คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Prologue Chapter for Digimon Frontier
Title : The (Boys') Marry (1st Episode ; Beginning of Final Sovereign)
Chapter : Prologue Chapter for Digimon Frontier
Author : NaR!eZ-Narilada
Message from N`Nae :
+ 18 Jan 2010 +
- อู้มาปั่น... นิยายของหนูดงบังกับเจ๊ชมรอหน่อยน้า.. เดี๋ยวยัยเนจะบินไป (เมื่อเสร็จงาน)
•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•
จากจารึกผลึกแก้วของสามเซเลสเทียล ว่ากันว่าได้มีนักพเนจรสองคนได้บันทึกเรื่องราวบางอย่างในสมัยนั้นเอาไว้ แต่ทว่ากลับไม่มีใครอ่านมันออกเลย เนื่องจากว่ามันเป็นภาษาโบราณที่หาคนอ่านออกได้ยากนัก แต่ด้วยความสามารถที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในปี 2006 ของโลกมนุษย์ที่ซึ่งเป็นอีกมิติหนึ่ง ก็ทำให้สามารถตีความได้ออกมาคร่าว ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก หากแต่กว่าจะตีความได้ก็ใช้เวลาไปกว่าสี่ห้าปีทีเดียว
...
ช่วงค่ำวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2006
ณ ร้านสะดวกซื้อบริเวณชานชาลาสถานีรถไฟจิยุงาโอกะ , จิยุงาโอกะ , เมงุโระ , โตเกียว
'ในครั้งอดีตกาลนั้นสองเผ่าได้รบมุ่งกัน ฝ่ายหนึ่งโหดร้ายทารุณ ฝ่ายหนึ่งเลือดเย็นอำมหิต แต่ก็ได้มีแสงสว่างประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้าให้มายุติศึกนี่ นามนั้นคือลูเจ อันแปลว่าแสงสว่าง หากแต่ว่าพระผู้เป็นเจ้าคงไม่ได้ใจดีแด่พวกเรานัก เมื่อในตอนหลังแสงสว่างที่เฉิดฉายกลับผันแปรเป็นมืดมิด ไม่มีใครกล้าต่อกร แต่ก็มีผู้กล้าทั้งสิบได้ยืนหยัดต่อสู้จนได้รับชัยชนะ และผู้กล้าต่างรู้ตัวเองดีกว่าพวกเขาไม่น่าจะไปได้ไกลไปกว่านี้ จึงได้แยกพลังของตนออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งหลอมรวมกับเพื่อนผู้กล้า สองส่วนหลอมรวมกันเป็นขุมพลังใหม่ที่รอให้ผู้ที่ได้รับเลือกมาครอบครอง'
'และหลายร้อยปีต่อมาก็ได้มีผู้กล้าปรากฏตัวช่วยเหลือพวกเราอีกครา หากแต่พวกเขากลับหาใช่พวกเดียวกับเรา และถึงจะเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็ยังช่วยพวกเราให้พ้นจากภยันตรายได้ ทว่าพวกเขาก็ยังอ่อนประสบการณ์นัก จึงทำให้นามต้องห้ามแห่งแสงสว่างได้ถูกปลุกจากการหลับไหลอีกครา พวกเราคิดว่าคงไม่มีปาฏิหาริย์อีกแล้ว แต่พวกเขาก็สร้างปฏิหาริย์ให้พวกเราเห็นโดยการชำระล้างจิตใจอันมืดมัวให้นามต้องห้ามแห่งแสงสว่าง และจากนั้นมาโลกนี้ก็อยู่อย่างเป็นสุข'
"โห..เป็นนิทานหลอกเด็กที่ยอดเยี่ยมใช้ได้ทีเดียวแฮะ"
เสียงพึมพำไม่ได้ศัพท์เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบ คนพูดกระชับฮู้ดที่คลุมศีรษะไว้แน่น ในขณะที่มือว่างอีกมือหยิบหนังสือที่วางแผงตามชั้นหนังสือมาอ่านฆ่าเวลารอพนักงานคิดเงินที่เคาน์เตอร์เสร็จ แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีใครในร้านสงสัยว่าทำไมคน ๆ นี้ถึงได้คลุมฮู้ด.. อาจเป็นเพราะบางทีอาจเป็น 'เรื่องปกติ' ของคนคุ้นเคยแถว ๆ นี้แล้วก็เป็นได้ล่ะมั้ง?
