ตอนที่ 7 : MAN : 6
6
เคร้ง!
“เซฮุน!” จู่ๆก็เกิดเสียงแปลกๆขึ้นจากในห้องน้ำ ผมเลยรีบเปิดเข้าไปดูพบว่าเซฮุนนอนหมดสติอยู่ที่พื้นห้องน้ำ โดยมือซ้ายมีเลือดซึมออกมา ตอนล้มลงเข็มมันคงหลุดแล้วทำให้เลือดไหลล่ะมั้ง เพราะตอนนี้บริเวณปลายเข็มมีคราบเลือดติดอยู่
“พยาบาล!” ผมวิ่งไปที่หัวเตียงเพื่อกดออดเรียกพยาบาล ระหว่างรอผมก็ค่อยๆอุ้มเซฮุนขึ้นเพราะตัวที่ใหญ่กว่าผมแต่น้ำหนักกลับเบากว่าเยอะ ผมเลยอุ้งเซฮุนขึ้นมาอย่างสบายๆ
ไม่นานนักทั้งหมอทั้งพยาบาลก็วิ่งกรูเข้ามาในห้อง
“เดี๋ยวอีก 10 นาทีหมอจะมาตรวจเลือดคนไข้สักหน่อย แล้วพรุ่งนี้ตอน 8 โมงครึ่งหมอจะขอเอ็กซเรย์ร่างกายอย่างละเอียดอีกทีนะครับ” คุณหมอพูดแล้วก็จดอะไรยิกๆลงไปยังกระดานบันทึก
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อาการคนไข้ดูจะรุนแรง หมอจึงอยากเช็คให้ละเอียดอีกที เผื่อคนไข้เป็นอะไรหนักจะได้รับการรักษาทันน่ะครับ”
“ครับ” ผมพูดแล้วก็นั่งลงบนโซฟ้าอย่างหมดแล้ว สายตาจ้องไปยังร่างสูงที่ปิดตาสนิท มือก็กำลังให้คุณพยาบาลทำแผลและใส่สายน้ำเกลือใหม่
นายอย่างเป็นอะไรไปเลยนะ ขอร้องล่ะ
“คุณแทคยอนครับ ช่วยมากับผมหน่อยนะครับ” คุณหมอเดินเข้ามาในห้องพัก
ซึ่งตอนแรกที่พี่แทครู้เรื่องแทบจะซิ่งรถมาโรงพยาบาลโดยทันที ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ประมาณ 1 อาทิตย์ได้แล้ว พี่แกก็ติดอยู่กับเซฮุนไม่ไปไหน แวบไปคุยกับคุณหมอบ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่อกี้คุณหมอเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียดทำให้ผมค่อนข้างใจหาย
จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?
“ครับ” พี่แทคพูดกับคุณหมอแล้วก็หันมาบอกเซฮุน “เดี๋ยวพี่มานะ”
“ครับ ^^”
“เซฮุนเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” ผมนั่งลงที่เก้าอี้แล้วถามคุณหมอ ทำไมรู้สึกว่าโรคนี้จะร้ายแรงยังไงไม่รู้
“ตามที่สังเกตจากผลเอ็กซเรย์ ผมพบว่าที่สมองของคุณเซฮุนดูผิดปกติน่ะครับ”
“ผิดปกติยังไงหรอครับ?”
“มีก้อนเนื้อเล็กๆอยู่ที่บริเวณสมองส่วนหน้าน่ะครับ”
“มันจะร้ายแรงมากไหมครับ”
“ถ้ามันไม่ขนาดตัวมากกว่านี้ก็จะไม่เป็นอันตรายมาก แต่ถ้ามันขยายตัวก็อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ จนอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตเลยนะครับ”
“ดูน่ากลัวจังเลยนะครับ”
“ครับ บริเวณที่มีเนื้องอกเป็นบริเวณที่เรียกว่าซีรีบรัม ควบคุมการทำงานของร่างกาย รวมถึงการเรียนรู้ การพูดเป็นต้น แต่หมอจะต้องขอดูอาการให้แน่ชัดกว่านี้ว่าอัตราการขยายขนาดมันจะเร็วมากขนาดไหน”
“แล้วผ่าออกได้ไหมครับ” ต้องมีวิธีล่ะน่า ผมไม่อยากให้น้องมาเป็นอะไรเพราะก้อนเนื้อแค่ก้อนเดียวหรอก
“ครับ แต่บริเวณนี้คือสมองส่วนสำคัญ ผลที่ออกมาไม่สามารถการันตีได้ว่าจะกลับมาเป็นปกติ 100 เปอร์เซ็นต์”
“แล้ว...?”
