A Pain Of Love
อุทาหรณ์ ความรัก อุทิศให้กับน้องหยง เพื่อนรักของเรา
ผู้เข้าชมรวม
561
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
A Pain Of Love
ผมมองดูรูปของสาวน้อยที่สวมชุดครุยตั้งอยู่รายล้อมไปด้วยดอกไม้สวยงาม รอยยิ้มอ่อนหวานปนเศร้านั้นยังคงเหมือนอย่างที่ผมเคยเห็น ผมถอยออกมาจากกลุ่มควันธูปมากมายนั้นและหันไปรับไหว้สาวสวยอีกกลุ่มที่ส่งเสียงทักทายมา ก่อนจะเดินไปนั่งที่ๆ เขาจัดไว้ให้ และยังคงมองภาพที่ตั้งอยู่ไม่วางตา สมองผมมันเริ่มประมวลความทรงจำถึงคนในรูป ทุกอย่างชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งผ่านมาไม่นาน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมพบสาวน้อยในรูป
วันนั้นที่รีสอทแห่งนึง ลุงพาผมไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น ผมเดินไปที่ครัวของรีสอทและขอน้ำหวานกับพนักงาน มากินกับพัฟสัปรดเพราะผมไม่ชอบน้ำอัดลม และคงกินเหล้าไม่ได้เพราะว่าผมเพิ่งอายุ 12 ผมเดินออกมาจากครัวในมือก็มีเหยือกน้ำหวานกับแก้วใส่น้ำแข็ง ระหว่างทางที่มีไฟสลัวๆ ที่บ่อข้างทางมีเสียงบางอย่างทำให้ผมต้องหันไปด้วยความตกใจ แต่ความตกใจก็คลายลงเมื่อภาพที่เห็นคือเด็กหญิงคนนึงกำลังขว้างหินลงน้ำ ที่สะพานไม้เล็กๆ เธอนั่งหย่อนเท้าลงไป ข้างๆ ตัวมีจานมะม่วงวางอยู่ ผมเองไม่รู้ทำไม ถึงเดินเข้าไป แล้วก็ทักทายเธอขอนั่งอยู่ข้างๆ ผมแนะนำตัวก่อนจะได้รู้ว่าเธอชื่อน้องหยง อายุ 6 ขวบ และที่มานั่งอยู่คนเดียวก็เพราะว่าเบื่อการฉลองและสนุกสนานของพวกผู้ใหญ่ ซึ่งผมเองก็ออกจะเซงๆ อยู่เหมือนกัน น้องหยงมองที่เหยือกน้ำแดงของผม ผมวางเหยือกไว้แล้วลุกขึ้นวิ่งไปเอาแก้วอีกใบกับจานพัฟของผมที่โต๊ะด้านนอกแล้ววิ่งกลับมา เรากินกันไปคุยกันไปสนุกสนาน
“พี่คิมทำไมหิ่งห้อยถึงมีแสงไฟหละคะ” เสียงเล็กๆ ถามผม
“ครูบอกพี่ว่าเพราะที่ก้นมันมีสารอะไรก็ไม่รู้ทำให้มันมีแสง” ผมตอบไปเท่าที่รู้
“อ้าว ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นวิญญาณคนตายหรอคะ” เธอถามขึ้นมาอีก
“ไม่ใช่หรอก” ผมขัดขึ้นทันที เพราะในใจก็นึกกลัวอยู่
“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นน้องหยงไม่กลัวหรอ” ผมถามกลับไปบ้าง
“กลัวทำไม มันไม่น่ากลัวเหมือนในหนังนี่คะ”
ดึกมากแล้วที่ผมไปส่งเธอที่ห้องพัก แต่ว่าพวกผู้ใหญ่ก็ยังคงสนุกกัน ผมกลับไปนอนที่ห้องบ้าง ซึ่งลุงผมก็ยังคงไม่กลับมาเช่นกัน
ภาพในความทรงจำของผมก็หยุดลง เมื่อมีคนเรียกผม คุณแม่ของน้องหยงนั่นเอง ผมลุกขึ้นไหว้ป้าแกอย่างเคย ป้าแกหันไปมองรูปที่ตั้งอยู่ แล้วหันมาคุยกับผมพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง ครู่ใหญ่ที่ผมคุยอยู่กับป้าแก แกชวนผมไปที่ห้องที่เก็บของๆ น้องหยงเอาไว้ ขนเอาอัลบัมรูปของน้องหยงมาให้ผมดูมากมาย เล่าไปก็สะอื้นไป ผมเปิดดูพลางคุยกับป้าแกอยู่อีกพักใหญ่ก่อนที่ป้าแกจะขอตัวออกไป ทิ้งให้ผมอยู่ในห้องนั้น ผมเปิดอัลบัมรูปดูอยู่คนเดียว รูปของเด็กหญิงที่ค่อยๆ โตขึ้นมาพร้อมๆ กับผม สำหรับผมเธอเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ รักกันยังกับคลานตามกันมา หรือบางทีอาจจะรักมากกว่านั้น อาจเป็นเพราะว่าผมเองไม่มีพ่อแม่ไม่มีพี่น้อง ผมเองตั้งแต่จำได้ก็มีแต่ลุงที่อยู่กับผม ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร ไปไหน ทำไมไม่อยู่กับผม แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย
หลังจากที่รีสอทแล้วผมก็ไม่เจอน้องหยงอีกเลย ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จนผมลืมเธอไปแล้วด้วยซ้ำ แล้ววันนึงผมจำได้ว่ากำลังอ่านหนังสือสอบอยู่กำลังจะขึ้น ม.2 ที่บ้านพักข้าราชการข้างๆ บ้านผมก็เหมือนจะมีครอบครัวทหารย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ หลังจากที่บ้านนั้นร้างมาหลายเดือน ผมชะโงกหัวออกไปดู เพราะเสียงเอะอะมันดึงความสนใจผม ลุงผมก็ไปยืนชี้โบ้ชี้เบ้อยู่กับเขาด้วยเหมือนกัน พร้อมกับพี่กรพลทหารที่วิ่งวุ่นตามที่ลุงผมชี้แทบไม่ทัน สิ่งที่ผ่านโฟกัสของสายตาผมไปนั้นทำให้สมองผมสะดุด ชั่ววินาทีที่สมองผมทำการประมวลความทรงจำ หลังจากที่ประมวลภาพความทรงจำแล้ว ทำให้ผมต้องปิดหนังสือสอบแล้วลงไปขอมีส่วนร่วมกับเขาบ้าง
“เอ้าคิม อ่านหนังสือเสร็จแล้วหรอลูก” ลุงผมหันมาถามเมื่อเห็นผมยกตะกร้าผ้าเดินผ่านหน้าแกไป
“ยังครับ มันง่วงครับลุง” ว่าแล้วผมก็ยกตะกร้าผ้าเข้าไปภายในบ้าน ลุงผมก็ยังยืนโม้อยู่กับเจ้าของบ้านคนใหม่ ผมเข้าไปในบ้านแล้วมองหาที่วางตะกร้าในมือ แล้วผมก็เดินไปยังประตูห้องที่เปิดอยู่ เป้าหมายของผมกำลังจัดตุ๊กตา ให้มันประจำที่อยู่บนหัวเตียงของเธออย่างเป็นระเบียบเพื่อให้แน่ใจว่าทุกตัวจะได้อยู่บนหัวเตียงของเธอได้มองดูเธอตอนเธอหลับ
“น้องหยง อันนี้วางไว้ไหนครับ” ผมยิ้มอย่างคนมีเซอร์ไพร้ น้องหยงหันมามองผมอย่างงงๆ ก่อนจะคลานลงจากเตียงมาหาผม แล้วชี้ไปทางห้องที่อยู่ตรงข้าม ผมเอาตะกร้าผ้าไปวางแล้วหันกลับมา
“จำพี่ได้ไหมครับ ที่เมื่อก่อนเราเจอกันที่งานเลี้ยงรุ่นไง ที่เรากินน้ำแดงกันหนะ” ผมพยามจะกระตุ้นความทรงจำของเธอ น้องหยงยืนเงียบใช้ความคิดอยู่ซักครู่ก่อนจะตอบผม
“พี่คิม พี่คิมหรอคะ”
“จ้า”
“เปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะ หยงจำไม่ได้เลย” ผมยังจำเธอได้ดี เสียงแจ๋วๆ นี่ก็ยังเหมือนเดิม ตากลมๆ โตๆ ก็เหมือนเดิม ผมดีใจมากที่น้องหยงมาอยู่ข้างๆ บ้านไม่รู้ทำไม คงเพราะว่าแถวบ้านผมนี่มันไม่มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผมอยู่เลย จะมีก็แต่พวกเด็กมหาลัย แล้วก็พวกพลทหาร แล้วผมก็ไม่ค่อยชอบออกไปไหนซักเท่าไหร่
“จัดของเสร็จแล้วหรอ” ผมมองไปรอบๆ ห้อง
“ค่ะ แต่หยงว่าบ้านนี้กลิ่นไม่ค่อยดีนะ”
“หรอ” ผมพยายามใช้จมูกของผมหากลิ่นที่เธอว่า แต่ก็ไม่รู้ว่ามันไม่ดีตรงไหน ก็บ้านไม้แล้วก็ไม่มีใครอยู่มาหลายเดือนมันก็ต้องเหม็นๆ เป็นธรรมดาผมคิด แต่ตอนหลังผมมารู้ว่าที่เธอว่ากลิ่นไม่ดีนั่นหมายถึงว่าบ้านนั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากล ตัวผมไม่เคยรู้หรอก แต่ลุงผมรู้ดี แกยังว่าน้องหยงเซ้นดีไม่ใช่เล่น ลุงผมเล่าเรื่องคนที่ตายอยู่ในบ้านหลังนั้นให้ผมฟัง ผมเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็กลัวเหมือนกัน มันอาจจะจริงอยู่บ้าน เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครอยู่บ้านนี้ได้นานเกิน 6 เดือนเลยแม้แต่รายเดียว
ระเบียงห้องนอนผมกับรั้วปูนที่กั้นบ้านผมกับบ้านน้องหยง แล้วก็ระเบียงห้องนอนน้องหยงอยู่ไม่ห่างกันมากนัก แรกๆ ทำโทรศัพท์แก้วพลาสติกคุยกัน ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ บางทีถ้าโดนดุเพราะแอบคุยกันไม่ยอมหลับยอมนอนก็ใช้วิธี ฉีกกระดาษมาเขียนลงไปแล้วขยำ ปาส่งให้กันไปๆ มาๆ อยู่เกือบทั้งคืน จำได้ว่าครั้งนึงผมไปเที่ยวแม่สาย ไปซื้อของถูกผมไปเห็นวิทยุสื่อสารอันเล็กๆ จำลองมาคู่นึง 500 บาท ใช้งานได้ในรัศมี
