ตอนที่ 10 : MAN : 9
9
"จ้ะ แน่นอน" บางครั้งบางสิ่งที่คุณคิดว่าดีมันก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอกนะ
เชื่อผมสิ J
ซิดนีย์, ออสเตรเลีย
“เฮ้ย ชานยอลเป็นอะไรไปวะ ดูซึมๆเชียวมึงเมียทิ้งหรอ? *[]*” ไอ้จองมินเดินเข้ามาหาผมแล้วตบไหล่ผมเบาๆ คืออยากจะบอกมันจากใจว่านี่ขนาดกูนั่งมึงสูงกว่ากูได้แค่นี้ช้ะ =_____=
“ฟายยยย” แล้วผมก็มอบสิ่งเล็กๆที่เรียกว่ากระบือให้มันไปหนึ่งตัว
“อ้าว มาหาด่ากูอีก มึงเป็นไรเนี่ย” แล้วมันก็นั่งลงข้างๆผม
“เมียทิ้ง” ผมตอบมันไปเบาๆ
“เห้ย มึงใจเย็น คนในโลกนี้มีอีกเยอะเว้ย”
“แต่คนที่กูรักมีคนเดียวเว้ย!” ผมพูดแล้วก็คอตก แม่ง…ให้คำปรึกษาได้สถุนมาก -___-*
“โอ้วๆ คอมบาดใจ พระเอกจังนะครับคุณมึง = =” มันแซวผมแล้วก็หันไปทักทายเพื่อนของผมอีกคนที่กำลังเดินมาทางนี้ เพื่อนคนนั้นคือผู้หญิง แต่ถ้าคิดว่านางคือตัวร้ายของเรื่อง
คุณคิดผิด!...คือนางเป็นทอม
มันชื่อ แอมเบอร์
เอาเถอะไหนๆก็ไหนๆเพื่อนคนที่สองของผมก็โผล่ออกมาแล้ว มาแนะนำให้ครบทั้งกลุ่มเลยแล้วกัน จะหาว่าพวกผมแม่งไม่เปิดโลกทัศน์ก็ได้นะ เพราะพวกเราคบแต่พวกที่คนเกาหลี ยกเว้นไอ้แอมมันคนนึง เพราะมันอยู่เกาหลีมานานเหมือนกัน ก็เลยคุยภาษาเดียวกัน
คนแรกจองมิน ก็ไอ้คนที่เพิ่งกวนส้นผมไปเมื่อกี้แหล่ะ ส่วนสูงมันก็แค่ 173 หน้าตาก็หมวยๆ โครงหน้ามองผ่านๆก็คิดว่าเป็นผู้หญิง แต่! มันโคตรแมนครับ โคตรโรแมนติกแมนเลย กีต้งกีต้าก็เล่นเป็น(ผมก็เล่นเป็นนะเออ) เบสเบิด เปียนงเปียโนเป็นหมดแหล่ะ
คนที่สองก็แอมเบอร์ เป็นทอมตัวเล็กๆคนนึง ค่อนข้างเป็นที่ป็อปปูล่าในหมู่สาวๆและดี้ทั้งหลาย ที่สำคัญเสียงห้าวมาก คือเหมือนธรรมชาติสร้างสรรค์ให้มันมาเป็นทอมโดยเฉพาะ กิริยาท่าทางเผลอๆแมนกว่าผมด้วยซ้ำ -________-
คนที่สี่ คริสตัล อ๊ะๆ ผู้หญิงอีกล่ะแต่ขอดักคือว่าไปใช่ตัวร้ายเหมือนกัน กร้ากกก และไม่มีทางเป็นแน่ เพราะนางคือ…แฟนสาวของแอมเบอร์นั่นเอง ตบมือ!(แปะๆ) โอเคผมว่าผมแม่งร่าเริงไปป่ะ (โดนแฟนทิ้งแล้วสติหลุดไง) ที่สำคัญนางไม่สนใจผู้ชายเลยสักคน =___= แห้วไปตามๆกันเลยสิครับอิพวกหื่นทั้งหลาย (กูขรรม) คริสตัลแม้ภายนอกจะดูหยิ่งแต่เวลานางรั่วนะ ใครก็ฉุดไม่อยู่
คนที่ห้าคนสุดท้ายล่ะ ชื่อซิ่วหมิน กลมๆเหมือนซาลาเปา ส่วนสูงพอๆกับจองมิน สองคนนี้เลยเป็นคู่หูคู่ฮาของแก๊งค์ แต่ซิ่วหมินนั้นมีนามเกาหลีว่ามินซอก (ชื่อคล้ายพี่ลู่ใช่ม้า... แต่คนละคนกันขอรับ) แต่ที่มันให้เรียกชื่อนี้แทนเพราะจะได้จีนๆเข้าคู่กับสามีมันที่ชื่อเฉิน แต่คือกูงงมากไอ้เฉินเนี่ยเป็นคนจีนแต่อยู่เกาหลีตั้งแต่เกิดเลยมีนามเดิมว่าชรงแด
คำถามคือ…? นามเดิมพวกมึงก็เกาหลีทั้งคู่มึงจะตั้งชื่อจีนให้ยุ่งยากเพื่อ?
