ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fan Fic] Digimon Series : Birdie Sweetheart

    ลำดับตอนที่ #4 : Prologue Chapter for Digimon Adventure

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 53


     

    Title : The (Boys') Marry (1st Episode ; Beginning of Final Sovereign)

     

    Chapter : Prologue Chapter for Digimon Adventure

     

    Author : NaR!eZ-Narilada

     

    Message from N`Nae :

    + 4 Jan 2010 +

    - รีไรท์เสร็จอีก 1 ตอนแล้ว.. ขอโทษจริง ๆ ที่ยังงดอ่านนิยายค่ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพล็อตรวน

     

     

    •´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•´¯`•.¸¸.•

     

     

                ค.ศ. 2006

     

     

                7 ปีผ่านมาแล้วหลังจากที่มีเด็กกลุ่มนึงได้ปฏิบัติภารกิจกอบกู้โลกไว้อีกครั้งหนึ่ง จากเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้ตัวกลุ่มเด็ก ๆ เองได้ประสบการณ์ทั้งดีและแย่ต่าง ๆ มากมาย นอกจากนี้ยังมีลางบอกเหตุบางอย่างจากเหตุการณ์ครั้งปี 1999 ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหม่ในปี 2000 เป็นผลต่อเนื่องมาถึงปี 2002 และ 2003

     

     

                แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ฟันฝ่าอุปสรรคมาได้ แม้หนทางที่ฟันฝ่านั้นจะยากลำบากเพียงใด พวกเขาก็ไม่หวั่น ตั้งใจอดทนบากบั่นต่อสู้เผชิญกับปัญหาที่รุมเร้าได้สำเร็จ... และในปัจจุบันเด็กกลุ่มนั้น... ต้องเรียกว่าพวกเขาสินะ.. พวกเขาประกอบด้วยบุคคลต่างวัย 8 คน

     

     

                ยางามิ ไทจิ ... สมัยตอนเขาอยู่ประถมห้า เขาก็ได้ถูก 'บางสิ่ง' เรียกตัวไปยังอีกโลกหนึ่ง นั่นคือโลกดิจิตอล ตอนนั้นไทจิเป็นบุคคลที่กล้าหาญ แต่หัวดื้อ และค่อนข้างไร้เหตุผลอย่างรุนแรง แต่ในท้ายที่สุด เป็นเพราะเพื่อน ๆ ในกลุ่มก็ทำให้เขาเปลี่ยนนิสัยของตัวเองไปได้ และเขาก็ยังถือว่าเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ เนื่องจากแต่ละคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น

     

     

                ทาเคโนะอุจิ โซระ ... เธอเกิดในปีเดียวกันกับไทจิ ในช่วงการเข้าค่ายฤดูร้อนเมื่อวันแรกของเดือนสิงหาคมเธอก็ถูกเรียกไปยังโลกดิจิตอลเช่นเดียวกับคนในกลุ่มที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ในตอนนั้นเธอไม่เข้าใจ และเกลียดความรักมาก แต่เมื่อเธอพบกับคู่หู เธอก็เข้าใจถึงความรัก ว่าความรักนั้นเป็นอย่างไร และจนท้ายที่สุด.. ในปัจจุบันนี้ โซระก็กำลังคบหาอยู่กับเพื่อนร่วมกลุ่มของเธออยู่

     

     

                อิชิดะ ยามาโตะ ... เขาเกิดในปีเดียวกับไทจิและโซระ แต่มีอายุมากสุด นิสัยของเขาในตอนนั้นเขาเป็นคนที่รักน้องชายมาก ถึงขนาดดูแลกันไม่ห่าง เขามักมีปัญหาขัดแย้งกับคนอื่นเมื่อเรื่องนั้นเกี่ยวพันกับน้องชาย พอมาถึงจุด ๆ หนึ่ง เขาก็ต้องดำดิ่งสู่อารมณ์ความเศร้า เมื่อเขาคิดว่าน้องชายไม่ต้องการเขาแล้ว แต่สุดท้ายก็มีคนฉุดเขาขึ้นมาจากห้วงอารมณ์ความเศร้านั้น

