ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พี่หมอ มศว เล่าเรื่อง (Ultimate Version)

    ลำดับตอนที่ #3 : อนาคตฟ้าใสรอเราอยู่

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 55



    หากจะเปรียบชะตาชีวิตกับสิ่งของ กระแสน้ำคงเหมาะสมที่จะมาเปรียบเปรยมากที่สุด


    บางคนเส้นทางชีวิตช่างราบเรียบ เหมือนน้ำที่นิ่งอยู่ภาชนะ
    บางคนชีวิตช่างผันแปร เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค
    เหมือนกระแสน้ำของมหาอุทกภัยก็ไม่ปาน
    แต่กระนั้นกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว….ก็สามารถแปรเปลี่ยนมาหยุดนิ่ง
    น้ำที่นิ่งก็สามารถเปลี่ยนมาไหลแรงได้เช่นกัน ชะตา….ชีวิตของคนเรานั้นล้วนไม่แน่นอน

            ว่ากันว่าชีวิตคนเรามีจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ จุดเปลี่ยนครั้งที่สำคัญมากๆอยู่สองครั้ง จุดเปลี่ยนครั้งที่หนึ่งคือตอนเลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งในอดีตเรียกว่าการสอบEntrance และเปลี่ยนมาเป็นการสอบ Admissionในปัจจุบัน ต่างคำพูดต่างตัวสะกดแต่ก็ความหมายเดียวกัน จุดเปลี่ยนครั้งที่สองคือตอนแต่งงานมีชีวิตคู่


              และแล้วในที่สุดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญครั้งที่หนึ่งก็ดำเนินเข้ามาถึงชีวิตของเด็กน้อยคนหนึ่ง

              จิ๊บ จิ๊บๆ…” เสียงนกตัวน้อยที่ร้องคลอเคลียกันอยู่ริมหน้าต่าง และแสงแดดอุ่นๆยามเช้าที่สาดส่องผ่านผ้าม่านบางๆมาถูกเปลือกตา ได้ปลุกเด็กชายแบงค์ขึ้นมาจากเตียงนอน เด็กชายแบงค์ได้อาบน้ำแต่งตัว เตรียมเดินทางไปเรียนหนังสือตามปกติ ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงปลายภาคเรียนที่สอง ช่วงที่ใกล้วันสอบEntranceครั้งที่สองซึ่งเป็นครั้งตัดสินชะตาครั้งสุดท้ายว่าจะอยู่ เหรอจะเดินออกจากคณะที่ฝัน เป็นที่แน่นอนว่าบรรยากาศความเครียดต้องมีมากเป็นของธรรมดา ภาพเพื่อนๆที่นั่งจับกลุ่มติวหนังสือกัน ภาพที่เมื่อเลิกเรียนปุ้ป เพื่อนต้องรีบไปเรียนพิเศษคอร์สอินเทนซีฟโค้งสุดท้ายเป็นภาพที่ชินตาไปแล้วสำหรับเด็กชายแบงค์


            ท่ามกลางบรรยากาศซีเรียสเช่นนั้น กลับเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆของเด็กชายแบงค์ สงสัยหล่ะสิว่าเป็นเพราะอะไร ผมขอเฉลยให้นะครับ สาเหตุนั้นเป็นเพราะขาข้างหนึ่งของเด็กชายเสมือนได้ก้าวไปอยู่ในคณะที่ใฝ่ฝันคือคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากคะแนนจากการสอบEntranceรอบแรก สำหรับคณะวิศวกรรมนั้นค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว เอ้าฟิสิกส์จัดไปซะ 92 คะแนน ความถนัดวิศวนะเหรอ เบสิกๆ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป 79 คะแนนเท่านั้นเอง 55 (ความถนัดวิศวสมัยนั้นเกิน 60 ได้ก็เมพ ถือว่าสุดยอดมากแล้ว) แบบนี้จะเรียนเครียดๆไปทำไมจริงไหม ก็แบบว่ามีที่เรียนแล้วนิ ท่านผู้อ่านหลายๆคนคงเคยมีอารมณ์แบบนี้ใช่ไหมครับ ^^

           เด็กชายแบงค์มีความฝัน มีความตั้งใจจะมาเรียนคณะวิศวะตั้งแต่สมัย ม.5 แล้ว เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนๆ ขนาดในfriendship เพื่อนๆยังเขียนว่า

                  หวังว่าจะได้เจอเธอในวิศวะCUนะ เพราะเราก็จะเข้าเหมือนกัน 

                  ก็ให้เอนติดวิศวะสมใจนะจ๊ะ อิอิ
                   เอ่อดี ติดที่เดวกับกุเลย ไม่เหงาแล้วมีเพื่อนรร.เดียวไปด้วย  