คำตอบของพวกมันก็คือ เ..สือก
โอเคกูเข้าใจล่ะ ขอบใจสำหรับคำตอบ -_______-
พวกนี้มันคบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งมันเลยดูซี้กันมาก แต่เนื่องจากผมเป็นอัธยาศัยดีไงเลยสนิทกับพวกนี้เร็วมาก ขนาดตบหัวกันตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน
ไม่อยากจะคุย…J
“มันเป็นไรล่ะนั่น” คริสตัลเดินเข้ามาพร้อมกับแอมเบอร์มองผมด้วยหน้าเงิบๆ
“เมียทิ้ง” ไอ้จองมินพูดด้วยสีหน้าที่พร้อมจะร้องไห้ คือกูโดนเว้ย! มึงไม่ได้โดน มึงไม่ต้องมีอารมณ์ร่วมขนาดนั้นก็ได้ กูไม่ใช่ซีรีย์เกาหลีที่ดูแล้วต้องอิน
“กูขรรม กร้ากกก” คริสตัลพูดแล้วก็หัวเราะแบบเงิงจะเฉาะหัวผม ผมเคยเห็นหน้าพี่สาวนางที่ชื่อเจสสิก้า มีเงิงเหมือนกันเดี๊ยะคือบ้านนี้เงิงกันทั้งบ้านชิป้ะ -___-
ผมบอกแล้วไงว่าเวลานางรั่ว … นางจัดเต็ม
“แอมมึงพาเมียมึงไปเก็บเลย =___=” ผมพูดไล่พวกมันแล้วก็เดินออกมา
“โด่ว! มึงมันก็เงี้ย ชอบหนีปัญหาเมียเลยทิ้งไง” คริสตัลตะโกนไล่หลังผมมาจนผมต้องหยุดชะงัก หนีปัญหา…
ผมหนีตอนไหนวะ? - -
“ก็ไม่ได้หนี มึงรู้หรือไงว่ากูเลิกกับแฟนเพราะอะไร” ผมเดินแล้วถามมัน มึงมันไม่รู้อะไรอย่าพูดเลยดีกว่า ไอ้เงิง -3-
“ก็เพราะพวกกูไม่รู้ไงแต่ที่กูว่ามึงเพราะว่ามึงชอบหนี บอกมาดิว่ามึงมีปัญหาอะไร พวกกูก็เพื่อนมึง อย่าเก็บความทุกข์ไว้คนเดียวดิหรือมึงไม่เห็นว่าพวกกูเป็นเพื่อนแล้ว” แอมพูดแล้วก็เงยหน้ามองหน้าผมที่อยู่สูงกว่า(มาก)
“กูเปล่า แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวกูไม่อยากเอามาให้รกสมองพวกมึง”
“พวกกูมีเนื้อที่ในสมองอีกเยอะ มึงเล่ามาดิ”
“มึงแน่ใจ”
“แน่มาร์ค” โปรดออกเสียง ‘ค.ควาย’ ชัดๆ =_______=
แล้วผมก็เล่าเรื่องตั้งแต่ผมกับแบคฮยอนยังอยู่ม.ปลายจนวันที่ผมถูกบอกเลิก คบกันมานานพอสมควรแต่ก็ไม่สามารถระบุคำจำกัดความของความสัมพันธ์นี้ได้เลย
แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะอีก 5 ปี 10 ปี หรือตลอดชีวิตนี้ผมก็จะ ‘รัก’ แบคฮยอนตลอดไป และผมจะขอใช้เวลาที่ต้องไกลกันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราจะรักกันได้อย่างนั้นจริงหรือไม่?