     

     

                อิซึมิ โคจิโร่ ... เขาอายุน้อยกว่าไทจิ โซระ และยามาโตะ แต่ทว่าระดับความสามารถทางคอมพิวเตอร์นั้นดีกว่ากันมาก เขาเป็นคนที่ขี้สงสัยและชอบขวนขวายอยู่ตลอดเวลา และตอนที่ถูกเรียกไปยังโลกดิจิตอล เขาก็เหมือนจะเป็นคนที่ซึบซับเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกดิจิตอลได้มากที่สุด โคจิโร่ถือว่าเป็นมันสมองของกลุ่ม แต่น่าแปลก ที่เขานับถือไทจิและยามาโตะเอาเสียมาก ๆ

     

     

                ทาจิคาวะ มีมี่ ... เธออายุเท่ากับโคจิโร่ เดิมทีนั้นเธอเป็นคนที่ไร้เดียงสา เป็นลูกคุณหนูที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ ฝักใฝ่แต่ความสบาย แต่เมื่อเธอถูกเรียกมายังโลกดิจิตอล เธอก็ค่อย ๆ ปรับปรุงนิสัยเหล่านั้น เพราะความจริงแล้วเธอเป็นคนที่นิสัยดี ใสซื่อบริสุทธิ์ และมีความจริงใจต่อคนรอบข้าง ปัจจุบันเธอย้ายไปอยู่ที่อเมริกาเพราะพ่อแม่ของเธอหวาดกลัวกับเหตุการณ์ในปี 1999

     

     

                คิโดะ โจ ... เขาเป็นคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม แต่เป็นคนขี้ขลาด ไม่ค่อยกล้าทำอะไร เรื่องการตัดสินใจยกให้ไทจิเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนที่พึ่งพาได้ตลอดเวลา เป็นคนที่นึกถึงคนอื่นเสมอ เมื่อถูกเรียกมาในโลกดิจิตอลและพบกับคู่หู นิสัยเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่มีความกล้าหาญมากขึ้นกว่าเดิม ปัจจุบันเขาเรียนต่อที่อเมริกาโดยอาศัยอยู่ที่บ้านของมีมี่ในนิวยอร์ค

     

     

                ทาคาอิชิ ทาเครุ ... เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม เป็นน้องชายของยามาโตะ ในตอนแรกเขาหวาดกลัวต่อทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อเห็นถึงความกล้าหาญของไทจิแล้วเขาจึงเริ่มเดินรอยตาม แต่นั้นก็ทำให้ยามาโตะเกิดความเข้าใจผิดจนต้องแยกกลุ่มออกไป ปัจจุบันนิสัยเขาเปลี่ยนไปมาก มีความเป็นผู้นำมากขึ้น และมีความกล้าที่จะตัดสินใจโดยไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง

     

     

                ยางามิ ฮิคาริ ... เธอเป็นน้องสาวของไทจิ อายุพอ ๆ กับทาเครุ ในตอนแรกเธอไม่ได้ถูกเรียกไปยังโลกดิจิตอลเพราะมีเหตุบังเอิญ แต่สุดท้ายเธอก็ได้ไปยังโลกดิจิตอล ถ้าหากเปรียบไทจิเป็นความกล้าหาญของกลุ่มแล้ว เธอเปรียบดั่งแสงสว่างของกลุ่ม เลยทีเดียว ปัจจุบันเธอถูกโคจิโร่เดาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับจุดกำเนิดของโลกดิจิตอล แต่เธอก็ปฏิเสธว่าเธอแค่ไม่ชอบความมืดเฉย ๆ

     

     

                ...

     

     

                เช้าตรู่วันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2006

     

     

              ณ ห้องของยางามิ , โอไดบะแมนชัน , โอไดบะ , เนริมะ , โตเกียว

     

     

                "ไทจิ... ไทจิ!"

