร้อมกับความหวังใหม่  ไม่เป็นไรน่ะ  แม้จะไม่ได้ทำตามฝันแต่เขาก็ได้ทำ

    สิ่งที่ดีที่สุดที่เรียกว่า ความกตัญญูไปแล้ว 
    ฝนหยุดตกราวกับเข้าใจเขา


                    สก็อตก้าวเดินออกไป  ป่านนี้ปู่คงหลับ  ไม่ก็รอเรื่องเล่าของเขาอยู่เป็นแน่


     

    โรงแรมเซนท์  แกรนด์


                    หน้าห้องของคุณปู่กลับมีคุณหมอประจำที่ดูแลคุณปู่มาตลอด  อีกทั้งพยาบาลสองสามคนที่ดูแล

    แทนเขายามเขาไปทำงานที่โรงแรม  สก็อตรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติของเหตุการณ์ข้างหน้า  รีบรุดเข้าไป


                    …..คุณหมอจับไหล่สองข้างของสก็อตเพื่อหยุดรั้งเขาไว้  ก่อนจะพูดกับเขาอย่างค่อยๆว่า 

    “สก็อต  คุณปู่จากไปอย่างสงบ  ก่อนที่นายจะมาไม่นานนี้  หมอเสียใจด้วย”


                    สก็อตได้แต่ช็อค  ตะลึง  หูอื้อตาลายไปหมด  เหมือนชีวิตพังทลายสูญสิ้นทุกอย่างลงไป  สิ่งที่เขา

    ไม่อยากแล่นเข้ามาในสมองที่สุดคือเรื่องนี้  เขาได้แต่เงียบงัน  ลืมไปแล้วว่าการร้องไห้เสียใจเป็นอย่างไร 


                    “สก็อต  นายเข้มแข็งและเป็นคนดีมาก  คุณปู่คงภูมิใจในตัวนาย” พยาบาลคนนึงพูดกับเขา 

    น้ำตาคลอเบ้า  เขาดูแลคุณปู่มานานราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง  เพียงพยาบาลที่ใกล้ชิดคุณปู่ยังเสียใจ 

    แล้วเขาเล่าจะเสียใจเพียงไหน


                    สก็อตกำมือแน่น  เงยหน้าขึ้น  ไม่มีแม้น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินออกมา  แต่ในใจท่วมท้นไปด้วยน้ำตา 

    เขายากเย็นยิ่งที่จะพูดออกมา  “ขอผมเข้าไปพบคุณปู่ได้มั๊ยครับ”


                    ทั้งหมดหลีกทางให้  ราวกับสองขามีเหล็กถ่วงไว้ทั้งสองข้าง  ก้าวได้อย่างลำบากยากเย็น  คุณปู่

    นอนนิ่งภายใต้ผ้าคลุมสีขาว  คุณปู่ท่านคงหลับไปเท่านั้น  หากแต่หลับใหลไปตลอดกาล


                    …..ทำไมความสุขมันอยู่กับเราเร็วนัก  แต่เวลาทุกข์ใจเวลาช่างเดินช้าเหลือเกิน  ระยะทางจาก

    ประตูไปยังเตียงผู้ป่วยราวกับห่างไกลเท่าโรงแรมมาถึงโรงพยาบาล


                    สก็อตค่อยๆเปิดผ้าคลุมออกอย่างช้าๆ  คุณปู่หลับไปด้วยใบหน้ายิ้ม  คุณปู่จากไปอย่างสงบแล้ว 

    เขาก็ไม่รู้ว่าแท้จริงคุณปู่อายุเท่าไหร่  อาจจะเจ็ดสิบปี  หรือหกสิบกว่าปี  หรืออาจจะมากกว่านั้น  มือสองข้าง

    ของคุณปู่ประสานกันไว้ที่ท้องน้อย  เป็นท่านอนของคุณปู่ที่นอนหลับสบายยิ่ง


                    …..แต่ที่สะดุดตาเขา   ถุงมือไหมพรมสีน้ำตาล  กลับวางอยู่ข้างกายคุณปู่เมื่อใดไม่ทราบได้ 

    ตราบเท่าเวลาที่เขาดูแลคุณปู่มากลับไม่เคยเห็นถุงมือคู่นี้มาก่อน


                    เขาหยิบถุงมือคู่นั้นขึ้นมาหันไปถามกับพยาบาล  ที่ตอนนี้อยู่ข้างๆเขา


                    “คุณพยาบาลครับ  ถุงมือคู่นี้คุณลืมไว้หรือเปล่า” สก็อตถามกับพยาบาลด้วยเสียงราบเรียบ


                    “ไม่นะคะ  ตั้งแต่มาก็เพิ่งเห็นถุงมือคู่นี้  คงเป็นของคุณปู่แหล่ะค่ะ  สก็อตนายเก็บไว้เถอะ”

    พยาบาลตบไหล่เขาเบาๆเพื่อปลอบใจ


                    สก็อตเก็บถุงมือไว้แนบกาย  เขาจะรักษามันไว้ตลอดชีวิตของเขา

     

    ………………………………………..