แต่เมื่อกี้…แบคเขาโทรมาบอกเลิกผม ตอนแรกผมที่ดีใจมากที่แบคโทรมาหาผมทั้งๆตั้งแต่เมื่อเราจากกันมาเรายังไม่ได้คุยกันเลยสักคำ ผมนั่งกรอวิดีโอม้วนนั้นไปหลายร้อยรอบเพื่อที่จะมองหน้าหลักกิโลของผม
และไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมไม่ร้องไห้
เขาจะรู้บ้างไหมว่าตอนนี้ผมเจ็บมาก…เจ็บปางตายเลย
‘1…2…3 แอ็คชั่น!’
‘ให้กูพูดอะไร’ คนตัวเล็กทำหน้าเอ๋อ
‘ความรู้สึกมึงก็ได้ มีอะไรก็พูดออกมา’ เสียงใหญ่ดังขึ้นจากทางหลังกล้อง และไม่นานนักคนตัวใหญ่ก็วิ่งมานั่งข้างๆของคนตัวเล็ก มือหนาสวมกอดเอวบางอย่างเบามือ เหมือนกับว่าถ้ากอดแรงคนตัวเล็กอาจจะแตกสลายหายไปกับสายลม
‘กูไม่รู้จะพูดความรู้สึกนี้ยังไง กูตื่นเช้าขึ้นมาก็เจอไอ้เสาไฟฟ้าหูกางอย่างมึง ก่อนกูนอนก็มีมึงนอนอยู่ข้างๆ มีมึงสวมกอดกูไว้ตอนกูนอน มึงเคยบ่นว่าก่อนนอนกูชอบครางหงิงๆแต่มึงก็นอนฟังมันอยู่อย่างนั้น มึงซักผ้าให้กูทุกครั้งแม้ว่ากูไม่เคยขอให้มึงทำ มึงทำอาหารได้ห่วยแตกมากแต่กูก็ชอบมัน มึงฟังกูบ่นทุกๆวันแต่มึงไม่เคยรำคาญหรือเบื่อกูเลย มึง…รักกูในแบบที่กูเป็น และกูก็รักมึงในแบบที่มึงเป็นเหมือนกัน
แม้วันชาวบ้านเขาจะว่าพวกเราไม่เข้ากันเลยสักนิด แม้ว่าแม่มึงจะรังเกียจกูขนาดไหน แต่มึงก็ยังยืนยันว่าจะอยู่ข้างกู รู้ป่ะว่าวันที่มึงย้ายมีอยู่กับกูที่คอนโดแล้วแม่มึงมาหามึงที่คอนโดเพื่อลากมึงกลับแล้วด่ากูสารพัดซึ่งตอนนั้นมึงคงคิดว่ากูอาบน้ำอยู่แล้วไม่ได้ยิน กูได้ยินเว้ย!ชัดเต็มสองหูเลย แต่กูอยากให้มึงสบายใจกูก็เลยยิ้มไง
กูไม่รู้ว่ามึงไปอยู่ที่นั่นแล้วจะอยู่ได้หรือเปล่า เกรดอังกฤษมึงแต่ละเทอมโคตรน่าเป็นห่วงเลย ไปอยู่ที่นั่นมึงจะไหวหรอ อาหารที่นู่นถูกใจเหมือนกูทำให้กินหรือเปล่า มึงจะงอแงหากูหรือเปล่านะ’
‘กูไม่งอแงหรอกเว้ย! มึงนั้นแหล่ะที่จะงอแง ง้องแง้ง’
‘สรัด ถึงตามึงพูดแล้วครับ’
‘เออ… วันแรกที่กูเจอมึง มึงรู้ป่ะว่ากูแทบจะหยุดหายใจ ณ ตอนนั้น ก็ตอนนั้นตอนเปิดเทอม ม.4 มึงมานั่งข้างๆกู แล้วมึงล้มเซมาทับกูก็เลยหายใจกลิ่นตัวมึงเข้าไปเต็มปอด หัวใจกูเลยเต้นโครมครามยิ่งกว่าก็วิ่งรอบสนามโรงเรียน 10 รอบอีกนะเว้ย มึงก็เป็นคนที่ชอบเหวี่ยงใครๆก็หมั่นไส้มึง แต่รู้ป่ะว่าในความคิดกูมึงโคตรน่ารักเลย