นานวันเข้า ผมก็ได้รู้ถึงความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยธรรมดาของน้องหยง ในตอนเช้าน้องหยงจะตื่นด้วยเสียงนกหวีด และทำอะไรต่อมิอะไรด้วยเสียงนกหวีด จนผมจำได้ เป่าครั้งแรกหมายถึงต้องตื่น เป่าครั้งที่สองต้องแต่งตัวเสร็จ เป่าครั้งที่สามคือหมดเวลากินข้าวเช้า ไม่นึกว่าพ่อของเธอจะเป็นนายทหารที่เลี้ยงลูกสาวได้ระเบียบจัดขนาดนั้น น้องหยงอายุ 8 ขวบ ซักผ้าเองในวันเสาร์ซักมือด้วยนะ และรีดชุดนักเรียนเองในวันอาทิตย์ ในขณะที่ผมอายุ 14 พี่กรพลทหารผู้แสนดีทั้งซักและรีดให้ตลอด เธอจะตื่นแต่เช้ามาดูการ์ตูน หลังจากที่การ์ตูนจบในเวลาประมาณ 10 โมงเช้าเธอก็จะเริ่มทำงานของเธอ หลังจากที่ผมเห็นว่าเธอทำงานเสร็จผมก็จะชวนเธอไปเที่ยวเล่นแถวๆ บ้านนั่นแหละ
“พ่อแม่พี่อยู่ไหนคะ” เธอถามผมขณะที่เรานั่งอยู่ในศาลากลางสระน้ำ นั่งมองพลทหารฝึกกันอยู่
“ไม่รู้สิ”
“แล้วพี่อยากได้พ่อแม่ไหมคะ” เธอถามอีก
“อืม...มีก็ดีไม่มีก็ไม่เป็นไร”
“หยงขายให้พี่เอาไหม” ผมหันไปมองหน้าด้านข้างของเธอทันที เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบซักทีน้องหยงก็หันมามองผม ผมพูดไม่ออกเลย
“พี่ไม่มีเงินหรอคะ หยงยกให้ฟรีก็ได้”
“ไม่ได้หรอกหยง ทำไมพูดแบบนั้นหละไม่ดีนะ”
“ทำไมหละคะ” ผมจ้องมองเข้าไปที่ดวงตากลมโตนั้น มันเย็นชาเฉยเมยจนผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
“พ่อแม่นะครับน้องหยงไม่ใช่สิ่งของ พวกท่านสูงส่งเกินกว่าจะยกให้ใครได้นะ”
“แต่หยงไม่อยากได้นี่คะ” ผมกระเถิบเข้าไปนั่งข้างๆ เธอแล้วพยายามอธิบาย
“หยงครับ พ่อแม่เป็นคนทำให้เราเกิดมานะ ไม่มีใครสามารถเลือกพ่อแม่ได้หรอก ใครเป็นพ่อกับแม่เราเขาก็ต้องเป็นตลอดไป”
“พี่คิดว่าอย่างงั้นหรอคะ”
“ใช่สิ พ่อกับแม่มีบุญคุณที่ทำให้เราเกิดมานะ”
“ถ้ารู้แบบนี้หยงไม่มาเกิดจะดีกว่ามั้งคะ เขาให้หยงเกิดมาเพื่ออะไรคะ หยงไม่ดีใจซักนิด หยงไม่ได้อยากเกิดมาเป็นแบบนี้นี่คะ มันเป็นบุญหรือบาปกันแน่คะที่ทำให้หยงเกิดมาแล้วไม่มีความสุขแบบนี้”
ผมในขณะนั้นไม่สามารถที่จะทำให้หัวใจดวงน้อยนั้นกระจ่างได้ รู้สึกละอายใจจนถึงทุกวันนี้ ผมค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมน้องหยงถึงพูดแบบนั้น ครอบครัวเธอก็ดูไม่แปลกแยกอะไรจากครอบครัวอื่นมากนักนอกจากที่ว่าพ่อเธอเข้มงวดมากไปนิดก็เท่านั้น มีพ่อกับแม่ของเธอ ตัวเธอ และน้องชายวัย 2 ขวบอีกคน
จนในที่สุดผมก็ได้รู้ว่าทำไมน้องหยงถึงดูไม่ค่อยมีความสุขนัก ด้วยการสังเกตของผม บางอาทิตย์ที่คนที่บ้านเธอไม่อยู่ เธอก็จะซักผ้าไปร้องไห้ไปบ่นอะไรไปพลางสะอึกสะอื้นผมเองก็ลำบากใจไม่น้อยที่ได้รู้ได้เห็น หลายครั้งเข้าผมก็เลยลองถามดู แล้วผมก็ได้คำตอบที่น่าตกใจครับ คือว่าพ่อของเธอที่ว่าเข้มงวดหนะผมก็ว่ามันเกินไปนิด แต่ว่ามันเกินเหตุเกินไปกว่าที่ผมคิด อย่างแรกที่ผมรู้ก็คือน้องหยงไม่เคยงอแงอะไรเลย เพราะว่าถ้าเธองอแงเธอจะโดน เช่น ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเธอไม่อยากอาบน้ำ พ่อของเธอก็จะรอจนค่ำแล้วเอาน้ำในตู้เย็นมาให้เธออาบ แล้วตีเธอด้วยไม่แขวนเสื้อ หรือว่าถ้าเธองอแงไม่อยากกินข้าวในเวลากินนั้น กับข้าวก็จะถูกเททิ้งจนหมดประมาณว่ามีเวลาให้กินไม่กินก็ไม่ต้องกิน พอถึงเวลาสอบน้องหยงก็จะถูกขังไว้ในบ้าน โดยที่ล๊อคประตูรั้วเอาไว้ เวลาท่องสูตรคูณพ่อของเธอก็จะถือไม่เรียวกำกับโดยที่ปลายไม้เรียวนั้นจะมีเข็มหมุดมัดติดอยู่ วันไหนท่องตามสั่งไม่ได้ก็อดข้าวเย็นไป ผมหละไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือการใช้ชีวิตของเด็ก 8 ขวบ ที่สำคัญกว่านั้นที่ผมไม่อยากจะเชื่อ คือว่าบ้านหลังนั้นห้องน้ำและห้องครัวจะถูกแยกออกจากตัวบ้าน แม่ของน้องหยงเลยจะซื้อกระโถนเล็กๆ ให้เธอเอาไว้ใช้ในห้องจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาเดินไปห้องน้ำไกลๆ ในตอนกลางคืน แต่ว่าเด็กมันก็มีลืมกันบ้าง แล้วถ้าวันไหนเธอลืมเอาไปเททำความสะอาดจนพ่อของเธอเลิกงานมาพบเข้า พ่อของเธอก็จะบังคับให้เธอดื่มมันกลับเข้าไป ผมรู้แบบนั้นผมพูดไม่ออกเลยทีเดียว ตกลงว่าพ่อเป็นพ่อแท้ๆ ของเธอรึเปล่าผมยังสงสัย
1 ปีเต็มที่ผมเห็นการใช้ชีวิตของน้องหยงที่ผมไม่เคยพบไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมอยู่กับลุง ลุงก็ยังรักผมเหมือนลูกไม่เคยทำกับผมแบบนั้น หลังจากนั้น 1 ปีน้องหยงก็ถูกส่งไปอยู่กับยายที่ต่างจังหวัด เธอสัญญาว่าจะเขียนจดหมายหาผม เธอคืนวิทยุสื่อสารอันเล็กให้ผม
“ที่ๆ หยงจะไปอยู่มันไกลเกินกว่าที่จะใช้อันนี้คุยกับพี่ พี่เก็บไว้ก่อนนะคะไว้ถ้าหยงได้กลับมาอีกเราค่อยเอามาคุยกันอีกนะ แล้วหยงจะเขียนจดหมายหาพี่นะคะ”
ผมค่อนข้างเหงา แล้วก็ลึกๆ นึกเป็นห่วงเธอว่าจะอยู่ยังไง อยู่กับใครแล้วจะเป็นเหมือนที่อยู่ที่นี่รึเปล่า จนผมได้รับจดหมายฉบับแรก บรรยายถึงโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่และชีวิตบ้านนอกที่มีความสุข ทุ่งนากว้างขวาง ว่าวตัวใหญ่ เครื่องแบบนักเรียนที่ไม่ต้องมีถุงเท้าและรองเท้าหนังใส่แค่รองเท้าฟองน้ำ เสื้อนักเรียนก็ไม่ต้องปักชื่อ กับพาหนะเคลือบสนิมที่เธอและพี่สาวลูกของลุงปั่นไปเรียนวันละ
ตลอด 3 ปีที่ผมได้รับจดหมายอยู่เรื่อยๆ นั้น มีใครคนนึงปรากฏตัวขึ้นทำหน้าที่แทนผม น้องหยงบรรยายถึงคนๆ นั้นไว้อย่างปลื้มอกปลี้มใจจนบางทีผมก็รู้สึกน้อยใจ ไม่รู้ทำไม พี่ชายที่แสนดีที่อยู่กับเธอคนนั้นดูแลเธออย่างดี เอาใจใส่และรักเธอมาก แต่ผมก็แอบดีใจนิดๆ ที่เธอยังคงไม่ลืมผม และเธอก็ไม่ได้ว่าผมดีกับเธอน้อยไปกว่าคนๆ นั้น จดหมายฉบับท้ายๆ ฉบับนึงที่เขียนมายาวเหยียด มันเลอะเทอะมาก ไม่ต้องให้เดาเลยว่าน้องหยงคงเขียนไปร้องไห้ไป ในนั้นบรรยายถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพี่ชายที่แสนดีคนนั้นเอาไว้ ยอมรับว่าผมเองอ่านแล้วก็ทรมานใจอยู่มากโข
หลังจากนั้นอีกแค่เดือนเดียวน้องหยงก็กลับมา และถูกส่งให้เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกับผม หลังจากที่เธอกลับมาวันรุ่งขึ้นเธอก็มาหาผมที่บ้านพร้อมของฝากจากต่างจังหวัด เค้าของความเศร้ายังคงอยู่บนใบหน้าของเธอ เธอโตขึ้นมากเริ่มเป็นสาว ผมรับเป็นภาระในการรับส่งเธอไปเรียนกับผมด้วยมอเตอร์ไซด์ที่ลุงซื้อให้ผมตอนอยู่ ม.4 น้องหยงเข้า ม.1 ส่วนผมอยู่ ม.5 แล้ว
“พี่คะ ช่วยหยงทำการบ้านหน่อยได้ไหมคะ” เธอเดินเข้ามาที่บ้านผมในเวลาเย็น ตอนผมกำลังรดน้ำต้นไม้ ผมนั่งสอนการบ้านให้เธอที่ม้านั่งหินอ่อนหน้าบ้าน เปิดดูแล้วก็รู้เลยว่าเป็นวิชาโหดสำหรับเธอ คณิตศาสตร์นั่นเอง การเข้มงวดของพ่อของเธอไร้ความหมาย การบังคับให้เธอท่องสูตรคูณ และขังไว้ในบ้านให้ทำแบบฝึกหัดมากมายไม่ได้ทำให้น้องหยงเก่งคณิตขึ้นมาแม้แต่น้อย กลับทำให้เธอเกลียดวิชานี้เข้าไส้เสียอีก
“พ่อยังตีหยงอยู่รึเปล่า” ผมถามออกไป
“ก็ไม่นี่คะ”
“จริง?”