...และในที่สุดก็ถึงคราวที่เขาต้องชำระเงินเสียที จึงได้วางหนังสือที่หยิบขึ้นมาอ่านไว้ที่เดิมเงินจ่ายเงิน
"12460 เยน.. จ่าย ๆ มาได้แล้วคุณหนู.." (น่าจะประมาณเกือบ ๆ 4000 กว่าบาท)
เท่านั้นแหละ ทั้งร้านหันมามองกันเป็นตาเดียว.. ซะที่ไหนเล่า! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะว่านี่ถือเป็นกิจวัตรประจำวันของคนผู้นี้เลยก็ว่าได้ เพราะช่วงสองสามปีที่คนผู้นี้ได้มาที่ร้านสะดวกซื้ออยู่ทุกคืน และจ่ายเงินเกินหมื่นเยนจนเป็นเรื่องปกติ มีคนเคยตั้งข้อสงสัยว่าทำไมต้องปิดบังหน้าตัวเอง ก็เลยมีคนลองดีไปถือวิสาสะเปิด(กระชาก)ฮู้ดออกมา แต่สุดท้ายผู้กล้าบ้าดีเดือดคนนั้นก็นอนหยอดน้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลจนบัดนี้ยังไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เลย!.. ว่าแต่ทำไมต้องเป็น 'คุณหนู' วะ?
แล้วอีกอย่าง.. ใบหน้านั่นไม่ต้องใช้ฮู้ดคลุมคนในละแวกนี้ก็ดูออก.. แหงสิ ก็คนผู้นี้น่ะเกิดและเติบโตที่นี่มาตั้งเกือบ ๆ สิบห้าปี แถมใคร ๆ ต่างก็รู้จักไปทั่วอีกต่างหาก สาเหตุที่ต้องใช้ฮู้ดน่ะเหรอ?..
"ทำไมช่วงนี้ถึงนิยมใส่ฮู้ดนักนะ.. ใส่ไปทำไมให้ร้อนเปล่า ๆ ทรมานตัวเองชัด ๆ เลยนะคุณหนู"
"เลิกถามอะไรที่มันบั่นทอนพื้นที่สมองส่วนความจำได้มั้ย.. แต่เพื่อคุณพนักงานรุ่นน้องมือใหม่ข้าง ๆ คุณ จะบอกให้ฟังก็ได้ว่าทำไมต้องสวมฮู้ด.. เพราะอะไร.. ทำไมน่ะเหรอ.."
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ค่อย ๆ ปลดฮู้ดที่ปิดบังใบหน้าลงมา เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลสลวยซอยสั้นเลยบ่าไปนิดหน่อย นัยน์ตาลึกล้ำสีน้ำตาลไหม้อ่อน ๆ ประกาย ผิวสีแทนซีด ๆ ที่เริ่มจะกลายเป็นอมชมพูหากยังคงคลุมฮู้ดมันทุกวัน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนเรื่อ ๆ ตามธรรมชาติ.. สักพักเจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมาคล้ายรอรับของที่จะถูกขว้างมา.......และก็มีของขว้างมาจริง ๆ ด้วยสิ
"ก็เพราะพอเปิดฮู้ดแล้วมีคนชอบลองของไงล่ะ..ถึงต้องใส่ฮู้ดมันอยู่ทุกวัน... ก็ใช่ว่าจะอยากใส่หรอกนะ"
