ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fan Fic] Digimon Series : Birdie Sweetheart

    ลำดับตอนที่ #6 : Prologue Chapter for Digimon Tamers

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 53


     

    Title : The (Boys') Marry (1st Episode ; Beginning of Final Sovereign)

     

    Chapter : Prologue Chapter for Digimon Tamers

     

    Author : NaR!eZ-Narilada

     

    Message from N`Nae :

    + 10 Jan 2010 +

    - โอ้หลั่นล๊า.. ยัยเนสัญญาแบบจริง ๆ จัง ๆ เลยค่ะ วันเสาร์ที่ 16 นี้ยัยเนว่างชัวร์ 100%

    - เพราะฉะนั้น วันเสาร์นี้ยัยเนจะตามเม้นต์ทั่วราชอาณาจักรแน่นอนค่ะ!

    - ตอบเจ๊บี..ไดจังเป็นหญิงหรือเปล่าดูต่อไป คู่เดิมมั้ยคู่เดิมแน่นอน แค่เปลี่ยนพล็อตนิดหน่อยค่ะ แล้วก็จะพับ NC ทั้งหมดเลย

    - ไม่ใช่ว่าไม่มี NC ไอ้มีน่ะมีแน่ แต่ยัยเนบอกตรง ๆ ว่าอีกนาน เพราะพอรีไรท์ใหม่แล้วยัยเนเน้นฉากต่อสู้ค่ะ - -

     

     

    •´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•

     

     

                ว่ากันว่าในปี ค.ศ. 2002 จริงอยู่ที่มีดิจิมอนและดาร์คทาวเวอร์ปรากฏตัวไปทั่วโลก หากแต่ที่ที่หนึ่งในญี่ปุ่นกลับไม่เป็นเช่นนั้น บริเวณที่แห่งนี้กลับมีสิ่งที่เรียกว่า 'ดีรีปเปอร์' ที่ปรากฏตัวขึ้นจากความเศร้าของคน ๆ หนึ่ง และความผิดพลาดในครั้งอดีตของกลุ่มนักเขียนโปรแกรมกลุ่มหนึ่ง

     

     

                หากจะย้อนความ คงต้องย้อนไปถึงสมัยปี 1980 ในช่วงนั้นมีนักเขียนโปรแกรมกลุ่มหนึ่งได้วางโปรเจ็กต์เขียนโปรแกรมบางอย่างขึ้นมา และได้เกิดล้มเลิกกลางคัน พวกเขาจึงสร้างโปรแกรมตัวหนึ่งขึ้นมาเพื่อลบฐานข้อมูลของโปรเจ็กต์นั่นไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าในอีกราว ๆ 20 ปีให้หลัง สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นจะนำพาหายนะมาสู่ชีวิตของมวลมนุษย์

     

                แต่ทว่าหายนะนั้นก็ไม่สามารถคุกคามได้ตลอดไป เมื่อมีเด็กกลุ่มหนึ่งและดิจิมอนคู่มาช่วยยับยั้งหายนะนั้นเอาไว้ได้สำเร็จ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดก็ได้จบลงภายในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2002 หรือกินเวลาเกือบ ๆ ครึ่งปีที่เรื่องทั้งหมดจึงจะจบลง

     

     

                โดยนอกจากเหตุการณ์นี้ ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนปี 2002 (ประมาณเดือนสิงหาคม) ในโลกดิจิตอลเองก็เกิดเหตุวุ่นวาย เมื่ออะโพคาลิปส์ (อะโพคาริมอน) ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นทีของโอเมก้า (โอเมกามอน) ที่ต้องไล่ล่าตามกำจัดมันอีกครั้งเหมือนที่เคยทำไปในปี 1999 ครั้งที่เคยร่วมต่อสู้กับคู่หูและเพื่อน ๆ แต่ทว่าก็ไม่สำเร็จ เมื่อนั่นเป็นเพียงแค่ร่างแยกของอะโพคาลิปส์เท่านั้น อีกทั้งร่างแยกนั้นก็ยังหนีไปโลกมนุษย์แล้ว ตามกฏแล้วโอเมก้าไม่มีสิทธิ์ไปที่โลกมนุษย์ถ้าซอเวอเรนไม่อนุญาต นั่นก็ทำให้โอเมก้าไม่สามารถตามไปกำจัดร่างแยกของอะโพคาลิปส์ที่อยู่ในร่างของเมฟิส (เมฟิสมอน) ได้

     

     

