ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุดยอดปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้

    ลำดับตอนที่ #26 : Jonbenet Ramsey Murder

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.47K
      2
      21 ส.ค. 53



    วันที่ 25 ธันวาคม ปี 1996 คือวันสุดท้ายของเด็กน้อยอายุไม่ถึง 8 ขวบ นาม Jonbenet Ramsey เช้าวันนั้นแม่ของเธอแจ้งความว่าเธอได้รับโน้ต เนื้อความ Jonbenet ลูกสาวของเธอถูกลักพาตัวไป ... การดำเนินหาตัวเธอก็เริ่มขึ้น แต่ก็ไม่มีใครพบ จนตำรวจลองให้พ่อแม่ของเธอค้นในบ้านอีกครั้ง ... อันนำมาสู่ปริศนาอันน่าสะพรึง


    Jonbenetถูกพบเป็นศพ.ที่ใต้ถุนบ้านของเธอเอง!เธอถูกรัดคอและทุบกระโหลก เธอเสียชีวิต ... แต่มันอะไรกัน เธอโดนลักพาตัว หายไปจากบ้าน มีการค้นแล้วนี่หน่า ...   แต่หลักฐานต่อมาน่าฉงนยิ่งกว่า นั่นก็คือ โน้ตหรือจดหมายลักพาตัวนั้น ถูกเขียนโดยปากกาในบ้านนั้นเอง ...   แต่ลายมือไม่ใช่ของคนในบ้าน จากการสืบสวน ไม่มีหลักฐานว่าคนในบ้านเเกี่ยวข้องกับการตายของเธอเลย ซึ่งนั่นก็ปี 1996   ซึ่งวิทยาการไม่ได้อ่อนด้อย การสืบสวนก็ทันสมัยแล้วแต่กลับไม่มีอะไรอธิบายเรื่องนี้ได้เลย   คดีนี้ยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ เช่นกัน


    ปัจจุบันร่างของเธอถูกนำไปฝังไว้ที่สุสานแห่งหนึ่งในเมืองมาเรียตต้า รัฐจอร์เจีย ข้างๆ ศพของอลิซาเบธ แรมซีย์ พี่สาวต่างแม่ วัย 22 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ในปี 1992 และด้วยความอาลัยรัก "พ่อและแม่ของเธอ" จึงได้บรรจงแต่งตัวให้กับหนูน้อยเหมือนเมื่อครั้งสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ด้วยชุดเทพีแสนสวยที่ประดับด้วยมงกุฎบนศีรษะ ขณะที่ในมือของหนูน้อยยังกอดตุ๊กตาตัวโปรดไว้ด้วย

    ย้อนหลังไปเกือบ 10 ปีก่อน หนูน้อย "จอนเบเน็ต" เกิด เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ปี 1990 ที่เมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย พ่อของเธอ คือ "จอห์น เบนเน็ต แรมซีย์" เจ้าของบริษัทคอมพิวเตอร์ ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็น "นักธุรกิจแห่งปี"ของเมืองโบล เดอร์ ส่วนแม่ มีชื่อว่า "แพทซีย์ แรมซีย์" ซึ่งเป็นสาวสวยที่มีดีกรีเป็นถึง "อดีตมิสเวสต์ เวอร์จีเนีย" หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแอตแลนต้าได้ประมาณ 1 ปี ในปี 1991 ครอบครัวแรมซีย์ ก็ได้ย้ายมาตั้งรกราก อยู่ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด

    สำหรับเส้นทางสู่ตำแหน่ง "ราชินี...นางงามเด็ก" เริ่มขึ้นหลังจาก "หนูน้อยจอนเบเน็ต" ได้เข้าเรียนในระดับชั้นประถม โดยได้เริ่มฉายแววความสวยและฉลาดและเข้าสู่วงการประกวดความงามตามรอยแม่ของเธอ รวมถึงขึ้นแสดงโชว์เกิร์ลและคาวเกิร์ลตามเวทีต่างๆ ในลาสเวกัส จนได้รับขนานนามว่า เป็น...ราชินีประกวดความงามของโรงเรียน และถึงแม้หนูน้อยคนสวย จะชื่นชอบชีวิตที่มีแสงไฟสปอตไลต์ส่องหน้า แต่เพื่อนฝูงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จอนเบเน็ต ไม่เคยปล่อยให้การแข่งขันเข้ามาครอบงำจิตใจของเธอ เพราะเธอยังคงเป็นเด็กที่ฉลาด และมีน้ำใจชอบช่วยเหลือเพื่อนๆ อยู่เสมอ