สิ้นคำพูดก็มีเสียงกรีดร้องเจ็บปวดทุรนทุรายจากภายนอกร้าน คนที่เหลือต่างก็ถอนหายใจและแอบสวดภาวนะให้ 'คนที่เจอดี' อย่างเงียบ ๆ พนักงานใหม่ของร้านสะดวกซื้อสาขานี้เลิกคิ้วขึ้นสงสัย
"......และหวังว่าคงจะไม่มีใครกล้าทำแบบนี้อีกนะ เฮ้อ! แต่ถึงจะพูดแบบนี้สุดท้ายก็ยังมีพวกลองของอีกสิน่า.. เอาเถอะ ส่วนเจ้าบัตรนี่.. เสร็จแล้วเอาไปส่งที่บ้านพร้อมสินค้าด้วย"
จบประโยคแล้วเจ้าตัวก็ยื่นบัตรเครดิตไปให้พนักงานที่ยังคงก้มหน้างุด สั่งนิดหน่อยแล้วค่อย ๆ สวมฮู้ดอีกครั้งแล้วออกจากร้านสะดวกซื้อไป ทิ้งให้พนักงานที่เป็นคนคิดเงินถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ พนักงานใหม่คนข้าง ๆ ก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
"นี่ ๆ คุณรุ่นพี่ ทำไมถึงได้ไม่ตักเตือนอะไรเด็กคนนั้นหน่อยล่ะ แบบนี้มันไม่ดีไม่ใช่เหรอ ถึงเด็กนั่นจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงแค่ไหนก็เถอะนะ.. คือ.. ฉันก็เห็นเขาตามสื่อบ่อย ๆ น่ะนะว่า.."
"ไม่หรอกคุณรุ่นน้องมือใหม่ คุณเพิ่งมาทำงานที่สาขานี้คงไม่รู้อะไรมาก แต่รู้มั้ยว่าพวกลองของที่คุณหนู 'ทาคุยะ' พูดไปเมื่อครู่นี้มันเป็นพวกนักเลงที่ชอบรีดไถชาวบ้านน่ะ อีกอย่างพวกนั้นมีความแค้นกับหนูทาคุยะมาตั้งนานแล้วด้วย ก็ไม่แปลกหรอกที่พอนักเลงพวกนั้นเห็นหนูทาคุยะก็คิดจะทำร้าย แต่ก็น้า.. บางทีก็สงสารพวกนักเลงเหมือนกัน รู้สึกรายเมื่อครู่นี้คงเป็นรายที่ 'หนึ่งร้อย' พอดีล่ะมั้งที่ต้องเข้าโรงพยาบาลไปหยอดน้ำเกลือเนี่ย สงสัยรายนี้ท่าทางจะนอนไปสักเกือบเดือน"
"....เหรอ แล้วคุณหนูทาคุยะของคุณรุ่นพี่ใช้วิธีไหนล่ะถึงได้ทำเอานักเลงพวกนั้นเดี้ยงซะขนาดนั้น ที่ได้เห็นก็แค่เด็กนั่นยืนเฉย ๆ แล้วก็มีเสียงกรีดร้องทุรนทุรายมาจากข้างนอกนี่นา"
"มันเป็นเรื่องน่าประหลาดแต่ก็ควรจำไว้ว่าอย่าพูดให้คนนอกพื้นที่รู้เด็ดขาด ทางทีดีอย่าให้นักข่าวรู้ด้วย.. ถ้าหากว่าจู่ ๆ เจอคนที่ไฟลุกไหม้ตัวเองได้อย่าแปลกใจนะ เพราะนั่นน่ะเป็นฝีมือของคุณหนูทาคุยะเอง .. ความสามารถในการจุดไฟน่ะ.. ไฟที่เผาได้แม้กระทั่งเพชรแท้.. อีกอย่างคนที่นี่ก็ค่อนข้าง 'พอใจ' ที่นักเลงพวกนั้นถูกเผาเหมือนกัน.."
"..... 'คุณหนูทาคุยะ' ของคุณรุ่นพี่นี่โหดจริง ๆ เลยพับผ่าสิ"
...