     

     

                เสียงร้องเรียกดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลคนนอนคลุมโปงหลายชั้น ตามด้วยแรงเขย่าเบา ๆ ที่ดูเหมือนจะไม่สะเทือนคนนอนหลับเข้าห้วงนิทราลึกเท่าไหร่ เห็นดังนั้นเจ้าของเสียงถึงดันคนเขย่าออกเบา ๆ

     

     

                "อยากนอนนักใช่มั้ยไทจิ ...เหอะ... ได้สิ...! "

     

     

                แล้วเสียงน้ำสาดโครมก็ตามมาติด ๆ แต่เจ้าของเตียงยังคงนิ่งเฉย เห็นดังนั้นเด็กสาวก็เหลือบมองคนสาดน้ำที่เดินดุ่ม ๆ ออกไปที่เคาน์เตอร์ แล้วเดินเข้ามาพร้อมกะละมังสแตนเลสใบใหญ่สองใบ .. ว่าแต่ในห้องเธอมีกะละมังสแตนเลสใหญ่ขนาดนี้ตั้งสองใบเลยเหรอ...เด็กสาวเจ้าของห้องคิดอย่างประหลาดใจ

     

     

                แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรต่อ หญิงแกร่งที่เด็กสาวตั้งฉายาใหม่ให้ในใจก็ตบกะละมังสองใบกระทบกันอย่างรุนแรง ถามว่ารู้ได้ไงว่ารุนแรง ก็นึกสภาพเอาแล้วกันขนาดว่าเด็กสาวคนนึงกับชายหนุ่มคนนึงยังต้องวิ่งเผ่นออกมาจากห้องนอนแทบไม่ทัน แถมยังอุดหูทำหน้าเหยเกราวกับว่ากลัวเสียงนั่นมันกำลังจะไปทำลายเยื่อแก้วหูอย่างไรอย่างนั้น

     

     

                "คิดว่าเสียงดังขนาดนี้พี่จะตื่นมั้ยคะ?"

     

     

                "อย่างนั้นน่ะเหรอ.. เชื่อขนมกินได้เลยว่าหมอนั่นไม่ตื่นเพราะเสียงกะละมังสองใบกระทบกันหรอก อย่างน้อยคงต้องกระซิบข้างหูหมอนั่นด้วยคำพูดต้องห้ามอะไรสักประโยคสองประโยคล่ะ.."

     

     

                เด็กสาวขมวดคิ้ว จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความฉงนใจ ดวงแซฟไฟร์สว่างกระพริบตาปริบ ๆ ตอบรับความสงสัยของน้องสาวเพื่อนสนิท จากนั้นก็แย้มริ้มฝีปากหัวเราะหลุดเสียงคิกออกมา เด็กสาวเอียงคออีกครั้ง ก่อนคนอายุมากกว่าจะเป็นคนเฉลยในสิ่งที่เด็กสาวสงสัย

     

     

                "ก็ประมาณว่า.. 'ฮิคาริหนีไปแต่งงานกับทาเครุแล้วนะ' หรือไม่ก็ 'ไดสึเกะหนีตามเคนไปอยู่ทามาจิแล้วนะ' อะไรประมาณนั้นแหละ.. อ้อ.. ความจริงยังมีอีกหนึ่งประโยคนี่นะ ฮึ ๆ ..."

     

     

                ประโยคท้ายสร้างความฉงนใจให้พาสงสัยอีกครั้ง เด็กสาวขมวดคิ้วเกาคางตัวเองเบา ๆ

     

     

                "ถ้าอย่างนั้นก็รอดูก็แล้.........."

     

     

                "อะไรนะยัยโซร๊าาาาาา~ นี่ฉันกับยามาโตะแต่งงานแล้วมีลูกสามคนตั้งแต่เมื่อไหร่กันห๊า!"

     

     

                "...นั่นไง คงเข้าใจแล้วสินะ?"