“ในบางกรณีที่ก้อนเนื้อนั้นใหญ่เกินไปการผ่าตัดมีโอกาสผิดพลาดสูง คนไข้อาจเสียชีวิตได้ครับ” ไม่จริงน่า…ผมจะทำไงดีล่ะ? ยังไงก็ต้องทำการผ่าตัดก่อนที่ก้อนเนื้อนั่นจะใหญ่ “แล้วถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะติดต่อคุณอีกทีนะครับ”
“ครับ”
“อ้า~ ออกจากโรงพยาบาลได้สักที เบื่อจะตายชัก -3-“ เซฮุนพูดแล้วก็เดินนำหน้าผมเข้าไปในตึกคณะ
“ฮ่าๆ ทีงี้ล่ะตามงานกันบานแน่ เล่นหยุดไปตั้งหลายวัน”
“โห…อย่าพูดแบบนี้ดิ อ้าว! หวัดดีพี่ชานแบค” เซฮุนทุกทายเพื่อนสุดซี้ของผมทั้งสองที่เดินยิ้มร่าเริงเดินเข้ามาหาผม แต่พอได้ยินเซฮุนพูดเท่านั้นแหล่ะ แบคหน้าบึ้งขึ้นมาทันที
“อะไรไม่ทราบกูชื่อแบคฮยอน ส่วนไอ้บ้านี่ชื่อชานยอล อย่ามารวมกันเฟ้ย = =+++”
“ฮ่าๆ ช่างเถอะๆ”
“ฮ่าๆ แล้วเป็นไงบ้างล่ะเข้าโรงบาลไปตั้งหลายวันไปเล่นอีท่าไหนมาล่ะ” ชานยอลถามเซฮุนที่กำลังกวนประสาทแบคฮยอนอยู่
“ก็ท่ายากไงพี่-.,-“ ไม่พูดเปล่ายังส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางผม เฮ้ย! อย่าโยนขี้มางี้ดิไอ้เด็กเลว
“เฮ้ยๆ ลู่มึงมีอะไรปิดบังอยู่หรือเปล่า” แบคหันมาถามผม นั่นไงขี้มันมาตกอยู่ที่ผมแล้วไง
“บ้า…มึงก็พูดไม่คิด เซฮุนมันชักก็เลยเข้าโรงบาลนั่นแหล่ะ”
“ชัก!!...ว่าวหรอมึง-,.-“ อ้าว ไอ้ห่านนี่ความคิดอกุศล
“หยุดความคิดชั่วๆของมึงลงก่อนอิหยอย” ผมพูดแล้วก็ชี้หน้าชานยอล ส่วนเซฮุนแทนที่จะโมโหกลับหัวเราะคิกคักชอบใจ ช่วยมีอารมณ์ร่วมสักนิดก็ได้มั้งครับคุณโอเซ
“แล้วตกลงเป็นอะไรวะ” แบคหันมาถามผม
“อืม…เซฮุนเป็นโรคหอบหืดพอเจอที่ร้อนๆอับๆอย่างในห้องเก็บของด้วยแล้วก็เลยเป็นลมเอาน่ะ” ผมพูดไปตามที่ผมรู้อ่ะนะ
“อ้อ ระวังสุขภาพด้วยก็ดีนะ” แบคพูดแล้วก็ตบไหล่เซฮุนเบาๆ “ถึงจะไม่ได้ชอบอะไรมากมาย แต่ก็ไม่อยากให้คนรู้จักมาตายหรอกนะ”
“ฮ่าๆ ไปขึ้นเรียนกันเถอะ” แล้วพวกเราทุกคนก็เดินขึ้นอาคารกันไป
หลังจากที่ผมเรียนวิชาภาคบ่ายจบก็ยืนรอเซ็นชื่อออกจากห้อง วันนี้อาจารย์แกค่อนข้างอารมณ์ไม่ดี นางปิ้งสไลด์อย่างเมามัน ไอ้ผมนี่ก็จากลายมือที่หมอเรียกพี่อยู่แล้ว แต่ในขณะนี้ได้กลายร่างเป็นขอมโบราณไปโดยปริยาย