                ในช่วงปิดเทอมเดียวกันนี้เองที่พวกเด็ก ๆ บางคนในกลุ่มนี้ได้ไปเที่ยว และต้องประสบกับเหตุการณ์วุ่นวายนี้โดยบังเอิญ ในตอนแรกก็แทบจะไม่รอด แต่เพราะโอเมก้าได้ใช้ความสามารถในการเปิดปิดดิจิตอลเกทของตนเองพาให้เด็กกลุ่มนี้ได้มารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อขอยืมพลังในการกำจัดเมฟิส และในท้ายที่สุดพวกเด็ก ๆ ก็ทำสำเร็จ

     

     

                แต่ทว่าในตอนสุดท้ายพวกเด็ก ๆ ก็ต้องแยกจากคู่หู ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการส่งดีรีปเปอร์ไปยังโลกดิจิตอล ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถกำจัดดีรีปเปอร์ไปจากโลกมนุษย์ได้แม้จะทำใจไม่ได้แต่ก็ต้องทำใจ เมื่อมีพบ ก็ต้องมีลาจาก แต่สิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้คาดไม่ถึงคือเมื่อจบเรื่องของพวกเขาแล้ว อีกประมาณเดือนกว่า ๆ ถัดมาก็ปรากฏว่ามีข่าวออกมาว่ามีหอคอยลึกลับสีดำและดิจิมอนปรากฏตัวไปทั่วโลก พวกเด็ก ๆ และพวกผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องต่างพากันตกใจและสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และในช่วงนั้นเองที่หนึ่งในเด็กกลุ่มนี้สามารถค้นพบวิธีการที่จะทำให้พวกเขาสามารถอยู่กับคู่หูได้อีกครั้ง

     

     

                แต่เมื่ออยู่กับคู่หูได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดอีกครั้งเมื่อพบว่าคู่หูของตนนั้นสามารถรักษาสภาพไว้ให้อยู่ในรูปแบบของมนุษย์ได้ อีกทั้งคนรอบข้างต่างก็เริ่มมีดิจิมอนคู่หูเป็นของตัวเองแล้ว สิ่งที่น่าแปลกคือดิจิไวซ์ที่แต่ละคนมีกลับไม่เหมือนกันเสียนี่ ต่างแบบกันไปถึง 5 รูปแบบ แต่สรุปคือมันก็เป็นดิจิไวซ์เหมือนกัน เลยไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก

     

     

                ในช่วง 6 เดือนถัดมา (ช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2003) พวกเขาก็ต้องเจอกับความวุ่นวายครั้งใหม่ เมื่อจู่ ๆ เกิดมีดิจิมอนรถไฟปริศนามาสร้างความเดือดร้อนให้ พอสืบไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าแท้จริงแล้วดิจิมอนรถไฟปริศนานี้ถูกดิจิมอนพวกปรสิตควบคุมอยู่ จนในตอนท้ายพวกเขาก็กำจัดมันได้สำเร็จ และดิจิมอนรถไฟปริศนานั้นก็กลับโลกดิจิตอลไป

     

     

                ถัดมาจากนั้นอีกไม่กี่เดือน ก็เกิดเหตุประหลาดที่เขตเนริมะโดยมีศูนย์กลางเหตุการณ์อยู่ที่บริเวณอ่าวโตเกียว ซึ่งเป็นที่ตั้งของเรนโบว์บริดจ์ เดิมทีในตอนแรกพวกเขาตั้งใจจะไปสำรวจเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สองคนในเด็กกลุ่มนี้ได้บอกว่าไม่ต้องไปหรอกเพราะอีกเดี๋ยวก็จบลง ซึ่งภายในเวลาไม่นานนัก เรื่องทุกอย่างก็กลับไปสงบเหมือนเดิม...

     

     

                ค.ศ. 2006

     

     

                ปัจจุบันเด็ก ๆ กลุ่มนี้ก็เติบโตขึ้นมาก กลายเป็นบุคคลที่มีความสามารถและเก่งกล้าไม่แพ้ใครเลยทีเดียว..

     

     

                มัทซึดะ ทาคาโตะ ... ปัจจุบันเป็นผู้สืบทอดกิจการร้านเบเกอรี่ของบิดามารดาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตชินจุกุ อีกทั้งยังเป็นคนที่คิดสูตรขนมปังใหม่ ๆ ขึ้นมาอยู่บ่อยครั้งจนคนใกล้ตัวพากันยกย่องให้เป็นจ้าวแห่งเบเกอรี่ไปแล้วด้วยซ้ำ นอกจากนี้เจ้าตัวยังเป็นถึงหนึ่งในสิบสามรอยัลไนท์และหนึ่งในเจ็ดรอยัลไนท์ที่ถูก(ถีบ)ส่งมาดูแลโลกมนุษย์ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะขี้เกียจมากก็ตาม...