     

     

                "อ่อ...นั่นเหรอคะสิ่งที่พี่ยามาโตะพูดถึง ฉันว่าฉันเข้าใจแล้วล่ะคะว่านั่นเป็นประโยคต้องห้ามจริง ๆ ... ว่าแต่สองประโยคแรกถือว่าเป็นประโยคต้องห้ามด้วยเหรอคะ? ฉันว่ามันก็ไม่เห็นเป็นประโยคต้องห้ามตรงไหนเลย"

     

     

                "เอ่อ.. ก็ไม่เชิงหรอก แต่ว่าลองคิดดูก็แล้วกัน ถ้าเกิดจู่ ๆ น้องสาวสุดน่ารักของตัวเองดันไปแต่งงานกับคนที่หมายปองไว้ว่าจะให้ลงเอยกับน้องชายเพื่อน หรือไม่ก็คนที่หมายปองให้ลงเอยกับน้องชายเพื่อนดันหนีไปกับคนที่บอบบางกว่า .. แบบนี้เธอจะรู้สึกยังไงอย่างนั้นเหรอ ... ฮิคาริ ? "

     

     

                "ประโยคแรกฉันว่าฉันเข้าใจค่ะ แต่ประโยคสองฉันยังไม่เข้าใจค่ะ บอบบางกว่าแล้วทำไมเหรอคะ?"

     

     

                "โถ... ปาปารัซซี่มือฉมังอย่างเธอน่าจะเข้าใจนะ คิดว่าไทจิอยากให้ไดสึเกะน่ารัก(?)อ่อนหวาน(?)ว่านอนสอนง่าย(?)อย่างเดิมหรือให้กลายเป็นคนมาดแมนชนิดที่ว่าฉันยังสู้ไม่ได้น่ะหืม?"

     

     

                "จากที่พี่ยามาโตะพูดแล้ว.. ฉันว่าอันแรกคงดีกว่าอันหลังเอาเสียมาก ๆ เลยค่ะ ยังไงไดสึเกะก็เหมาะกับ 'ตัว ร สระบน' มากกว่า 'ตัว ร สระล่าง' ล่ะนะ..."

     

     

                "เธอว่าอะไรนะ?"

     

     

                "เปล่านี่คะ.. แค่บอกว่าไดสึเกะน่ะเหมาะกับความน่ารักมากกว่าความมาดแมนน่ะคะ.."

     

     

                ...

     

     

              ช่วงสายวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2006

     

     

              ณ เซ็นทรัลปาร์ค , นิชิชินจุกุ , ชินจุกุ , โตเกียว

     

     

                "ครั้งนี้มาเที่ยวไกลกันจังเลยนะคะ มาถึงชินจุกุเลย..แต่ก็แอบเสียดายเหมือนกันที่วันนี้ไดสึเกะคุงกับเคนคุงดันติดธุระพร้อมใจกันไม่มาซะเนี่ย..ไม่รู้ไปทำธุระอะไรกันที่ไหนหรือเปล่า เอ? หรือจะหนีไปด้วยกันแล้วนะ?"

     

     

                พูดถึงตรงนี้เด็กสาวก็เหลือบมองปฏิกิริยาของพี่ชายตัวเองว่าจะโวยวายมั้ย

     

     

                "อะไรกัน ๆ ! ไดสึเกะน่ะไม่มีทางหนีไปแต่งงานมีลูกสามคนกับอิจิโจจิเด็ดขาด!! คราวหลังเธออย่าพูดอะไรทำนองนั้น เทือก ๆ นี้ออกมาอีกเชียวนะฮิคาริ เพราะมันไม่มีมูลความจริง!"

     

     

                โอ้..นี่ฉันควรจะภูมิใจดีมั้ยคะที่มีพี่ชายเป็นแบบนี้...ฮิคาริคิดในใจอย่างกระดากอายเมื่อสายตาคนรอบข้างที่ไม่ใช่คนกลุ่มเริ่มจับจ้องมาทางพวกเธอ ว่าแต่เธอไปบอกว่าไดสึเกะจะหนีไปแต่งงานมีลูกสามคนกับเคนตอนไหนเนี่ย!