    ** พ่อ-แม่ "ย้ายบ้าน" ถูกกล่าวหา "เป็นฆาตกร"
    ก่อนที่เธอจะจบชีวิตลงในวัยกำลังน่ารัก น่าชัง จอนเบเน็ตได้ขึ้นเวทีประกวดความงาม และคว้ารางวัลต่างๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงตำแหน่ง "มิสลิตเติลโคโลราโด มิสอเมริการอยัล และ มิสเนชั่นแนลไทนี่บิวตี้" ทำให้ข่าวการเสีย ชีวิตของหนูน้อย ได้รับความสนใจมากที่สุดคดีหนึ่งของอเมริกา เพราะหลังจากพบศพหนูน้อยจอนเบเน็ต ยังได้มีการเผยแพร่ภาพของหนูน้อยไปทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนช่วยชี้เบาะแสคนร้าย ขณะที่ พ่อ-แม่เด็ก ออกทีวีประกาศให้เงินรางวัล 1 แสนดอลลาร์ หรือ ราว 4 ล้านบาท แก่ผู้แจ้งเบาะแสด้วย 

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ปี 1996 ตำรวจเมืองโบลเดอร์ พบ...ศพหนูน้อยผมบลอนด์... บริเวณห้องใต้ดินภายในบ้านของเธอในรัฐโคโลราโด หลังจากจอห์น และแพทซีย์ พ่อและแม่ของเธอ ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า และพบว่า ลูกสาวหายตัวไป และพบเพียงจดหมายเรียกค่าไถ่ความยาว 2 หน้าครึ่งที่คนร้ายวางทิ้งไว้บริเวณบันไดเท่านั้น แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝัน ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อพ่อและแม่ของหนูน้อย ถูกกล่าวหาว่า เป็นฆาตกรฆ่าลูกสาวตัวเอง จนต้องย้ายจากเมืองโบลเดอร์กลับไปอยู่ที่เมืองแอตแลนต้า ทำให้ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา คดีฆาตกรรม...หนูน้อยจอนเบเน็ต...ยังคงถูกทิ้งเป็นปริศนาว่า "ใคร คือ ฆาตกรตัวจริง"

    ก่อนหน้าที่นางแพทซี่ย์ แม่ของเด็กจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่รังไข่ ประมาณหนึ่งเดือน ทางครอบครัวแรมซีย์ ได้รับแจ้งว่า ตำรวจสืบพบตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ไม่ทันที่จะจับตัวได้ นางแพทซีย์ก็เสียชีวิตไปก่อนในวันที่ 24 มิ.ย. 2549 ที่ผ่านมา

    ** "จอห์น" สารภาพ "ฆ่า...เพราะ หลงรัก"
    จนกระทั่งเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ตำรวจ ตรวจคนเข้าเมืองของไทยได้รับการประสานงานจากตำรวจสหรัฐ และเข้าจับกุมนายจอห์น มาร์ก คาร์ ครูสอนภาษาอังกฤษ วัย 41 ปี ซึ่งตกเป็น ผู้ต้องสงสัยฆ่ารัดคอและล่วงละเมิดทางเพศหนูน้อยจอนเบเน็ต ได้ที่อพาร์ต เมนต์แห่งหนึ่ง โดยทางการไทยเตรียมที่ และจะส่งตัวนายคาร์กลับไปดำเนินคดีในสหรัฐโดยเร็วที่สุดต่อไป คาดว่า จะเป็นภายในสัปดาห์หน้านี้