     

    งานศพคุณปู่  จัดอย่างเรียบง่าย  เรียบง่ายเหมือนช่วงชีวิตคุณปู่ที่ผ่านมา  มีเพียงพยาบาลและคุณ

    หมอที่ดูแลมาร่วมงานและคนรู้จักอีกไม่กี่คนรวมถึงผู้ที่ฝากเขาเข้างานในโรงแรมนี้ด้วย  สก็อตเรียกติดปาก

    ว่าคุณลุง

     

    ศพคุณปู่ถูกฝังในสุสาน  ป้ายหินหลุมศพล้อมรอบกาย  มีเพียงเสียงแมลงร้องดังระงม  คุณลุงเดิน

    มาข้างกายเขาบอกกับสก็อต  “มาอยู่ด้วยกันกับลุงก็ได้นะ  บ้านลุงมี  ลุงกับป้า  แล้วก็หลานสาวอีกคน  ถ้า

    แกไม่มีที่ไป”

     

    สก็อตคลายความเสียใจไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว  เขาเข้มแข็งยิ่งกว่าใครคาดคิดไว้  เขาตอบกลับไป  “ผม

    เกรงใจคุณลุงครับ  แต่ผมคงขออาศัยจนกว่าจะหาที่พักใหม่ได้”

     

    …..ทางโรงแรมให้สก็อตลาหยุดไปได้สามวัน  นี่เป็นวันที่สองและเป็นวันแรกที่ก้าวไปอยู่บ้านคุณลุง 

    หลานสาวตัวน้อยตะโกนเจี๊ยวจ๊าวร้องจะเอานู่นเอานี่  คุณลุงต้องดุหลานสาวหลายครั้ง  อาจจะเพราะคนที่

    เข้ามาอยู่ใหม่ทำให้หลานสาวคุณลุงไม่ชิน  เขาจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอก


                    เขาจำได้เพียงทางเดินไปกลับโรงแรมไปโรงพยาบาล  โรงพยาบาลไปโรงแรม  อยู่แค่นั้น  ในเมือง

    หลวงอันกว้างใหญ่เขาไม่เคยเดินทางไปไกลกว่านั้น  ถ้าไม่สวมชุดบริกร  เขาก็มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุด  เสื้อผ้า

    เก่าๆแต่มันก็เป็นชุดเก่งของเขา  กางเกงยีนส์เก่าๆขาดๆ  รองเท้าผ้าใบมือสองที่ซื้อต่อมาจากเพื่อนร่วมงาน 

    เสื้อยืดสีเขาไม่มีลาย  ชุดคลุมสีน้ำตาลมีฮู้ดเก่าๆ   มองดูเหมือนแมวป่วยเดินได้  แต่เขาไม่สนใจสายตาคน

    มองเท่าไหร่  เดินทางฝ่าฝูงชน


                    บ้านคุณลุงอยู่อีกฝั่งของโรงแรม  ที่ต้องนั่งเรือข้ามฟากมา  เขาจึงจำยอมต้องนั่งเรือข้ามฟากมาอีก

    ฝั่งเพื่อจะมาโรงแรม  เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี  หัวหน้าฝ่ายบุคคลหัวหน้างานของสก็อตเดินออกมาจากโรงแรม

    พอดี


                    “เฮ้ย  สก็อต  เขาให้นายหยุดไม่ใช่เหรอวันนี้  มาทำอะไรที่นี่  เอ่อเสียใจด้วยนะเรื่องคุณปู่”


                    “ขอบคุณครับหัวหน้า  ผมไม่รู้จะไปไหน  เลยมาที่นี่  ผมก็ไม่เคยไปไหนซะด้วยสิ  เสียดายนะครับ

    ผมไม่ได้เจอนักล่าสมบัติเลย  ต้องทำงานอีกห้องหนึ่ง” สก็อตฝืนยิ้มให้ไป


                    “เฮ้ย  สมาคมนักล่าสมบัติน่ะเหรอ  อยากเจอก็ไปสิ  ช่วงนี้เขารับสมัครเป็นนักล่าสมบัติอยู่นา  แก

