เรียกว่าอะไรดี
ผู้เข้าชมรวม
144
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เขียนเมื่อ มิถุนายน 19, 2008 โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ที่มา เว็บบอร์ดพลเมืองภิวัฒน์ 18 มิถุนายน 2551
ชัยชนะของพรรคพลังประชาชน ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 หลังจากได้รับอำนาจกลับสู่ประชาชนอีกครั้งจากการรัฐประหาร ทั้งๆ ที่ชูแผนการนำ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และแก้ข้อครหาต่างๆ ในที่สุดก็ได้จัดตั้งรัฐบาล ที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ ได้สร้างความผิดหวังอย่างรุนแรงแก่กลุ่มพลังอำมาตยาธิปไตย
ใน อดีต ระบอบรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารทุกครั้ง ก็เป็นเพียงการต่อเนื่อง ของอำนาจรัฐจารีตนิยมในรูปแบบแฝงเร้น ที่สวมเสื้อคลุมเป็นระบอบเลือกตั้ง มีรัฐสภา แต่มีรัฐบาลพลเรือนที่อ่อนแอ และเป็นรัฐบาลหุ่นเชิด ที่ว่านอนสอนง่ายของพวกอำมาตยาธิปไตย
แต่ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 กลับเป็นครั้งแรก ที่เป็นการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับอำนาจนิยม ที่ร่างโดยคณะรัฐประหาร ที่นำมาซึ่งรัฐบาลที่มีพรรคแกนนำ และมวลชนสนับสนุน ที่เป็นพลังต้านรัฐประหารโดยตรง นี่จึงเป็น ความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ ที่สำคัญ ของอำมาตยาธิปไตย สะท้อนอย่างชัดเจนว่า นับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน จนถึงวันเลือกตั้ง พวกเขาประสบความล้มเหลวโดยพื้นฐาน ในการทำลายล้างพลังการเมืองประชาธิปไตยของกลุ่มทุนใหม่ และขบวนมหาประชาชน
ฝ่าย เผด็จการอำมาตยาธิปไตย ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวของรัฐประหาร 19 กันยายน ว่า พวกตนประเมินอิทธิพลของอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยในหมู่มวลชน ต่ำเกินไป ไม่เข้าใจว่า พลังความนิยมของอดีตผู้นำไทยรักไทยนั้น แผ่กว้างและหยั่งรากลึกในหมู่มวลชน ยิ่งกว่านั้น พวกเขารู้ตัวแล้วว่า รัฐประหาร 19 กันยายน ที่โค่นล้มรัฐบาลไทยรักไทยที่มาจากการเลือกตั้ง โดยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายทั้งสองสมัย กลับกลายเป็นพลังกระตุ้นให้มวลชนชนชั้นล่าง ทั้งในเมืองและชนบท รวมตลอดถึงปัญญาชน และชนชั้นกลางในเมือง ที่ก้าวหน้า ได้ตื่นตัวทางการเมืองประชาธิปไตยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รวมตัวจัดตั้ง กลายเป็นกองทัพหลวงอันเหนียวแน่นของประชาธิปไตย ประกอบด้วยกลุ่มองค์กรมหาประชาชนหลากหลาย ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด พร้อมกับสื่อสารมวลชนทางเลือกออนไลน์ในมือที่ทรงพลัง ขับเคลื่อนโดยนักรบไซเบอร์ที่ชาญฉลาด กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ประกอบกันขึ้นแนวร่วมมหาประชาชนประชาธิปไตยที่ทรงพลัง
แทนที่ค่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตย จะยอมรับความจริงว่า ประชาชนได้ตื่นขึ้นแล้ว ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว บัดนี้ ประชาชนไม่ยินยอมให้ถูกปฏิบัติเยี่ยงไพร่ ทาสธุลี ได้อีกต่อไป และสรุปบทเรียนว่า สมควรถึงเวลาคืนอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ให้แก่ปวงชนชาวไทยแล้ว เพื่อที่พวกเขาจะยังสามารถรักษา สวรรค์น้อย ๆของ พวกเขาไว้ได้ภายใต้กฎกติกาประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่เผด็จการอำมาตยาธิปไตย กลับสรุปบทเรียนว่า จะต้องดำเนินการตีโต้กลับในขั้นแตกหัก เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของพวกเขาในขณะนี้ คือ การ โค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนที่ชนะการเลือกตั้งมาโดยเร็ว เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายสองประการคือ หนึ่ง ถอนรากถอนโคนกลุ่มการเมืองของอดีตผู้นำไทยรักไทยให้หมดสิ้น และสอง ทำลายล้างพลังมวลมหาประชาชนอย่างถอนรากถอนโคน ให้ประชาชนสูญเสียจิตวิญญาณ หมดสิ้นซึ่งขวัญกำลังใจ ที่จะดิ้นรนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยอมสิโรราบ ถูกกดขี่ข่มเหง และไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ด้วยตนเอง ภายใต้อำนาจปกครองของอำมาตยาธิปไตยต่อไป
