ตอนที่ 9 : MAN : 8
8
“แล้วความรู้สึกที่ผมมีผมอยากจะบอกว่าผม…รักพี่”
มันคือทรัมเป็ตอะไรครับ ทำไมไอ้คุณน้องโอเซถึงมาบอกกับผมด้วยเรื่องอะไรเยี่ยงนี้ ก็พอรู้อยู่ว่าน้องเขาคิดอะไรกับผม แต่ก็ไม่ได้แน่ใจอะไรนัก แล้วนี่ถึงกับรักเลยผมก็เลยอึ้งไปตามระเบียบ
บอกตามตรงนะ ว่าตอนนี้ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะรักใครเลย ผมไม่ใช่คนที่ไร้หัวใจ ไม่ใช่ไม่หวั่นไหวกับทุกสัมผัสที่เขามีให้เหล่านั้น แต่ผม…
“กลัว” ที่จะต้องเริ่มใหม่กับใคร
“กลัว” ว่าสักวันหนึ่งจะต้องมาเจ็บแบบที่เคยเป็น
ใจผมไม่ได้ด้านชาอย่างที่คิดไว้หรอก
มันแค่เจ็บจนชา เหมือนเอาแอลกอฮอล์ราดบนแผลสดตอนแรกจะแสบแล้วเราจะเริ่มรู้สึกชา แต่พอมามีแผลครั้งใหม่เอาแอลกอฮอล์ราดอีก มันก็แสบจนชาอีกซ้ำไปเรื่อยๆ มันไม่มีทางชินจนไม่เจ็บได้จริงๆหรอก
ผมก็มนุษย์คนหนึ่ง ที่อ่อนไหวกับคนที่มาทำดีด้วย อ่อนไหวกับสัมผัสที่แสดงถึงว่ารักนั้น แม้ว่าในบางครั้งมันคือการแสดงละครฉากใหญ่ผมก็พร้อมที่จะเชื่อมัน ช่างใสซื่อ และน่าอันตราย … ผมอยากจะฝึกให้ตัวเองดูกร้านโลกให้มากกว่านี้ ไม่อยากจะดูอ่อนต่อโลกในสายตาใครๆ
แต่สุดท้าย… ผมก็ไม่เคยต่างจากแต่ก่อนเลยแม้แต่น้อย
“ผมรู้ว่าพี่อาจจะลำบากใจแต่ลองคบกับผมดูก่อน แล้วจะเอายังไงค่อยว่ากันอีกที” เอ่อ ผมว่านี่มันจะเป็นการมัดมือชกเกินไปหรือเปล่า แต่ผมอยากจะเป็นแฟนกับพี่เขาจริงๆนะ -3-
“อืม…” เสียงตอบรับที่ทำให้ผมยิ้มจนแก้มปริ เหมือนจะดูเผด็จการ แต่เมื่อมีโอกาสก็อย่าปล่อยให้มันหลุดลอยสิ
“พี่ยอมคบกับผมแล้วจริงๆใช่ไหมครับ”
“ไม่เป็นก็ได้นะ เหอะ”
“โอ๊ย พี่ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว .///. แล้วตอนนี้ผมตองทำไงต่อ” ผมไม่เคยเป็นฝ่ายขอคบใครก่อนจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึง ณ จุดนี้แล้วต้องทำยังไงต่อ
“จูบมั้ง” คนตัวเล็กพูดแล้วก็มองไปทางอื่น
คงจะเขินอยู่ล่ะสิ -..- แต่เมื่อเขาเสนอผมก็ขอสนองเลยแล้วกัน
อุ๊บ
ริมฝีปากบางนั้นหวานปานน้ำผึ้งหยดย้อย ร่างสูงคอยดูดเม้มไปตามริมฝีปากบางอย่างอารมณ์ดี หวานจนอยากจะสูบน้ำหวานออกมา เหมือนสิ่งเสพติดที่ยากจะเลิก จากจังหวะช้าเนิบๆและอ่อนหวาน กลับกลายมาเป็นเร่าร้องเมื่อร่างสูงสอดลิ้นหนาเข้าไปในปากบางอย่างรวดเร็ว ไร้พิธีรีตอง เพียงแค่ใช้ชั้นเชิงอย่างการพยุงท้ายทอยฝ่ายตรงข้ามแล้วกดจูบ
พอลิ้นหนาสอดเข้าไปเสียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงเสียงสัมผัสจากมือใหญ่ที่คอยลูบไล้ไปตามสะโพกบาง และเสียงริมฝีปากทั้งสองที่กำลังเล่นกันอย่างเมาส์มันและเร่าร้อน
อารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้นมามันยากที่จะสงบ เสือก็ยังคงเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ ร่างสูงผลักร่างบางลงกับพื้นโซฟาแล้วทำการระดมจูบไปตามใบหน้าอย่างอ่อนโยน และริมฝีปากหนาก็เริ่มเลือนลงมายังคอขาวที่กำลังล่อตาล่อใจชวนให้กลืนน้ำลายดังอึก
แล้วคืนนั้นก็คงต้องจบลงบน…เตียง
ผมตื่นขึ้นมารู้สึกมึนหัวไปหมด ความทรงจำสุดท้ายที่มีคือตอนที่ผมวิ่งไปผลักคุณแม่ของชานยอล แล้วรู้สึกว่ารถคันนั้นพุ่งตรงมายังผม ผมพยายามจะกระโดดหลบแต่ก็ไม่ทัน
แล้วที่นี่ที่ไหนกัน แต่ความรู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัวนี้คงไม่ได้แปลว่าผมตายไปแล้วหรอกมั้ง ที่นี่เหมือนโรงพยาบาล ผมมองไปรอบๆแต่ไร้ผู้คน ใครกัน…ที่มาส่งผม สงสัยจะเป็นพลเมืองดีแถวๆนั้นก็ได้มั้ง ตอนนี้ชานยอลจะรู้หรือเปล่านะว่าผมอยู่ที่นี่
แต่ก็นะ…ใครจะไปรู้ล่ะ เขาอยู่ตั้งไกลขนาดนั้น
‘ไกล’ จู่ๆคำนี้ก็แวบเข้ามาในหัว แต่ก่อนผมไม่เคยคิดที่จะกลัวคำนี้เลยมันก็แค่คำบุพบทคำหนึ่งก็เท่านั้น แต่ ณ ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอ่อนไหวกับคำนี้มาก ถ้าถามว่ากลัวหรอ? ก็คงเกือบใช่แล้วล่ะ รักบนระยะทางไกลนั้น ก็คงต้องมีแต่ความเชื่อใจเท่านั้น
แต่ผมอยากจะให้เขาปล่อยวาง ผมรู้สิ่งที่ผมจะบอกออกไปนั้นมันดูไร้สาระและดูปัญญาอ่อนพอสมควร แต่ผมอยากบอกว่าผมอยากจะ ‘เลิก’ กับเขา อยากให้ทั้งคู่อยู่ในสถานะเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่กล้ำกึ่งแบบนี้ ให้เขาได้อิสระไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังเวลาเจอใครที่ดีกว่า กลัวว่าผมจะโกรธหรืออะไร
ผมอยากจะให้เขาอยู่กับตัวเอง คิดทบทวนว่าเรื่องระหว่างเรามันคือ ‘ความรัก’ หรือ ‘ความใกล้ชิด’ กันแน่ ระยะทางขนาดนี้มันคือเครื่องพิสูจน์ชั้นดีเลย ถ้าหากเขากลับมาที่นี่อีกครั้ง แล้วเรายังมีความรู้สึกว่า ‘รัก’ กันอยู่ล่ะก็ จะคบกันอย่างเปิดเผยไม่ว่าใครจะคัดค้านยังไงก็ตาม แต่ถ้าตอนนั้นเขาพา ‘ใครคนหนึ่ง’ ที่เขารัก เราก็จะกลายเป็นเพียงคนรู้จักกัน…
ที่นี้เอาไงดีแม้จะขยับตัวยังลำบากเลย จะหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงมาก็ยากเหลือเกิน แต่ตอนนี้ผมจะต้องทำสิ่งที่ผมคิดอยู่ก่อนที่จะเปลี่ยนใจ
อีกนิดเดียว…