ต้องรีบหาที่นั่งปั่นใหม่ ถ้าทิ้งไว้นานจะแกะอักษรไม่ออกเลยเพราะมันจะจำอะไรไม่ได้ - -
ตอนนี้ไอ้หมาก็นั่งดูดชานมปั่นอย่างสบายใจเฉิบนั่งรอผมที่เดินหัวยุ่งๆออกจากห้องบรรยาย ก็มันไม่ได้ลงเรียนวิชานี้มันเลยสบายใจไง ปกติที่ผมทำผมหยอยๆคุณลองนึกภาพตัวตลกที่เป็นมาสคอตแมกโดนัลดิ เหมือนเดี๊ยะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ไง ตอนนี้ผมตัดผมสั้นและเซตผมให้ตรง ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็กระเซอะกระเซิงจากอาการที่ผมขยี้ผมเพราะอาจารย์ปิ้งสไลด์แล้วสอนแบบแร็ปโย่ว!
คือ…ช้าหน่อยไม่มีใครตายหรอกครับ = =
“ฮ่าๆ หน้ามึงโทรมมากว่ะ” พอแบคเห็นผมก็หัวเราะเยาะจนคนรอบข้างหันมามอง คือมึงเป็นผู้ชายก็จริง เก็บอาการสักนิดก็ได้ไหมมึง = =* น้ำลายกระเด็นโดนหน้าใครไปบ้างแล้วก็ไม่รู้
“แม่ง…คือวันนี้อาจารย์เขาทะเลาะกับสามีมาหรืไงก็ไม่เข้าใจ นางมาถึงนางรัวแร็ปมาก ปิ้งสไลด์แบบเหมือนว่าถ้าวางไว้นานๆมันจะไหม้ กูงี้แลคเชอร์จากตัวอักษรไทยจนเป็นขอมโบราณแล้วมึง” ผมพูดแล้วก็หยิบชานมในมือมันมาดูด
“สัส! ของกู” มันตบหัวผมทีนึงแล้วก็ฉกแก้วกลับไปดูดต่อ มึงรู้ป่ะว่ามึงจูบกูทางอ้อมอยู่ -..- ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมมันตบหัวผมถึง เพราะตอนนี้ผมนั่งลงข้างมันไง ถ้ายืนอยู่นะอย่าคิดว่ามันจะได้แตะโคนผมตรงกลางหัวผมเป็นอันขาด (อธิบายลึกล้ำมาก)
“แค่นี้ทำมาเป็นหวง ชิ!” ผมพูดแล้วก็หยิบสมุดแลคเชอร์และเครื่องบันทึกเสียงขึ้นมา เพื่อจดแลคเชอร์ใหม่ เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นเด็กเรียนดีนะ =..=
“แล้วมึงจะทำอะไรอ่า” มันมองผมที่กำลังกางสมุดอย่างงงๆ “ไหนบอกว่าจะไปดูหนัง”
“ขอเวลาครึ่งชั่วโมงนะมึง กูขอแกะอักขระใหม่ก่อน เดี๋ยวจะอ่านไม่รู้เรื่อง”
“เออๆ งั้นกูไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน”
“กินอีกและ เมื่อกี้ที่ดูดๆอยู่ไม่ใช่อาหารหรือไงมึง”
“เออ…กูนั่งรอมึงแล้วน่าเบื่ออยากหาอะไรกระแทกปาก” หืม?