เวลามึงยิ้มให้กู กูแทบจะละลาย ณ ตรงนั้นเลย ยิ่งเวลาผ่านไปกูยิ่งโคตรผูกพันธ์กับมึง จนไม่รู้ว่าตอนไหนที่คำว่า ‘ชอบ’ ของกูได้เปลี่ยนเป็นคำว่า ‘รัก’ ไปในที่สุด มึงคงคิดว่ากูชอบอะไรแบบเดียวกับมึง จริงอยู่ที่ในความคิดกูว่าอยากเรียนสหเวช แต่มันก็แค่ความคิดรองของรองไปอีก ความจริงกูอยากเรียนศิลปะ แต่กูอยากตามมึงไง อยากจะอยู่ใกล้มึงตลอดเวลาและโชคก็เข้าข้างกู ในที่สุดกูก็ได้เข้ามาในมหาลัยเดียวกับมึง ได้เรียนคณะเดียวกับมึง
การจากกันครั้งนี้มันทำให้กูสะเทือนใจมาก กูไม่รู้ว่าตอนที่ไม่มีมึงอยู่ข้างๆกูจะเป็นยังไง กูจะสื่อสารกับคนที่นั่นรู้เรื่องหรือเปล่า จะมีใครทนนิสัยห่ามๆของกูได้บ้าง จะมีใครกินอาหารฝีมือกูแล้วยิ้มได้เหมือนมึง และจะมีใครรักกูได้เหมือนมึงอีก’
แล้วคนทั้งสองคนก็กอดกัน…เป็นโมเมนท์ที่น่าอบอุ่นที่สุด อยากจะมีกล้องที่สามารถบันทึกกลิ่นอายความรู้สึก อยากจะเก็บไว้ใช้ได้นานๆ จะได้เอามาเปิดมันในวันที่หัวใจบอบช้ำ
ความอบอุ่น…แม้ว่าหัวใจจะเก็บมันไว้ได้
แต่มันไม่สามารถเรียกออกมาใช้ได้ในวันที่เราบอบช้ำ
ไม่มีใครรู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอะไร มีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่รู้สึก
…เรารู้สึกว่าเรา ‘อบอุ่นและกลัว’ ในเวลาเดียวกัน…
“เอิ่ม…เรื่องแบบนี้…ก็ไม่รู้สินะ” ไอ้คุณแอมครับท่ามึงกระเทยมาก ดูโน้ตมากไปป่ะ =__=
“มึงใจเย็น ถ้ามึงรักเขาจริง มึงก็ใช้เวลาที่เรียนที่นี่พิสูจน์สิว่ามึงรักจริง แต่เมื่อถึงตอนนั้นแล้วมึงทั้งสองยังไม่มีใครมึงก็ขอคบอย่างเป็นทางการไปเลย” คริสตัลพูดแล้วก็นั่งลงบนตักแอมเบอร์ เพราะเริ่มรู้สึกเมื่อยจากการยืนฟัง
“แต่แบคมันบอกว่าไม่ได้รักกูแล้ว”
“ไม่มีใครที่ไม่ได้รักแล้วพูดอย่างนั้นหรอก ถ้าไม่ได้รักจะไม่พูด จะไม่มาขอเลิก จะไม่แคร์ความรู้สึกเลยต่างหาก แต่เพราะรักมากไม่ใช่หรอถึงพูดไปอย่างนั้น”
“จริง?”