“ค่ะ”
ผมนึกในใจว่า ลูกโตแล้วคงไม่ตีแล้วหละ แต่ถึงกระนั้นก็ดูน้องหยงไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ ก็แน่หละพ่อของน้องหยงเวลาทำโทษลูกหนะไม่เอะอะให้อายใครหรอก ลุงแกไม่แม้แต่จะด่าให้เสียเวลา ถ้าจะทำโทษก็ทำเลยทันที เรียกว่าอะไรใกล้มือก็ซัดด้วยอันนั้นแหละ โดยมากน้องหยงจะถูกตบที่หัว หรือไม่ก็หยิกที่ใบหูเพราะถูกหาว่าไม่เชื่อฟัง ส่วนน้องชายของเธอก็มักจะถูกเข็มขัด หรือไม่แขวนเสื้อตี ผมสังเกตว่าน้องหยงกลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่เที่ยว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร อยู่แต่ในห้องของเธอ ผมเองก็โตพอแล้วบางทีผมก็แอบปีนระเบียงเหยียบรั้วข้ามไปห้องน้องหยง ไม่ได้ไปทำอะไรหรอก อยากไปดูว่าเธอทำอะไรอยู่ได้คนเดียวทั้งวัน เธอวาดรูปครับ วาดได้สวยมากด้วย เธอยังเคยวาดรูปการ์ตูนหัวโตของผมกับเพื่อนๆ เป็นของขวัญวันเกิดให้ผมเลย มันเหมือนผมมากเลยแล้วผมก็ชอบมากด้วย น้องหยงไม่มีเงินเธอไม่ขอเงินเอาไปใช้เรื่องอื่น นอกซะจากเงินในส่วนที่เธอจะได้เมื่อไปโรงเรียนที่พอกับค่าข้าวกลางวันเท่านั้น
ตามเคยครับพ่อของเธอก็เข้มงวดเรื่องการใช้จ่ายของเธอด้วยเช่นกัน ค่าข้าวกลางวันก็ตกอยู่ที่ 15 บาท น้ำเปล่าก็แก้วละบาท ถ้าน้ำอย่างอื่นก็แก้วละ 5 บาทไม่เกินนี้ผมจำได้ น้องหยงได้ตังค์ไปโรงเรียนอาทิตย์ละ 100 บาท เฉลี่ยวันละ 20 บาท ในขณะที่ผมได้จากลุงวันละ 100 บาท ไม่รวมกับที่วันไหนว่าที่ป้าสะใภ้ให้มาอีก 200 -300 บาท บางทีตอนพักผมก็จะซื้อขนมไปชวนเธอนั่งกินด้วย เพื่อนสนิทของน้องหยงมีแค่ 2-3 คนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันภายในโรงเรียนผมจะเลี้ยงด้วยก็ไม่เกินความสามารถนัก
น่าแปลกครับน้องหยงที่ไม่เก่งคณิต แต่กลับเก่งภาษาอังกฤษมาก อย่างที่ผมเองยังอาย ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน เหนือชั้นกว่าเด็กมอปลายซะอีก เวลาดูหนังพ่อของเธอก็จะเช่าหนังที่เป็นซาวแทรกมาให้ดู หนังภาคไทยแทบจะไม่มี เสาร์อาทิตย์ของน้องหยงนอกจากจะจัดการกับภาระของตัวเองแล้วก็มีหน้าที่ทำความสะอาดบ้านและล้างจาน บางทีก็ทำกับข้าว และต้องหัดพิมพ์ดีด อย่างน้อยวันละ 5 แผ่น โดยที่พ่อของเธอเป็นคนเขี้ยวเข็ญเช่นเดิม เพียงไม่กี่เดือนน้องหยงก็พิมพ์ดีดไฟแลบ ผมลองให้เธอทดสอบทักษะการพิมพ์ดีดด้วยโปรแกรมหัดพิมพ์ดีดที่ผมซื้อมาลงคอมฯ ที่บ้าน มันแสดงผลออกมาว่าเธอพิมพ์ไทยได้ด้วยความเร็ว 45 คำ/นาที และพิมพ์อังกฤษได้ 65 คำ/นาที ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนีทีเดียวครับ ผมหัดจิ้มอยู่กับโปรแกรมนี้อยู่หลายเดือนกว่าจะพลิ้ว
หลังภารกิจที่บ้านเรียบร้อยผมก็มักจะไปขออนุญาตพาเธอออกไปข้างนอก บางทีก็ไปร้านหนังสือ เพราะว่าผมเองก็เตรียมเอ็นฯ แล้ว น้องหยงชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของต่างประเทศ แล้วก็หนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
“ทำไมชอบอ่านแบบนี้หละ” ผมถามขณะที่เธอกำลังสองจิตสองใจกับหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอิยิป และประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอินคา
“พี่ดูสิ ถ้าหากว่ามีเครื่องย้อนเวลาเหมือนโดเรม่อนนะหยง อยากจะไปดูว่าตอนที่มันยังสมบูรณ์จะอลังการสวยแค่ไหน” เธอเปิดรูปโบราณสถานให้ผมดู สุดท้ายเธอก็ตัดใจซื้อเล่มที่เป็นเกี่ยวกับอินคา เพราะว่าเงินเก็บเธอมีจำกัด และเธออยากได้หนังสือเกี่ยวกับคอมฯ อีกเล่ม
“อะไรเนี่ย เมื่อกี้อ่านเรื่องของเก่า ตอนนี้มาดูเทคโนโลยีซะได้” เธอหัวเราะน้อยๆ แล้วเลือกหนังสือคอมฯ ออกมาเล่มนึงเปิดดู
“พี่ก็ เรื่องเก่าๆ หนะมันมีเสน่ห์ ส่วนเรื่องนี้หนะมันจะทำให้หยงก้าวทันคนอื่น พี่เชื่อสิว่าอีกหน่อยอะไรๆ ก็จะขึ้นอยู่กับคอมฯ หมดแหละ ที่ต่างประเทศเขาขายของกันด้วยคอมฯแล้วนะ แล้วอีกหน่อยบ้านเราก็จะตามเขา”
“แล้วหยงจะขายของผ่านคอมฯ เหมือนฝรั่งหรอครับ”
“หยงก็ว่าไม่เลวนะคะ ถ้าเราทำเป็นนะ ของแบบนี้อะเขาพัฒนากันเรื่อยๆ นะคะ หยงว่าถ้าทำได้อะยังไงก็ไม่ขาดทุนหรอก”
“แหม พูดเป็นนักธุรกิจเชียว” ผมหัวเราะ แล้วสิ่งที่เธอพูดวันนั้นมันก็เป็นจริงครับ ดูเดี๋ยวนี้สิครับ บ้านไหนบ้างไม่มีคอมฯ
“วันพรุ่งนี้ไปดูหนังกับพี่ไหมครับหยง”
“ตังค์หยงหมดแล้วค่ะพี่ ซื้อสองเล่มนี่หมดตัวเลยค่ะ”
“พี่เลี้ยงก็ได้”
“อูย หยงเกรงใจค่ะพี่”
“น่านะไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย ก็พวกเพื่อนพี่หนะมันพาแฟนไปด้วย พี่ก็เซงแย่เลย”
“แล้วพี่ไม่หาแฟนซักคนหละคะ” น้องหยงหัวเราะผม ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง
ยังเคืองไม่หายที่ตอนอยู่ ม.4 เพื่อนๆ พาผมไปกรอกเหล้าแล้วพาไปให้สาวมหาลัยเรียงคิว มันยังแซวผมจนทุกวันนี้ แม้ว่าผมจะรับพิจารณาสาวที่เข้ามาตีซี้แต่ผมก็ไม่คบใครจริงๆ จังๆ และผมชอบความอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาทำท่าเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ไม่ชอบคุยโทรศัพท์กับใครนานๆ ไม่ชอบให้ใครมาจู้จี้เรื่องโน้นเรื่องนี้แม้แต่เรื่องสีกางเกงบ๊อกเซอร์อย่างที่เพื่อนๆ ผมมันเป็นอยู่ พอผมพาน้องหยงไปมันก็แซวว่าผมเล่นเด็กอีก
“พี่ขอโทษนะ อึดอัดมากไหม” ผมถามเธอตอนนั่งรถกลับ
“ก็นิดหน่อยค่ะ แต่พวกเพื่อนๆ พี่ดูร่าเริงดีนะคะ”
“อย่าไปถือสาเลยมันก็บ้าบอกันแบบนี้แหละ”
ผมไปส่งเธอตรงเวลาทุกครั้งคือ เธอจะต้องถึงบ้านก่อน 6 โมงเย็นตามที่พ่อของน้องหยงได้อนุญาตไว้เพียงแค่นั้น
หลังจากที่น้องหยงใช้ชีวิตนักเรียนม.ต้น อย่างค่อนข้างทุลักทุเลเพราะความเข้มงวดนั้น เธอก็ตัดสินใจสอบเข้าโรงเรียนพาณิชย์เอกชนนานาชาติแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวด เป็นที่ถูกอกถูกใจพ่อของเธออย่างยิ่งในขณะที่ผมเองก็อยู่มหาลัยปี 2 แล้ว หลังจากที่ต้องไปอยู่หอพักที่มหาลับ 1 ปีเต็ม เมื่อขึ้นปี 2 ผมก็ได้กลับมาอยู่ที่บ้าน เช้าวันนึงซึ่งผมมีเรียนเช้าผมก็ได้เจอกับน้องหยง ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเป็นปี ได้ยินก็แต่เสียงบ้างเป็นครั้งคราว เช้าวันนั้นผมเห็นเธอในชุดนักเรียนนานาชาติ น่ารักมากเสื้อเชิ้ตสีขาว กลัดอกด้วยสัญลักษณ์ของโรงเรียน มีโบผูกที่คอ กระโปรงสุ่มยาวถึงหน้าเข้ง เหมือนนักเรียนคอนแวนต์ ผมที่เริ่มยาวเธอมัดแล้วผูกไว้ด้วยโบสีขาว ทาปากด้วยลิปมันเล็กน้อย เธอยืนรอรถอยู่ที่หน้าบ้าน ผมถือสมุดแลคเชอร์รวมฮิตของผมแล้วเดินไปหาเธอที่หน้าบ้าน
“อ้าวพี่คะ กลับมานอนบ้านหรอคะ”
“เปล่าจ้ะ กลับมาอยู่บ้านแล้ว หอหนะให้เด็กใหม่อยู่ ตอนนี้เป็นเด็กปี 2 แล้วหมดสิทธิ์อยู่แล้วหละ” แล้วผมก็ทำท่าพยักเพยิด
“เรียนวิศวะใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ก็พี่เก่งคณิตนี่นา หยงซ่อมแล้วซ่อมอีกทั้งปี” เธอยังยิ้มอยู่
“เอาน่า คนเราก็มีอะไรที่ถนัดไม่เหมือนกันซักหน่อย” ไม่นานรถรับส่งก็มาจอดที่หน้าบ้าน น้องหยงโบกมือให้ผมก่อนจะมีไอ้หนุ่มผมทองแต่งเครื่องแบบคล้ายๆ เธอยื่นมือมาช่วยฉุดเธอขึ้นไปบนรถ น้องหยงยังคงชะโงกหัวออกมาแล้วโบกมืออีก
“หยงไปก่อนนะคะ”
“ตอนเย็นเจอกันครับ” ผมตะโกนกลับไป