“ของกูก็กระแทกปากมึงได้” ผมพูดจาคลุมเครือเพื่อที่จะกวนตีนมัน แหม…มันคงจะด่าว่าผมทะลึ่งสินะ ฮ่าๆ ผมรู้ทันๆ พอมันพูดอย่างนั้นผมก็จะบอกแบบหน้าตาใสซื่อว่าผมมีขนม มันจะได้หน้าแตก = ,. =
“เออ งั้นเอามากระแทกปากกูตอนนี้เลย” สัส…มันเอาจริง เฮ้ย! แม่งอุตสาห์จะแกล้งสักหน่อย
“กะ…กูกำลังจะบอกว่ากูมีขนมอยู่ห่อนึงมึงจะเอาเปล่า” ผมพูดแล้วก็หยิบบัตเตอร์เค้กออกมาโยนให้มัน
“กิน…แต่น้ำหมดแล้วเดี๋ยวไปซื้อใหม่ มึงจะเอาอะไรป่ะ”
“ไม่อ่ะ”
“งั้นกูไปก่อน มึงก็รีบๆปั่นล่ะ”
“เออๆ” หมดหนุกเลย -3-
“เออ…พะ…พี่ลู่หานครับ” ผู้ชายคนหนึ่งที่คาดว่าเด็กกว่าผม ก็เมื่อกี้เขาเรียกผมว่าพี่นี่นา =.= น้องเขาเดินเข้ามาหาผมที่นั่งรอเซฮุนอยู่ใต้ตึกคณะ
“หืม?”
“คะ…คือผมชื่อจุนฮง ชเวจุนฮง อยู่คณะนิเทศปี1 ครับ”
“อ่า พี่เสี่ยวลู่หานนะ จุนฮงมีอะไรหรือเปล่า” น้องเค้าหน้าแดงๆ แต่ก็แน่ล่ะวันนี้อาการร้อนเป็นประวัติการ ขนาดผมนั่งอ่านหนังสืออยู่เฉยๆเหงื่อยังออกเลย
“พี่ลู่หาน ผมอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับพี่”
“อืม…มีอะไรล่ะบอกมาเลย” น้องเขาก็ดูอ้ำอึ้งๆอยู่นาน ไอ้ผมก็ไม่ได้คนใจร้ายอะไร ออกจะมาดแมนและแฮนด์ซั่ม มีจิตใจดีรักเด็กเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้อากาศมันร้อน แล้วน้องเขามาทำให้ผมต้องนั่งลุ้นจนตัวโก่งว่าน้องเขาจะพูดอะไร มันก็พาลทำให้ผมอารมณ์เสียขึ้นมานิดๆ
“ผม…ชอบพี่มากครับ.///.” น้องเขาพูดแล้วก็ก้มหน้าลง ที่แก้มใสนั่นขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด แหม…เด็กสมัยนี้รุกเก่งกันจังนะ แต่บอกไว้ก่อนว่าลู่หานคนนี้จะต้องรุกครับพี่น้อง
“งั้นหรอ” ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีล่ะนะ
“คะ…ครับ ผมอยากจะขอพี่คบด้วยอ่ะครับ”
“อืม…” ผมครางอย่างใช้ความคิด อืม เอาไงดีล่ะ จะให้ปฏิเสธไปตรงๆก็ดูใจร้ายไปหน่อยหรือเปล่า ถ้าจะบอกว่ามีแฟนแล้วมันก็ไม่จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะแฟน…ในตอนนี้มันไปเป็นผัวคนอื่นน่ะสิ คิดแล้วโซแซดมาก
“ขอโทษนะ คือพี่มีคนที่ชอบอยู่แล้วน่ะ”
“อ้อ…งั้นขอโทษด้วยนะครับ” จุนฮงก้มหัวลงเพื่อขอโทษแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม “ผมก็ว่าแล้วล่ะครับ แต่ยังไงผมก็ได้มาพูดกับพี่ตรงๆ มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจมาก”