“กูให้มึง 70% เลย มึงคบกับแบคฮยอนมานานขนาดไหนมึงน่าจะรู้นิสัยเขาดีที่สุดไม่ใช่หรอ”
“กู…”
“มึงแค่ต้องหนักแน่นเว้ย” ซิ่วหมินที่เดินหน้าตาระรื่นเข้ามาพูดขึ้น -___- มันรู้เรื่องผมตอนไหนฟระ “รักใครก็ทุ่มให้สุดตัว อย่าให้มีอุปสรรคใดๆมาขวาง”
…หนักแน่น…
ตอนนี้ผมกำลังนั่งรอพี่คริสและนายองที่ร้านคอฟฟี่ช็อปหน้ามหาลัย ความจริงเซฮุนขอตามมาด้วย แต่ผมไม่อยากให้แผนที่ผมวางไว้เสียไป ก็เลยยื่นคำขาดให้ไปเผ้าแบคฮยอนที่โรงพยาบาลแล้วจะซื้อชาไข่มุกเจ้าโปรดไปฝาก และผลสรุปก็…ทำตามแต่โดยดี เริ่มเหมือนหมาขึ้นทุกวันล่ะ
=________=
เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาเที่ยงกว่าๆเลยมีทั้งนักศึกษาที่มาทำงานที่มหาลัย ทั้งพนักงานออฟฟิศแถวๆนี้ เดินเข้าออกอย่างขวักไขว่ ผมก็สอดส่องหาพี่คริสว่าจะมากับนายองด้วยท่าทางยังไง
โอ๊ะนั่น! มากันสักที
น่าสนุกแล้วสิงานนี้ J
“ลู่หานโทษทีนะพอดีรถติด มารอนานหรือยังเนี่ย” พี่คริสพูดแล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผม ส่วนายองก็เดินมานั่งข้างๆผม พี่คริสเลยมองอย่างงงๆแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่สั่งอะไรก่อนสิ”
“อ๋อ ไม่ดีกว่า พอดีว่าพี่มีประชุมตอนดที่ยงครึ่งน่ะ” พี่คริสพูดแล้วก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“ครับ งั้นมาเข้าเรื่องกันเลยนะ” ผมพูดค้างไว้แล้วก็มองไปที่พี่คริสอย่างจับผิด หึ..ต่อหน้านายองดูสงบเสงี่ยมจัง คงไม่กล้าทำท่าสนิทสนมกับผมนักหรอก “พอดีผมอยากจะถามถึงรายละเอียดของการเปิดสัมมนาที่จะถึงนี้ที่เครืออู๋จัดขึ้นน่ะ”
“อ๋อ เรื่องนั้นเองเดี๋ยวพี่จะจัดส่งเอกสารไปที่เสี่ยวกรุ๊ปนะ” พี่คริสพูดขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนโล่งออกที่ผมไม่ได้ถามอะไรออกไป เพื่อสื่อว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน
“ครับ อ้อ…แล้วก็อีกเรื่องพี่หายไปตั้งนานทำไมไม่ติดต่อผมบ้างล่ะ” คนที่มีท่าทีสบายใจเมื่อครู่กลับสะดุดกึก มองทางผมลอกแล่กแต่ก็ยังคงบุคลิกที่ทางดีเยี่ยม
“ก็พี่บอกแล้วนี่ว่ากลับไปจัดการปัญหาที่จีน”