         คะแนนฟิสิกส์กับความถนัดวิศวะถือว่าดีมากขั้นเทพ แต่คะแนนหมอนะเหรอ เหอๆตรงข้ามกันเหมือนฟ้ากับเหวนรก เข้าขั้นฉิบหายเลยครับท่านผู้อ่าน อย่างชีวะวิทยาเนี้ยได้แค่ 40 คะแนน ส่วนสังคมยังไม่ถึง 50 เลยด้วยซ้ำ ใครจะไปนึกไปฝันได้ว่าเด็กชายแบงค์จะไปเป็น นักเรียนหมอได้อย่างไร ท่านผู้อ่านคงสงสัยแล้วละสิครับ ขนาดเด็กชายแบงค์ยังไม่เชื่อในตัวเองเลย

         จุดพลิกผันมันอยู่ที่ว่าเมื่อประมาณสองเดือนก่อนเพื่อนของเด็กชายแบงค์คนหนึ่งชื่อว่านนท์ ได้มาชักชวนเด็กชายแบงค์ว่า

    เห้ยไอ้แบงค์ ไปสมัครสอบตรงคณะแพทย์ มศว เป็นเพื่อนกุหน่อยดิ กุไม่อยากไปคนเดียววะ

    ไม่เอาวะ กุไม่สนใจจะเรียนหมอ ที่สำคัญกุมีที่เรียนแล้วด้วย เด็กชายแบงค์ตอบไป

    เอาหน่าไปเป็นเพื่อนหน่อย เดี๋ยวกุเลี้ยงข้าวมื้อหนึ่ง

    อืมก็ได้วะ ท้ายที่สุดเด็กชายแบงค์ก็ตกลงปลงใจไปเป็นเพื่อนเด็กชายนนท์จนได้ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าข้าวมื้อเดียวจะกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเด็กชายแบงค์

         วันเวลาล่วงเลยมาสองเดือนจู่ๆ ทางคณะแพทย์ มศว ก็โทรมาที่บ้านบอกว่าเด็กชายแบงค์สอบติดการสอบตรงโควต้าแพทย์ มศว. ที่เคยไปสอบไว้เล่นๆ เอาแล้วสิแล้วทำไงล่ะทีนี้ ตอนที่รู้ข่าวแด็กชายแบงค์ก็ยังคงนิ่งเฉย มิได้คิดไรเพราะใจมันเป็นเด็กวิศวะไปเกินครึ่งดวงแล้ว ตัวปัญหาจริงๆมันอยู่ที่ทางบ้านคือคุณแม่นี่แหละ เมื่อคุณแม่ท่านทราบข่าวปุ๊ป ตาของเธอก็ลุกวาวขึ้นมาทันที เหมือนไฟที่ปะทุออกมาหลังจากได้เชื้อไฟ วันนี้เป็นวันที่เด็กชายแบงค์ไปเรียนพิเศษตามปกติที่สถาบันกวดวิชาชื่อดังไม่ขอไม่สงวนนาม เคมีอาจารย์อุ๊คิดว่าท่านผู้อ่านหลายคนคงรู้จัก และสงสัยว่าทำไมเด็กชายแบงค์ผู้ซึ่งคะแนนเอนติดวิศวะแล้วทำไมจึงยังต้องไปเรียนอีก เห็นผลนี้มาจากความเวอร์ของเด็กชายแบงค์เอง เด็กชายแบงค์อยากให้คะแนนเอนท์ครั้งที่2ได้เลขสวยๆขึ้นจึงไปเรียนเอาขำๆ


            วันนั้นเด็กชายแบงค์รู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล ท้องฟ้าก็ช่างดูอึมครึม ไมสบายตัวเลย รู้สึกว่าร่างกายมานแปลกๆไม่เหมือนเดิม ตาขวาขยิบด้วย 55เริ่มเวอร์ เด็กชายแบงค์มองไปข้างหลังห้องก็เห็นเงาดำตะคุ่มๆของ หญิง ร่างหนึ่งปรากฎอยู่หลังกระจกทึบแสงของcenterกวดวิชา เงานั้นคุ้นตามากๆสักพักเสียงโทรศัพท์ของเด็กชายก็ดังขึ้น ก็เลยรู้ว่าเงานั้นคือพระมารดาของเด็กชายแบงค์นั้นเอง ที่เธอบากหน้าเข้ามาถึงสถาบันกวดวิชามีเหตุผลเดียวคือตามเด็กชายกลับบ้าน