อ๊ะ! ได้ล่ะ พอผมได้โทรศัพท์มาก็ทำการกดโทรไปยังเบอร์ที่ผมจำได้ขึ้นใจ มือขวาตอนนี้ยังคงเข้าเฝือกอยู่แต่มือซ้ายมีเพียงนิ้วก้อยที่ซ๊นอยู่เท่านั้น เลยสามารถกดโทรได้ ตอนนี้ที่ออสเตรเลียคงเวลาไม่ต่างจากที่นี่เท่าไหร่หรอก
"แบคฮยอน" เสียงทุ้มที่ปลายสายดังขึ้น
“อืม…ชานยอลหรอ” ผมพูดไป แต่รู้สึกว่ามันพูดลำบากมาก คอแห้งผากไปหมด
"มึงโทรมาทำไม เปลืองเงินจะตายทำไมไม่ไลน์มาล่ะ"
“กูอยากได้ยินเสียงมึง”
"แหม…คิดถึงอ่ะสิ -…-"
“อืม กูมีเรื่องสำคัญจะบอก”
"อะไรหรอ อย่าบอกนะว่ามึงจะย้ายตามกูมา กูโคตรดีใจเลยนะเว้ย" เสียงทุ้มแสดงออกถึงความดีใจ
“เปล่า กูจะบอกว่า…”
"ว่าอะไรวะ"
“เราเลิกกันเถอะ”
"มึงฮาไปล่ะ เราไม่ได้เป็นแฟนกัน เลิกไม่ได้เว้ย" มันพูดติดตลกแต่น้ำเสียงมันบ่งบอกว่าจะร้องไห้เต็มที และนี่คือข้อดีของการโทรคุย ไม่ต้องเห็นหน้าแต่รู้ถึงน้ำเสียงว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกยังไง
“เลิกทำแบบนี้เถอะ เวลามันทำให้กูรู้ว่ากูไม่ได้รักมึง” พูดเองก็เจ็บเอง ใครว่าคนที่บอกเลิกไม่เจ็บ ตอนนี้ผมเจ็บมาก แทบจะอ้าปากเปล่งเสียงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มันสั่นไปหมด แต่ก็ต้องกดอารมณ์ไว้ รีบๆพูดให้หมด
"นี่ผ่านมาไม่ถึงเดือนมึงเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยหรอ" เสียงปลายสายถามกลับมาด้วยเสียงตัดพ้อ
“ใช่ งั้นแค่นี้นะ กูเหนื่อย” เหนื่อยที่จะต้องบังคับให้ตัวเองเย็นชาและใจแข็ง
"เหนื่อย…นี่มันแค่ตอนเช้า มึงไปอะไรกับใครมา" มึงก็คิดได้เนอะ แต่ผมเข้าใจการใช้ประโยคกำกวมกับสถานการณ์แบบนี้มันก็ทำให้คิดเหมือนกันแหล่ะ
“แล้วแต่มึงจะคิด ลาก่อน” ผมวางสายและทำการปิดเครื่องทันที
ลาก่อน…ความรักครั้งแรกของผม
วันนี้กะว่าจะมาเฝ้าแบคฮยอนเขาหน่อย วันนี้เหมือนลู่หานเขาจะไม่ว่างมาเฝ้าตอนเช้าก็เลยมานั่งเฝ้าซะเลย หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุแบคฮยอนเขาหลับยาวมาเป็นอาทิตย์จนฉันเองก็แอบใจหวิวๆว่าจะเป็นเจ้าชายนิทราหรือเปล่า แต่หมอบอกว่าร่างกายค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ เหมือนกับว่าไม่อยากจะหาย อยากจะหลับไปนานๆ
พอฉันเดินมาถึงหน้าห้องก็ได้ยินเสียงเล็กหวานดังออกมาจากห้อง ฉันจำได้ว่าเสียงนั้นคือเสียงของเด็กน้อยที่เมื่อก่อนชอบมาเล่าเรื่องต่างๆให้ฉันฟัง
เดี๋ยวนะ…แบคฮยอนฟื้นแล้วงั้นหรอ และก่อนที่ฉันจะเปิดประตูเข้าไป
แบคฮยอนคุยกับใคร พอสมองจับบทสนาคร่าวๆได้ ฉันก็เลือกที่จะหยุดฟังอยู่ที่หน้าห้อง รู้สึกเหมือนว่าคนตัวเล็กในห้องกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