“เปล่า ผมอยากรู้ว่าทำไมพี่ไม่ติดต่อผม” ผมพูดแล้วก็เหลือบมองพี่นายองว่าตอนนี้จะมีสีหน้ายังไง ซึ่งตอนนี้เธอกำลังมองหน้าผมเหมือนหลุดอยู่ในภวังค์อะไรสักอย่าง จนพี่คริสเริ่มผิดสังเกต แต่ก็เนื่องด้วยว่าผมกำลังจ้องพี่คริสอยู่ เขาก็เลยละความสนใจจากนายองไปก่อน
“เรื่องที่นั่นยุ่งมาก พี่อยากจะติดต่อกลับนะแต่ว่าแยกตัวออกมาไม่ได้เลย”
“ท่าทางจะยุ่งจังนะครับ ใช้เวลาตั้งเดือนสองเดือนแหน่ะ” ผมพูดอย่างสบายๆ แต่ก็ทิ้งระเบิดไว้ลูกใหญ่เป้ง
“เอ่อ…”
“อีก 10 นาทีก็จะเที่ยงครึ่งแล้วไปเถอะครับเดี๋ยวไม่ทัน” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าตอนนี้เที่ยว 20 แล้ว
“แล้ว…นายองล่ะ” พี่คริสหันไปมองพี่นายองที่กำลังทำหน้านิ่งสบายๆ
“ผมยังไม่ได้คุยอะไรกับพี่นายองเลย พี่คริสไปก่อนเถอะเดี๋ยวผมไปส่งพี่เขาเอง ไม่ต้องห่วง”
“เอ่อ…งั้นขอบคุณนะ พี่ไปล่ะ พี่นายองผมไปนะ” พี่คริสพูดแล้วรีบเดินออกไป เพราะระยะเวลาจากคอฟฟี่ช็อปแห่งนี้ไปถึงบริษัทถ้าไม่ซิ่งจริงไปสายแน่
เมื่อพี่คริสลับตาไปแล้วผมก็ทำการจ่ายเงินแล้วจูงมือพี่นายองเดินขึ้นรถของผม เพื่อพาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง …โรงแรมไง ไม่ต้องคิดมาก J ทำไมผมไม่พาไปยังคอนโดน่ะหรอ ผมกลัวว่าจะเกิดมิสเทกแล้วเซฮุนมาเห็นจะแย่เอา มีแต่เสียกับเสีย
“พี่นายองสินะครับ” เมื่อผมออกรถมาผมก็เริ่มเปิดบทสนทนา
“จ้ะ ว่าแต่น้องลู่หานมีอะไรจะคุยกับพี่หรอ”
“พี่คบกับพี่คริสเขานานหรือยังครับ” ผมยิงคำถามที่ผมอยากรู้ออกไปตรงๆ จะอ้อมค้อมทำไมในเมื่อปลาตัวนี้มันติดเบ็ดผมตั้งนานแล้ว
“นายรู้?”
“ก็พอจะรู้อยู่แหล่ะครับ”
“ก็นานเหมือนกันนะ เกือบๆปีมาแล้วล่ะ”
“ใครจีบใครก่อนล่ะครับเนี่ย”
“คริสน่ะสิ ตอนแรกเพื่อนพี่บอกว่าคริสน่ะแฟนอยู่แล้วนะแต่พี่ก็ไม่เคยรู้จักแฟนเขาหรอก คริสก็ตามตื้อพี่ไม่เลิก พี่ก็เลยตอบรับเป็นแฟนเขาไป” มือทั้งสองข้างของผมที่กำลังบังคับพวงมาลัยรถอยู่กำแน่น “คริสมาบอกว่ารักพี่จริงๆ รักมากด้วย ตอนแรกพี่ก็ไม่เชื่อเพราะยังไงเขาก็มีแฟนอยู่ทั้งคน คริสมานั่งตากสายฝนหน้าบ้านพี่เพื่อจะให้พี่รับรัก ไม่ใช่ตากธรรมดานะตากทั้งคืนจะพอตอนเช้าพี่ออกมาออกกำลังกายยังเห็นคริสนอนอยู่กับพื้นถนนหน้าบ้านพี่เลย”