    ไม่ต้องรงไม่ต้องเรียนอะไรเนี้ยแล้ว ติดโควต้าแพทย์ มศว แล้ว แม่จะให้เข้าเรียนที่นี่ออกมาเดียวนี้นะ นี่คือเสียงที่ลอดเข้ามาผ่านสายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

                 ตอนนั้นในจิตใจของเด็กชายแบงค์รู้สึกสับสน อีกทั้งยังโกรธมาก แม่มีสิทธิอะไรมากำหนดเส้นทางชีวิดของเรา เด็กชายจึงไม่ออกไปหาแม่ นั่งเรียนต่อไป คิดในใจอยากยืนรอก็ยืนไปเด่(โคตรเลวเลยครับ) พอกลับถึงบ้านก็ทะเลาะกะแม่ทันที พ่อเหรอ...ก็พวกคุณแม่นั้นแหละไม่ต้องถาม ทั้งๆที่ตอนแรกพ่อก็ให้อยากเรียนวิศวะแต่ก็คงขัดใจแม่ไม่ได้     (บ้านของเด็กชายแบงค์มีห่วงโซ่อาหารที่ เมียเป็นผู้ล่าอันดับสุดท้าย ส่วนเด็กชายแบงค์ก็คงอยู่ในห่วงโซ่อาหารลำดับล่างสุด -_-\") สุดท้ายการทะเลาะของเด็กชายกับแม่ก็ทวีความรุนแรงขึ้นๆทุกวัน ช่วงนั้นเด็กชายแบงค์ไม่คุยกะแม่เลย (เฮ้อ ทำไม่เราเลวอย่างนี้) จู่ๆมาวันหนึ่ง ไอเดียหนึ่งก็ปิ้งขึ้นมาในหัว

                  ไปขอให้ครูแนะแนวที่รร.มาช่วยพูดกะแม่สิ ท่านจะได้เข้าใจหัวอกของคนเปนลูกบ้าง แม่ต้องยอมฟังอาจารย์แน่ๆ โอ้ช่างเป็นความคิดที่เยี่ยมอะไรเช่นนี้”  ตัดสินใจได้ดังนั้นเด็กชายแบงค์จึงเดินทางไปพบอาจารย์แนะแนวทันที แล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

    ครูเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วแบงค์  เสียงของคุณครูแนะแนวดังขึ้น

                 ได้ฟังดังนั้น เด็กชายแบงค์จึงฟองโตขึ้น และยิ้มกรุ่มกริ่มในใจว่า เย้ๆอาจารย์จะช่วยแล้ว แต่เปล่าเลยอาจารย์กลับบอกว่า
              นี่เธอเป็นหมอเนี่ยสิดี รู้ไหมหมอเนี้ยนะพระเจ้าเลยนะขอบอก ทั้งมีเกียรติ ทั้งมีคนนับถือเกรงใจ

             อย่างว่าไม่ว่าจะยุคสมัยไหน อาชีพแพทย์ก็ยังคงเป็นอาชีพที่ผู้ใหญ่หลายๆคนคิดว่ามีเกียรติมีหน้ามีตาในสังคม คงเป็นค่านิยมไปแล้วกระมั้ง ว่าแล้วก็เลยกลับบ้านด้วยความเซ็ง ขณะกลับบ้านผ่านร้านหนังสือ เห็นหนังสือชื่อรักลูกให้ถูกทางในใจนึกซื้อให้แม่ไปอ่านดีไหมวะ ตัดสินใจได้ดังนั้น ก็เลยซื้อมา พอกลับถึงบ้านแม่ก็ซื้อหนังสือมาให้เหมือนกัน หนังสือชื่อว่า  ชีวิตไม่ลับนักศึกษาแพทย์เวรกรรมจิงๆ แล้วเด็กชายแบงค์กับแม่ก็ทะเลาะกันต่อไป จนกระทั่งทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นแตกหัก

        ท้ายที่สุดเมื่อเด็กชายได้เห็นหยาดน้ำใสๆ ไหลรินออกมาจากเป้าตาของคุณแม่ ท่านแม่ก็เป็นฝ่ายชนะ (เอ้อ ทำไมกุโคดเลวเลยวะ ทำแม่ร้องไห้)  T_T นึกแล้วก็เศร้าใจ
        เด็กชายก็เลยยอมตกลงปลงใจอยู่ในคณะแพทย์ มศว แห่งนี้ ส่วนแม่ก็ยิ้มระรื่นชื่นบาน ปากไปถึงหูแหนะ 55