    สำหรับคำให้การที่ผู้ต้องหารายนี้ ยอมรับสารภาพโดยลำดับเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้ฟังว่า ช่วงเช้ามืดของวันที่ 26 ธ.ค. 1996 คาร์ ได้ลอบเข้าไปในบ้านพักของหนูน้อยจอนเบเน็ต ก่อนให้ยาสลบแล้วล่วงละเมิดทางเพศ และทำร้ายด้วยการรัดคอ จากนั้นอุ้มเด็กไปไว้ในห้องใต้ดินของบ้าน โดยไม่รู้ว่า เด็กเสียชีวิตแล้ว พร้อมเขียนจดหมาย เรียกค่าไถ่จากผู้ปกครองเป็นเงิน 118,000 ดอลลาร์ ก่อนหลบหนีไป

    อีกทั้ง ยังยอมรับว่า หลงรักหนูน้อยจอนเบเน็ตฉันชู้สาว เพราะเป็นเด็กน่ารัก หน้าตาดี เป็นดาวเด่นในโรงเรียน และชนะเลิศประกวดความงามจากหลายเวที จึงต้องการพามาอยู่ด้วย แต่พลั้งมือทำให้เด็กเสียชีวิต พร้อมทั้ง ระบุว่า ไม่อยากกลับอเมริกา เพราะกลัวโดนรุมประชาทัณฑ์ และเตรียมจะนำเรื่องของตัวเองไปขายเป็นบทภาพยนตร์อีกด้วย
           
    ** ทิ้งปม "ฆาตรกรตัวจริง หรือ สวมรอย" 

    ส่วนสาเหตุที่ผ่านมาเกือบ 10 ปี ศาลเมืองโบลเดอร์เพิ่งจะออกหมายจับ เนื่องจากเพิ่งสามารถพิสูจน์ลายมือในจดหมายที่คนร้ายเขียนไปบอกกับศาสตราจารย์คนหนึ่ง ซึ่งปรากฏอยู่ในสารคดีฆาตกรรมหนูน้อยจอนเบอเน็ตว่า ตน คือ ฆาตกร กระทั่งพิสูจน์ได้ว่า ลายมือในจดหมายเป็นของคาร์ จึงออกหมายจับและประสานทางการไทย ให้สืบสวนติดตามจับกุม เพราะจดหมายมีต้นทางจากประเทศไทย ทั้งนี้ พบว่า คาร์ เข้าประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2005 และครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา รวมเข้า-ออกประเทศไทย 5 ครั้ง

    อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้หลายคน ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า นายคาร์ อาจจะไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง แม้ว่า เจ้าตัวจะรับสารภาพ หลังจาก "นางลาร่า คาร์" อดีตภรรยาของผู้ต้องสงสัย ได้ออกมายืนยันว่า ในวันเกิดเหตุ นายคาร์ กำลังฉลองช่วงคริสต์มาสอยู่กับเธอในรัฐอลาบามา รวมถึงกรณีที่ นายคาร์ อ้างว่า ได้วางยาสลบหนูน้อยก่อนกระทำการล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่การตรวจชันสูตรศพของหนูน้อยเคราะห์ร้ายกลับไม่พบว่า ถูกวางยาแต่อย่างใด ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่า กระบวนการยุติธรรมจะสามารถพิสูจน์ความผิดของนายคาร์ได้หรือไม่ หรือ
    ผู้ต้องสงสัยรายนี้ จะเป็นเพียงผู้ที่คลั่งไคล้ในตัวหนูน้อย และ พยายามเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เนื่องด้วยเหตุผลทางจิตเท่านั้น

    1 ใน 10 "คดีอาชญากรรม" ที่เคยไข..ไม่ออก

    คดีของหนูน้อย Jonbenet Ramsey Murder ถูกจัดอยู่ในอันดับ ที่ไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้นานนับ 10 ปี โดยระบุในแฟ้มคดีว่า วันที่ 25 ธันวาคม ปี 1996 วันคริสต์มาส สำหรับหลายๆ คน แต่มัน คือ วันสุดท้ายในชีวิตของเด็กน้อยอายุไม่ถึง 8 ขวบ นาม Jonbenet Ramsey

    เช้าวันนั้นแม่ของเธอ แจ้งความว่า เธอได้รับโน้ต เนื้อความ คือ Jonbenet ลูกสาวของเธอถูกลักพาตัวไป การดำเนินหาตัวเธอก็เริ่มขึ้น แต่ก็ไม่มีใครพบ จนตำรวจลองให้ "พ่อ-แม่ของเธอ" ค้นในบ้านอีกครั้ง อันนำมาสู่ปริศนาอันน่าสะพรึงกลัว