ประมาณสี่ทุ่มของวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2006
ณ หน้าประตูทางเข้าโอไดบะแมนชั่น , โอไดบะ , เนริมะ , โตเกียว
"ฮึ่ย.. เจ้าพวกนั้นนี่ก็บ้าจริง ๆ คิดยังไงถึงส่งฉันมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้(?)เจ้าอาจารย์ติดเด็ก(?)นี่กันนะ"
ในตอนนี้พวกเขาเป็น 'กลุ่มศิลปินอันดับหนึ่ง' ในวงการนักร้องวัยรุ่นหน้าใหม่ที่อายุเฉลี่ยของสมาชิกค่อนข้างน้อย และแน่นอนว่าเบื้องหน้าพวกเขาเป็นศิลปินก็จริง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเบื้องหลังพวกเขาน่ะเป็นถึง 'บุคลากรระดับท็อปซีเคร็ทของโลกดิจิตอล' แต่แน่นอนว่าปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ปัญหาคือการที่มีคน ๆ หนึ่งที่ยามรักษาความปลอดภัยไม่ได้คุ้นหน้าคุ้นตากลับมายืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ไม่ห่างนี่สิ.. ไม่เข้าใจจริง ๆ เลยว่าทำไมหนึ่งในกลุ่มศิลปินอันดับหนึ่งอย่างเขาต้องมาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ในเคหะสถานแบบนี้ด้วย..
ถ้าเป็นพวก FBI หรือ CIA ..อะไรนะ? SWAT เหรอ? อะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ถ้าพวกนั้นมาเห็นคุณเข้า บางทีพวกนั้นอาจจะเป่าหัวสมองคุณจนกระจุยไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจับคุณข้อหาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ไปแล้วก็เป็นได้ นี่แสดงว่าระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ยังอยู่ในระดับต่ำสินะ... เอาเถอะ..
"คือ...ผมมารอพบ 'ประธานนักเรียนของไฮสคูลโอไดบะ' น่ะครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณรู้จักเขาหรือเปล่า?.."
แน่นอนว่าเป็นเพียงการถามเพื่อมารยาท ทำไมน่ะเหรอ.. เพราะจากการพบกันครั้งล่าสุดของพวกเขากับอาจารย์ทำให้รู้ว่าอาจารย์น่ะป๊อบปูลาร์มากแค่ไหน เดินไปไหนมีคนทักได้ตลอดเวลา นอกจากนั้นไม่พอ อาจารย์ยังทำให้พวกเขาถึงกับขยาดกับนิสัยของอาจารย์ไปพักใหญ่เลยเมื่อเห็นอาจารย์แปลงร่างเป็น 'แม่โคดุ' เพื่อปกป้อง 'ลูกโคผู้อินโนเซนต์'
-( ทาคุยะ - ผมขอแทรกสักนิด จากคำบรรยายข้างบนคุณก็รู้แล้วใช่ไหมครับว่าใครเป็นแม่โคกับลูกโค?...แต่ขอโทษเถอะเรียกแบบนั้นมันเหมาะที่ไหน..มันต้อง 'แม่หมาดุบรรลัย' กับ 'ลูกหมาผู้น่ารักและอินโนเซนต์' สิ! )-
"อ่อ.. ครับ จะให้ไปเรียนว่าใครมาหาครับ?"
"ไม่ต้องพูดอะไรครับ ยื่นกระดาษแผ่นนี้ให้เขาแล้วเขาจะพรวดพราดลงมาเองครับ"
พอคุณยามเห็นดังนั้นก็รับแผ่นกระดาษไปด้วยสีหน้างง ๆ เมื่อมองเนื้อความในกระดาษ.. คนธรรมดามองมันก็สมควรงงอยู่หรอก เพราะถ้าคุณไม่เทพพอคุณจะไม่สามารถนั่งแปล 'รหัสแอสกี้' ได้เลยน่ะสิ จริงอยู่ว่าแค่ถอดเลขฐานสองเป็นฐานสิบแล้วทำเป็นฐานสิบหกยังทำกันได้ในสมัยนี้ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แน่นอนว่ายามสองคนนี้ทำได้แน่ ๆ .. แต่นี่ 'รหัสแอสกี้' เชียวนา.. ถ้าถอดความได้ภายในแวบแรกที่อ่านก็คงจะเทพเกินไปหน่อย...