     

     

                "อ๋า ใจเย็น ๆ กันก่อนสิครับ .. ผมโทรถามทางบ้านให้แล้วนะครับ ทางนั้นเขาบอกว่าทั้งสองคนนี้ติดธุระ ทางครอบครัวของคุณไดสึเกะก็บอกมาว่าติดรับรองญาติจากต่างประเทศ ส่วนทางครอบครัวคุณเคนก็บอกว่าดูตัวอยู่น่ะครับ"

     

     

                สิ้นเสียงคนที่อายุน้อยที่สุด เหมือนคนแรกจะไม่ช็อกเท่าไหร่ จะมาช็อกก็ช็อกกับไอ้คนหลังเนี่ยแหละ... อะไรนะ? อิจิโจจิ เคนผู้เป็นอัจฉริยะของโตเกียวกำลังดูตัวอย่างนั้นเหรอ! โถ่.. แบบนี้สาว ๆ หนุ่ม ๆ (?) ทั่วโตเกียวคงร้องไห้ระงมกันแน่ ๆ

     

     

                "เห? ไดสึเกะมีญาติเป็นคนต่างประเทศงั้นเหรอ ถ้าเป็นยามาโตะกับทาเครุฉันจะไม่แปลกใจเลยเพราะเป็นลูกครึ่ง มีญาติไม่ใช่คนญี่ปุ่นก็เรื่องปกติ แต่ไดสึเกะนี่ดูยังไงก็ญี่ปุ่นชัด ๆ ไม่เห็นมีเค้าโครงชาวต่างประเทศเลยนะ หรือว่าเป็นญาติที่ห่างกันมาก ๆๆ ..."

     

     

                เหมือนไทจิก็เริ่มเปิดประเด็นออกทะเลไปไกล คนอายุมากสุดในกลุ่มอย่างโจที่เกิดนึกอะไรบางอย่างออกก็ถามออกมาอย่างตรงไปตรงมาไม่เกรงอกเกรงใจอารมณ์คนถูกถามเลย

     

     

                "นี่ไทจิ.. ไม่ใช่ว่านายกำลังเบี่ยงเบนประเด็นที่ว่าไดสึเกะกำลังจะดูตัวอย่างนั้นเหรอ?"

     

     

                เหมือนค้อนปอนด์ที่ทุบกระแทกศีรษะคนกล้าบ้าบิ่นที่เป็นโรคหวงรุ่นน้องแตกดังโพล้ะ คนอื่น ๆ อาจไม่รู้ นอกจากโซระ ยามาโตะ และฮิคาริที่เพิ่งรู้เรื่องประโยคต้องห้ามเมื่อเช้าคงคิดเป็นเสียงเดียวกันแน่ ๆ ว่าอีกไม่นานเดี๋ยวไทจิคนนี้ก็จะโวยวายกรีดร้องตีโพยตีพายปกป้องรุ่นน้องตัวเองอีกรอบ... แต่ทว่าปฏิกิริยาที่ได้กลับมานั้น...

     

     

                "เห!! ดูตัวเหรอ!!! น่าเสียดายจัง~"

     

     

                สองเพื่อนสนิทกับหนึ่งน้องสาวคนพูดได้แต่ชะงักงัน.. เฮ้! นี่ไม่เห็นมีรีแอ็คชั่นอะไรเลยอ่ะ! แต่ทำไมถึงรู้สึกขนลุกแปลก ๆ กันล่ะเนี่ย?

     

     

                "ส...เสียดายอะไรเหรอครับคุณไทจิ?"

     

     

                โคจิโร่เป็นหน่วยกล้าตายถามขึ้นมาเมื่อเขาเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ใกล้ไทจิที่สุดและเป็นคนเดียวที่เห็นสีหน้าไทจิในตอนนี้..จะให้บรรยายมั้ยล่ะว่าเป็นยังไง!