     

     

                ลี เจ็นเรีย ... ปัจจุบันเป็นหุ้นส่วนธุรกิจเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พ่อของตนสร้างขึ้น และยังเป็นนักสู้ที่มีศิลปะการป้องกันตัวเป็นเลิศ ตอนนี้เหมือนว่ากำลังทำธุรกิจฟาร์มสุนัขอยู่กับเพื่อนนักธุรกิจคนหนึ่งที่มีอายุไล่เลี่ยกันซึ่งท่าทางจะไปได้ด้วยดีเอามาก ๆ เลยเสียด้วย และแน่นอนว่าเขาเป็นคนเดียวที่สามารถข่มขู่บังคับให้ทาคาโตะยอมทำหน้าที่ของรอยัลไนท์ได้

     

     

                มาคิโนะ รูกิ ... ปัจจุบันยังคงครองตำแหน่งดิจิมอนควีนอยู่โดยที่ยังไม่มีใครสามารถล้มได้ ดูเหมือนว่าปัจจุบันเธอจะไม่มีอาการประหม่าแสงแฟล็ชกล้องถ่ายรูปแล้ว และยังมักไปไหนมาไหนกับแม่ของเธออยู่บ่อย ๆ มีแน้วโน้มสูงเกือบร้อยเปอร์เซ็นที่เธอจะเป็นนางแบบตามแม่ของเธอ สังเกตได้จากพฤติกรรมการแต่งตัวที่ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น แต่นิสัยกลับดิบยิ่งกว่าเดิมเสียนี่...

     

     

                อาคิยาม่า เรียว ... ถ้ารูกิเป็นควีน เขาคนนี้ก็คงเป็นคิง.. เขาไม่ได้ลงแข่งทัวร์นาเมนต์เลยในช่วงนี้ด้วยเหตุผลว่าแค่รูกิเป็นควีนเขาก็เป็นคิงแล้ว..หรืออะไรประมาณนั้น อีกสาเหตุคงมาจากการที่เขาต้องตระเวนและตะลอน ๆ ไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับโลกดิจิตอลอยู่บ่อย ๆ ปัจจุบันเขาถือว่าเป็นเทมเมอร์ในตำนาน (รวมถึงทาคาโตะ เจ็นเรีย และรูกิด้วย) ที่มีฝีมือเก่งกาจที่สุด

     

     

                ชิโอตะ ฮิโรคาสึ ... ปัจจุบันถือเป็นรองคิง.. เพราะดูเหมือนถ้าไม่นับเรียวกับทาคาโตะแล้ว เขานี่แหละเป็นคนที่เล่นการ์ดเกมได้เก่งที่สุด นอกจากการ์ดเกมแล้ว เขายังเป็นนักกีฬาฟุตบอลมือหนึ่งของชินจูกุอีกต่างหาก ตรงนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง เพราะไม่ใช่แค่ฟุตบอล แต่ต้องบอกว่าเขาเก่งกีฬาเกือบจะทุกอย่างเลยด้วยซ้ำไป แต่ต้องเป็นกีฬาที่มีวัตถุทรงกลมนะ...

     

     

                คิตางาวะ เคนตะ ... ปัจจุบันเขาเป็นนักเรียนธรรมดา ๆ ที่มีทุนต่าง ๆ สารพัดแห่กันเข้ามาไม่ขาด เป็นเพราะผลการเรียนที่ดีมากเสมอต้นเสมอปลายนั่นเอง แต่เจ้าตัวก็ดันปฏิเสธไปทุกทุนด้วยเหตุผลว่าอยากสอบเข้ามากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทุนต่าง ๆ แห่เข้ามาอยู่ดี นอกจากการเรียนแล้วอีกอย่างหนึ่งที่ดีไม่แพ้กันคือการเล่นการ์ดเกมนี่แหละ ถือว่าเป็นคู่หูของฮิโรคาสึเลย

     

     

                คาโต้ จูริ ... ปัจจุบันเป็นเจ้าของร้านเครื่องดื่มสารพัดชนิดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชินจูกุต่อจากคุณพ่อของเธอ ร้านนี้ถือเป็นสิ่งที่มักจะกล่าวคู่กับร้านเบเกอรี่ของทาคาโตะอยู่เสมอ ๆ ประมาณว่าถ้ามีเบเกอรี่ของมัทซึดะก็ต้องมีเครื่องดื่มของคาโต้ ตอนนี้เธอค่อนข้างสนิทกับรูกิเอาเสียมาก ๆ เลยทีเดียว เพราะหลัง ๆ มานี้เหมือนรูกิจะเริ่มซึมซับนิสัยของเธอไปมากเอาเรื่องเหมือนกัน