    Jonbenet ถูกพบเป็นศพที่ใต้ถุนบ้านของเธอเอง! เธอถูกรัดคอและทุบกะโหลก เธอเสียชีวิต แต่มันอะไรกัน เธอโดนลักพาตัว หายไปจากบ้าน มีการค้นแล้วนี่นา แต่หลักฐานต่อมา น่าฉงนยิ่งกว่า!!  นั่นก็คือ "โน้ต หรือ จดหมายลักพาตัว" นั้นถูกเขียนโดยปากกาในบ้านนั่นเอง แต่ลายมือ ไม่ใช่ของคนในบ้าน ซึ่งจากการสืบสวน ไม่มีหลักฐานว่า คนในบ้านเกี่ยวข้องกับการตายของเธอเลย เพราะย้อนกลับไปเมื่อปี 1996 ขณะนั้นวิทยาการไม่ได้อ่อนด้อย การสืบสวนก็ทันสมัยแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรอธิบายได้

    "ไทยแลนด์" แดนสวรรค์...มิจฉาชีพ?
    การจับกุมตัว "นายจอห์น มาร์ก คาร์" ชาวอเมริกัน ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลเมือง โบลเดอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐ ข้อหาฆ่าเด็ก ด.ญ.จอนเบเน็ต แรมซีย์ อายุ 6 ขวบ นางงามเด็กในเมืองเดียวกัน โดยตำรวจไทยสร้างความฮือฮาและถูกตีข่าวไปทั่วโลก เพราะเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสื่อสหรัฐมานาน เนื่องจากเป็นคดีที่มีปริศนาดำมืด จนยากจะจับกุมตัวฆาตรกร หลังจากผ่านมานานนับ 10 ปี ซึ่งนอกจากทางการสหรัฐ จะขอบคุณในความร่วมมือดังกล่าวแล้ว อีกด้านหนึ่งเอง ไทยกลับถูกมองและโดนพุ่งเป้าว่า เป็นแหล่งกบดานของมิจฉาชีพและผู้ร้ายต่างแดนไปแล้ว  

    เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีผู้ร้ายคนสำคัญที่ตำรวจไทยได้สร้างผลงานการจับกุมมาแล้ว   เช่น  การจับกุมราชายาเสพติด  "นายเหว่ย เซียะ กัง" และในปี 2547 ได้จับกุมตัว "นายฮัมบาลี" แกนนำกลุ่มเจไอค่าหัวกว่า 400 ล้านบาท ได้ที่ต่างจังหวัด แต่ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของตำรวจไทย ก็ถูกมองในแง่ลบ และไม่เชื่อมั่นการทำงาน ซึ่งสื่อ ต่างชาติตีข่าวในเรื่องของความขึ้นชื่อเรื่อง "การจับผิดตัวและมีเรื่องของการรับผลประโยชน์" เข้ามาเกี่ยวข้อง...

    ** เผยคนร้ายชอบ "แลนด์ ออฟ สไมล์" 

    ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กล่าวถึงการทำงานในการจับกุมผู้ร้ายข้ามแดนว่า โดยปกติแล้วเจ้าหน้าที่จะทราบข้อมูลคนร้ายจากประเทศต่างๆ ผ่านทาง Channel ขององค์กรตำรวจสากล หรือ Interpol ซึ่งมีศูนย์กลาง อยู่ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส โดยจะส่งหมายจับเข้ามา ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ในการจับกุมคนร้ายต้องขึ้นอยู่กับว่า มีการแจ้งเข้ามาหรือไม่

    "หากเขาแจ้งเข้ามา เราก็สามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่ที่แอร์พอร์ต เรื่องก็จบง่ายหน่อย แต่หากคนร้ายเพิ่งทำความผิดแล้ว หลบหนีไปประเทศอื่น ทำให้ยังไม่มีข้อมูลแจ้งเข้ามาที่ส่วนกลาง คนร้ายก็อาจหลุดเข้ามาในประเทศได้ ต้องรอให้ทางการเขาแจ้งเบาะแสว่า มีคนร้าย คาดว่า จะเข้ามากบดานที่เมืองไทย ทางการเราก็จะจัดการสืบหาคนร้ายต่อไป ซึ่งในกรณีแบบนี้ ต้องยอมรับว่า ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน แต่เรื่องของเรื่อง ก็คือ หากเรามีข้อมูลทุกอย่างก็จบ" 