/ อืม กูมีเรื่องสำคัญจะบอก /
/ เปล่า กูจะบอกว่า… /
/ เราเลิกกันเถอะ / เลิก…คนที่อยู่ปลายสายคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกซะจากชานยอล มือไวเท่าความคิดฉันเลือกที่จะกดโทรหาชานยอลที่อยู่ไกลไปอีกทวีปนึง ผลปรากฏว่า สายไม่ว่าง
/ เลิกทำแบบนี้เถอะ เวลามันทำให้กูรู้ว่ากูไม่ได้รักมึง / ไม่ได้รักแล้วมาช่วยฉันทำไม ไม่ได้รักแล้วที่ลู่หานเล่าว่าแบคฮยอนร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนหลังจากที่ชานยอลไปคืออะไร แล้วถ้าไม่รักตอนที่นอนหลับอยูเขาจะละเมอชื่อของชานยอลทำไม
แบคฮยอนเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
และคำว่าลาก่อนนั่นอีก เขาจะทำอะไรกันแน่
แกร๊ก
เสียงประตูเปิดหลังจากที่ผมกดปิดเครื่องไป ตอนแรกผมก็นึกว่าจะเป็นพวกลู่หานหรือไม่ก็คุณพยาบาลที่เข้ามาเปลี่ยนขวดน้ำเกลือ แต่กลับเป็นคนที่ผมไม่คาดคิด
แม่ของชานยอล…
เขามาทำอะไรที่นี่ หรือเขาเข้ามาผิดห้องนะ
“แบคฮยอน” เสียงแหบพร่าตามภาษาคนมีอายุดังขึ้นเรียกสติของคนตัวเล็กที่นอนอยู่บนเตียง
“คุณ…”
“ขอบใจนะที่ช่วยชีวิตฉันไว้” นี่อาจจะเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่เขาได้ยินจากคนๆนี้ เพราะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอแทบจะไม่คุยกับเขาเลย
“ครับ” คนตัวเล็กพยายามลุกขึ้นนั่ง เพราะกำลังคุยกับผู้ใหญ่อยู่จะนอนคุยก็กลัวเสียมารยาท แต่สังขารมันไม่ให่นี่สิ “โอ๊ะ” คนตวเล็กร้องออกมาหลังจากที่ขยับตัวได้แค่นิดเดียว เพราะกระดูกซี่โครงบางส่วนถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจะเกือบหัก
“ไม่ต้องลุกหรอก นอนเถอะ” เมื่อเห็นคนตัวเล็กพยายามจะลุก คนเป็นแม่ก็เขยิบมาพยุงไว้ให้นอนลง
เขารู้สึกไม่ชินกับการกระทำเหล่านี้ คุณแม่ของชานยอลเลิกโกรธเลิกเกลียดเขาแล้วหรอ
“แล้วคุณป้ามาทำอะไรที่นี่หรอครับ แล้ว…”
“เรียกแม่เหมือนเดิมเถอะ วันนี้แม่เอาผลไม้มาให้ ไม่รู้ว่าวันนี้แบคฮยอนฟื้น ไม่อย่างนั้นแม่จะได้ทำข้าวต้มร้อนๆมาให้ กลับไปหลายวันคงอยากจะกินอาหารน่าดูล่ะสิ” คุณแม่เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆเหมือนที่ผมเคยได้ยินมาเมื่อนานมาแล้ว ทำเหมือนว่าเรื่องต่างๆนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ครับ”
“เมื่อกี้หนูคุยโทรศัพท์หรอ” คุณแม่พูดพลางจัดผลไม้ลงบนจนเพื่อเตรียมปอกเปลือก
“คุณแม่ได้ยิน…”
“จ้ะ ชานยอลใช่หรือเปล่า” แย่ล่ะ คุณแม่เขาได้ยินงั้นหรอ ทำไงดีล่ะ
“คือ…”