รัฐบาล พรรคพลังประชาชนในปัจจุบัน กำลังตกอยู่ในวงล้อม ที่ถูกรุมกระหน่ำตีอย่างหนัก ทั้งจากในสภาคือ พรรคการเมืองสมุนเผด็จการ และสมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้งโดย คมช. ประสานกับองค์กรรัฐธรรมนูญโดย คมช.ประกอบกับการล้อมตีนอกสภา จากแนวร่วมรับใช้เผด็จการ ที่ประกอบด้วยสื่อสารมวลชนขวาจัด ปัญญาชนนักวิชาการ และราษฎรอาวุโสสามาณย์ ร่วมกับการเคลื่อนไหวยั่วยุ สร้างความรุนแรงบนท้องถนนของกลุ่มอันธพาลการเมืองรับจ้าง รวมตลอดถึงการรวมตัวของกลุ่มทหารฟัสซิสต์ ที่สำแดงกำลังกระด้างกระเดื่อง ข่มขู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่
ค่าย อำมาตยาธิปไตย ได้หันมาใช้สูตรสำเร็จรูปของพวกตน ที่กระทำสำเร็จมาทุกครั้งในหลายสิบปีมานี้ ซึ่งก็คือ ยุทธการพิฆาตไพรีเรื่อง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพและโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณของประชาชนชาวไทยทั้งปวง อันเป็นสัญญาณที่แจ้งชัดว่า บัดนี้ ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย มิได้มุ่งกำจัดรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ด้วยวิธีภายในกรอบของระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 อีกต่อไป ดังจะเห็นได้จากบทเรียนในประวัติศาสตร์ ดังนี้
นาย ปรีดี พนมยงค์ และรัฐบาลธำรง นาวาสวัสดิ์ถูกกล่าวหาทั้งในและนอกสภาว่า ปกปิดข้อเท็จจริงและมีส่วนในการลอบปลงพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นำไปสู่รัฐประหารเมื่อครั้งวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2489 และกวาดล้างคณะราษฎรปีกนายปรีดีจนหมดสิ้น
รัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ถูกกล่าวหาว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพในหลายกรณี รวมทั้งในกรณีการเฉลิมฉลอง 25 พุทธศตวรรษ นำไปสู่รัฐประหารเมื่อครั้งวันที่ 16 กันยายน 2500 ทำลายกลุ่มนายทหารของคณะราษฎรอย่างถอนราก ตามมาด้วยรัฐประหารเมื่อครั้งวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2475 อันเป็นร่องรอยทางการเมืองชิ้นสุดท้าย ของการปฏิวัติ 2475
ขบวน การนิสิตนักศึกษา และประชาชนถูกกล่าวหาว่า เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และแสดงละครแขวนคอ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพนำไปสู่การสังหารหมู่ ที่นองเลือดที่สุด และรัฐประหารเมื่อครั้งวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2518
รัฐบาล พล อ.ชาติชาย ชุณหวัน แม้จะถูกประณามเรื่องทุจริตคอรัปชั่นมาก่อน เป็นเวลานาน แต่ท้ายสุด ในการแต่งตั้งมนูญ รูปขจร กลับเข้าสู่ตำแหน่งทางราชการ ก็ถูกกล่าวหาว่า ปกป้องบุคคล ที่พัวพันกับคดีลอบสังหารบุคคลสำคัญ นำไปสู่รัฐประหารเมื่อครั้งวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2521
รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ถูกกล่าวหาเรื่องทุจริตคอรัปชั่นหลายเรื่อง แต่ไร้ด้วยมูลความจริงไม่สามารถเอาผิดได้ ท้ายสุดต้องใช้แผนเดิม คือ ข้อกล่าวหา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หลายกรณี ที่นำไปสู่รัฐประหารเมื่อครั้งวันที่ 19 กันยายน 2549 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 และเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับ คมช.