ผมเรียนเสร็จตั้งแต่บ่ายกลับมานอนอยู่ที่บ้าน นอนไปคิดไปอยู่ว่าอาทิตย์นี้จะหาเรื่องพาน้องหยงไปเที่ยวที่ไหนดี เพราะไม่เช่นนั้นผมอาจจะถูกเพื่อนมาลากไปงานวันเกิดสาวเศรษฐศาสตร์ที่มันติดต่อให้ผม ผมไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงที่คนเยอะแยะขนาดนั้น แล้วดูสาวคนนั้นก็ออกจะไฮโซมิใช่น้อย แล้วตอนเย็นน้องหยงก็กลับมา ผมกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอนเมื่อได้ยินเสียงรถมาจอดที่ถนน แต่เมื่อผมชะโงกออกไปดูแล้วก็อารมณ์บูดขึ้นมาเฉยๆ เพราะว่าน้องหยงไม่ได้ลงรถมาคนเดียว ไอ้หนุ่มผมทองมันก็ดันลงรถมาด้วย 2 คนนั่งทำการบ้านด้วยกันที่โต๊ะหินอ่อน พูดอังกฤษกันไฟแลบ ผมเดินลงไปที่หน้าบ้านทำเป็นจะสอยมะม่วงแต่ความจริงแล้วก็อยากรู้ว่าทำอะไรกัน ไม่รู้ว่าทำการบ้านอะไรต้องสุมหัวกันขนาดนั้น ผมเคืองน่าดูเลยไม่รู้ทำไม ไม่รู้สอยมะม่วงยังไงโครมคราม จนน้องหยงต้องละจากการเขียนอะไรยิกๆ มาดู
“หิวมะม่วงหรอคะพี่” ผมยิ้มให้น้องหยงก่อนที่เธอจะหันกลับไปเขียนอะไรอีกยิกๆ ไอ้หนุ่มผมทองก็หันมายกมือไหว้ผม ผมถลึงตาเล็กน้อยก่อนจะหันมา ทำท่าเอาไม่แหย่ๆ มะม่วง สุดท้ายก็ไม่ได้มะม่วงมาซักลูก
“เป็นไรคิมเอ้ย” ลุงผมกลับมาเห็นผมนั่งเท้าคางทำหน้าหงิกอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
“เครียดๆ ครับลุง” ผมตอบไปอย่างสุดเซง
“มะม่วงที่มดแดงมันเฝ้าอยู่มีแมลงมาตอมครับท่าน” พี่แจ๊คพลทหาร(มาอยู่แทนพี่กรที่ปลดประจำการไปแล้ว)เอาน้ำมาวางให้ลุงผมก่อนจะแซวผมแล้วทำท่ายืนตรงแล้วก็รีบวิ่งหนีไป ลุงผมก็หัวเราะหึหึ เพราะรู้ว่าพี่แจ๊คแกหาว่าผมเป็นมดแดงคอยเฝ้ามะม่วง
“เอาน่า มะม่วงมันยังไม่สุก แกเป็นมดแดงเฝ้าอยู่ก็ยังกินไม่ได้ แมลงที่ไหนมันจะกิน” ลุงผมซดน้ำไปหมดแก้วแล้วก็ลุกไป ผมก็ยังนั่งฟุ้งซ่านอยู่ ก็มันเคืองนี่หว่า ผมแอบอยู่ที่ประตูบ้านตอนที่ไอ้หนุ่มหัวทองขอตัวกลับบ้าน น้องหยงก็ไปยืนส่งมันที่หน้าบ้านโบกไม้โบกมือกันยกใหญ่ ผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ สุดท้ายก็กลับมานั่งเคืองเหมือนเดิม
ค่ำนิดๆ น้องหยงก็ประคองชามมาใบนึงเข้ามาที่ในบ้าน ผมชายตาไปมองแล้วก็ทำท่างอนไม่รู้ว่าทำไปได้ยังไงเหมือนกัน
“พี่คะ แกงเทโพค่ะ แม่ให้เอามาให้”
“ขอบคุณครับ” ผมพูดโดยไม่มองหน้าเธอ ซึ่งโดยปกติถ้าเธอแบ่งแกงมาให้ผม ผมจะต้องรีบเอาชามมาเปลี่ยนใส่ ให้เธอเอาชามของเธอกลับบ้านไป
“พี่คะ”
“ครับ” ผมยังเมินหน้าไปทางอื่น
“หยงวางไว้ตรงนี้นะคะ” ผมไม่พูดอะไร เสียงชามถูกวางลงบนโต๊ะเบาๆ เธอเงียบไปซักพักแล้วก็ชวนผมคุยอีก
“พี่ช่วยหยงทำรายงานได้ไหมคะ”
“ทำไมไม่ให้เพื่อนหยงช่วยทำหละครับ”
“ช่วยกันแล้วค่ะ แต่ว่าข้อมูลมันหาไม่ครบหนะค่ะ พี่ว่างรึเปล่าคะ”
“ไม่ว่างครับ” ผมพูดตัดน้ำใจไปเลย
“หรอคะ” เสียงเธอก็ออกจะอ่อยๆ ผิดหวังนิดๆ ผมก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไรถึงได้ทำอย่างนั้นได้ ใช้ไม่ได้เลย
“พี่คะวันอาทิตย์ไปร้านหนังสือกันไหมคะ”
“พี่นัดสาวไว้แล้วครับ” ผมก็กวนตอบไปอีก
“พี่เป็นอะไรรึเปล่าคะ” น้องหยงคงเห็นท่าทีของผมเปลี่ยนไปก็เลยถาม เพราะว่าเธอเป็นคนที่ไม่เคยลังเลที่จะถามอะไร
“เปล่าครับ ทีนี้เวลามีการบ้านก็ไปขอให้เพื่อนๆ ช่วยสอนก็แล้วกันนะครับ หยงมีเพื่อนเยอะแยะคงมีคนสอนได้อยู่หรอก”
“ทำไมพี่พูดอยางงั้นหละคะ พี่ไม่พอใจอะไรหยงรึเปล่า”
“พี่มีสิทธิ์ไม่พอใจหยงด้วยหรอ หยงจะทำอะไรมันก็เรื่องของหยง”
“พี่คะ” เธอส่งเสียงไม่ดังนักแต่ก็เหมือนจะเหลืออดกับความงี่เง่าของผม
“ครับ” ผมก็ยังกวนกลับไป เธอเงียบไป
“เอ้า หยงเอ้ย ทำน้ำตาตกใส่แกงแล้วลุงจะกินยังไงหละลูก” ลุงผมเดินลงบันไดมาพอดี ผมหันไปมองหน้าน้องหยง ที่กำลังใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วยกมือไหว้ลุงผม แล้วหันกลับออกประตูไปทันที เท่านั้นแหละผมก็รู้ตัวทันทีว่าผมมันงี่เง่า ผมรีบลุกขึ้นตามไปทันที ผมรวบตัวเธอไว้ได้ก่อนที่เธอจะก้าวพ้นประตูรั้วไป ผมรัดตัวเธอไว้แน่นด้วย 2 แขนของผม
“พี่ขอโทษๆๆๆๆๆๆๆ” ไม่รู้ว่าผมพูดไปกี่ครั้งเหมือนกัน น้องหยงไม่ได้ขัดขืนอะไร ได้แต่ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้น
“หยงอย่าเงียบสิ พูดอะไรก็ได้ ด่าพี่หน่อยก็ยังดี หยง”
“หยงทำอะไรผิด ทำไมพี่ไม่บอกหยง” น้องหยงต่อว่าผมปนสะอึ้นเสียงดัง ผมละอายแก่ใจสุดๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วเธอก็สะบัดตัวแรงๆ ทีนึงจนเกือบหลุดไปได้ ถึงจะสู้แรงผมไม่ได้แต่ก็แรงพอที่จะทำให้ผมเซไปชนต้นมะม่วงแล้วก็ก้นกระแทกลงไปนั่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงโดยมีเธอนั่งอยู่ตรงหว่างขาผม ที่นี้ผมใช้ทั้งแขนทั้งขารั้งเธอเอาไว้ยิ่งซะกว่าเด็กเกาะเอวแม่ซะอีก
“อย่าเพิ่งไปหยง ยกโทษให้พี่ก่อน พี่มันบ้าพี่มันโรคจิตนะหยง” น้องหยงได้แต่ร้องไห้ครับ ไม่พูดอะไรเลยจนผมอ่อนใจไม่รู้จะทำยังไงดี
“พี่ขอโทษอย่าร้องเลยนะครับ พี่ขอร้องหละ” ตามที่ขอเลยครับเธอร้องหนักกว่าเดิมอีก เพราะความงี่เง่าของผมแท้ๆ นานพอสมควรที่ผมเงียบฟังเธอสะอึกสะอื้นจนในที่สุดเธอก็เงียบ ผมค่อยเบาใจหน่อย
“พี่คะปล่อย หยงจะกลับบ้านค่ะ”
“ไม่เอา บอกก่อนว่าไม่โกรธพี่”
“แล้วพี่โกรธอะไรหยงหรอคะ” ผมอ้ำอึ้งอยู่พักนึงไม่รู้จะบอกว่าไงดี
“เปล่าโกรธหยงซักหน่อย”
“แล้วทำไมพี่...” ผมชิงพูดซะก่อน
“ก็...ก็ ..แมลงมันจ้องจะเจาะมะม่วงของพี่อะ ก็เลยหมั่นไส้มัน” ผมอ้างออกไปโคดจะอาย
“ม..แมลงหรอคะ”
“ช่างเถอะ บอกก่อนว่าไม่โกรธพี่นะ”
“ค่ะ พี่นั่นแหละค่ะ โมโหแมลงแล้วมาพาลใส่หยง แมลงมันก็กินผลไม้เป็นธรรมดานี่คะพี่จะไปโกรธมันทำไม” น้องหยงบิดตัวไปมาพยายามจะให้ผมปล่อย
“ก็มะม่วงของพี่อะ”
“ค่ะๆ พี่ปล่อยหยงซักทีสิคะ หยงมานานแล้วเดี๋ยวพ่อจะดุอีก” ผมรีบปล่อยเธอทันทีด้วยเหตุผลเกี่ยวกับพ่อของเธอ
“พรุ่งนี้ทำงานให้เสร็จไวๆ นะ แล้วไปเที่ยวกัน”
“แต่...” ผมรู้ว่าเธอจะพูดอะไรผมเลยชิงพูดก่อน
“ไม่มีแต่ พี่เลี้ยงเองห้ามบอกว่าไม่เอา ไม่งั้นพี่งอน”
“โธ่พี่คะ” ผมทำสะบัดมือท่าชิ่วๆ ไล่ให้เธอกลับเข้าบ้านไป น้องหยงกลับเข้าบ้านไปแต่โดยดี รถว่าที่ป้าสะใภ้ก็เลี้ยวเข้ามาพอดี ค่ำนั้นผมก็เลยกินข้าวอย่างรู้แจ้งแม้จะเห็นไม่จริง ด้วยอาการเอ๋อๆ
“ตาคิมจะกินแต่ข้าวเปล่ารึไงลูก” ว่าที่ป้าสะใภ้ทักผม
“ช่างเขาเถอะคุณ เขางอนอยู่กับมะม่วงหนะ” ลุงผมแซว
ผมรีบกินข้าวอย่างรวดเร็วแล้วก็อาบน้ำ ดับไฟในห้องแล้วซุ่มอยู่ตรงหน้าต่างอาการเหมือนพวกถ้ำมอง ไม่นานไฟในห้องน้องหยงก็เปิด เจ้าตัวเดินออกมาที่ระเบียงมาชะเง้อชะแง้ดูห้องผม แล้วก็กลับเข้าไปในห้องปิดม่านลง ผมคลานๆ ออกไปที่ระเบียงแล้วกางหูฟัง เธอคงจะกำลังเตรียมตัวไปอาบน้ำครับ รู้ดังนั้นผมก็คลานกลับเข้ามาในห้อง พาลใจมันระทึกบอกไม่ถูก ทำไมหนะหรอครับ ก็เรื่องที่ว่ารู้แจ้งแม้จะเห็นไม่จริงหนะสิครับ ตอนที่ผมรั้งตัวน้องหยงเอาไว้ใต้ต้นมะม่วงหนะ มือผมมันก็ดันไปจับอะไรของน้องเขาเข้าไม่ได้ตั้งใจครับ บอกได้แต่เพียงว่า ซ่อนรูปจริงๆ
พอผมจบปี 4 น้องหยงก็จบ ปวช. 3 วันรับใบประกาศฯ จบปวช. 3 ผมก็ไปร่วมด้วย ก็ตามไปแฝงมะม่วงนั่นแหละครับ เธอได้ขึ้นไปรับรางวัลอื่นอีกหลายรอบแหนะ เป็นนักเรียนดีเด่นด้วย แต่ทว่าวันที่น่าภูมิใจอย่างนี้ กลับไร้เงาของคนในครอบครัวของเธอแม้แต่คนเดียว ผมดักรอเธออยู่ที่หน้าประตูหอประชุมโรงเรียน เพื่อที่จะพาเธอไปถ่ายรูปไม่ให้ได้น้อยหน้าชาวบ้าน ผมให้ช่อดอกไม้ราคา 1700 บาทให้เธอ ทำไมถึงตั้ง 1700 หนะหรอ ก็ค่าห่อก็ฟรี ค่าริบบิ้นก็ฟรี ค่ากระดาษก็ฟรี ค่ามือคนทำก็ฟรี แต่ค่าดอกอะ 1700 เพราะผมใช้แบ้งร้อย 17 ใบทำเป็นดอกไม้ให้เธอหนะสิ เพราะว่าเป็นวันเกิดอายุครบ 17 ของเธอด้วย