“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของหนู แม่จะขอไม่ห้ามหรอก แต่จะทำอะไรคิดหน้าคิดหลังดีๆ เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง แต่ถ้าหนูคิดว่ามันถูกแล้วแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร”
“ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป” อย่างน้อยการที่ได้เล่าอะไรให้ใครคนนึงรับฟัง มันก็คงเบาใจได้มากกว่านี้
“…”
“เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลง ผมไม่อยากรั้งให้เขาต้องมาจมปรักอยู่กับผม อยากให้เขาได้เปิดมองโลกกว้าง ได้พบกับผู้คนมากมายที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต”
“แล้วชานยอลเขาอยากได้อย่างนั้นหรอ”
“ผม…ไม่รู้ แต่อยากให้เขาเปิดใจรับคนใหม่ๆ ไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องของผม”
“อืม…แม่เข้าใจ การจากคนที่เรารักไปอยู่ไกลๆโดยที่ไม่มีกำหนดกลับที่แน่ชัด ทุกคนมีความรู้สึกกลัวทั้งนั้นล่ะลูก กลัวว่าเขาจะทิ้งเรา กลัวไปหมดทุกอย่าง วิธีของแบคก็ดี แต่วิธีการพูดของหนูมันจะทำให้ชานยอลคิดว่าหนูหมดรักเขาแล้วจริงๆ และสุดท้ายหนูอาจจะต้องมาเสียใจ” คุณแม่นั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงแล้วก็จับมือผมไว้
“ถ้าผมใช้วิธีบอกเรื่องที่ผมคิดไปตรงๆ ผมกลัวว่าเขาจะไม่ยอม สู้ให้เขาคิดว่าผมหมดรักไปเลยดีกว่า”
“เอาเถอะ นั่นคือชีวิตหนูไม่ใช่ชีวิตแม่ แม่จะขอไม่ก้าวก่ายให้มากนัก แต่แม่จะคอยอยู่ห่างๆมีอะไรก็พูดออกมาจะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันแบ่งเบาความทุกข์นะรู้ไหม?”
“ขอบคุณนะครับ ^^ แล้วคุณแม่ไม่…เกลียดผมแล้วหรอ”
“…ก็ทิฐิมันค้ำคอล่ะมั้ง แต่เมื่อเห็นแบคในสภาพนี้เพราะแม่แล้วแม่ก็ทำใจไม่ได้ ทั้งๆที่แม่แสดงออกชัดเจนเลยว่าไม่ชอบแบค แต่แบคก็ยังมาช่วยแม่ไว้ แล้วตัวเองต้องมาเจ็บตัวแบบนี้อีก แม่ขอโทษนะ”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณแม่หรอกครับ แล้ว…ตอนนี้ที่บ้านผมรู้หรือยังครับว่าผมอยู่ที่นี่”
“ยังหรอก แม่กลัวว่าถ้าบอกไปแม่ของเธอจะเครียดแล้วบินตรงดิ่งดลับมา งานทางนั้นยุ่งๆอยู่ ทางนี้แม่จะจัดการเองไม่ต้องเป็นห่วง แบคก็เหมือนลูกของแม่คนนึงนะ”
“ขอบคุณครับ”
“จ้ะ เดี๋ยวแม่ไปบอกคุณหมอก่อนว่าแบคฟื้นแล้ว”
“ครับ ^^” วันนี้ผมคิดว่าเป็นวันที่ดีมาก เป็นวันที่ผมรอคอยมาตลอดว่าคุณแม่เขาจะยอมรับในตัวผมซะที แต่ก็คงจะเป็นวันที่ดีไม่มากเท่าไหร่นัก ก็ผมดันพูดอย่างนั้นกับชานยอลไป
คิดไปคิดมา ถ้าชานยอลไปมีคนอื่นจริงๆ ผมจะทนได้หรอ?