“เออ…พี่ขอโทษนะ”
“มันไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกครับ ฮ่าๆ” จุนฮงพูดแล้วก็เกาท้ายทอยแก้เขิน "ถึงจะไม่ได้เป็นแฟนพี่ แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขมากแล้วที่ได้คุยกับพี่
“พี่ลู่” เซฮุนเดินเข้ามาแล้วก็นั่งลงข้างๆผม พร้อมกับมือปลาหมึกที่เอื้อมมากอดคอผมแล้วดึงให้เข้าไปหาเล็กน้อย
“เออ…” จุนฮงหันมามองเซฮุนอย่างงงๆ
ส่วนเซฮุนน่ะหรอ…ก็นั่งหน้านิ่งพร้อมส่งสายตาเชือดเฉือนจนคนถูกมองเสียวสันหลังวาบ
“เรียนเสร็จแล้วหรอ” ผมถามเซฮุนที่กำลังเริ่มสงครามประสาท
“ครับ…ไปกันเถอะ จะว่าไปวันนี้ผมไปค้างห้องพี่นะ” เซฮุนพูดพร้อมยักคิ้ว
“อืม…งั้นแวะซุปเปอร์ก่อน เสบียงหมดตู้แล้ว” ผมพูดแล้วก็เก็บของลงกระเป๋า
“งั้นผมไปก่อนนะครับพี่ลู่หาน”
“อื้ม ^^ บาย”
“ครับ” จุนฮงพูดแล้วก็เดินออกไป
“มึงๆ กูเยี่ยวรอแป๊บ” ชานยอลพูดแล้วก็วิ่งเข้าห้องน้ำไป
“สัส มึงนี่ตลอด เร็วๆเลยหนังจะฉายแล้ว”
“ขอโทษนะครับ นั่นแบคฮยอนหรือเปล่า” ผู้ชายคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าโคตรพ่อโคตรแม่หล่อเดินเข้ามาหาผม เขารู้จักผมได้ไงวะ จริงอยู่ว่าผมเป็นเพื่ออิหยอยที่เป็นเดือนคณะแต่ก็ไม่ได้มีใครรู้จักผมมากมายนัก ผมเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้หญิงมากกว่าซะด้วยซ้ำ
“ใช่ครับ”
“จำพี่ได้หรือเปล่า พี่ชื่อจุงกิไง” จุงกิ…อ้อพี่จุงกิลูกพี่ลูกน้องกับผมไง แต่พี่เขาไปอยู่ที่ญี่ปุ่นจนผมลืมไปเลยนะเนี่ย
“อ้อๆ พี่จุงกินั่นเอง ไม่ได้เจอกันก็สิบกว่าปีแล้ว เป็นไงบ้างพี่”
“ฮ่าๆก็ดีๆ แล้วแบคล่ะเรียนคณะอะไรล่ะเนี่ย”
“ผมเรียนสหเวชพี่”
“อ้อ…แล้วเป็นไงบ้างช่วงนี้เรียนหนักหรือเปล่า”
“หนักครับ แล้วพี่เรียนจบหรือยังอ่า” พี่เขาแก่กว่าผมเล็กน้อบ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าพี่เขาแก่กว่าผมกี่ปีนี่แหล่ะ
“จบแล้ว เพิ่งจบมาไม่กี่เดือนเอง”
“อืม แล้วพี่มาเกาหลีเนี่ย มาเที่ยวหรือมาอยู่”
“เที่ยวสิ แม่พี่ก็ยังอยู่ญี่ปุ่น”
“จะว่าไปพี่มาเที่ยวคนเดียวหรอ”
“แบค” เสียงทุ้มใหญ่ที่ไม่ต้องเดาก็รู้เป็นเป็นไอ้เสาไฟฟ้า มันเดินออกมาแล้วก็เดินหน้ายุ่งออกมาเหมือมีเอฟในทรายสคริป
“ชักช้านะมึง” ผมหันไปบ่นมันแล้วก็คุยกับพี่จุงกิต่อ “อ้อ แล้วพี่มาคนเดียวหรอ” มีเสียงจิ๊ปากไม่พอใจเบาๆจากคนข้างๆ แหม…มึงถ้ามึงจะจิ๊ขนาดนี้มึงมาพูดตรงๆเลยก็ได้