     

     

                ลี ชูจอน ... น้องสาวของเจ็นเรีย ปัจจุบันเป็นนักเรียนที่มีแววเป็นนางแบบแต่เด็ก ด้วยความที่ตอนนี้เริ่มติดรูกิและจูริมากกว่าเทียร์หรือล็อปหรือพี่ชายตัวเอง ทำให้เจ้าตัวเริ่มซึบซับนิสัยของสาว ๆ ทั้งสองคนมา และในช่วงนี้เหมือนจะไปช่วยพี่ชายอย่างเจ็นเรียทำธุรกิจฟาร์มสุนัขอีกด้วย เพราะว่าเทียร์กับล็อปเหมือนมนุษย์แล้ว มาหาสุนัขที่คล้ายเทียร์กับล็อปสมัยก่อนท่าจะดีกว่า

     

     

                ...

     

     

              ช่วงสายวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2006

     

     

              ณ มัทซึดะเบเกอรี่ , นิชิชินจุกุ , ชินจุกุ , โตเกียว

     

     

                "งายยย~ ทาคาโตะ~"

     

     

                น้ำเสียงยานคางน่ารักน่าชังดังลอดผ่านประตูร้านเข้ามา เจ้าของชื่อโงหัวขึ้นมาจากเคาน์เตอร์เก็บเงินแล้วตบแก้มตัวเองดังเผียะไปทีหนึ่งก่อนจะปรือตามองหาคนเรียก แต่เมื่อพอผ่านไปสักพักกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าตัวเลยทำท่าที่จะฟุบหลับต่อ แต่พอจะเอาหัวเขกเคาน์เตอร์อีกครา เจ้าตัวก็สะดุ้งวาบ ร่างกายกระตุกเกร็งและขยับถอยห่างจากเคาน์เตอร์ตามความเคยชินเมื่อมีมือเล็ก ๆ ของคนบางคนสับลงมาตรงบริเวณเคาน์เตอร์อย่างรุนแรง

     

     

                "โอ้ ๆ คราวนี้ลงทุนเอาเคาน์เตอร์ที่สั่งทำจากโคลนดิจิซอยด์ผสมใยเหล็กที่ขึ้นโครงด้วยเหล็กกล้าบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์มาใช้รับมือฉันเลยเหรอเนี่ย! นายมันโหดร้ายเกินไปแล้วนะทาคาโตะ~"

     

     

                เสียงเดิมกับเมื่อครู่ดังขึ้นพร้อมกันกับฟาดมือลงไปที่เคาน์เตอร์แรง ๆ สองสามทีจนอีกฝ่ายมองด้วยหางตา

     

     

                "อย่ามาทำลายเคาน์เตอร์นี่ละกิล นายก็รู้ ๆ อยู่ว่าฉันเอาไอ้เคาน์เตอร์นี่มารองรับแรงฝ่าเท้าของเจ็นโดยเฉพ... ว๊ากกก~ คราวนี้อะไรอีกล่ะเนี่ยห๊าาา!"

     

     

                นินทาคนอื่นไม่ทันไร โลหะวาวบางเฉียบของใครก็ไม่รู้ลอยมาเฉียดหน้าของทาคาโตะระยะเผาขนจนเจ้าตัวว้ากลั่น มองหาเจ้าตัวต้นเหตุไปมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่พอเจ๊อะหน้า 'เจ้าตัวต้นเหตุ' แล้วถึงกับหน้าซีดเผือดอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าขนาดกิ้งก่ายังพรางตัวไม่ไวเท่าการเปลี่ยนสีหน้าของทาคาโตะเลย

     

     

                "อะไร.. ทำไมมองหน้าฉันอย่างงั้น ฉันไม่ใช่เจ็นซะหน่อย"

     

     

                โถ่แม่คุณเอ๋ย.. แม้ว่ามันจะไม่ใช่วิถีการเตะรัวของเจ็นเรีย แต่ถ้าเป็นการขว้างสิ่งของในระยะสิบเมตรของรูกิล่ะก็.. มันก็น่ากลัวพอ ๆ กันนั่นล่ะ เหมือนการเอาปืนสองกระบอกที่เหมือนกันทุกอย่างยกเว้นสีมาถามว่าปืนอันไหนจะปลิดชีพอีกฝ่ายได้เร็วกว่ากันเมื่อคนใช้คือคน ๆ เดียวกันนั่นล่ะ

     

     

                "ใช่ รูกิไม่ใช่เจ็นซะหน่อย กลัวทำไมล่ะทาคาโตะ"