เป็นคำถามที่น่าคิดนะ…
หลังจากเรื่องเมื่อคืนนั้นผมก็เก็บมาคิด
ผมทำถูกหรือเปล่า ที่คบซ้อนอย่างนี้ แต่นี่ก็นานมาแล้วพี่คริสไม่เคยติดต่อมาหาผมเลย มันดูแปลกดีนะ ทั้งๆที่พี่เขามาขอคืนดีกับผมเองแท้ๆ แต่อยู่ๆก็หายไปในเวลาเพียงไม่ถึงอาทิตย์
แปลก… แต่เรื่องอะไรที่ผมจะปล่อยให้เรื่องมันดำเนินไปเอื่อยเฉื่อยอย่างนี้ล่ะ ผมตัดสินใจโทรหาพี่คริสทันที ผมว่าผมปล่อยให้แผนมันว่าเปล่ามานานแล้วล่ะนะ…J
"สวัสดีค่ะ" เสียงหวานของผู้หญิงดังขึ้นจากปลายสาย เอ๊ะ! ผมโทรผิดหรอ ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าผมกดเบอร์ถูกหรือยัง
…พี่คริส… ไม่ผิดหรอก
ผมขอเงียบเพื่อดูท่าทางก่อนดีไหมนะ ไม่ดีกว่า อยากรู้อะไรก็ต้องถามถึงจะถูก
“ผมขอสายพี่คริสหน่อย”
"คริสอยู่ในห้องน้ำค่ะ มีอะไรฝากบอกได้นะคะ" หืม…? ไม่เหวี่ยงแฮะ ท่าทางจะเป็นคนดีเหมือนกัน แต่อย่าเพิ่งตัดสินใจจากประโยคแรกที่ได้ยินเลย คอยดูต่อไปก่อนเถอะ
“ถ้าเขาออกจากห้องน้ำแล้วฝากบอกให้เขาโทรกลับด้วยนะครับ”
"ค่ะ แล้วจะบอกให้ จะให้บอกว่าใครโทรมาหรอคะ"
“หืม? เขาไม่ได้เมมชื่อผมไว้หรอ” อะไร…ทั้งๆที่ตอนโทรไป น่าจะขึ้นชื่อผมขึ้นมาแล้วสิ
ไม่นี่คะ แล้วคุณชื่อ…
“ผม ลู่หานครับ”
"ค่ะ คุณลู่หานนะคะ เดี๋ยวฉันจะบอกคริสเขาให้" ทำไมไม่รู้จักผมนะ ทั้งๆที่เป็นอะไรๆกับพี่เขาแต่กลับไม่รู้ว่าผมคือใคร
“งั้นรบกวนด้วยนะครับ”
"ค่ะ" แล้วสายก็ตัดไป
หึ…พี่กล้ามากจริงๆนะ หลอกผมแล้วหลอกอีก ชักจะน่าสนุกแล้วนี่นา
คุณสงสัยใช่ไหมว่าทำไมผมต้องกลับไปคบกับลู่หานทั้งๆที่น่าจะหมดรักกันไปแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงพอห่างกับคนตัวเล็กผมก็ไม่ได้รู้สึกคิดถึงอะไรมากนัก แต่พอเห็นเขากับคนอื่นผมทนไม่ได้ ของๆผมจะมาแย่งกันไป มันไม่โอเคแน่ และที่สำคัญผมอยากจะรวมเครือเสี่ยวเข้ามาด้วย ธุรกิจก็จะยิ่งใหญ่เข้าไปด้วย
ส่วนพี่นายองผมน่ะ รัก…รักมาก รักจริงๆ แต่พี่เขาไม่ได้เป็นคนมีฐานะอะไรมากนัก ที่บ้านผมไม่ยอมรับพี่เขา แต่การทำให้ที่บ้านยอมรับ มันยาก ผมเลยอยากจะเอาเรื่องของลู่หานมาช่วยบังหน้าแล้วคบกับพี่นายองอย่างลับๆต่อไป
ผมรู้…มันคือการเห็นแก่ตัว
แต่การเห็นแก่ตัวเรื่องความรักนั้นมันไม่ผิดไม่ใช่หรอ?