    ไม่คิดจะออกผจญภัยกับเขาบ้างรึไง” หัวหน้าต่อยเขาทีนึงเบาๆ


                    “แล้วสมาคมนักล่าสมบัติที่ว่ามันอยู่ไหนล่ะครับหัวหน้า” สก็อตถาม


                    “นี่  เดี๋ยวเขียนแผนที่ให้” หัวหน้าหยิบกระดาษโน้ตในกระเป๋าเขียนแผนที่ให้  “ไปตามเนี้ยะ  ไหนๆ 

    นานๆก็ได้หยุดแล้ว  ไปเที่ยวให้สบายใจซะหน่อย  เบื่อๆก็สมัครไปเป็นนักล่าสมบัติกับเขาก็ได้นะ  ฮ่าๆ”

    หัวหน้าเดินจากไป


                    …..ไหนๆก็ไหนๆแล้ว  วันหยุดทั้งที  จะไปก็ไม่เสียหายอะไร  แต่ใจเขากลับตื่นเต้นขึ้นมา


                    นานทีเขาจะขึ้นรถประจำทางที  เป็นพนักงานเดินตั๋วคนเดิม  เขาจำสก็อตได้  “อ้าวเฮ้ยไอ้หนุ่ม  วัน

    นั้นไม่ขึ้นรถ  วันนี้ทำไมขึ้นรถได้เนี่ย”


                    “วันนี้ผมได้หยุดงานน่ะครับ” สก็อตยิ้มกลับ  พลางหยิบ 10 เหรียญในกระเป๋าเป็นค่าเดินทาง


                    ท่าทางเก้ๆกังๆ  ทรงตัวไม่ค่อยอยู่  ทำเอาคนรอบข้างต้องมองเขาเป็นจุดสนใจ  สก็อตก้มหน้าล้วง

    ไปในกระเป๋าเสื้อคลุม  ปลายนิ้วสัมผัสกับถุงมือไหมพรมสีน้ำตาลที่คุณปู่ทิ้งเอาไว้ต่างหน้าเขาเก็บไว้ติดตัว

    ตลอดเวลา 


                …..เปรี๊ยะ….ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัส  ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านปลายนิ้ว  จนเขาชักมือออ

    อกมาจากกระเป๋า   
    ในใจเขาหาคำตอบให้กับตัวเอง “ไม่มั้ง  คงเป็นไฟฟ้าสถิต”
     

                    สก็อตลงรถตรงป้ายที่หัวหน้าเขียนไว้ให้  เจอสวนสาธารณะ  ต้องเดินตัดนี่ไปถึงจะถึงตึกของ

    สมาคมนักล่าสมบัติ  แต่ธรรมชาติโดยรอบของสวนสาธารณะทำให้เขาอดที่จะสูดลมหายใจเข้าไปเต็มๆปอด

    ไม่ได้


                    สก็อตเลือกม้านั่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง  พักซักหน่อยแล้วค่อยไปต่อแล้วกัน  คิดแล้วก็หยิบถุงมือใน

    กระเป๋าออกมา  แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆออกมา


                    “ปู่นะปู่  ซ่อนของดีไว้ก็ไม่บอกเรา  ดูซิ  มาให้ตอนจากไปแล้วเนี่ย”สก็อตมองมันแล้วก็อดคิดถึงคุณ

    ปู่ไม่ได้


                    …..ไหนๆก็ไหนๆละ  ลองสวมมันดูก็ไม่เสียหาย  เขาสวมถุงมือไหมพรมสีน้ำตาลทีละข้าง  ห้านิ้ว

    ข้างสุดท้ายสวมไปในถุงมือ  มันกลับพอดีมืออย่างแปลกประหลาด 


                    …..อ๊าก..กกกสก็อตร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด  ราวกับเข็มนับร้อยทิ่มแทงมือทั้งสอง

    ข้าง  ถ้ามันเป็นมดคงเป็นมดนับร้อยรุมกัดอยู่  แต่มันคงเป็นมดช้างแน่ๆ  ราวกับถุงมือมีเขี้ยงงอกออกมา 

    เจ็บปวดราวกับถูกสัตว์ร้ายกัดมือสองข้างจมลึกไปถึงกระดูก  ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้  กลิ้งลงไปบนพื้นดิ้น

    อย่างทุรนทุราย


                    …..นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้  แต่มือข้างหนึ่งมาเขย่าเขาเบาๆ “ไอ้หนุ่ม  เฮ้  ทำไมมานอนอยู่นี่  เมื่อ