     

     

                นัยน์ตาประกายโลหิตหรี่ลงมองเจ้าคนผมสีชาดแสบตาข้างตัวแล้วเมินหนีอย่างไม่สนใจ หันมามองทางหญิงสาวที่ยืนพิงประตูอยู่ด้วยมาดมาเฟียด้วยสีหน้าที่เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าสาวเจ้า(คงจะ)ไม่ขวางอะไรมาใส่เขาอีก

     

     

                "ชิ.. นี่รูกิ เห็นคุณเรียวบ้างรึเปล่า ฉันติดต่อเขาไม่ได้มาเกือบเดือนแล้วอ่ะ ตอนแรกกะว่าจะไปหาที่โลกดิจิตอล แต่จู่ ๆ ฉันก็เปิดดิจิตอลเกทไม่ได้น่ะสิ.. ลองไปตรงที่เป็นประตูเชื่อมแล้ว.. ปรากฏว่ามันหายไปเฉยเลย คิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกดิจิตอลรึเปล่า?"

     

     

                "ในความคิดฉัน.. ฉันว่าไม่หรอก เพราะผลการทำนายไพ่ของฉันก็ยังเป็นปกติดีอยู่ ส่วนอีตานั่น.. อันนี้เหมือนเมื่อเดือนที่แล้วเจ้าตัวจะบอกฉันว่าคงจะไปอยู่โลกดิจิตอลอีกสักสองเดือน เห็นว่าจะไปหาจินหลงนี่ละ"

     

     

                เด็กชายลูบคางครุ่นคิด ความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาควรไปปรึกษาเจ็นเรีย.. แต่ถ้าโดนเตะรัวสวนกลับมาล่ะ? โอ้.. ท่านซอเวอเรนทั้งสี่เอ๋ย ถ้าผมตายไปอย่าลืมส่งผมขึ้นสวรรค์ล่ะ..

     

     

                "วันนี้ระบบเน็ตเวิร์คของรีลเวิลด์ก็เป็นปกติดีครับ แต่เหมือนจะเช็คระบบของดิจิตอลเวิลด์ไม่ได้ คิดว่าตอนนี้ดิจิตอลเวิลด์คงมีปัญหาบางอย่างที่พวกเราแก้ไม่ได้น่ะครับ ทางที่ดีปล่อยให้เด็กอีกกลุ่มที่เคยออกข่าวไปเมื่อปี 2002 จัดการไม่ดีกว่าเหรอครับ แบบนั้นผมคิดว่าคงดีกว่ากันมากเลย"

     

     

                "งายยย~ กรานิ~"

     

     

                ชายหนุ่มร่างสูงอีกคนเดินโผล่ออกมาจากหลังร้านพร้อมชุดถาดอาหารเช้า เห็นดังนั้นกิลก็ร้องทักไปตามความเคยชิน

     

     

                "สวัสดีตอนสายครับกิล ทาคาโตะ นายหญิงรูกิ... อีกอย่างตอนช่วงประมาณตีหนึ่งของวันนี้ผมได้รับอีเมล์ฉบับหนึ่งจากใครสักคนบนเน็ตเวิร์คว่าเกิดเรื่องประหลาดขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวอะไรเพิ่มเติมออกมาเลย นอกจากนี้แล้วผมยังลองตรวจสอบย้อนไปยังคนที่ส่งอีเมล์มาให้ แต่ก็ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยเหลืออะไรทิ้งไว้เลย"

     

     

                คราวนี้เป็นรูกิบ้างที่อุทานออกมาอย่างตกใจ มือข้างถนัดหยิบการ์ดกลุ่มนหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าย่ามแล้ววางเรียงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเริ่มทำนายการ์ดตามปกติ ผ่านไปสักพักสีหน้าของรูกิก็แย่ลงกว่าเดิม สีหน้าเคร่งเครียดหนัก คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นราวกับเจออะไรบางอย่างที่น่าหนักใจ

     

     

                "เป็นไงบ้างครับนายหญิงรูกิ.. ผลการทำนาย?"