กว่าจะยอมรับดอกไม้ของผมได้ ผมก็อธิบายเหงื่อแตกพลั้กๆ หลังจากตระเวนถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วผมก็พาไปเลี้ยงอีก วันรุ่งขึ้นเธอขับมอไซออกไปซื้อสติกเกอร์ที่เป็นพลาสติกใส เอามาเคลือบใบประกาศต่างๆ ของเธอที่ได้รับสะสมมาจนบัดนี้เอาไว้ เพื่อกันสีซีด แล้วบรรจงติดทุกใบไว้บนฝาผนังโดยที่ไม่ต้องใส่กรอบแม้แต่ใบเดียว มันน่าน้อยใจแทนที่กระดาษประกาศเกียรติคุณเหล่านั้นไม่ได้ทำให้บุพการีของน้องหยง ภูมิใจในตัวลูกสาวของพวกเขาขึ้นแม้แต่น้อย พ่อแม่เพื่อนหลายคนที่มาเยี่ยมเยียนที่บ้านต่างชมกันไม่ขาดปากว่าน้องหยงเป็นเด็กดีอยากให้ลูกตัวเองเอาเป็นตัวอย่างบ้าง ถ่อมตัวผมไม่ว่าแต่นี่ถ่อมเวอร์ ประมาณว่า โอยไม่จริงหรอกชมกันเกินไป ลูกผมนะมันอย่างโน้นก็ไม่ดีอย่างนี้ก็ไม่ดี ถ่อมตัวมากไปซะกลายเป็นว่าให้ร้ายลูกตัวเองไปซะ จากที่ชาวบ้านเขาเห็นดีจะกลายเป็นเห็นเลวไป ผมเห็นหลายคนที่ชอบเห่อลูกตัวเองแล้วเอาไปคุยโวกันทั่วหมู่บ้านหนะก็หมั่นไส้อยู่นะ แต่ว่าถ้าถ่อมอย่างบ้านน้องหยงนี่ผมขอพ่อแม่ขี้เห่อยังดีซะกว่าอีก เป็นพ่อเป็นแม่แท้ๆ มองไม่เห็นความดีของลูกเลย
“หยงสอบต่อ ปวส. รึยังครับ” ผมถามขณะที่น้องหยงช่วยว่าที่ป้าสะใภ้ผมห่อขนมเตรียมไปวัด
“สอบแล้วค่ะ” เธอตอบผมทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาจัดการกับใบตองในมือ
“เลือกเรียนคอมฯ ใช่รึเปล่าครับ” เธอเงยหน้ามองผมแล้วยิ้มแปลกๆ
“เลือกเรียนการตลาดค่ะ”
“อ้าว ทำไมหละ ชอบคอมฯ ไม่ใช่หรอ”
“ก็ ตลาดมันลงเรียนคณิตตัวเดียวนี่คะ ส่วนคอมหนะมันลงเรียนคณิตตั้งสองตัว หยงมีหวังซ่อมอานแน่ค่ะพี่ แล้วเพื่อนหยงก็ลงกันเยอะค่ะ ที่แน่ๆ วันที่สอบหนะหยงมีตังอยู่พอให้ลงทะเบียนสอบสาขาเดียวหนะค่ะ ก็เลยตัดใจเลือกเรียนการตลาด”
“โธ่น้องหยง” ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี
อนาคตของเธอโยนทิ้งไปซะแบบนี้ เหตุผลเพราะเงินไม่พอลงทะเบียนสอบนี่ผมพูดไม่ออกเลยทีเดียว ผมรู้ว่าน้องหยงไม่เอ่ยปากขอคนที่บ้านแน่ให้เธอเอามีดแทงคอหอยตัวเองยังจะง่ายกว่าปริปากขอเงินไปโรงเรียนเพิ่ม แล้วทางบ้านก็ไม่ได้สนใจจะถามเลยว่า ลูกมีเงินพอใช้รึเปล่า สุดท้าย สองปีกับการเรียน ปวส. ของน้องหยงก็จบผ่านไปด้วยดีบ้างไม่ดีบ้าง เธอตัดสินใจลองสอบเอ็นทรานเข้ามหาลัย โดยไม่ได้หวังอะไรมากนัก ถ้าติดก็เรียน ถ้าไม่ติดก็หางานทำ งานรับปริญญาของผมเธอก็ยังไปแสดงความยินดี อัลบัมรูปเล่มใหญ่ปกกำมะหยี่ที่เธอทำเองกับมือผมชอบมาก มันเหมือนกับในนั้นมีแต่เพียงความทรงจำของเราสองคน ผมรับปริญญานี่ไม่ต้องป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ เลี้ยงกันเงียบๆ เรียบๆ ง่ายๆ จะมีก็แต่ลุงกับป้าสะใภ้ที่ย้ายเข้ามาอยู่กับลุงผมแล้ว ผม เพื่อนกระเทยผมอีกคน แล้วก็น้องหยง ตัวผมนี่หางานทำมาตั้งแต่ก่อนจะจบ พอจบก็ได้งานเลยไม่ต้องรอนาน แรกๆ ได้แปดเก้าพันก็เอามันไปก่อน
ความจริงลุงผมไม่ชอบกระเทยหรอกครับ แต่เพื่อนผมไอ้เกษม (มันเปลี่ยนชื่อเป็นเกสรศิริ ใครเรียกมันเกษมมันเคืองตาย) มันเป็นกระเทยไม่กระดี้กระด้า เป็นกระเทยทำมาหากิน เรียนม. ปลายมาด้วยกัน พอเข้ามหาลัยมันก็ไปแปลงเพศ ตอนนี้สวยกว่าผู้หญิงจริงซะอีก มันออกจากบ้านมาทำงานในบาร์เกย์ตั้งกะตอนม.ปลายนั่นแหละที่บ้านมันก็แอนตี้กระเทย โดนพ่อมันเตะอยู่บ่อยๆ ทั้งเรียนทั้งทำงานจนมีตังซื้อคอนโด แถมแปลงเพศได้อีก จบมหาลัยมันดาวน์รถได้เลย นับถือมันเลย
แล้วน้องหยงก็เอ็นติดมหาลัยได้เป็นอันดับที่ 6 มันแล้วแต่ดวงจริงๆ ครับผมว่า เธอบอกว่าข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาเดียวที่เธอมั่นใจว่าเธอทำได้เยอะที่สุด ส่วนวิชาอื่นนั้นเธอไม่มั่นใจเอาซะเลยบางวิชาเดาเอาเพียวๆ แต่ผมว่าแค่ภาษาอังกฤษของเธอมันก็สุดยอดแล้วหละ คุยอังกฤษปล๋อตั้งกะอยู่ ปวช. ก็ให้มันรู้ไปสิ น้องหยงตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผ่านการรับน้องสุดโหด(ไร้สาระ) และต้องไปอยู่ที่หอพักในมหาลัยเป็นเวลา 1 ปี แต่ว่าเธอก็แค่ขนของนิดๆ หน่อยๆ ไปไว้แล้วก็ไปนอนเป็นครั้งคราวนั่นแหละครับ เธอกลับมานอนบ้านครับก็มันไม่ได้อยู่ไกลกันซักหน่อยบ้านกับมหาลัยเนี่ย เรียกว่าหนีหอกลับมานอนบ้านครับ เธอไม่เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องที่มีเดือนละครั้งของรุ่นพี่ครับเธอบอกว่าบ้าบอ ไม่เห็นได้เรื่องอะไรที่จะไปนั่งในห้องประชุมมืดๆ ให้พวกพี่ๆ ที่แฝงตัวอยู่มันตะโกนด่าเอาเดือนละครั้ง มันเสริมสร้างความสามัคคีอย่างที่พวกรุ่นพี่อ้างกันตรงไหน
มันก็จริงของเธอครับ นั่นก็ต้องโทษผมเหมือนกัน ผมเองตอนเรียนปี 1 ก็เคยทำอย่างนี้แหละเธอก็คงเลยเอาบ้างผมไม่ได้แอนตี้หรอกนะ แต่ผมว่ามันผิดคอนเซปไปหน่อย ไอ้เรื่องที่อ้างว่าเสริมสร้างความสามัคคีให้น้อง ให้น้องรู้สัมมาคารวะกับรุ่นพี่ ผมว่าไม่ใช่หรอกมันเป็นเกมของรุ่นพี่มากกว่า แล้วก็ต้องทำกันต่อๆ มา แล้วคำว่าประเพณีก็จะถูกนำมาอ้าง เป้าหมายการเข้าเรียนมหาลัยแต่ละคนก็คงจะต้องการเรียน แล้วก็เรียนอย่างสงบด้วย ไม่ใช่เลิกเรียนมางานการ รายงานอะไรยังไม่ทันได้ทำก็ต้องแต่งตัวลงไปให้รุ่นพี่มันว้าก ก่อนข้าวเย็นงี้กว่าจะเลิกก็ดึกหมดแรงทำงานกันแล้ว มีคนเคยพูดกับผมว่า ทนเอาดิ ปีเดียวเองที่จะโดนแบบนี้ ปีเดียวก็จริงครับแต่ปีแรกในการปรับตัว ปีแรกปีที่เป็นรากฐานการใช้ชีวิตเด็กมหาลัย ถ้าคะแนนปีแรกทำได้ไม่ดีแล้วปีสองก็จะเหนื่อยขึ้นอีกเป็นสองเท่า จะทำไปทำไม เพื่อนผมหลายคนหนีกลับต่างจังหวัดก็มีนะครับ
ผมก็เลยไม่ได้ห้ามเรื่องที่น้องหยงหนีหอมานอนบ้าน หนีการทำกิจกรรมของเด็กปี 1 ครับ ปี 1 นั้นน้องหยกก็ทำคะแนนได้พอใช้ แต่พอปีสองเธอก็ชักจะไม่ไหว มีหลายเรื่องที่เธอต้องคิดมาก อันดับแรกก็คือเรื่องเงินครับแม้ว่า เงินค่าเทอมเด็กมหาลัยจะถูกว่าเงินค่าเทอมเด็ก ปวส. เอกชนอย่างที่เธอเคยเป็นแต่ว่า มันก็จะมีค่าอะไรต่อมิอะไรมาอีก เช่น ไอ้เสื้อเนี่ยอะครับตัวดี ไม่รู้ว่ามันจะทำเสื้ออะไรนักหนา เดี๋ยวเสื้อโน่นเสื้อนี่ ตัวนึงก็ไม่ใช่ 70 หรือ 80 บาทอย่างแถวๆ ตลาดนัด บางทีแค่เสื้อสกรีนธรรมดามันล่อซะ 199 เทอมนึงไม่ใช่ตัวสองตัว หลายตัวนะครับผมเองบางทีก็แถบจะบ้าตายเปลี่ยนใส่กันไม่หวาดไม่ไหว อีกทั้งค่ารายงานอีก ถ้าเป็นงานกลุ่มก็ยิ่งเสียเยอะ ยกตัวอย่างเช่น ทำรายงานเรื่องหนึ่ง สิ่งที่ต้องได้ก็คือ รายงานที่เป็นรุปเล่ม รายงานที่เป็นพาวเวอร์พอยท์ สำหรับการพรีเซนท์ รายงานบางเรื่องต้องลงพื้นที่หรือว่าหาตัวอย่างมาแสดงด้วยก็มี ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
แล้วอย่างน้องหยงที่พ่อเธอเข้มงวดขนาดนั้นมีเหรอที่จะไม่กลุ้ม และอย่างที่ผมเดาไว้เลยครับพ่อเธอไม่เข้าใจครับ แม้บางทีขอแล้วได้เงินมาใช้ก็จะถูกบ่น ถูกด่า ถูกคาดคั้นต่างๆ นาๆ บางทีเธอจึงใช้วิธีรับมาทำเองหมดครับ จะได้ไม่เสียค่าอะไรต่อมิอะไร เมื่อได้รายงาน และซีดีงานสำหรับพรีเซนเธอก็จะเอาไปประมูลครับว่าใครอยากอยู่กลุ่มเดียวกับเธอก็ให้นำเงินมาจ่ายเป็นค่าเหนื่อยแล้วเธอก็จะรับเข้ากลุ่ม ผมว่ามันก็ดีนะ แต่ว่าสุดท้ายเธอก็เหนื่อย และทำงานไม่ทัน และตัวเธอเองก็น๊อค บางทีงานเสร็จแต่ว่าตัวเธอก็ไม่สามารถไปเรียนได้ เธอมาปรึกษาผมว่าอยากจะลาออก แต่ผมก็บอกให้เธออดทนไว้อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว แต่ว่าเธอก็ต้องเสียเวลาอีกปีครับ เพราะว่าเธอดันติด F หลายตัวตอนปีสอง เธอฝืนทนทั้งที่ใจเธอมันไม่มีกำลังใจเหลือแล้วแม้แต่น้อย