“เปล่า พี่มากับแฟน” จากคิ้วของไอ้เสาไฟฟ้าที่ผูกโบว์อยู่ก็ค่อยๆคลายออก แต่ก็ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ “นั่นไงๆ” พี่จุงกิชี้ไปทางผู้หญิงคนนึงที่หน้าจัดว่าสวยพอสมควร เมื่อเธอเห็นเธอก็ยกมือขึ้นมาโบกแล้วรีบเดินเข้ามา “อึนกิ นี่แบคฮยอนน้องชายผม” พี่จุงกิชี้มาที่ผมเพื่อแนะนำให้แฟนสาวของพี่เขารู้จัก
“สวัสดีครับพี่อึนกิ” ผมทักทายพี่เขา
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ^^”
“เช่นกันครับ งั้นผมก็ตัวก่อนดีกว่า หนังกำลังจะฉายแล้ว”
“จ้ะ”
“มึงเป็นไรเนี่ยเงียบเชียว” ผมถามมันที่กำลังเดินอยู่ข้างๆผม ตอนนี้เรากำลังเดินออกจากโรงหนัง หนังมันก็สนุกแหล่ะ แต่อิคนข้างๆมันแม่งไม่แสดงอากัปกิริยาร่วมเลย ทำให้อารมณ์ในการดูหนังวันนี้ค่อนข้างน่าเบื่อ เพราะปกติมันจะต้องแสดงรีแอคชั่นที่ค่อนข้างโอเวอร์ในการดูหนังออกมา จนผมเลยกลายเป็นคนจำพวกอินกับหนังมากเป็นพิเศษ
“แม่กูอยากให้กูไปเรียนที่ออสเตรเลียว่ะ”
“มึงว่าไงนะ” ผมอาจจะหูฝาดไปเอง
“เมื่อกี้ตอนที่กูกำลังเข้าห้องน้ำ แม่กูโทรมาบอกว่าให้กูเรียนที่นี่อีกแค่ 1 อาทิตย์ เมื่อทำเรื่องโอนหน่วยกิตไปที่มหาลัยที่นู่นสำเร็จก็ย้ายไปเรียนทันที”
“ทำไมวะ มึงก็เรียนที่นี่มาตั้งปีนึงแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย”
“แม่กูบอกว่า อยากให้กูไปเปิดโลกกว้างที่เมืองนอก อยากให้มีความรับผิดชอบในชีวิตมากกว่านี้ แล้วที่นั่นก็เป็นมหาลัยเฉพาะทางสำหรับงานด้านการแพทย์”
“มึงต้องไปเรียนใหม่อีกไม่ใช่หรอ”
“อืมก็คงอย่างนั้น”
“แล้วมึง…” อะไรวะ มันกะทันหันไปป่ะ
“กูคงต้องไป แต่แบคมึงไปที่นู่นกับกูได้ไหม กูไปที่นู่นกูก็คงไม่มีเพื่อนหรอก แล้วกูก็คงเหงามาก”
“สัส ถึงบ้านกูจะมีตังค์ แต่การที่กูไปเรียนที่นู่นที่บ้านกูจะว่าไงวะ จะให้กูตอบที่บ้านว่า กูไปตามเพื่อนหรอ แล้วอีกอย่างบ้านมึงก็ไม่ชอบกูสักเท่าไหร่หรอก” ใช่ที่บ้านมันไม่ชอบผมเท่าไหร่ การที่ผมคบกับมันก็ไม่ได้ปิดบังอะไรแล้วก็ไม่ได้เที่ยวประกาศกับใครว่าผมคบกับมัน
พอทางบ้านรู้เข้าก็มาว่าชานยอลกับผมว่าเบี่ยงเบนบ้างล่ะ รับไม่ได้บ้างล่ะ แต่ชานยอลมันก็ยังคงคบกับผมต่อ ไม่ฟังคำค้านใดๆ
“แต่…”
“มึงไปเถอะ เพื่ออนาคตของมึง”
“แบค…กูรักมึงนะเว้ย” มันพูดแล้วก็ดึงผมเข้าไปกอด