     

     

                "ก็เสียดายชีวิตไอ้เจ้าคนที่มาดูตัวกับไดสึเกะน่ะสิ.. ถ้าเกิดมีคู่ครองเป็นตัวเป็นคนเมื่อไหร่ได้มีการนองเลือดกันขึ้นแน่ ๆ เลยทีเดียวเชียวล่ะ ว่ามั้ย.. โค..จิ..โร่..?"

     

     

                เน้นชัด ๆ ทีละพยางค์จนคนฟังหงอกระโดดมาหลบหลังคนอายุมากสุดทันที.. อย่างไรก็ตามที คนในกลุ่มก็ชอบไทจิโหมดหมาบ้ามากกว่าโหมดโรคจิตล่ะนะ! ดูยังไงโหมดหมาบ้าก็แผ่รังสีออร่าความซึนออกมามากกว่าหลายเท่าตัวนัก!

     

     

                "เอาล่ะทุกคน! อย่าทำเรื่องให้วันนี้หมดสนุกสิ ไหน ๆ ก็อุตส่าห์มาฉลองไกลถึงเซ็นทรัลปาร์คเชียวนะ ทำตัวให้มันสดใสสดชื่นต้อนรับหน้าร้อนกับงานเทศกาลโอไดบะหน่อยซี่~ ถ้าไม่ผ่อนคลายแล้วยังเป็นโรคหวงรุ่นน้องเหมือนตาบ้าไทจินี่ล่ะก็คงได้อกแตกตายเข้าให้สักวันแน่"

     

     

                โซระปิดประเด็นสยองขวัญนั่นแล้วล็อคคอไทจิที่ทำท่าจะไปฟัดกับโจและโคจิโร่เสียให้ได้

     

     

                "ใช่ค่ะพี่.. พี่ไม่ต้องกลัวหรอกว่าไดสึเกะคุงจะโดนใครงาบไป ขนาดมีคนมาสารภาพรักเจ้าตัวยังบอกฉันเลยค่ะว่า 'คน ๆ นี้จู่ ๆ ก็มาพูดอะไรประหลาด ๆ ใส่ฉันด้วยล่ะ' ประมาณนี้ล่ะค่ะ"

     

     

                "ก็เพราะอินโนเซนต์อย่างนี้ไงเล่า.. ฉันถึงได้ห่วงนักล่ะ.. แบบนี้จะโดนใครลวงก่อนฉันจับโยนเข้าห้องหอก็ไม่รู้..."

     

     

                หมาบ้าของกลุ่มพ่นลมหายใจสบถออกมา มีเพียงโซระ ยามาโตะ และฮิคาริเท่านั้นที่เข้าใจในคำพูดนี้ ส่วนที่เหลือได้แต่มองกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ.. เพราะระดับมันสมองของพวกเขาสูงเกินไปหรือว่าระดับมันสมองของพวกเขามันต่ำเกินไปดีเนี่ย!

     

     

                "เดี๋ยวฉันกลับก่อนแล้วกันนะ จู่ ๆ เกิดสังหรณ์ใจขึ้นมาน่ะ.."

     

     

                "พี่คะ?..เอ่อ ขอโทษทุกคนนะคะ แต่ถ้าพี่ไปฉันคงต้องไปด้วย ขอตัวนะคะ"

     

     

                นัยน์ตาสีเปลือกไม้เหลือบมองมาทางสองเพื่อนสนิทที่พยักเพยิดให้รีบ ๆ ไป แล้วจึงเดินกลับไปโบกรถทันที ในขณะที่ฮิคาริก็วิ่งตามพี่ชายของเธอไป ...