    กี้นานร้องทุรนทุราย  เป็นอะไรรึเปล่า”


                    คนนับสิบมุงดูเขาอยู่  บางคนกระซิบกระซาบว่า อาจจะสงสัยเล่นยามาแน่ๆสภาพแบบนี้  สก็อ

    ตลุกปัดแขนขา  บอกขอบคุณชายใจดีดังกล่าว  ก่อนจะเดินห่างออกมา


                “นี่เราเป็นอะไรไป  หรือเผลอหลับแล้วกลิ้งตกเก้าอี้” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง  แต่ความเจ็บปวดเมื่อ

    ครู่ยังจำได้  หรือตัวเองไม่ได้ฝันไป  แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ


                    สก็อตยกมือสองข้าง  แบมืออกมาดู  ….ถุงมือคู่นั้นมันหายไปไหนกัน….  เขาต้องกลับไปที่ม้านั่ง

    อีกครั้ง  กลับพบแต่ความว่างเปล่า  ล้วงไปในกระเป๋าก็ไม่พบ


                    สก็อตลนลานจนลืมไปว่าเป้าหมายตัวเองอยู่ที่สมาคมนักล่าสมบัติ  เขาก้มหน้าเดินอย่าง

    กระวนกระวายใจ  สิ่งของสำคัญกลับหายไป  จนเขาเดินไปชนกับชายคนหนึ่งที่วิ่งออกกำลังกายในสวน

    สาธารณะ  ในมือเขาถือขวดน้ำมาด้วย  ทั้งสองล้มลง  สก็อตกล่าวขอโทษที่ไม่ได้ตั้งใจ  ชายดังกล่าวไม่ถือ

    โทษโกรธอะไร


                    “ผมขอโทษครับ  ผมไม่ได้มองทาง”  สก็อตก้มหยิบขวดน้ำที่กลิ้งหลุนๆมาอยู่ข้างเท้า  ทันทีที่มือนั้น

    กุมขวดน้ำ  ถุงมือสีน้ำตาลกลับปรากฏให้เห็นราวกับมีเวทย์มนต์  เขารีบยื่นขวดน้ำให้ชายดังกล่าว


                    “เมื่อกี้มันยังเย็นอยู่เลยนะ  ไม่เย็นซะละ  ไรวะ”  ชายดังกล่าวหยิบขวดน้ำแล้ววิ่งออกไป


                    ….สก็อต  หันหลังกลับ  ตัดสินใจไม่ไปสมาคมนักล่าสมบัติแล้ว  เขาเลือกจะกลับบ้านคุณลุงดี

    กว่า  เรื่องที่เกิดเกินรับไหวจริงๆ


                   

    บ้านคุณลุง  ห้องใต้บันได


                    คุณลุงรื้อห้องใต้บันไดที่แต่เดิมเป็นห้องเก็บของ  จัดเป็นห้องเล็กๆให้สก็อตได้พอพักอาศัยไปได้

    ระยะหนึ่ง  ห้องอับและร้อนไปบ้าง  แต่เขาก็บอกกับคุณลุงว่าไม่ต้องห่วงเขาอยู่ได้  ไม่ลำบากอะไร


                    “เมื่อกลางวัน  มันเรื่องบ้าบออะไรกัน  หรือมันจะเป็นถุงมือวิเศษของปู่” สก็อตบ่นพึมพำผุดลุกผุด

    นั่ง  เรื่องหนึ่งที่เขาแว้บเข้ามาในหัวสมอง  เรื่องหนึ่งที่คุณปู่เล่าให้ฟังยามเด็ก  พอเขาโตขึ้นเขากลับคิดว่า

    เรื่องนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลหลอกเด็ก  แต่เรื่องราวคล้ายจะจำได้  แต่ก็ติดที่ปาก  มันเป็นเรื่องเล่าที่คุณปู่เล่า

    ครั้งเดียวไม่เคยเล่ามันซ้ำเป็นครั้งที่สอง  ถึงของวิเศษชิ้นหนึ่ง  มันชื่ออะไรนะ
    …..