แล้วถ้าเป็นอาจารย์ล่ะ?.. จะถอดรหัสแอสกี้ออกมั้ยนะ?.. อ้อ.. ออกแน่นอน แต่คงยากน่าดูล่ะมั้ง เพราะเหมือนอาจารย์จะไม่รู้จักเลขฐานสิบหก.. ก็แหม่ รหัสแอสกี้ที่ให้ไปเป็นเลขฐานสิบหกนี่นา ขอโทษเถอะ ถ้าเขาให้เลขฐานสิบไปก็เข้าทางเจ้าอาจารย์นั่นพอดี เพราะอาจารย์ของพวกเขาน่ะถนัดการถอดรหัสแอสกี้เป็นที่เป็นเลขฐานสิบมากที่สุดน่ะสิ!
และเมื่อคุณยามรักษาความปลอดภัยวิ่งขึ้นไปส่งสารให้อาจารย์ของเด็กชายสวมฮู้ด คิดว่าน่าจะประมาณสิบนาทีผ่านไปเสียงกรีดร้องลั่นก็ดังไปทั่วโอไดบะแมนชั่นพร้อมกับเสียงร้องห้ามของคุณยามคนเมื่อครู่ คิดว่าคงจะแปลออกแล้วเกิดโวยวายขึ้นมาเป็นแน่ ก็เนื้อความที่ส่งให้ไปนี่มันกวนส้นสิ้นดีนี่นา
"อ๊ากกกกกกก~~ ไอ้หมอนั่นมันกล้าด่าฉันอย่างงี้ได้ยังไงห๊าาาาาาา~~"
แล้วเสียงตึงตังก็ตามมาติด ๆ ขนาดคนยืนอยู่นอกแมนชั่นยังได้ยิน พอเสียงตึงตังเงียบลง เด็กชายสวมฮู้ดก็หันไปมองทางประตูแมนชั่นที่ตอนนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหอบหายใจถี่ มือขวากำแผ่นกระดาษเจ้ากรรมไว้จนยับยู่ยี่ สักพักเขาก็ยืดตัวตรงเดินมาทางเด็กชายสวมฮู้ดที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่อย่างพอใจ(?)
"ไงครับอาจารย์ ไม่นึกนะเนี่ยว่าจะใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการถอดร... แอ้ก!"
ไม่ทันพูดจบ มือเรียวของคนอายุมากกว่าก็ฟาดโป๊ะลงบนศีรษะทุย ๆ ภายใต้ฮู้ดสีดำนั่นอย่างแรงจนได้ยินเสียงเอฟเฟคดังลั่น คนถูกประทุษร้าย(?)ลอบยิ้มภายใต้ฮู้ด ในขณะที่อีกฝ่ายหน้าหงิกงอชนิดที่ว่าถ้าเห็นอะไรขวางหูขวางตาตรงหน้าพ่อจะสอยให้ร่วงเลยอะไรประมาณนั้น
"ไปคุยที่ห้องฉัน..........ขึ้นไปถึงเมื่อไหร่ฉันจับแกเชือดแน่"
"โอ้.. อาจารย์จะเชือดฉันต่อหน้า 'ลูกหมาผู้น่ารักและอินโนเซนต์' ได้ลงคอเชียวหรือเนี่ย.. โฮะ ๆ ๆ ..."
แล้วหัตถ์ประหาร(?)ก็ฟาดลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เจ้าตัวรู้ทัน เลยเบี่ยงตัวหลบสำเร็จ...
"ฮ่า ๆ .. อาจารย์นี่ชักช้... อุ๊ก!"
...แต่หารู้ไม่ว่ามือว่างอีกข้างกลับกำหมัดแน่นแล้วชกไปที่ลิ้นปี่ของเจ้าเด็กอวดดีนี่ตรงเป้าเลยทีเดียวเชียว
...
ณ ห้องของยางามิ , โอไดบะแมนชั่น , โอไดบะ , เนริมะ , โตเกียว
"ไงคะพี่.. ไหงถึงแบกทาคุยะคุงขึ้นมาแบบนั้นล่ะคะ?"