     

     

                "หายไป 4 แล้วสิคะเนี่ย? เอาเถอะ งั้นฉันกับมิยาโกะจังจะไปซื้อเบเกอรี่แถวนี้มาเป็นอาหารปิกนิคช่วงเช้าก็แล้วกันนะคะ ว่ากันว่าเบเกอรี่ที่นิชิชินจุกุเนี่ยล่ะที่อร่อยที่สุดในโตเกียวเลยน้า~"

     

     

                "นั่นสิครับ..ถ้าอย่างนั้นผมไปหาเครื่องดื่มพร้อมน้ำแข็งให้แล้วกันนะครับ.. ได้ยินมาเหมือนกันว่าพวกเครื่องดื่มอะไรเทือก ๆ นี้ของที่นี่ก็สุดยอดเหมือนกัน.. เอ๊ะ! คุณโจอย่านิ่งเฉยสิครับ มาช่วยผมถือของเดี๋ยวนี้เลย อย่ามาทำเป็นเมินผมแล้วจะรอดนะ!"

     

     

                แล้วมีมี่ มิยาโกะ โคจิโร่ และโจก็เดินไปทำหน้าที่ของตัวเอง เหลืออีกสี่คนไว้เบื้องหลัง และเป็นทาเครุเองก็เอ่ยทำลายบรรยากาศความเงียบนั่น

     

     

                "ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ปูเสื่อปูผ้ารอได้แล้วครับ..เสร็จแล้วจะได้เที่ยวต่อไงครับ"

     

     

                ...

     

     

              ช่วงบ่ายวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 2006

     

     

              ณ ห้องของโมโตมิยะ , โอไดบะแมนชั่น , โอไดบะ , เนริมะ , โตเกียว

     

     

                "พี่คะ แอบมาดูแบบนี้จะดีเหรอ?"

     

     

                ทันทีที่ฮิคาริถามขึ้น ไทจิก็เอาชี้จุ๊ปากตัวเองเป็นเชิงให้เงียบ แล้วตอบกลับมาเบา ๆ ด้วยคำตอบที่ทำเอาคนเป็นน้องต้องส่ายหน้ากับความหวงรุ่นน้องที่โอเวอร์อย่างรุนแรง

     

     

                "เชื่อพี่สิว่าเราต้องปกป้องความบริสุทธิ์ของไดสึเกะ"

     

     

                "เห...แต่ว่าพวกเราแอบย่องเข้ามาในห้องคนอื่นนะคะ ถึงพวกเขาอาจจะไม่เอาเรื่อง แต่ถ้าคนอื่นรู้มันก็น่าอับอายอย่างรุนแรงเลยนะคะ ที่สำคัญไดสึเกะไม่ได้ถูกใครทำมิดีมิร้ายซะหน่อย..แล้วอิโอริคุงก็ไม่ได้บอกด้วยว่าไดสึเกะดูตัวนะคะ แค่เค้าต้อนรับญาติเองไม่ใช่เหรอ"

     

     

                "ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นการดูตัวก็ได้!"

     

     

                ตอบกลับมาแบบนั้นเธอก็เลิกที่จะค้านต่อ เพราะค้านอย่างไรผลก็ยังคงออกมารูปแบบเดิมล่ะ อีกอย่างตอนนี้เธอกับพี่ก็แอบย่องเข้ามาอยู่ในห้องของไดสึเกะได้แล้วด้วย จะค้านไปทำไมอีก ว่ามั้ยล่ะ?

     

     

                แต่แล้วจู่ ๆ เสียงกรีดร้องของเสียงหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้น ได้ยินเสียงของพ่อแม่ของไดสึเกะที่กำลังร้องห้ามไดสึเกะด้วย หรือว่า...!?

     

     

                "มันจะเป็นไปได้เหรอคะความคิดที่พี่บอกฉันน่ะ?"