ส่วนเรื่องที่ผมหายไปนานเพราะอะไรน่ะหรอ แค่ขอเวลาวางแผนสลับลางรถไฟก่อนน่ะสิ เอาตามจริง ตอนที่ผมไปขอคืนดีกับลู่หานผมยังไม่ได้คิดแผนล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ คิดอะไรก็ทำเดี๋ยวนั้นเลย คุณคงไม่คิดว่าผมใช้เวลาเป็นเดือนการคิดแผนหรอกนะ ที่นานเพราะผมต้องกลับจีนไปจัดการเรื่องบางเรื่องน่ะสิ ดันมีบริษัทบางบริษัทมันคิดจะเล่นตุกติกกับบริษัทผม
การที่ไม่ได้ไปเจอ ใช่เวลาผมจะไม่รู้ความเป็นไปของคนตัวเล็กหรอก ผมส่งคนไปตามติดเขาทุกวัน เพื่อดูว่าตอนนี้คนตัวเล็กทำอะไรอยู่บ้าง
“ใครโทรมาหรอพี่” ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวและยืนเช็ดผมอยู่
“เขาบอกว่าชื่อลู่หานน่ะ” พี่เขาพูดแล้วก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผม
ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก พี่นายองเขาเป็นคนดีมาก ผมก็เลยไม่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผมในอดีตให้พี่เขาฟังหรอก พี่เขาก็พลอยไม่รู้จักลู่หานไปด้วย
“ขอบคุณนะครับ” ผมรับโทรศัพท์มาแล้วเดินออกไปทางระเบียงเพื่อต่อสายกับคนตัวเล็กที่โทรมาเมื่อครู่ ส่วนพี่นายองก็นั่งมองผมอยู่บนเตียง ก็ผมบอกแล้วไงว่าพี่เขาดูใสซื่อและดีมาก ถ้าเห็นว่าผมเดินหนีออกมาคุยโทรศัพท์ก็แปลว่าเป็นเรื่องส่วนตัว จะไม่มีเซ้าซี้ เนี่ยแหล่ะถึงน่ารัก J
"พี่คริส" เสียงปลายสายดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งไม่แสดงอารมณ์อะไรทั้งสิ้น
“ครับ สบายดีหรือเปล่า”
"พี่หายไปไหน ไม่ติดต่อผมมาเลย"
“บริษัทที่จีนมีปัญหาน่ะพี่เลยต้องไปจัดการทางนั้น เพิ่งจะกลับมาเองนะ”
"หรอครับ ผมอยากเจอพี่จัง"
“อืม เอาสิพี่กำลังคิดเราอยู่เลย งั้นอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันที่คอฟฟี่ช็อปหน้ามอก็แล้วกันนะ”
"ครับ พี่พาคนที่รับโทรศัพท์ผมเมื่อกี้มาด้วยนะครับ" ทำไมลู่หานพูดอย่างนั้นล่ะ หรือว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ บ้าน่าอย่าเพิ่งคิดมาสิคริส อย่าร้อนตัว
“มีอะไรหรอครับ”
ผมอยากเจอก็เท่านั้น จะว่าไปผมขอสายเขาหน่อยสิครับ ผมว่าเขายังอยู่กับพี่นะ
“ครับ” ผมนิ่งคิดสักครู่แล้วเดินเข้าห้องเพื่อยื่นโทรศัพท์ให้กับพี่นายอง “พี่ครับ ลู่หานเขาอยากคุยกับพี่น่ะครับ”
“ลู่หานหรอ” เธอรับโทรศัพท์ไปอย่างงงๆ “สวัสดีค่ะ” เธอกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์
“…” เขาพูดอะไรกันทำไมพี่เขาถึงเงียบไป “จ้ะ แน่นอน” แล้วเธอก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมแล้วยิ้ม
“ว่าไง” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เพราะคนปลายสายยังคงไม่ได้วางไป
"ผมวางล่ะแล้วเจอกันครับ พาเขามาให้ได้ล่ะ" แล้วคนปลายสายก็ตัดสายไป ผมควรจะพาพี่นายองไปดีหรือเปล่านะ
สวัสดีค่ะ เสียงหวานปลายสายดังขึ้น
“ครับ พี่นายองใช่หรือเปล่า ผมลู่หานเองนะครับ ผมรู้สึกถูกใจพี่จัง อุ๊บ! แย่ละผมพูดอะไรออกไปล่ะเนี่ย น่าอายจังเลยนะครับ ฮ่าๆ ผมนัดพี่คริสออกมาข้างนอกพี่ก็มาด้วยนะครับ ผมอยากเจอพี่จัง แล้วเจอกันนะครับ มาให้ได้ล่ะคนสวย”
"จ้ะ แน่นอน" บางครั้งบางสิ่งที่คุณคิดว่าดีมันก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอกนะ
เชื่อผมสิ J
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