ฮิคาริถามเสียงแจ้วเมื่อเหลือบมองพี่ชายตัวดีที่ใช้เท้าเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับแบกร่างคนรู้จักมักคุ้นพาดบ่าในสภาพหมดสติแบบมาดผู้ดี(?) เด็กสาว(?)อีกคนในห้องมองเห็นเพื่อนร่วมรุ่นของตัวเองถึงกับถอนหายใจเฮือก เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ ที่ยังไม่คุ้นชินคล้ายกับตักเตือนหรืออะไรสักอย่างกับไทจิ
"นี่รุ่นพี่ไทจิ ปล่อยหมอนั่นลงมาเถอะ ถ้าไม่อยากให้หมอนั่นลวนลามรุ่นพี่ไทจิไปมากกว่านี้ล่ะก็นะ"
จบประโยคลูกแมว ไทจิก็เกิดอาการเส้นสติขาดผึงเมื่อเริ่มรู้สึกถึงการรุกรานแบบเงียบ ๆ ของคนแกล้งสลบ เจ้าคนอายุมากหายใจเข้าออกลึก ๆ ก่อนเกร็งกล้ามเนื้อทั่วตัว และพริบตาเดียวมือสองข้างก็คว้าหมับเข้าให้ที่แขนข้างหนึ่ง บิดหมุนปลายเท้าขยับเพื่อการทรงตัวแล้วเหวี่ยงวัตถุร่างเนื้อทุบลงบนพื้นทันที แต่เหมือนเพราะเป็น 'อาจารย์กับลูกศิษย์' ทำให้มันพลาดไป เพราะเจ้าคนแกล้งสลบดันม้วนตัวลงพื้นแล้วดีดตัวขึ้นมาซะนี่
"อาจารย์โหดร้าย.. คุณฮิคาริโหดร้าย นาย..เอ้ย! เธอก็อีกคนที่โหดร้าย แล้วในร่างนี้ใช้ชื่อเรียกว่าอะไรล่ะ... แต่ดูท่าทางจะยังไม่ได้คิดชื่อสินะ ถ้าอย่างนั้นเรียกเหมือนเดิมดีกว่านะ... จริงไหมไดสึเกะคุง?"
โดนด่าว่าโหดร้ายก็ไม่เท่าตกใจที่ไอ้เด็กที่เพิ่งมาถึงนี่กลับรู้เรื่องราวที่สองพี่น้องเพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน..
"เจ้าจิ้งจกไฟ! นี่นายรู้ได้ยังไงว่าเด็กสาวผู้น่ารักและอินโนเซนต์ที่เรียบร้อยประดุจผ้าพับไว้แล้วรีดทับไปสิบสามรอบแต่เอามาคลี่ออกใหม่ทุกรอบนี่คือไดสึเกะน่ะ.. นายดูออกเหรอ? มันเหมือนไดสึเกะขนาดนั้นเลยเหรอ!"
"ไม่เชิงเหมือนหรอกน่า แค่ประมาณว่าแฝดคนละฝาที่หน้าตาเหมือนกันแค่นั้นเอง.. แล้วก็ฉันเป็นซาลามันเดอร์.."
ล.. แล้วนั่นมันไม่เหมือนตรงไหนล่ะวะ!... ไทจิกรีดร้องในใจ สมองพยายามประมวลผลหาทางรอดในวันพรุ่งนี้ว่าจะพาเจ้าเด็กสาวแอ๊บแบ๊วคนนี้ไปงานเทศกาลยังไงไม่ให้คนอื่นจับได้นี่ว่าเป็นไดสึเกะ..
"...ล้อเล่นน่ะอาจารย์ ก็รู้ ๆ อยู่ว่าฉันเป็นใคร ถ้าเป็นพวกที่มีพลังจิตสัมผัสคล้าย ๆ ฉันมองแค่ปราดเดียวก็เดาออกแล้วล่ะว่าเด็กสาวคนนี้เป็นไดสึเกะน่ะ เล่นพลังธาตุในตัวเหมือนกันซะขนาดนี้ หน้าตาพิมพ์เดียวกันเป๊ะ ส่วนสูงท่าทางไม่เพิ่มอีกต่างหาก... แต่กับพวกเพื่อน ๆ อาจารย์อาจจะลำบากหน่อย เพราะ ไม่มีจิตสัมผัส.. แต่คิดดูแล้วอาจารย์คงไม่บอกเรื่องนี้กับเพื่อนอาจารย์หรอก ใช่ไหมครับ? .."