             แต่เมื่อเข้ามาเรียนที่นี่ทำให้เด็กชายได้พบอะไรมากมาย ได้พบเพื่อนดีๆ ได้ประสบการณ์อันทรงคุณค่า ได้ทำกิจกรรมมากมาย และได้รับรู้ถึงชีวิตการเป็นแพทย์ ณ ตอนนี้เด็กชายรู้สึกดีใจมากที่ได้เลิกเดินมาเส้นทางสายนี้ และรู้สึกไม่เสียดายเลยที่ไม่ได้ไปเป็นวิศวะ ตอนนี้มีเพียงความรู้สึกอยากขอบคุณ และ ขอโทษคุณแม่ก็เท่านั้นเอง หือๆเศร้าใจ
          จบแล้วเรื่องราวของผมสนุกกันไหมครับ ผมก็อยากให้น้องก่อนจาเลือกเรียนอะไรก็คิดให้ดีก่อน เพราะสิ่งที่น้องเลือกเรียน ก็คืออาชีพของน้องในอนาคต ถ้าน้องเข้าไปเรียนไม่ว่าคณะใดมหาลัยใดก็ตาม แล้วน้องรู้สึกไม่มีความสุข ก็อย่าทนกับมัน ออกไปหาสิ่งที่ดีกว่า เพราะน้องจะต้องอยู่กับมันไปถึงครึ่งค่อนชีวิตของน้อง ก็จริงเราควรเลือกเรียนสิ่งที่ใจเราชอบ ใจเราอยาก แต่พี่ก็ขอให้ฟังคุณพ่อคุณแม่ของเราไว้บ้างท่านเหล่านั้นอาบน้ำร้อนมาก่อนเรา ท่านหวังดีต่อเราทั้งนั้น ไม่มีพ่อแม่ที่ไม่หวังดีต่อเราหรอก   จากนี้ขอใช้คำสรรพนามแทนตนเองว่าพี่แล้วกัน พี่ก็ไม่อยากให้น้องเสียเวลาไปปีหนึ่งแล้วซิ่วออกมา เหมือนเพื่อนพี่หลายๆคน เพื่อนพี่บางคนเรียน สถาปัตแต่ปีนี้ก็ต้องซิ่วไปบัญชี เรียนวิศวะก็ซิ่วไปหมอ หรือแม้แต่เพื่อนที่คณะพี่ตอนนี้ก็ drop ไปแล้วหลายคน สิ่งที่พี่พยายามบอกก็คือ อาชีพที่เราคิดว่าเราชอบจริงๆ จริงๆแล้วอาจจะไม่ช่ายตัวเราก็ได้นะ แล้วก็อาชีพที่เราคิดว่าไม่ใช่ก็อาจจะใช่ตัวตนของเราก็ได้ เราไม่มีทางรู้หรอกจนกว่าเราจะได้สัมผัสด้วยตัวเองเอง สิ่งที่ทำได้คือศึกษาหาข้อมูลของอาชีพที่อยากเป็นล่วงหน้า หากมีงานค่ายแนะนำอาชีพนั้นๆก็ควรเข้าไปร่วมกิจกรรมดู

                    ส่วนน้องๆ ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเรียนแพทย์ ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินมาตามเส้นทางสายนี้ ก็อยากให้น้องตระหนักไว้ว่า ไม่ว่าน้องจะเรียนแพทย์ที่ไหนก็ตาม แต่เมื่อจบมาเราก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นแพทย์เท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้นว่าจะเป็นแพทย์ที่ดีได้   รึปล่าว   ไม่มีคนไข้คนไหนถาม  หรอกว่า คุณหมอค่ะ จบที่ไหนมาค่ะ จงอย่าลืมว่า ทางเดินที่น้องเลือกในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของน้องไปตลอดชีวิต


                                                                                   เรื่องโดย ~หมูสนาม~
    พี่หมอ

    คำเตือน
    บทความนี้ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์แล้วหากผู้ใดคัด ลอกโดยไม่อ้างอิงที่มา จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ทางปัญญา

    อ่านThe Future 's waiting for us สำหรับคนลังเลอยากเป็นแพทย์ควรอ่าน ฉบับ REWRITE คลิ๊กที่นี่
    ประกาศ ขณะนี้ผู้เขียนกลับมาเขียนบทความอีกครั้ง โดยจะย้ายไปที่http://thedoctorstory.blogspot.com/ 
    บ้านแห่งใหม่น้องๆใครเล่นfacebookสามารถติชมผ่านid เฟสบุ๊คได้โดยตรงเลยครับ ;-D
      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×