กำลังใจแทบจะไม่มีแล้วก็ต้องมาถูกทำลายลงด้วยคนที่บ้านของเธอ เธอถูกดุด่ามากครับเมื่อคนที่บ้านรู้ว่าเธอต้องเสียเวลาเรียนอีกปี อ่านหนังสือไปร้องไห้ไปครับผมสงสารเธอมาก เธอกลายเป็นคนเบลอๆ สติไม่ค่อยอยู่กับตัวครับ ไม่พอหลงๆ ลืมๆ มีอยู่วันนึงครับที่เธอทนไม่ไหวแล้ว เธอบอกกับที่บ้านว่าจะลาออกแล้วไปหางานทำแล้ว พ่อของเธอโมโหมากครับตีเธอยกใหญ่ ผมเองแอบมองเธอตลอดอยากจะช่วยเธอแต่ว่าก็ทำไม่ได้ครับ ผมข้ามระเบียงที่ห้องนอนเธอ รออยู่ซักครู่ เธอก็กลับเข้าห้องมาครับ เธอเปิดไฟในห้องเห็นผมยืนอยู่ก็ยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้นแหละครับเธอคงอับอายครับ ผมเดินเข้าไปถือวิสาสะกอดเธอเอาไว้ แล้วก็พอเธอข้ามไปที่ห้องผมไปคุยกันที่ห้องผม ขืนอยู่คุยที่ห้องน้องหยงก็คงจะโดนอีก
“พี่คะหยงอยากไป”
“หยงจะไปไหน”
“ไม่รู้สิคะ ไปไหนก็ได้ หยงเอาอะไรไปไม่ได้เลย ไม่มีอะไรเป็นของหยงเลย แม้แต่ร่ายกายนี้”
“หยง ทำไมพูดแบบนี้หละ”
“ก็จริงนี่คะ ของในห้องนั้นก็พวกเขาหามาให้ ข้าวที่กินไปทุกวันนี้พวกเขาก็หามาให้ ร่างกายนี้ ชีวิตนี้พวกเขาก็ให้มา บุญคุณมันค้ำคอหยงอยู่นี่หยงยังมีทางเลือกอื่นอีกไหมคะพี่ ทำไมเขาไม่นึกถึงใจหยงบ้าง ตกลงว่าเขาเป็นห่วงหยงกลัวว่าหยงจะไม่มีงานทำหรือว่าเขาอายชาวบ้านถ้าหยงเรียนไม่จบกันแน่ถึงได้ต้องทำหยงขนาดนี้”
“หยง ใจเย็นๆ นะครับ พี่จะบอกให้นะ พ่อกับแม่หนะเขาเห็นหยงได้รับปริญญา เขาก็จะดีใจที่เห็นลูกเขาได้ดี เขาเหนื่อยที่เลี้ยงหยงมาเขาก็จะหายเหนื่อยวันนั้นแหละ วันที่รับปริญญาหยงก็จะมีความสุข พวกเขาก็จะมีความสุข พอหยงรับปริญญาแล้วหยงมีงานทำพวกเขาก็จะไม่เจ้ากี้เจ้าการหยงอีกนะเชื่อพี่นะ”
“พี่คิดอย่างนั้นหรอคะ”
“อืม อย่าท้อนะพี่จะช่วยหยงด้วยอีกคนนะ เท่าที่พี่จะช่วยได้นะ” ผมเปิดตู้เก็บอุปกรณ์จิปาถะมา กล่องเปล่า 1 ใบผมเอามาวาง ในตู้มีเครื่องปริ้นเก่าของผมซึ่งไม่ได้ใช้มาตั้งแต่เรียนจบ ผมเอามาลองเปลี่ยนตลับสีกับเครื่องใหม่แล้วปริ้นทดสอบดู เมื่อเห็นว่ามันยังทำงานได้ดีก็จับยัดลงกล่อง ตามด้วยโน๊ตบุ๊คอันเก่าที่ผมกะว่าจะเอาไปขายต่อ เพราะว่าซื้ออันใหม่แล้ว จับออกมาปัดฝุ่นเล็กน้อยแล้วลองเปิดดู ผมจัดการล้างเครื่องลงวินโด้ใหม่จับยัดกล่องไปพร้อมอุปกรณ์เสริมต่างๆ ซีดีเปล่าที่ผมเอามาไว้ไรท์เพลงหนังงานหรืออะไรต่อมิอะไร นั้นผมก็จับยัดกล่องไปอีกสองโหล พร้อมด้วยกระดาษเปล่าอีกห่อที่ยังไม่ได้ใช้
“ป่ะ” ผมปิดกล่องแล้วยกขึ้น
“ไปไหนคะ”
“กลับห้องหยงไง”
น้องหยงปีนกลับไปด้วยอาการงงๆ ผมก็ยกกล่องตามไป จัดการติดตั้งอะไรต่อมิอะไรไว้บนโต๊ะการบ้านของเธอ
“พี่จะทำอะไรหนะคะ”
“พี่ให้หยง ทั้งหมดนี่แหละห้ามบอกว่าไม่เอา ไม่ต้องเกรงใจเพราะว่าพี่มีใช้ แล้วของพวกนี้พี่ก็ไม่ได้ใช้แล้วอย่างที่หยงเห็น เพราะฉะนั้นไม่ได้เดือดร้อนพี่”
“แต่ว่าจะดีหรอคะ”
“เอาน่า หยงจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินออกไปหาพิมพ์งานที่อื่นอีก จะปริ้นก็ปริ้นเอง พิมพ์เองประหยัดไปอีกเยอะ กระดาษกับซีดีถ้าไม่พอใช้ก็ไปเอาที่พี่อีก พี่ซื้อมาตุนไว้เยอะเลยใช้มานานแล้วยังไม่หมดซักที”
ผมกดเปิดโน๊ตบุ๊คแล้วก็เดินไปเช็ดน้ำตาน้องหยง เธอไม่พูดอะไรนอกจากขอบคุณผมหลายต่อหลายคำ เธอพร่ำพูดแต่คำว่าขอบคุณกับผม ผมพาเธอไปนั่งที่เตียงให้กำลังใจเธอ และให้เธอพยายามสู้ต่อไป เพราะผมจะอยู่ข้างเธอเป็นพวกของเธอและคอยช่วยเหลือเธอ เธอพิงผมร้องไห้จนหลับไปทั้งอย่างนั้น ผมวางเธอลงบนที่นอนก่อนจะรีบปีนระเบียงออกไปด้วยใจระทึก
ผมนั่งระงับอารมณ์พุ่งพล่านอยู่ในห้องผมซักครู่ ก่อนจะเปิดลิ้นชักแล้วก็เอามือถือโนเกีย 3310 ซึ่งผมใช้ตอนเรียนอยู่ออกมาสภาพค่อนข้างเก่า แต่ว่าก็ยังใช้ได้ ผมเปลี่ยนใส่หน้ากากที่ดูใหม่ที่สุดเท่าที่มี เช็ดๆ ซักนิด ผมแกะ 1 ในซิมฟรีมากมายที่ผมมักจะไปเอามาจากตลาดนัดที่เขาแจกกัน (ไปหามาสะสมไว้เยอะเลย ก็ของฟรีอะนะ) ยัดลงไปจัดการเปิดใช้บริการ หลังจากเช็คดูบริการต่างๆ เรียบร้อยแล้วก็แอบปีนข้ามไปที่ห้องน้องหยงอีก เสียบสายช๊าจกับมือถือแล้วเอาวางไว้ข้างหมอนเบาๆ แล้วข้ามกลับมาที่ห้อง เอามือถือผมออกมาแล้วจัดการเซฟเบอร์ที่ผมยกให้น้องหยงไปให้เรียบร้อย
ผมกดดูปฏิทินในเครื่องก่อนจะตั้งเวลาให้มันปลุกผมในตอนเช้าก่อนจะไปทำงาน ผมรู้สึกอิ่มใจที่ได้ทำแบบนั้น ไม่รู้สิวูบนึงผมก็คิดว่าผมน่าจะรับช่วงดูแลน้องหยงต่อจากครอบครัวของเธอ เพียงแต่ว่าคำว่าพี่กับน้องมันจะคอยทำผมขัดใจอยู่เรื่อย แล้วผมก็ไม่รู้ว่าน้องหยงคิดยังไงกับผม ตอนเช้าผมโทรไปปลุกเธอ ผมยืนอยู่ตรงระเบียงกดโทรศัพท์ชะเง้อดูว่าเธอจะทำยังไง เธอกระเด้งตัวขึ้นมองซ้ายมองขวาอาการเด๋อๆ ด๋าๆ แล้วจับโทรศัพท์ขึ้นมางงๆ พูดฮัลโหลแบบไม่ค่อยแน่ใจ ทำผมอดขำไม่ได้ปล่อยก๊ากออกมา เธอเดินหัวยุ่งออกมาที่ระเบียง แล้วก็ยกมือไหว้ผม
“ขอบคุณค่ะ”
“เก่าไปหน่อยนะ แต่ก็ยังใช้ได้ พี่รู้ว่าหยงดูแลของใช้ดี คงไม่พังง่ายๆ หรอก”
เธอไปทำธุระส่วนตัวผมก็เตรียมตัวออกไปทำงาน
“ตื่นเช้ากว่าทุกวันจะรีบไปไหนหละลูก” ป้าสะใภ้ถาม
“จะรีบไปทำงานค้างหนะครับ ทำไม่เสร็จอาทิตย์นี้ก็คงไม่ได้พัก พวกพนักงานรุ่นพี่มันยิ่งชอบแกล้งอยู่ด้วย ถ้าไปสายเดี๋ยวมันจะแกล้งเอางานมากองไว้ให้อีก”
“ขยันจริงๆ ไม่ทำโอทีล่วงหน้าไว้ก่อนซักเดือนเลยหละ” ลุงผมแซว
“โธ่ลุง มีทำโอทีซะที่ไหนหละครับ ถ้ามีผมจะรับเอามาทำที่บ้านเลย จะได้เงินเดือนเพิ่มเยอะๆ” ผมหัวเราะหยิบเสื้อนอกมาใส่เตรียมออกจากบ้าน
“เอาเงินไปทำไรนักหนาหละหือ เป็นคนขี้งกตั้งแต่เมื่อไหร่หนะเรา”
“เปล่าขี้งกครับ ก็กะว่าจะเก็บเงินซื้อมะม่วงหนะครับ ทำท่าว่าจะสุกแล้ว เดี๋ยวใครมาซื้อตัดหน้าไปผมก็แย่สิครับ” ผมยักคิ้วให้ลุงเป็นอันว่ารู้กัน ป้าสะใภ้มองพวกผมหน้างงๆ
“มดตัวใหญ่ ชอบทำหน้าดุ คอยเฝ้ามะม่วงอยู่ทุกวี่ทุกวันคงมีใครกล้ามาสอยอยู่หรอก” ลุงผมแซวไล่หลังผมมา
มันก็จริงที่ผมไม่เห็นว่าน้องหยงจะคบใคร หรือว่าแอบคบใครอยู่แล้วไอ้หมอนั่นมันไม่กล้าเข้ามาที่บ้านน้องหยง ผมคิดไปสาระพัดและแล้วตอนพักเที่ยงผมก็แอบชะแวปไปที่มหาลัย ผมไปนั่งอยู่แถวๆ ตึกของคณะสายตาสแกนหาไปทั่ว แล้วผมก็ต้องตกใจกับใครคนนึงที่แอบมาทักผม
“เพ่คิม” ผมแทบสำลักลูกชิ้นที่ซื้อมานั่งกิน น้องบิ๋วเพื่อนของน้องหยงหนะเอง
“โธ่นึกว่าใคร”
“แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่อะคะ”
“เปล่า ก็..ก็เห็นเขาว่าลูกชิ้นเจ้านี้น้ำจิ้มอร่อยเลยแอบมาลองกินดู”
“หือ...แอบมากินลูกชิ้นหรือแอบตามไอ้หยงกันแน่พี่ พ่อมันส่งมาคุมหรอ”
“ว่าไปนั่น”
“ไม่ต้องมาทำไม่รู้ไม่ชี้ ไอ้หยงกลับไปแล้ว วันนี้มันมีเรียนแค่ตอนเช้า เดี๋ยวบิ๋วก็ว่าจะกลับแล้วพอดีแวะมาหางานในเน็ตหนะค่ะ”
“หรอ เน็ตหรอ”
“ทำไมคะ”
“เปล่า เดี๋ยวพี่ก็จะเข้างานแล้วเหมือนกัน”
“งั้นบิ๋วไปก่อนนะคะ”
ผมนึกขึ้นได้ ในวันอาทิตย์ถัดมาพ่อกับแม่ของน้องหยงพาน้องชายไปงานศพญาติที่ต่างจังหวัดผมก็เลยได้โอกาส ผมซื้อสายต่อพร้อมตลับและอุปกรณ์อะไรอีกสองสามอย่าง ผมต่อสายโทรศัพท์บ้านจากชั้นล่างของบ้านน้องหยงขึ้นไปยังห้องนอนของเธอ จัดการติดตั้งโมเดมลงไดรฟเวอร์เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ลองเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
“พี่คะ”
“เสร็จแล้วหละที่นี้ก็ไม่ต้องออกไปหางานข้างนอกแล้วหละนะ หาที่บ้านนี่ก็ได้ มีโทรศัพท์บ้านทั้งทีนะ พอดีว่าโน้ตบุคเครื่องนี้มันรุ่นเก่านะก็เลยต้องติดกันยุ่งยากซักหน่อย ถ้าพ่อจะดุก็เอาไว้เล่นตอนดึกๆ ก็ได้หรือว่าเล่นตอนที่ไม่มีใครใช้โทรศัพท์ นี่ๆ แล้วนี่ยังใช้เล่นเอ็มกับพี่ก็ได้นะตอนกลางคืนไง เราก็พิมพ์คุยกันผ่านตรงนี้ไงจะได้ไม่โดนดุ...ด้วย
ไง”
