รักชาติมั้ย?? - นิยาย รักชาติมั้ย?? : Dek-D.com - Writer
×

    รักชาติมั้ย??

    โดย ago_demon

    ถ้าคิดว่ารักชาติ

    ผู้เข้าชมรวม

    300

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    300

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  14 พ.ค. 52 / 00:00 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ความรักชาติ (Patriotism) โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง

    โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ

    ความรักชาติ คือการสนับสนุนประเทศของเราตลอดเวลา และสนับสนุนรัฐบาลของท่านเมื่อรัฐบาลนั้นสมควรได้รับการสนับสนุน (Patriotism is supporting your country all the time and your government when it deserves.)  มาร์ก ทเวน/นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ชาวอเมริกัน

    ในประวัติศาสตร์การเมืองของไทยเราอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดที่ใช้ทำลายฝ่ายตรงข้ามก็คือการโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่รักชาติ ทั้งๆที่ความหมายหรือนิยามของคำว่า ความรักชาตินั้นยังไม่เคยมีการอรรถาธิบายให้ชัดเจนว่าอย่างไรถึงจะเรียกว่าความรักชาติ อย่างไรถึงจะเรียกว่าความไม่รักชาติ

    ความรักชาติของไทยเรานั้นได้ถูกผูกขาดโดยรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมาโดยตลอด นับแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่มีการปลูกฝังอุดมการณ์ชาตินิยมควบคู่ไปกับ การโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองที่ว่า เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย หรือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ว่า ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งในที่สุดก็พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง

    ความรักชาติถูกผูกขาดโดยคนบางกลุ่มบางเหล่ามาโดยตลอดว่าเป็นผู้ที่มี ความรักชาติมากกว่าคนกลุ่มอื่น ซึ่งน่าแปลกที่จำนวนคดีผู้ที่ถูกลงโทษในข้อหาคอร์รัปชันไม่ว่าจะเป็นโทษทางอาญาหรือโทษทางวินัยกลับเกิดในคนกลุ่มต่างๆเหล่านั้นมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ดังปรากฏข่าวคราวมาโดยตลอด จึงควรที่เราจะต้องมาพิจารณาว่าอย่างไรจึงจะเป็นความรักชาติที่แท้จริง

    ความรักชาตินั้นเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทางการเมือง(political culture) ซึ่งในแต่ละสังคมนั้นจะถูกกำหนดขึ้นหรือได้รับอิทธิพลจากสภาวะแวดล้อมหลายประการ เช่น ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา ฯลฯ โดยผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม(political socialization) โดยสถาบันต่างๆ เพื่อจะถ่ายทอดวัฒนธรรมทางการเมืองจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งอย่างต่อเนื่องและมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงให้ เข้ากับสภาวะแวดล้อมต่างๆเสมอ

        
    ประเภทของวัฒนธรรมทางการเมือง

    ๑)             แบบจำกัดวงแคบ(parochial political culture) คือ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมที่บุคคลไม่รู้และไม่สนใจการเมือง และไม่คิดว่าจะได้รับผลกระทบ จากการเมือง คนที่มีความคิดทางการเมืองแบบนี้จึงไม่คิดว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ทำให้ประชาชนมีสำนึกทางการเมืองต่ำ ขาดการมีส่วนร่วมทางการเมือง

    ๒)            แบบไพร่ฟ้า(subject political culture) คือ วัฒนธรรมทางการเมืองที่บุคคลสนใจและเข้าใจการเมืองบ้าง แต่อยู่ในในลักษณะที่เป็นการยอมรับอำนาจของผู้ปกครอง ดังนั้น จึงไม่สนใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองเช่นกัน

    ๓)             แบบมีส่วนร่วม(participant political culture) คือ วัฒนธรรมทางการเมืองที่บุคคลสนใจการเมืองและตระหนักว่าการเมืองมีผลกระทบต่อชีวิตเขาทุกในด้าน พวกเขาจึงกระตือรือร้นที่จะเข้ามามีกิจกรรมทางการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