ยุทธการ ในครั้งนี้ จึงยังคงเรียบง่าย สกปรก หยาบช้า และเป็นเท็จเหมือนเดิม โดยมีข้อกล่าวหา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นขบวนการสาธารณรัฐ เริ่ม ต้นด้วยการจับจักรภพ เพ็ญแข ขึ้นแสดงละครแขวนคอโดยบิดเบือนคำแปลภาษาอังกฤษ โดยมีแนวร่วมสื่อมวลชนขวาจัดหลายค่าย รวมตัวกันเป็น ดาวสยาม 2551 ช่วยกันกระพือข้อกล่าวหาป้ายสี กระตุ้นความโกรธเกลียด เพื่อมุ่งไปสู่ความรุนแรงอย่างเปิดเผยอีกครั้ง
เงื่อนไข สำคัญของการรุกกลับคือ โค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนให้เร็วที่สุด โดยไม่ทิ้งเงื่อนเวลาให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทันท่วงที ประกอบด้วยยุทธการสามแนวรบ คือ ความวุ่นวายจลาจลบนท้องถนน ตุลาการรัฐประหาร และรัฐประหารโดยกำลังอาวุธ
ยุทธการ จลาจลบนท้องถนน ก็เช่นเดียวกับก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน คือ ให้ท้ายสนับสนุนให้กลุ่มอันธพาลการเมืองเป็น กองหน้า ออกมาชุมนุม เคลื่อนไหว ประท้วง ใส่ร้ายป้ายสีอย่างรุนแรง ไร้ข้อเท็จจริง และล้างสมองผู้คนจำนวนมาก ก่อให้เกิดสถานการณ์ไร้เสถียรภาพ ที่รัฐบาลควบคุมไม่ได้ และตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง สับสน ห่วงหน้าพะวงหลัง กระทั่งก่อความรุนแรงบนถนน เพื่อเป็นทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล
ยุทธการ ตุลาการรัฐประหาร สร้าง วิกฤตการเมือง ผลักดันให้ระบอบเลือกตั้ง เข้าสู่จุดอับที่ไม่มีทางออก ประกอบด้วยการดำเนินคดีการเมืองสำคัญอย่างรวดเร็ว บีบให้นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภา เพื่อแก้วิกฤต จากนั้น ใช้กลไกองค์กรรัฐธรรมนูญ ขัดขวางมิให้เกิดกระบวนการเลือกตั้งครั้งใหม่ อันจะนำระบอบเลือกตั้งกลับไปสู่สถานการณ์คับขัน ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อีกครั้ง
ใน สถานการณ์ดังกล่าว หากพรรคการเมืองที่เป็นสมุนรับใช้เผด็จการ ยังคงไร้สมรรถภาพ และมิสามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นตามระบอบรัฐธรรมนูญ 2550ได้อยู่ดี ยุทธการ รัฐประหารด้วยกำลังอาวุธ จึงเป็นคำตอบสุดท้าย
ขบวน การประชาธิปไตยจักต้องเตรียมพร้อม รับมือกับการรุกกลับขั้นแตกหักของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ด้วยความเชื่อมั่น กล้าหาญ และชาญฉลาด บัดนี้ รัฐบาลพรรคพลังประชาชน คือกองบัญชาการหลัก ที่จะต้องยืนให้มั่น กุมสภาพกองทัพให้ชัดเจน เตรียมกำลังให้พร้อมสรรพ เพื่อตีโต้การรุกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ได้ทันท่วงที บีบให้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ที่มีกลุ่มอันธพาลการเมืองเป็นกองหน้า เป็นฝ่ายก่อความรุนแรงบนท้องถนน และใช้กำลังอาวุธอย่างเปิดเผย โดยที่สถานการณ์ยังไม่สุกงอม และไม่เอื้ออำนวย ให้พวกเขากระทำผิดพลาดทางการเมืองอย่างร้ายแรง ประสบความล้มเหลวในการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน หรือหากแม้นจะโค่นล้มรัฐบาลลงได้ ก็ไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ในการปกครองในระยะต่อไป
ผลงานอื่นๆ ของ ago_demon ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ago_demon
ความคิดเห็น