     

     

                "ไม่แน่! ไดสึเกะอาจหน้ามืดตามัวที่เห็นผู้หญิงแล้วคิดจับปล้ำก็ได้"

     

     

                "โถ.. ความคิดพี่เลอะเลือนไปแล้วค่ะ ตอนอยู่เซ็นทรัลปาร์คพี่ยังพูดอยู่เลยว่าไดสึเกะคุงน่ะอินโนเซนต์ แถมสารภาพรักคืออะไรไดสึเกะคุงก็ยังไม่รู้.. แล้วไดสึเกะคุงจะเอาความคิดไหนไปปล้ำคนอื่นกันล่........ เดี๋ยวค่ะพี่!!!"

     

     

                เหมือนคำร้องท้วงของฮิคาริจะไม่ได้ผล เมื่อไทจิวิ่งออกจากที่ซ่อนตัวพุ่งตรงไปยังห้องที่มีเสียงกรีดร้องทันที เด็กสาววิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว เสียงดังตึ่ก ๆ จากนอกห้องทำเอาคนในห้องเหมือนชะงักงันจนเงียบ เพียงครู่เดียวประตูก็ถูกเปิดผางออกมาด้วยฝีมือของคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี..

     

     

                ทันทีที่ประตูเปิดออก สิ่งแรกที่สองพี่น้องยางามิเห็นก็ทำเอาตาค้าง เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังจะเปลื้องผ้าถอดเสื้อยืดตัวนอกออก โดยที่มีคุณนายโมโตมิยะและพี่สาวของไดสึเกะกำลังนั่งขมวดคิ้ว ในขณะที่คุณโมโตมิยะนั่งหันหลังให้ และพอทั้งสี่คนหันมาทางประตูเท่านั้นแหละ...

     

     

                "เฮ่ย!! ไทจิคุง!!?"

     

     

                "เอ๋! ร..รุ่นพี่ไทจิ!? ฮิคาริจัง!!?.. อุ๊บ!"

     

     

                คุณโมโตมิยะถึงกับร้องเฮ่ยเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญ มือใหญ่รีบกุลีกุจอขนกองผ้านวมหนา ๆ ไปวางสุม ๆ กันไว้ตรงข้าง ๆ ตัวโดยมีคุณนายโมโตมิยะและพี่สาวอย่างจุนคอยกดกองผ้านวมไว้ แต่ว่าไอ้เสียงที่สองเมื่อกี๊มันอะไรกันนั่น! เสียงเดียวกับเสียงที่กรีดร้องเมื่อกี๊ ไทจิมั่นใจว่าเขาไม่รู้จักเจ้าของเสียง แต่เสียงนั้นกลับเรียกเขาที่เพิ่งพังประตูเข้ามาว่า 'รุ่นพี่ไทจิ'

     

     

                ขอโทษเถอะ คนที่เรียกยางามิคนพี่ว่า 'รุ่นพี่ไทจิ' แล้วเรียกยางามิคนน้องว่า 'ฮิคาริจัง' น่ะมีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ!

     

     

                "คือ..เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง แล้วก็เสียงห้ามไดสึเกะน่ะครับ... เลยตกใจคิดว่าไดสึเกะจะทำอะไร...แบบว่าเลยแอบเข้ามาโดยพละการ แล้วพังประตู ..."

     

     

                "โถ่พี่คะ เรียบเรียงคำพูดหน่อย.. เมื่อกี๊ฉันได้ยินนะคะ! แล้วกองผ้านวมตรงนั้นมีหญิงสาวคนนั้นอยู่สินะคะ แล้วเธอก็เรียกพวกเราด้วย... สรรพนามที่ไดสึเกะใช้เรียกพวกเรา.. แบบว่าฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ เพราะเมื่อกี๊ฉันก็เห็นหน้าของผู้หญิงคนเมื่อครู่ก่อนถูกโยนผ้านวมใส่น่ะเหมือนไดสึเกะมากเลย.. แบบว่า... คือ... ตอนนี้เราก็ไม่เห็นไดสึเกะด้วยน่ะคะ เลยคิดว่า..."

     

     

                "....ผู้หญิงคนนั้นน่ะ คือไดสึเกะรึเปล่าครับ!?"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×