    ประเทศไทยเราอยู่ในกระแสแห่งการเปลี่ยนผ่านจากเดิมที่คนไทยเรามีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมที่จำกัดวงแคบในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า ซึ่งถูกครอบงำด้วยข้าราชการและทหารติดต่อกันมาตั้งแต่สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ มาโดยตลอด แม้ว่าจะมีการวิวัฒนาการไปสู่วัฒนธรรม ทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมตามรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ แต่ก็ต้องสะดุดด้วยการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙

    อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของชุมชนชนบทที่ถูกกระแสของวิวัฒนาการของวัฒนธรรมทางการเมืองของเมืองใหญ่ด้วยการสื่อสาร และการกลับไปรับใช้สังคมบ้านเกิด ทำให้วัฒนธรรมทางการเมืองในชนบทเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น วัฒนธรรมทางการเมือง แบบดั้งเดิมและแบบไพร่ฟ้าของไทยไม่สามารถอยู่รอดได้ และต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมในที่สุด

    ฉะนั้น ความรักชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทางการเมืองก็ต้องมีการวิวัฒนาการจากแบบดั้งเดิมที่จำกัดวงแคบและแบบไพร่ฟ้าไปสู่วัฒนธรรมทางการเมืองแบบ มีส่วนร่วม ซึ่งย่อมมีความแตกต่างจากความรักชาติแบบเดิมๆที่ในบางครั้งแปรสภาพไปสู่ ความคลั่งชาติ(chauvinism) ทำให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การปลุกระดมเข้ายึดดินแดนเพื่อนบ้านเพื่อจุดมุ่งหมายของการเป็นมหาอาณาจักรไทย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งกรณีเขาพระวิหาร ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ จนล่าสุดคือเหตุการณ์ฆ่ากันระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงอันเนื่องมาจากการปลุกระดมให้รักชาติ จนกลายเป็นการคลั่งชาติ

    จะเห็นได้ว่าจากคำกล่าวของมาร์ก ทเวน ที่ผมยกขึ้นมาข้างต้นนั้นแม้ว่าจะกล่าวไว้เกือบร้อยปีมาแล้วยังคงเป็นความสัตย์จริงอยู่เสมอ และเป็นความรักชาติในวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมหรือแบบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสนับสนุนรัฐบาลเมื่อรัฐบาลนั้นสมควรได้รับการสนับสนุนและแน่นอนว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลหากรัฐบาลนั้น ไม่สมควรได้รับการสนับสนุน

    ความรักชาติในสังคมประชาธิปไตยไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นด้วยกับรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกเรื่อง ความรักชาติมิใช่อยู่ที่การร้องเพลงชาติได้เสียงดังหรือไพเราะกว่าคนอื่น ความรักชาติมิใช่อยู่ที่ว่าจะต้องยืนตรงเคารพธงชาติวันละ ๒ ครั้งทุกวันโดยเคร่งครัด ความรักชาติมิใช่อยู่ที่การกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าเสาธงทุกเช้าก่อนเข้าเรียนหรือเข้าทำงาน ความรักชาติมิได้หมายความว่าผู้ที่กล่าวคำปฏิญาณหรือคำสาบานตนจะรักชาติมากกว่าคนอื่นไม่ว่าจะเป็นในการฝึกอบรมมวลชนหรือก่อนการเข้ารับตำแหน่งทางราชการทั้งฝ่ายประจำหรือ ฝ่ายการเมือง

    แต่ความรักชาติอยู่ที่การทำความเห็นให้ตรงและพร้อมจะท้วงติงหากรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำไม่ถูกต้องหรือกำลังจะพาเราไปลงเหว ความรักชาติอยู่ที่การไม่หนุนหลังให้คนฆ่ากันด้วยความต่างเพราะสีเสื้อหรือความคิดเห็น ความรักชาติอยู่ที่การเห็นคนในชาติไม่จะอยู่ส่วนไหนหรือส่วนใดของประเทศมีสิทธิ์มีเสียงเท่ากัน มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ความรักชาติอยู่ที่การปฏิบัติ ตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะอยู่ในชนชั้นใดของสังคมต่างหาก จึงจะเรียกว่าความรักชาติที่แท้จริง

    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น