คนเป็นอาจารย์พยักหน้าช้า ๆ เจ้าตัวปัญหาถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความรันทดของชีวิตตัวเอง
"..ที่เรียกให้มาน่ะไม่ได้ให้มาฟรี ๆ หรอกน่า เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้นไงก็เลยเรียกตัวมาถามสาเหตุ"
แต่แล้วจู่ ๆ คนเป็นพี่ใหญ่ก็ตัดบทฉับเป็นการเป็นงานทันที ไทจิเดินนำหนึ่งน้องสาว หนึ่งรุ่นน้อง และหนึ่งลูกศิษย์เข้าไปในห้องของตัวเองแล้วก็กระโดดเข้าหาเตียงนอนทันทีเมื่อเข้าใกล้เขตเตียง ฮิคาริเปิดเครื่องปรับอากาศแล้วหันมานั่งพิงขอบเตียง ไดสึเกะในร่างเด็กสาวนั่งพิงขอบเตียงบ้างแต่คนละด้านกับฮิคาริ และทาคุยะนั่งหันหน้าเข้าหาไทจิที่นอนหน้าฟุบหมอน
"นั่นสิน้า.. ก็กะอยู่แล้วว่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ อาจารย์ถึงได้จิกหัวใช้เนี่ย แต่ไม่คิดว่าไอ้ 'เรื่อง' ที่ว่าเนี่ย มันจะหนักจนพวกฉันไม่สามารถแก้ได้"
"หา! พวกนายก็ไม่รู้สาเหตุหรอกเหรอ แถมไม่รู้วิธีแก้ไขอีกด้วย!!?"
"พวกฉันน่ะแค่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นมนุษย์ใครเป็นดิจิมอนในร่างมนุษย์ สามารถตรวจจับพิกัดพลังได้ในรัศมี
"อีกอย่าง?.."
ฮิคาริทวนคำอย่างลุ้นระทึก
"...ใช่.... ความจริงแล้วที่ฉันมาเนี่ยก็มีปัญหาเรื่องเดียวกันเนี่ยแหละ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมมาหรอก.."
ทันทีที่พูดจบ สองสาวในห้องถึงกับเบิกตากว้าง หันมามองกันแล้วหันไปมองทาคุยะที่ยังทำหน้านิ่ง ๆ แต่พอหันไปมองคนอายุมากแล้ว แทนที่เจ้าตัวจะแสดงอาการตกใจ เจ้าตัวกลับพูดต่อได้สบายใจเฉิบ แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ใช่เรื่องของน้องสาวหรือรุ่นน้องสุดหวงแล้ว ไทจิคนนี้ก็จะไม่ไปเจ๋อหรือไปเดือดร้อนตกใจกับปัญหาของอื่นเลย.. ช่างเป็นคนที่เลวร้ายได้โล่จริง ๆ
"ก็จริงแหะ ปกติจิกหัวใช้ทีไรหายต๋อมทุกรอบ นี่คงเป็นครั้งที่แรกล่ะมั้งที่นายยอมมาให้ฉันจิกหัวใช้น่ะ.. แต่ว่านายก็ท่าทางปกติดีนี่นา แบบนี้มันเป็นปัญหาตรงไหนกัน ขนาดนายสลับเพศกลับมาเป็นชายได้ก็ดีถมไปแล้ว แต่ไดสึเกะเนี่ยสิ จะสลั..."
"ใครบอกว่าฉันสลับเพศเล่า! คนสลับเพศน่ะโคจิ อิซึมิ แล้วก็โทโมกิต่างหากไอ้อาจารย์สมองกลวงเอ๊ย!!~"
ความคิดเห็น