     

     

                กรานิวางถาดอาหารเช้าไว้ใกล้ ๆ แล้วเดินมามุงดูการ์ดที่ทำนายเสร็จ เห็นรูปแบบที่ไม่เข้าใจและไม่เคยเห็นทำเอาเจ้าตัวร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจ ร้องถามรูกิที่ยังคงขมวดคิ้วอยู่ จากการ์ด 9 ใบที่หญิงสาวได้เลือกสุ่มหยิบออกมาจำนวนหนึ่ง เจ้าตัวชี้ไปที่การ์ดใบแรกที่อยู่ตำแหน่งซ้ายบนสุดก่อนจะเริ่มไล่ชี้เรียงในทิศตามเข็มนาฬิกา

     

     

                "เวลาทำนายการ์ดฉันจะหยิบออกมา 9 ใบแล้วเริ่มเรียงลงไปทีละใบ ๆ เริ่มจากซ้ายบนไล่ไปกลางบนมาถึงขวาบนแล้วไปขวากลาง...จนสุดที่ตรงกลาง ตอนนี้ฉันไม่ได้เล่นตุกติกหรืออะไรทั้งนั้น แต่พวกนายดูการ์ดแล้วไม่รู้สึกสะกิดใจอะไรบ้างเหรอ"

     

     

                พอรูกิพูดอย่างนี้ อีกสามหน่อที่เหลือก็ต่างพากันครุ่นคิดว่ามันมีตรงไหนบ้างที่สะกิดใจ และคนแรกที่ถอดใจเลยก็คือกิล.. ไม่ใช่ว่ากิลดูการ์ดไม่เป็น แต่ดูการ์ดแล้วไม่เข้าใจความหมายของการ์ดมากกว่า ในขณะที่ทาคาโตะยังคงมองการ์ดแล้วค่อย ๆ ตีความหมายของการ์ดต่อไป ส่วนกรานิ.. รายนี้ทันทีที่รูกิถาม เจ้าตัวก็ขอปลีกตัวไปหยิบอาหารเช้ามาอีก 3 ถาด เนื่องจากว่าเจ้าตัวเป็นเพียงดิจิคอร์ แค่ตอนนี้มีความรู้สึกและสามารถพูดได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว

     

     

                "...ซ้ายบนสุดคือเชรุบี ไล่มาเรื่อย ๆ ก็เป็นฉวนอู่ อิมพีเรียลพาลาดิน จินหลง เซราฟี จูเชว่ โอฟานี ไป๋หู่ และหวงหลง สังเกตสิว่ามีแต่พวกดิจิมอนพวกร่างสุดยอดกันทั้งนั้น แถมเป็นระดับเทพเจ้ากันเกือบหมด แล้วดูการเรียงตัวของการ์ดสิ ถ้าเปรียบเป็นข้างบนเป็นทิศเหนือ มันก็จะเข้ากันได้พอดี คือฉวนอู่ทิศเหนือ จูเชว่ทิศใต้ จินหลงทิศตะวันออก และไป๋หู่ทิศตะวันตก"

     

     

     

                "ฉันว่าฉันพอเข้าใจแล้วล่ะ แต่อีก 4 ตัวที่เหลือล่ะ โดยเฉพาะอิมพีเรียลพาลาดินที่ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร่ว่าทำไมถึงต้องเป็นเขา.. เขาไม่ใช่ดิจิมอนระดับเทพเจ้าซะหน่อย"

     

     

                รูกิละสายตาจากการ์ดแล้วเหลือบมองไปนอกร้านอย่างรวดเร็วเมื่อจับได้ถึงคลื่นกระแสบางอย่างที่คล้ายคลึงกับของตัวเอง แต่ก็ไม่เชิงเหมือนทีเดียว เจ้าตัวกวาดการ์ดลงกระเป๋าย่ามตัวเองแล้วบอกกับอีกสามคนที่เหลือ เหลือบมองกรานิที่ยื่นถุงบรรจุอาหารมื้อเช้าให้อย่างรู้ใจ

     

     

                "ขอบใจนะกรานิ.. ตอนนี้มีคนกำลังมาแต่คลื่นพลังแปลก ๆ ดูท่าจะเป็นพวกที่มีดิจิไวซ์ไม่เหมือนเราน่ะ ยังไงซะไอ้เรื่องที่ทำนายไปเมื่อกี๊อย่างเพิ่งคิดจริงจังอะไรไปเสียก่อนล่ะ ดูท่าฉันคงต้องไปหาเจ็นแล้วจริง ๆ ..จะฝากอะไรไปถึงหมอนั่นมั้ย?"