                    ในที่สุด  สก็อตก็คิดไม่ออก  ไปเล่นกับหลานสาวคุณลุงดีกว่า  “ยูริเล่นอะไรอ่ะ  พี่เล่นด้วยได้ป่า

    วอ่ะ  นั่นอะไรน่ะ  หมวกนั่นทำเองหรอ
    ” ยูริหลานสาววัยหกขวบกำลังช่างพูดช่างเจรจา  ครั้งหนึ่งที่ไป

    เยี่ยมคุณปู่เขาเว้าวอนอ้อนให้คุณปู่เล่านิทานให้ฟังบ่อยๆ   อาจจะไม่ได้เจอกันเพราะสก็อตเองก็ไปทำงาน


                    “พี่สก็อต  มาเล่นด้วยกันซี่  เนี่ย  ยูริจะเป็นนักล่าสมบัติ  โย่ว” พูดจบก็หยิบดาบขึ้นมากวัด

    แกว่ง


                    ….”ปู่นะปู่  ยังจะเล่าให้ยูริฟังอีก  เดี๋ยวพอโตมาไม่ใช่อยากเป็นนักล่าสมบัติเหมือนเราอีก

    ล่ะ”
    ….สก็อตพูดกับยูริ  “เฮ้  นักล่าสมบัติหญิงมีที่ไหนกันเล่า”


                    “มีสิ  คุณปู่ยังเล่าให้ฟังเลย  ใช้ดาบด้วย  แชว้ง” ยูริเถียงกลับ


                    “งั้น  พี่ขอหมวกยูริละกัน  พี่จะเป็นนักล่าสมบัติตัวร้าย  มาสู้กัน” สก็อตจะหยิบหมวกที่สวมอยู่บน

    ศีรษะของเด็กสาว  แต่ยูริยื้อแย้งกลับ


                    “ไม่ได้  นี่มันอาภรณ์พระเจ้าของหนูนะ  ห้ามเอาไป  พี่สก็อตไม่มีสู้ไม่ได้หรอก  นี่แน่ะ”….ยูริพูดขึ้น

    พลางฟันดาบลงกลางอากาศ


                    …..ใช่แล้ว!!!...นี่ล่ะ  มันคือ  อาภรณ์พระเจ้าที่คุณปู่เล่าให้ฟังสิ่งของวิเศษในตำนานที่ใคร

    ได้สวมใส่จะมีพลังวิเศษ


                    สก็อตถามย้ำยูริอีกครั้ง  “ยูริ  ใครเล่าให้หนูฟัง  เรื่องอาภรณ์พระเจ้า”


                    ยูริหยุดฟันดาบ  เงยหน้าตอบสก็อต “ก็คุณปู่ไง”


                    ….ไม่แน่  ถุงมือไหมพรมสีน้ำตาลของคุณปู่  มันอาจจะเป็น  อาภรณ์พระเจ้าจริงๆก็ได้ แต่เขา

    ก็อยากลองอะไรบางอย่าง


                    “ยูริ  มากับพี่หน่อยสิ”


                    ยูริทำหน้างงๆเล็กน้อย “ไปไหนคะ”


                    สก็อตจูงมือยูริมายังอ่างล้างจาน  เขาหยิบแก้วมาหนึ่งใบ  เทน้ำจากก๊อกน้ำใส่แก้ว ลองสัมผัส

    อุณหภูมิในน้ำไม่ร้อนไม่เย็น  เท่ากับอุณหภูมิห้องปกติ สก็อตสั่งหลานสาว  “ยูริ หลับตาลงซิ”


                    ยูริยกสองมือมาปิดตา  อีกมือยังถือดาบของเล่นอยู่ “ปิดแล้วๆ”


                    สก็อตเห็นหลานสาวปิดตาแล้ว  ก็ลองเพ่งสมาธิดู  ดั่งใจนึก  สองมือที่กุมแก้วอยู่  ปรากฏถุงมือ

    ไหมพรมสีน้ำตาลขึ้นมาอีกครั้ง  ปรากฏเพียงห้าวินาทีก็หายไป 


                    “เปิดตาได้ยังพี่สก็อต” ยูริบิดตัวไปมา


                    “ได้แล้วๆ  เอานิ้วจุ่มในแก้วแล้วบอกพี่ทีว่ามันเป็นไง”


                    ยูริ  กล้าๆกลัวๆ  ก่อนจะเอานิ้วชี้จุ่มลงไปสัมผัสน้ำในแก้ว  …. “อุ่น  ไม่ร้อน  มันอุ่นๆ”


                    สก็อตยิ้มให้กับหลานสาวแล้วเทน้ำลงไปในอ่าง  “ป่ะ  ไปเล่นกันต่อ  พี่สก็อตมีอาภรณ์พระเจ้าแล้ว

    ล่ะ”


                    ยูริร้องตะโกนดีใจ  วิ่งนำหน้าออกไป  …….


    ………จบตอน

                   

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×