ผมชะงัก ลงคำสุดท้ายด้วยเสียงสุดแผ่ว เพราะมือน้อยๆ สองมือนั้นกำลังกอดคอผมอยู่ เสียงสะอื้นเบาๆ พ่นลมอุ่นๆ ใส่ใบหูผมจนขนลุกไปทั้งตัว ผมนั่งนิ่งอยู่ครู่นึงเพราะคิดอะไรไม่ออก ในความคิดผมนั้นอยากจะดึงเธอมากอดไว้แน่นๆ กอด จูบ ฝากรอยไว้ให้ใครๆ ได้รู้ว่าเธอมีเจ้าของแล้ว อย่างที่ใจอยากทำ แต่ว่าสุดท้ายผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วก็ยกมือขึ้นลูบหัวเธอ
ตั้งแต่นั้นเราก็คุยเอ็มกันตอนกลางคืน น้องหยงยังคงมักจะบ่นกับผมว่าพ่อแม่ของเธอบ่นว่าเธอเรื่องเสียเวลาเรียนซึ่งจากการที่เธอทิ้งการเรียนไปพักนึงทำให้เธอต้องใช้เวลาเรียนถึง 4 ปีกว่าจะจบ ก่อนที่น้องหยงจะเรียนจบนั้นทางบ้านของน้องหยงได้ย้ายออก ไปอยู่ข้างนอกเพราะพ่อของเธอได้สร้างบ้านหลังใหม่ไว้
“หยงนี่อะไรเนี่ย”
“คะ” ผมจับแผงยาคุมออกมาจากลิ้นชักที่โต๊ะการบ้านของเธอ
“หยงกินไอ้นี่ด้วยหรอ”
“ค่ะ”
“มันเป็นใคร”
“หา ใครคะ”
“ก็ไอ้นั่นมันเป็นใคร” ผมชักโมโห ไอ้แมลงบัดซบที่บังอาจมาเจาะมะม่วงของผมเลือดขึ้นหน้า
“นี่พี่คิดว่าหยง”
“พี่ถามว่ามันเป็นใคร” ผมขึ้นเสียง
“พี่คิมบ้า คิดอะไรทุเรศ เขากินรักษาสิวตางหาก บ้า”
“รักษาสิว” ผมเสียงอ่อยลงทันที เหมือนกับได้ยินเสียงอะไรแตกอยู่ข้างหู รู้สึกว่าจะเป็นหน้าผมเนี่ยแหละ
“ก็ใช่หนะสิคะ กินปรับระดับฮอลโมนหนะ”
เสียงแตกครั้งที่สองดังขึ้นที่ข้างหู ผมรีบเก็บแผงยาเอาไว้ที่เดิมทันที น้องหยงหัวเราะเสียงใส เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่าเธอหัวเราะได้เต็มที่ขนาดนี้ ตั้งแต่รู้จักเธอ ไม่เคยเห็นเธอหัวเราะท้องคัดท้องแข็งขนาดนี้มาก่อน เพราะว่าเวลาเธอหัวเราะดังๆ ก็จะถูกพ่อว่า ทำให้เวลาอยู่บ้านน้องหยงจะทำหน้ามุ่ยอยู่ตลอดเวลา
น้องหยงได้งานทำก่อนจะเรียนจบด้วยซ้ำ ด้วยทักษะภาษาอังกฤษของเธอที่ดีเยี่ยม บริษัททัวร์แห่งนึงจึงจองตัวเธอไว้ก่อนจบ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ครอบครัวของเธอไม่ค่อยว่าอะไรเธอมากนัก น้องหยงยังคงอยู่ที่บ้านหลังนั้นเพียงคนเดียวในขณะที่พ่อแม่และน้องชายของเธอได้ย้ายออกไปแล้ว เธอบอกกับทางบ้านว่าอยากลองอยู่คนเดียว ตอนแรกพ่อกับแม่ของเธอค้าน แต่ว่าลุงผมก็ไปคุยให้ทำให้พวกเขายอม
คืนนึง ผมพาเธอไปกินข้าวนอกบ้าน
“เราไม่ได้คุยกันแบบนี้นานแล้วนา” ผมเริ่มบทสนทนา
“ค่ะ”
“เป็นอะไรรึเปล่าหยง” เธอส่ายหัวยิ้มๆ
“ปีหน้าที่พวกเขาคงจะมีความสุขนะคะ ได้เห็นหยงรับปริญญา จะได้มีหน้ามีตากับเขาซักที”
“โธ่หยงหละก้อ”
“ก่อนที่หยงจะได้รับปริญญา หยงอยากจะใช้ชีวิตให้สุดๆ หยงไม่เคยทำอะไรก็จะทำ”
“หยง”
“พี่คะ ดูสิ” เธอแบมือให้ผมดูทั้งสองข้าง
“อะไรหรอ”
“พี่เห็นไหมคะ” ผมจับมือมาดูทั้งสองข้างก็ไม่เห็นอะไร
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“โซ่เส้นใหญ่ที่ยังผูกมือหยงเอาไว้ไงคะ หยงรู้แล้วว่าคนที่จะเอามันออกได้ก็มีแต่ตัวหยงเท่านั้น และมีแต่ตัวหยงเท่านั้นที่จะปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้”
“ไม่เอาน่าหยง เรามาสนุกกันดีกว่านะ” ผมพาเธอไปเดินซื้อของ ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่อีกมากมาย เธอสนุก ผมก็สนุก
“หยงไม่หาแฟนบ้างหรอ” ผมถามขึ้นลอยๆ
“ไม่หรอกค่ะ ตอนนี้หยงก็มีความสุขดี แล้วพี่หละคะไม่หาบ้างหรอ เดี๋ยวก็โดนหาว่าควงเด็กอีกหรอก” ผมออกจะเขินซะเอง ในขณะที่เธอยังดูเฉยๆ
“ไม่รู้สิ ไม่ถูกใจใครเลย สงสัยพี่เป็นเกย์หละมั้ง”
“เอ้า ว่าไปนั้นพี่หละก้อ”
“อย่างหยงหนะหนุ่มๆ ที่ทำงานคงจะมาจีบเยอะหละสิ”
“แหม หยงว่าพี่หนะแหละ หยงเห็นสาวๆ ที่ออฟฟิตพี่หนะ แต่ละคน ขาว สวย หมวย อึ๋ม บะฮึ่มๆ ทั้งนั้น ไม่โดนใจซักคนเลยหรอคะ”
“ไม่อะ” ผมคิดในใจว่า ดีแต่ว่าคนโน้นอึ๋ม คนนั้นบะฮึ่ม ไม่ดูตัวเองเล้ย พวกที่ทำงานยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าเป็นพวก บราเวีย ผสมโซนี่เวก้าแล้วพูดมาแบบนี้ผมจะไม่ว่าซักคำเลย ผมพาลจิตนาการไปไหนต่อไหนๆ โน่น
“พี่คะ ทำไมมาตรงนี้หละคะ” สติสะตังผมกลับมาอีกทีก็มายืนอยู่ตรงหน้าโซนชุดชั้นในสตรีแล้ว โคดจะอาย
แล้วน้องหยงก็ทำในสิ่งที่เธอเคยพูดไว้จริงๆ เธอเลิกงานแล้วก็เที่ยว ดื่มเหล้า ไปปาตี้ เข้าเทค ผมเตือนเธอแล้วก็ไม่ฟัง หลายเดือนเธอยังคงทำแบบนั้น ของอะไรที่เคยอยากได้ก็ซื้อหมด เงินเดือนออกเธอแบ่งส่วนหนึ่งส่งให้ที่บ้านส่วนที่เป็นของเธอก็จะใช้อย่างที่อยากจะใช้ ทำผม แต่งหน้าทาปาก ยังกับคนละคน จนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเธอ ผมเข้าไปรอในห้องนอนของเธอในคืนนึง ผมมองนาฬิกาตอนที่เธอขับรถเข้ามาในบ้าน ตี 2 กว่าเกือบตี 3 ถ้าเป็นวันไปทำงานเธอก็จะกลับซักเที่ยงคืนหรือไม่ก็ตี 1 แต่นี่วันศุกร์ล่อซะเกือบตี 3
เธอเปิดไฟในห้อง เห็นผมนั่งอยู่ก็ตกใจนิดหน่อย ผมนั่งหน้าหงิกจนเมื่อย
“เมาขนาดนี้เลยหรอหยง”
“ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ” ไอ้ไม่เท่าไหร่ที่เธอว่านี่ก็เดินจะไม่ตรงอยู่แล้ว น้องหยงเอากระเป๋าถือไปวางที่โต๊ะ แล้วก็ไปล้างหน้าล้างตา แล้วก็มายืนตรงหน้าผม
“เชิญบ่นได้เลยค่ะ” ผมยอมรับว่าค่อนข้างหัวเสีย เพราะว่าเธอให้ผมบ่น แต่รับรองเลยว่าผมขอร้องอะไรเธอไม่ได้ ผมจะได้แต่บ่นเท่านั้นเพราะว่าเธอจะไม่ฟังผมเด็ดขาด ผมระอาจนไม่รู้ว่าจะบ่นอะไรออกไปดี
“ทำไมถึงทำแบบนี้”
“ก็หยงเคยบอกพี่แล้วนี่คะว่าอะไรที่หยงไม่เคยทำ หยงก็จะทำ”
“กินเหล้า เที่ยวกลางคืนเนี่ยนะ มีผู้ชายด้วยหละสิ”
“พี่จะคิดยังไงก็แล้วแต่พี่เถอะค่ะ หยงไม่ได้นำความอับอายเสื่อมเสียมาให้พี่ หรือว่าคนที่บ้านหยงก็แล้วกัน แล้วหยงก็มีความรับผิดชอบมากพอไม่ทำงานการเสีย ถึงจะเที่ยวยังไงก็ตาม ส่วนที่เหลือพี่จะคิดยังไงก็เรื่องของพี่ก็แล้วกันค่ะ” เธอทำผมเหลืออด
สุดท้ายคืนนั้นผมก็จับเธอจัดการไปเรียบร้อย แล้วผมก็ได้รู้ว่าผมเองก็เลว แม้ว่าน้องหยงจะเที่ยวแต่ก็ไม่เคยพลาดท่าเสียทีใคร แต่ผมคนที่หวังดีกับเธอกลายมาเป็นไอ้เลวที่พรากความบริสุทธิ์ของเธอไปซะได้ ตอนเช้าผมตกใจตื่นน้องหยงเดินกระเผกเกาะไปตามฝาผนังเพื่อไปที่ห้องน้ำ ตัวก็ห่อไว้ด้วยผ้าเช็ดตัวลายการ์ตูนผืนเล็กๆ ผมอุ้มเธอเดินลงจากบ้านไปที่ห้องน้ำวางเธอลงที่ชักโครก มีแต่คำขอโทษเท่านั้นที่ผมจะคิดออกและพูดไปตอนนั้น ผมคุกเขาอยู่ตรงหน้าเธอที่นั่งอยู่บนชักโครก พูดได้ก็แต่คำขอโทษ
“พี่คะ” ผมเงยหน้าขึ้นมอง
“หยงปวดฉี่” ผมพยักหน้า
“พี่ออกไปก่อนสิคะ” ผมส่ายหน้า
“มันเหม็นนะ” ผมส่ายหน้าอีก
“หยงอาย” ผมเอื้อมมือไปกดชักโครกค้างเอาไว้ให้น้ำลงเรื่อยๆ สุดท้ายเธอก็ยอมฉี่ทั้งอย่างนั้น
“พี่คะ อย่านั่งอยู่อย่างนี้เลย” ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี
“พี่ขอโทษ” น้องหยงไม่ได้พูดอะไร เธอโน้มตัวลงมากอดผมเอาไว้ ผมอุ้มเธอกลับขึ้นไปบนบ้าน
ผมนัวเนียอยู่กับเธออีกตลอดทั้งวัน ตอนเย็นถึงได้พาเธอออกไปกินข้าว ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไปหาเธอทุกคืน เราไม่ได้มีการตกลงกันในเรื่องใดๆ ไม่ได้ตกลงกันว่าจะเป็นแฟนกัน ไม่ได้คุยกันเรื่องความรัก ไม่ได้บอกว่ารักให้กัน เมื่อเราอยู่ด้วยกันร่างกายมันก็จะพาไป ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดกันเลยแม้แต่คำเดียว ทั้งผมและน้องหยงมีเรื่องที่ต้องทำในวันที่เธอรับปริญญา เรื่องที่เธอก็ไม่คาดคิดว่าผมจะทำ และเรื่องที่ผมไม่คาดคิดว่าเธอจะทำ
ผมจะบอกเธอว่ารัก และต้องการเธอมาร่วมชีวิตในวันที่เธอรับปริญญา แต่ถ้าผมรู้ว่าวันรับปริญญาเป็นวันที่ผมต้องเสียเธอไปตลอดชีวิต ผมจะไม่ส่งเสริมให้เธอเรียน จะบอกให้ลุงไปขอเธอมาให้ผม....
หลังจากรับพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว เราก็ไปถ่ายรูปกัน เป็นครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้ายจริงๆ เธอแยกตัวหายไป ผมนั่งรอที่ซุ้มของคณะเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน กระดาษแผ่นน้อยหลายแผ่นปลิวมาจากไหนมากมายผมไม่รู้ แล้วไม่กี่วินาทีนั้นร่างของเธอก็ร่วงลงมากระแทกพื้นสนามหญ้าตรงหน้าผม
เสียงเอะอะ เสียงหวีดร้องที่อยู่รอบๆ ตัวผม ผมได้ยินมันเพียงเบาๆ เท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนมีเหล็กหนักหลายร้อยปอนด์หล่นลงมาทับผม เหมือนร่างกายผมแตกสลาย พ่อกับแม่ของเธอถลาเข้าไปจับร่างของเธอ
รถพยาบาลมาถึงและบอกว่าชีพจรเธอยังคงเต้นอยู่อย่างเบาๆ นั่นอาจเป็นเพราะว่าเธอลงมากระแทกสนามหญ้า ถ้าลงมากระแทกพื้นคอนกรีตอาจจะคาที่ไปแล้ว
ผมพอจะมีความหวังอยู่บ้างว่าเธอจะรอด แม้มันจะริบหรี่มาก แต่แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง เมื่อหมอบอกว่ายังไงเธอก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมาอีก เธอจะนอนหลับอยู่อย่างนี้ตลอดไป หมอขออนุญาตถอดสายออกซิเจน
พ่อกับแม่ของเธอแทบคลั่ง นี่คือสิ่งที่หยงต้องการจากใจจริง นี่คือสิ่งที่หยงรอคอยมาตลอด 1 ปี การที่เธอได้เห็นว่าบุพการีของเธอเจ็บปวดคือสิ่งที่เธอต้องการ แต่ว่าผมเองก็เช่นกัน ผมก็เจ็บปวด เป็นที่สุด
ผมขอเป็นคนถอดสายออกซิเจนออกเอง เพราะพ่อแม่ของเธอแทบจะลมจับอยู่แล้ว ป่วยการที่จะรั้งเธอเอาไว้อีกต่อไป เธอเองเป็นคนปลดพันธนาการที่ตรึงเธอเอาไว้ด้วยตัวเอง อย่างที่เธอเคยบอกกับผม แล้วผมจะฝืนรั้งเธอไว้ทำไม เพราะไม่ว่ายังไงต่อจากนี้ไป เธอก็จะไม่อาจยิ้มให้ผมได้อีก ไม่อาจเรียกผมเหมือนอย่างเคยได้อีก ไม่อาจกอดผมได้อีก จูบผมก็ไม่ได้ รักผมก็ไม่ได้อีกต่อไป
ผมลูบหัวเธอมันค่อนข้างบวม บอกลาเธอเบาๆ ที่ใบหูน้อยๆ สวมแหวนไว้ให้เธอก่อนที่มือของเธอจะแข็งทื่อไม่รับแหวนของผม แล้วดึงตัวครอบออกซิเจนออกจากใบหน้าที่หลับพริ้ม ปากนุ่มๆ ที่เคยจูบผมมันก็ซีดแล้วก็เย็นชืด เสียงหวีดดังยาวนั้นเหมือนเอาชีวิตของผมไปด้วยอีกคน ผมแทบไม่กล้าคิดเลยว่าผมจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไงต่อไป
ความทรงจำของผมมันจะยังคงอยู่ตลอดไป ผมได้แต่เฝ้าคิดถึงรอยยิ้มของเธอ เสียงเรียกของเธอ จูบของเธอ ร่างกายอุ่นๆ ของเธอ ผมไม่โทษใครทั้งนั้น นอกซะจาก ชะตากรรม.....
ผมลุกขึ้น ไปรื้อเอากระเป๋าเดินทางมาใบนึงขนอัลบัมรูปบางส่วนยัดลงไป โน้ตบุคที่ผมเคยให้ มือถือ ของใช้ส่วนตัวอีกบางชิ้น ชุดชั้นในที่ผมเคยซื้อให้ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หวี รองเท้าคู่โปรด ปลอกหมอน ผ้าห่ม ยัดลงไปในกระเป๋า
“หยง พี่จะกลับแล้วนะ กลับไปกับพี่นะ รับแหวนพี่ไปแล้วก็ต้องเป็นเมียพี่เข้าใจไหม กลับบ้านกันเถอะ”
ผมพูดกับห้องว่างเปล่านั้น แล้วก็หิ้วกระเป๋ากลับบ้านไปด้วย วันฌาปนกิจ ผมก็เข้าไปดูหน้าน้องหยงเป็นครั้งสุดท้าย เธอสวยด้วยชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนลูกไม้ ใบหน้าถูกแต้มสีสันลงไปเล็กน้อย ผมวางมือถือลงไป พร้อมทั้งกำชับให้เธอโทรหาผมด้วย แม้จะรู้แน่ว่ามันคงจะถูกเผาไปด้วย แต่ก็แอบหวังว่าเธอจะโทรหาผมบ้าง จะจากโลกไหนผมไม่สน
ผมเปิดโน้ตบุ๊คที่ผมไปเอาคืนมา บนหน้าเดสท๊อปนั้นมีจดหมายถึงผม
พี่คะ หยงขอโทษ พี่คงจะว่าหยงว่าไม่คิดถึงใจพี่ คิดสิคะ พี่คะหยงไม่รู้ว่าพี่จะคิดเหมือนหยงรึเปล่า หยงรักพี่ แอบรักมานานแล้ว แต่หยงรู้สึกเหมือนกับว่าพี่อยู่ไกลเหลือเกิน พี่เพียงคนเดียวในโลกนี้ที่ดีกับหยง ชาตินี้หยงให้พี่ได้แค่ความรัก กับตัวหยง ที่ติดค้างหยงจะใช้ให้พี่ชาติหน้า พี่อยากให้หยงเป็นอะไรหยงก็จะเป็น จะให้เป็นวัวเป็นควายหยงก็จะใช้ให้พี่ ในความโชคร้ายของหยง พี่เป็นความโชคดี 1 ปีนี้หยงมีความสุขมาก แต่พี่คะถึงหยงจะรักพี่มากแค่ไหนมันก็ไม่เท่ากับความแค้นที่หยงมี หยงแค้นพวกเขา หยงอยากจะเห็นพวกเขาร้องไห้ อยากเห็นพวกเขาเป็นทุกข์ อย่างที่พวกเค้าเคยทำให้หยงเป็น พวกเขาทำให้หยงอยู่ก็ไม่ได้ตายก็ไม่ได้มาหลายปี แต่หยงคิดวิธีที่จะแก้แค้นให้สาสมไม่ได้ ถ้าหยงไม่ตายไปซะ มันก็คงไม่สะใจ พี่คะอโหสิให้หยงด้วยนะคะ หยงจะจดจำพี่ตลอดไป ถ้าหยงยังมีบุญหยงก็คงจะได้พบพี่อีกชาติหน้า หยงอยากจะตายคาอกพี่มากกว่ามันคงจะมีความสุขกว่า แต่ว่าพี่คงไม่ยอมหรอกหยงรู้ อย่าร้องไห้เลยนะคะ หยงอยากให้พี่รู้ว่าชีวิตหยงมีแต่พี่เท่านั้น ถ้าหยงระงับความแค้นไว้ได้หยงก็คงได้อยู่กับพี่ตลอดไป แต่ว่าหยงทำไม่ได้ พี่อาจจะไม่เข้าใจ แต่ว่าพี่คะ หยงเป็นทุกข์มานาน สิ่งที่พี่เห็นนั่นมันก็เท่านั้น หยงถูกเลี้ยงมาแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ ตกลงพวกเขาต้องการหยงจริงๆ รึเปล่า ตกลงหยงเกิดมาเพราะว่าความรักรึเปล่า หรือว่าหยงเกิดมาเพราะว่าความไม่ตั้งใจ หรือว่าหยงเป็นส่วนเกิน พี่คะหยงหาคำตอบไม่ได้ หยงรักพี่เหลือเกินหยงอยากจะบอกพี่ แต่หยงก็ไม่กล้า หยงดีใจที่ได้ซ้อนมอไซพี่ ดีใจที่พี่ทำท่าเหมือนจะหึง ดีใจที่พี่กอดหยง ดีใจที่พี่จูบหยง ดีใจที่ได้เป็นของพี่คนแรก พี่คะไม่ว่าตอนนี้หยงจะอยู่ที่ไหน หยงก็จะคิดถึงพี่ค่ะ
ถ้าผมรู้ว่ามันจะต้องจบแบบนี้ผมจะบอกเธอไปก่อนหน้านี้ บางทีอย่างน้อยความรักของผมอาจจะดับไฟแค้นของเธอได้และเธอก็จะได้ไม่ต้องจากผมไปอย่างนี้
ผมเฝ้ารอโทรศัพท์อยู่นานมาก แทบไม่ได้กินหรือหลับ จนตัวผมเองเป็นเหมือนผีตายซาก ผมไม่รู้ว่าวันเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ลุงผมเข้ามาขอร้องผม ผมทำให้ลุงกับป้าเสียใจไม่ได้ สุดท้ายผมก็ยอมลุกขึ้น แต่ว่าผมก็ยังไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์เหมือนกับว่าครึ่งนึงของผมมันได้ตายตามคนที่ผมรักไปแล้ว
ลุงชวนให้ผมไปบวช ทั้งนี้เพื่อตัวผมเองแล้วก็เพื่อหยง ผมจะไปบวชอาจจะซัก สองหรือสามพรรษา หรือนานกว่านั้น เพื่อที่จะสงบจิตสงบใจให้ได้มากกว่านี้
พี่จะไม่อภัยให้หยงที่ทำให้พี่ต้องเสียใจ พี่จะทำให้หยงไม่สามารถไปไหนได้ต้องวนเวียนอยู่กับพี่อย่างนี้จนกว่าพี่จะตาย แล้วเราจะไปด้วยกัน ชาติหน้าพี่ไม่รู้ว่ามันจะมีจริงรึเปล่า พี่หวังว่าชาติหน้าหยงจะมีพ่อแม่ที่เข้าใจหยง พี่สาบานว่าจะตามรักหยงไปทุกชาติ แต่หยงจะต้องเกิดมาคู่กับพี่ทุกชาติ เป็นเมียรักของพี่ทุกชาติ ชดใช้ให้พี่ที่หยงทำให้พี่เป็นทุกข์ในชาตินี้......
ผลงานอื่นๆ ของ EndymioN ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ EndymioN
ความคิดเห็น