ทั้งๆที่ยังไม่เลิกเลยด้วยซ้ำ…พี่ไม่เคยเห็นหัวผมเลยสินะ
“หรอครับ ดูพี่เขาจะรักพี่มากนะ”
“แต่ตอนนี้พี่เริ่มชอบนายแล้วสิ” พี่นายองพูดแล้วช้อนสายตามามองผม
ทั้งๆที่ตัวเองกำลังถูกผู้ชายคนนึงรักอย่างสุดหัวใจ แต่พี่เขากลับกำลังจะย่ำยีความรักนั้นด้วยการหักหลังงั้นหรอ พี่คริสพี่นี่โง่จริงๆหลอกคนอื่นไปทั่วสุดท้ายก็ต้องถูกหลอกซะเอง ผมช่วยอะไรไม่ได้นะ เพราะตอนนี้ผู้หญิงที่พี่รักกำลังจะถูกแฟนเก่าของพี่ย่ำยีจนแตกสลาย
หึ…
เซ็งพี่ลู่ว่ะ =____= จะไปหาไอ้พี่คริสนั่นแต่ดันไม่ให้ผมไปด้วย ถ้าหมอนั่นทำอะไรพี่ลู่จะทำไงล่ะเนี่ย ส่วนตอนนี้ผมกำลังนั่งมองพี่แบคกับคุณแม่ของพี่ชานยอลคุยกันอย่างถูกคอ สองคนนี้คุยกันแต่เรื่องเมื่อก่อนพี่ผมไม่ค่อยรู้นัก รู้สึกเหมือนคนแก่ที่นั่งคุยกันแต่เรื่องสมัยก่อนเลย ฮ่าๆ แต่เอาเถอะ นั่งฟังไปก็เพลินดีเหมือนกัน
คุณหมอบอกว่าพี่แบคอาการดีขึ้นช้ามาก ทั้งๆที่ทานอาหารได้ตามปกติ จนดูจะมากกว่าปกติแล้วด้วยซ้ำ ร่างกายก็ดูมีน้ำมีนวลมากขึ้น แต่บาดแผลกลับหายช้ามาก เหมือนกลับว่าภายในใจยังอยากให้มีแผลอยู่เลยไม่ให้แผลหายสักที
“เอ้อ…พวกเราก็คุยแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไงเซฮุนสนใจอยากร่วมวงสนทนาไหม” แม่ของพี่ชานยอลหันมาถามผมที่กำลังนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์อยู่
“ไม่เป็นไรครับ ^^”
“อ่า งั้นหรอ เดี๋ยวแม่ไปหาซื้ออะไรที่มินิมาร์ทข้างล่างหน่อย เด็กๆจะเอาอะไรกันหรือเปล่า”
“ไม่ครับ” แล้วผมก็ตอบกลับไป ส่วนพี่แบคก็นั่งส่ายหัวแล้วยิ้ม
พี่จะรู้บ้างไหม?...ว่าพี่เล่นละครไม่เก่งเอาซะเลย
รอยยิ้มนั้นใครๆก็รู้ว่ามันเศร้าขนาดไหน แม่พี่ชานยอลเขาจะรู้หรือเปล่านะ?
หลังจากที่ผมตื่นมาแม่ของชานยอลก็มานั่งคุยเป็นเพื่อนผมทั้งวันด้วยเหตุผลว่าอยู่ที่บ้นก็ไม่มีอะไรทำ เซฮุนก็มานั่งเฝ้าแต่ดูเหมือนว่าจะให้ผมเฝ้ามันมากกว่า =___=
ผมกับแม่ชานยอลก็คุยเกี่ยวกับเรื่องเมื่อก่อนไม่ว่าจะเป็นตอนที่แม่เขาสอนผมทำเค้ก ตอนที่ไปเที่ยวด้วยคนทั้งสองคริบครัว และอีกบลาๆจะผมก็รู้สึกเหมือนนั่งไทม์แมชชีนกลับไปในช่วงเวลานั้นๆ มันทำให้ผมอบอุ่นจนอยากจะร้องไห้เลย
นี่ผมทำถูกแล้วหรอ?