     

     

                เด็กชายตาแดงยิ้มหวานเจื่อน ๆ แล้วผายมือไปทางประตูร้าน

     

     

                "ไม่มีครับ.. คุณลูกค้าครับ กรุณาตรวจสอบสินค้าภายในถุงก่อนออกนอกร้านนะครับ ขอบคุณที่มาอุดหนุนครับ"

     

     

                ท่าทีขับไล่ไสส่งแบบนี้ของทาคาโตะทำเอารูกิแอบหัวเราะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงกระโดดเตะไอ้หมอนี่แล้วด่าเสียให้เข็ดว่าพูดจาอะไรหยาบคายแบบนี้ แต่เพราะรู้จักกันมาค่อนข้างนาน เลยชินนิสัยกันไปแล้ว.. แล้วประโยคเมื่อกี๊นี้ก็ไม่ใช่ประโยคขับไล่ไสส่งธรรมดา ๆ ซะด้วย เพราะถ้าตีความดี ๆ (?) จะหมายถึงว่า 'ไม่มีอะไรฝากไปหาเจ็นหรอก แล้วเจ็นฝากอะไรมาก็ไม่ต้องเอามาให้ฉันเลย เก็บของเสร็จแล้วก็รีบ ๆ ไสหัวออกไปซะ!'

     

     

                "ยินดีต้อนรับครับคุณลูกค้า~"

     

     

                พอเอ่ยปากบอก(ไล่)รูกิแล้วเจ้าตัวก็หันไปตีสีหน้ายิ้มแย้มใส่ลูกค้าที่เพิ่งเข้าร้านมาใหม่ กรานิหยิบถาดพร้อมที่คีบยื่นให้กับลูกค้าคนใหม่ทั้งสองคนแล้วเดินมายังเคาน์เตอร์ ส่งสายตาเป็นเชิงไล่ให้ทาคาโตะไปที่ห้องของเจ็นเรียเช่นเดียวกับรูกิ เด็กชายตาแดงมองคนตัวสูงกว่านิ่ง เห็นดังนั้นเจ้าตัวก็พอเดาได้ว่าเจ้ารอยัลไนท์ครึ่งมนุษย์ครึ่งดิจิมอนตรงหน้านี่คงไม่ยอมไปห้องของเจ็นเรียแต่โดยดีแน่ ๆ

     

     

                "อ่อค่ะ.. คือพวกเราอยากพบคุณมัทซึดะ ทาคาโตะน่ะค่ะ พวกเรามีธุระจะคุยกับเขา"

     

     

                หนึ่งในนั้นบอกเสียงหวานแล้วยื่นถาดที่มีขนมปังอยู่พูนถาด ทาคาโตะส่งสายตาให้กรานิมาคิดเงินแทนแล้วออกจากเคาน์เตอร์มายืนอยู่ข้าง ๆ

     

     

                "ผมทาคาโตะครับ มีอะไรเหรอเปล่าครับคุณลูกค้า"

     

     

                "อ่า.. ยังเป็นเด็กอยู่จริง ๆ ด้วยสิ..  ฉันจะพูดแบบไม่อ้อมค้อมเลยนะคะ ฉันอิโนอุเอะ มิยาโกะค่ะ อยากจะให้ทาคาโตะคุงช่วยอะไรบางอย่างหน่อย คือในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ที่ไฮสคูลโอไดบะจะมีงานเทศกาล พวกเราเลยอยากให้คุณไปช่วยขายเบเกอรี่ที่นั่น และแน่นอนว่านอกจากรายได้ที่คุณได้จะเป็นของคุณทั้งหมดแล้ว พวกเราจะมีรายได้ส่วนหนึ่งที่ได้จากงานเทศกาลให้คุณอีกด้วย"

     

     

                เด็กชายยิ้มหวานพลางคิดในใจ... แบบนี้มันก็จ้างดี ๆ นี่เองสินะ?

     

     

                "อ้อ.. อย่าเพิ่งคิดว่านี่เป็นการจ้างไปขายเบเกอรี่เฉย ๆ นะคะ เพราะพวกเราได้ยินข่าวมาว่าพวกคุณอยากพบกับเด็กที่ถูกเลือกที่เคยออกข่างในปี 2002 ด้วย.. ใช่เหรอเปล่าคะ?"

     

     

                ในตอนแรกทาคาโตะเองนึกจะปฏิเสธอย่านิ่มนวล แต่เมื่อเจอเข้ากับประโยคที่กระแทกความต้องการของพวกเขาไปก็ทำเอาเขาชะงักนิ่ง ในหัวสมองคิดคำนึงถึงผลประโยชน์กับผลเสียตีกันให้วุ่นไปหมด และไม่ทันไร สัญญาณติดต่อจากคนในกลุ่มก็ร้องเตือนผ่านดิจิไวซ์ ทาคาโตะทำท่าจะขอตัวไปคุยหลังร้าน แต่ลูกค้าอีกคนก็รั้งตัวไว้ก่อน

     

     

                "ไม่ต้องหนีหรอกค่ะ เชื่อว่า 'พวกเรา' อีกกลุ่มคงไปถึงร้านคุณคาโต้เสียแล้วล่ะ"

     

     