    เจ้าหน้าที่ตำรวจรายเดิม กล่าวด้วยว่า ในสายตาของคนต่างชาติ หรือ แม้แต่คนไทยบางกลุ่ม ชอบมองว่า เมืองไทยเป็นศูนย์กลาง หรือ เป็นสวรรค์สำหรับคนร้ายต่างชาติที่ต้องการหนีเข้ามากบดาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การหนีเข้าประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะระบบตรวจสอบคนเข้าเมืองของไทย ก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แต่ยอมรับว่า มีคนร้ายหลุดรอดเข้ามาในไทยได้บางส่วนเช่นกัน

    "ต้องยอมรับก่อนว่า คนร้ายซึ่งเป็นคนต่างชาตินั้น เขาก่อคดีที่ต่างประเทศ ซึ่งตำรวจไทย ไม่มีวันรู้ได้หมดทุกคดีหรอก เพราะฉะนั้น จึงต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศเกิดขึ้น เหมือนกับที่บอกไปแล้วว่า เราต้องใช้ข้อมูลจากอินเตอร์โพล แต่โดยหน้าที่หลักแล้ว จะเป็นของตำรวจของประเทศที่คนร้ายก่อคดี เขาจะต้องเป็นคนสืบเสาะแกะรอยคนร้าย หากมีการสืบได้ว่า คนร้ายเข้ามากบดานในไทย เขาก็ประสานงานมาทางเราได้ เราก็จะดำเนินการต่อให้ ซึ่งการทำงานนั้น ก็ต้องขึ้นกับแต่ละเคสว่า คนร้ายทิ้งร่องรอยไว้มากน้อยแค่ไหน ถ้าทิ้งร่องรอยมากแน่นอนว่าตำรวจทำงานง่ายเลย แต่ถ้าเข้ามาแล้วเก็บตัวเงียบหายไปแบบไร้ร่องรอยอย่างนี้ก็ยากหน่อย"

    ส่วนที่บอกว่า คนร้ายชอบเข้ามากบดานในเมืองไทยนั้น ผมมองว่า เป็นเพราะเมืองไทย เป็นเมืองท่องเที่ยว เราเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ผู้คนก็เป็นมิตรสมกับที่ฝรั่งบอกว่า Land of Smile ค่าครองชีพไม่แพง แต่คุณภาพชีวิต ถือว่าดี นอกจากนี้ คนร้ายมักจะเลือกประเทศที่มีนักท่องเที่ยวซึ่งมีสัญชาติเดียวกับตนเข้ามามาก จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป จึงเป็นธรรมดาที่คนเหล่านี้ จะเลือกเป็นสถานที่แรกๆ ในการมาใช้ชีวิต เท่าที่ผ่านมา คนร้ายข้ามแดนที่เข้ามาในเมืองไทยมากที่สุด คือ ชาวอังกฤษและชาวเยอรมัน สองชาตินี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวในไทยมาก คน ร้ายสองชาตินี้ ก็เลยมากตามไปด้วย

    แต่ถึงบ้านเราจะเปิดรับนักท่องเที่ยว ก็ไม่ใช่ว่า คนร้ายจะเข้ามาได้ง่าย เราตรวจสอบตั้งแต่ก่อนเข้าประเทศที่สนามบิน เราตรวจสอบชื่อ-นามสกุล จากพาสปอร์ต หากถูกขึ้นแบล็กลิสต์ไว้ เราก็กักตัวทันที หลุดไปจากชั้นนี้ หมายถึง ว่า ชื่อ-นามสกุล ไม่ถูกขึ้นแบล็กลิสต์ เราก็ยังมีการประชุมกับทางสถานทูตของแต่ละประเทศทุกเดือนอยู่แล้ว หากสถานทูตมีข้อมูลเพิ่มเติม หรือ ข้อมูลใหม่ๆ มาว่า คนร้ายเข้ามาในไทยแล้ว เราก็ดำเนินการต่อได้อีกเหมือนกัน"

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×