ผมอยากจะพูดอย่างเห็นแก่ตัวเลยว่าอยากจะเก็บมันไว้ข้างกาย ไม่อยากให้มันหายไปไหนเลย ไม่ว่าทุกข์หรือสุขมันก็ยืนเคียงข้างผมมาโดยตลอด การที่จู่ๆมันจะหายไปมันเหมือนกำลังดึงหัวใจของผมไปด้วย มันมีความรู้สึกแบบเหมือนกำลังยืนอยู่บนเส้นด้ายทั้งวาบหวิวและไม่มั่นคง ถ้าโดนลมพายุพัดผ่านก็อาจจะล่วงหล่นลงไปได้
แต่ผม…มีสิทธิอะไรที่จะรั้งมัน? ผมไม่ได้เป็นแฟนกับมัน เราเป็นแค่เพื่อนที่ ‘รัก’ กันเท่านั้น เพื่อนที่มีการแสดงออกต่อกันมากกว่าเพื่อนทั่วๆไป ถึงจะมีสถานะว่าคบกันแต่ไม่สามารถพูดเต็มปากว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า
ผมแหล่ะ…ที่บอกว่าจะไม่เป็นแฟนกับมันเอง แฟน…ถ้าเลิกกันก็จะกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกันไปเลย ผมคงจะทนไม่ได้ แต่เพื่อนน่ะมันเลิกกันไม่ได้ มันเป็นสถานะที่ไม่ผูกมัด ให้สิทธิเต็มที่กับทั้งสองฝ่าย
ทั้งหมดก็แค่คำพูดเท่ๆที่ผมพูดไปแหล่ะ เอาเข้าจริง…ผมแค่ไม่อยากถูกบอกเลิกก็เท่านั้น เพราะผมรู้ไงว่าสักวันหนึ่งมันจะต้องเดินทางมาถึงจุดจบ ที่บ้านชานยอลไม่เคยยอมรับผมได้เลย แม้ผมจะทำตัวดีขนาดไหน เขาก็รังเกียจที่ผมเป็น’อะไรๆ’กับชานยอล
“มึง…อย่าทำหน้าอย่างนั้นดิวะ เรามีเวลาร่วมกันอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์” มันจับหน้าผมให้ผมสบตามัน
“แค่ต่างหาก”
“อืม…เรามาใช้เวลาตรงนี้ให้คุ้มดิวะ”
“…อื้ม^^” ถ้าผมทำหน้าเครียดมันก็พลางจะไม่สบายใจไปด้วยสิเนอะ ยิ้มเข้าไว้
“ดีมาก ^^”
“กูจะทำให้ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ต่อจากนี้มึงจำกูไปตลอดทั้งชีวิตเลย กูจะทำให้มึงหลงกูจนไปเจอแหม่มสวยๆมึงจะได้ไม่นอกใจกู”
“แค่นี้กูยังหลงมึงไม่พอหรือไงเล่า”
“ไม่พอ - -“ มันพูดแล้วก็เขย่งกดไหล่ผม แล้วก็หอมแก้มผมดังฟอด
คือมึงรู้ป่ะว่าตอนนี้อยู่กลางห้าง ไม่ได้อยู่ในที่ส่วนตัวนะเว้ย แต่มันน่ารัก คนหล่อให้อภัย -..-
มีใครเคยบอกคุณบ้างหรือเปล่าว่าเวลาแห่งความสุขมันมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความจริงมันไม่ได้ผ่านไปเร็วหรอก มันเดินตามกลไกของมันเดินด้วยระยะเวลาที่สม่ำเสมอ แต่ความรู้สึกต่างหากที่ตัดสินมันว่ามันเดินเร็วหรือเดินช้า ในเวลาที่เรามีความสุขเราก็แค่รู้สึกว่าเวลามันหยุดเดิน พอรู้สึกตัวอีกทีเวลาก็เดินผ่านไปแล้ว เลยทำให้เรารู้สึกว่าเวลามันเคลื่อนไหวแบบก้าวกระโดดยังไงล่ะ
เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาแบคฮยอนใช้มันอย่างกระหาย เขาทั้งสองตัวติดกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง อยากใช้เวลาที่มีอยู่หายใจร่วมกันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วในวันนี้ซึ่งเป็นวันหยุดและวันสุดท้าย เพราะพรุ่งนี้ชานยอลต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้า
วันนี้พวกเรากำลังเดินทางไปทะเล เขาว่ากันว่าฉากจบของหนังชอบจบที่ทะเล คนเราก็มักจะมาแต่งงานที่ทะเล ทะเลแทบจะเป็นฉากที่เป็นส่วนของความสุขของคนทั่วๆไป เป็นดั่งอายความทรงจำที่ส่งกลิ่นอบอวลถึงความสุข เขาทั้งสองเลือกจะมาที่นี่เพื่อบันทึกความทรงจำไว้ เพื่อรอสักวันหนึ่งชานยอลจะกลับมา
กลับมาเป็นเสาไฟฟ้าของหมาน้อยตัวนี้ตลอดไป
“มึงๆ จะนอนอีกนานไหมเนี่ย ถึงแล้ว” ชานยอลปลุกแบคฮยอนที่นอนหลับอยู่
“อืม…ฮ้าววววว –O- เอ๊ะ! ทะเล…สวยจัง >[]<” แบคฮยอนยังคงงัวเงียเล็กน้อย แต่พอได้สติคนตัวเล็กก็กระโดดลงจากรถ วิ่งออกไปหาท้องทะเลสีฟ้าครามที่กว้างใหญ่ สีฟ้าของมันกำลังส่องสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าทำให้ธรรมชาติสวยงามขึ้นไปอีก
หาดทรายสีขาวละเอียดนุ่มเท้า คลื่นเบาๆที่ค่อยซัดขึ้นลงไปอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด สายลมที่พัดกลิ่นอายทะเลอ่อนทำให้สมองผ่อนคลาย เป็นความสุขที่คนตัวเล็กอยากจะอยู่กับมันตลอดไป ไม่อยากให้หายไป ไม่อยากเห็นความโศกเศร้าที่กำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้า
“แบคมาถ่ายวิดีโอกัน” ชานยอลยกกล้องและขาตั้งกล้องเดินออกมาจากรถ
“วิดีโอ? ถ่ายทำไม”
“เผื่อตอนที่กูไปอยู่ที่นู่น แล้วมึงคิดถึงกูมึงจะได้เปิดดูไง แล้วตอนที่กูคิดถึงมึงกูจะได้ดูด้วย” ชานยอลจัดการกางขาตั้งกล้องให้ได้มุมที่พอเหมาะและเซตกล้อง
“อืม แล้วกูจะต้องพูดอะไร” ผมมองมันที่กำลังเซตกล้องแล้วกำลังจะกดถ่าย
“อะไรก็ได้ มึงมีอะไรอยากจะบอกก็บอกเลย”
“โอเค”
“1…2…3 แอ็คชั่น!”
-----------------------------------------
ชานแบค ชานแบค ชานแบค
ดราม่า ดราม่า เฮ้ #รองเท้าใครลอยมาโปรดเก็บ - -
คันไม้คันมืออยากแต่งดราม่า เลยมาลงที่คู่นี้เร็วๆก่อน
ส่วนฮุนฮานมันเป็นดราม่าระยะยาว (มันคือ?)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พี่ลุ่ ดูแล น้องฮูนด้วยนะ ดูเหมือนอาการจะหนัก เฮ้อออ พี่ก่เลิก กะ อิพี่คริส ได้แระ