                พอพูดดังนั้นทาคาโตะก็เข้าใจลาง ๆ .. นั่นสิ คิดว่าพวกคนกลุ่มนี้คงเตรียมการมาอย่างดี คงคิดว่าจะให้พวกเราไปขายของเพื่อดึงดูดความสนใจเพื่อให้คนเข้ามาในงาน แต่ทีไม่เข้าใจและสงสัยมาก.. ทำไมพวกเขาถึงรู้ว่า 'พวกเรา' อยากจะพบ 'พวกเขา' ที่เคยออกข่าวไปในปี 2002 แล้วทำไมต้องพูดราวกับว่ารู้จัก 'พวกเขา' ดีอย่างนั้นล่ะ?

     

     

                เจ้าตัวยกดีอาร์คขึ้นมา กดปุ่มหนึ่งแล้วก็ปรากฏเป็นภาพคล้ายโฮโลแกรมเหนือหน้าปัดของดิจิไวซ์นั่น

     

     

                "นี่ทาคาโตะคุง.. คือว่าฉัน..."

     

     

                "ที่ร้านคุณคาโต้ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาขอให้ไปขายของในงานเทศกาลของไฮสคูลโอไดบะหรือเปล่าครับ?"

     

     

                ทาคาโตะดักคำพูดอีกฝ่ายช้า ๆ ไม่รีบร้อนเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูค่อนข้างเป็นกังวล

     

     

                "เอ๋! ทาคาโตะคุง? อย่าบอกนะว่าที่นั่นก็มีคนอีกกลุ่มไปจริง ๆ น่ะ.."

     

     

                "ครับ.. ผมไม่รู้หรอกนะว่าฝ่ายนั้นพูดอะไรไว้บ้าง แต่ผมคิดว่าเราควรจะไม่ไปดีกว่าครับ เพราะดูท่าพวกเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเรามากเหลือเกิน ดีไม่ดีพวกเขาอาจจะเป็นสายลับมาสืบข้อมูลอะไรก็เป็นได้"

     

     

                "แหม.. ทาคาโตะคุงนี่ใจร้ายจังนะครับ พวกเราก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก แต่ถ้าคุณคิดแบบนั้นพวกเราก็ห้ามอะไรไม่ได้........หรือว่าต้องเป็นแค่คำสั่งของโอเมก้าเท่านั้นครับคุณถึงจะยอมไป?"

     

     

                คราวนี้เสียงจากอีกฟากหนึ่งดังแทรกเข้ามา เสียงนี้ทำเอาร่างกายของเด็กชายแข็งทื่อ.. กรานิเองที่กำลังคิดเงินก็ชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนกัน ส่วนกิลที่เดินออกมาจากหลังร้านก็หยุดฟังอย่างตั้งใจ แม้จะไม่ได้ฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้น แต่จากบรรยากาศแบบนี้ก็พอเดาได้แหละว่าท่าทางจะกดดันกันน่าดู

     

     

                "งั้นแล้วทำไมพวกคุณถึงอยากให้พวกเราไปที่นั่นขนาดนั้นล่ะครับ?"

     

     

                "ความจริงแล้วพวกเราไม่ได้อยากขู่เรื่องนี้กับพวกคุณหรอกนะ แต่คุณก็รู้นี่ว่าเรื่องของรอยัลไนท์เป็นเรื่องลับสุดยอด ไม่ใครสามารถสืบสาวได้ว่ารอยัลไนท์นั้นเป็นใครมาจากไหน รู้แต่เพียงว่าเป็นคนนั้นเป็นคนนี้ก็แค่นั้น แต่ถ้าใครรู้ก็คงไม่ธรรมดาหรอกจริงมั้ยล่ะครับ? .."

     

     

                ".. อีกอย่าง ในฐานะของเหรัญญิกผู้ควบคุมงบประมาณอย่างฉันย่อมคิดถึงเรื่องเงินทองบ้างอยู่แล้ว และฉันก็มีจุดมุ่งหมายจริง ๆ คือให้คุณและคุณคาโต้ไปขายของเท่านั้นค่ะ อาจจะมีเรียกให้คนมาเข้างานเทศกาลบ้างเล็กน้อย ส่วนค่าตอบแทนก็คือรายได้จากการขายของและรายได้ที่เราให้คุณเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง และค่าตอบแทนอีกอย่างก็คือการได้ถกปัญหาที่คาใจในปี 2002 กับเด็กกลุ่มนั้นที่พวกคุณอยากพบด้วย และท่าทางพวกเขาเองก็คงอยากพบกับคุณเหมือนกันนะคะ..........เทมเมอร์..."

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×