หมอบอกว่าแผลของผมหายช้ามาก ทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่นแผลต้องแห้งแล้ว แต่แผลของผมยังเหมือนว่าผมเพิ่งเกิดอุบัติเหตุเมื่อ 2-3 วันที่แล้วเลย ทั้งๆนี่ก็ผ่านมานานเป็นเดือนแล้วก็ตาม เหมือนจิตใจในเบื้องลึกของผมอยากให้มันมีแผลไว้ เพื่อดึงจุดสนใจไปหามัน
เจ็บที่ร่างกายยังดีกว่าเจ็บที่หัวใจ…
ผมนั่งทบทวนทั้งวันว่าที่ผมขอเลิกกับชานยอลนั้นดีแล้วหรอ เขาจะเป็นยังไงบ้างในตอนนี้ จะเจ็บเหมือนผมหรือเปล่า จะกำลังเสียใจหรือผิดหวังในตัวผมหรือเปล่า
ใครว่า…เวลาที่เราจะมีความสัมพันธ์ทางกายกับใครต้องเกิดขึ้นจากความรัก ไม่เห็นจะจริงเลย ทั้งๆที่ตอนนี้ผมกำลังจะมีอะไรกับผู้หญิงที่ผมรังเกลียดอยู่ยังไงล่ะ
ทั้งๆที่ได้รับความรักอย่างล้นพ้นแต่กลับทิ้งขว้างเหมือนมันไร้ค่า
ผมจะทำให้เธอดูไร้ค่าให้เอง…
“อื้ม!~”เสียงครางอื้ออึงในลำคอของหญิงสาวดังขึ้นหลังจากที่พวกเราเดินก้าวเข้ามาในห้องได้แค่ก้าวเดียว เพราะผมจู่โจมด้วยการจูบที่เร่าร้อน ไม่ว่าคุณจะดูกร้านโลกขนาดไหนเจอจูบนี้ไปก็พร้อมที่จะหลอมละลายได้ทั้งนั้น
จูบที่ไม่ได้เกิดจากความรักแต่มันกลับดูเร่าร้อนด้วยแรงราคะที่ถูกปลุกขึ้นจากความรู้สึกที่หลากหลาย หลอมรวมกันเป็นการกระทำที่ฝ่ายของร่างโปร่งมอบให้ ทั้งร้อนแรงและเย้ายวน แต่เมื่อไฟราคะได้ลุกโชนขึ้นมาแล้วไม่ว่าจะอยู่ในความรู้สึกใดก็ตาม ก็จัดการกับอารมณ์นี้ให้มันสงบลง
ร่างโปร่งเลื่อนจูบจากริมฝีปากบางลงมาเรื่อยๆจนถึงลำคอระหง รอยจูบจางที่ยังคงปรากฏชัดอยู่จนไม่ต้องเดาว่าใครเป็นคนทำ มีอยู่คนเดียวเท่านั้น
…พี่คริส…
เจ็บนะ แต่เพื่อให้ดำเนินไปตามแผนร่างโปร่งก็ยังคงดูดเม้มลำคอระหงต่อไป เสียงครางอื้ออึ้งอย่างพอใจของทั้งสองฝ่ายยังคงดังระงมไปทั่วห้อง
ทั้งคืน…
การทำให้ใครคนนึงที่ชอบเราอยู่นั้นหลงเราจนหัวปรักหัวปรำมันไม่ยากหรอก
และการที่จะขออะไรจากคนที่กำลังหลงเราอยู่นั้น มันก็มักจะได้ผลตามที่เราคาดเสมอ
แล้วเราก็คงจะจบเรื่องนี้ในเร็ววันนะ …ที่รัก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

38 ความคิดเห็น
-
#19 Akanishi Bluecat (จากตอนที่ 10)วันที่ 18 กันยายน 2556 / 16:43เสี่ยวลู่ ทำอะไร ไม่คิดถึง เน่ อีกแล้ว ง่ะ สงสาร น้อง ถึงจะเปนแผน แก้เผด ก่เหอะ แต่ทำไม ต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย เปลืองตัวอีกแล้ว อิแบค แก คืนดีกะ ยอลเหอะ มันคงยุไม่ได้ ท่าไม่มี แกอะ#190