ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุดยอดปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้

    ลำดับตอนที่ #29 : Loch Ness Monster, Scottland

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 465
      3
      9 ก.ย. 53


    ภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงที่สุดของเนสซี โดย น.พ.เคนเนธ วิลสัน ชาวอังกฤษ ซึ่งภาพนี้มีผู้วิเคราะห์ว่าอาจเป็นแค่หางของนากที่กำลังดำน้ำ

    ในบรรดาสัตว์ประหลายลึกลับที่เล่าลือกันในปัจจุบันนี้ เนสซีแห่งสก็อตแลนด์ถือเป็นดาวเด่นที่สุด แม้จะยังไม่พบหลักฐานแน่ชัดว่ามันมีตัวตนอยู่จริง แต่ความโด่งดังของมันทำให้ทะเลสาบล็อคเนสได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกเลยทีเดียว

    เนสซี (Nessie) สิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่า อาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อกเนส แคว้นสก๊อตแลนด์ เชื่อว่ามีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส (Plesiosaur) หรือ อีลาสโมซอรัส (Elasmosaurus) สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยในทะเลยุคเดียวกับไดโนเสาร์ มีผู้อ้างว่าเคยพบเห็นและมีรูปถ่ายมากมาย

    โดยเอกสารแรกสุดที่กล่าวถึงเนสซี คือ บันทึกของบาทหลวงเซนต์โคลัมบา เมื่อราว 1,400 ปี ที่แล้ว กล่าวถึงมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ และท่านเองก็เคยทำพิธีขับไล่มังกรตัวนี้ด้วย

    ใต้พื้นผิวน้ำลึกกว่า 250 เมตรในทะเลสาบล็อคเนส เจ้าสัตว์ประหลาดน้ำจืดขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง แอบซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบสงบเป็นเวลานานนับพันปี แต่เมื่อใดที่เจ้าสัตว์ร้ายออกล่าเหยื่อมาเป็นอาหาร มันจะแปลกกายเป็นม้าแสนสง่างามและขึ้นจากผิวน้ำมารอคอยนักเดินทางผู้โชคร้ายเพื่อนขึ้นมาขี่หลังมัน และมันจะพาเหยื่อควบลงจมดิ่งสู่ก้นทะเลสาบเพื่อเป็นอาหาร

    นั่นคือตำนานที่เล่าต่อๆกันมาโดยชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบทะเลสาบล็อคเนสในยุคกลาง เพื่อปรามลูกหลานไม่ให้เข้าใกล้ทะเลสาบที่ดูมืดมิดน่ากลัวของล็อคเนส ตามสภาพภูมิศาสตร์ ล็อคเนสหรือทะเลสาบเนสนั้นตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสก็อตแลนด์ เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรและเป็นทะเลสาบแห่งที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา 3 ทะเลสาบของ Great Glen ร่างผาขนาดใหญ่ ที่พาดเป็นแนวยาวในสก็อตแลนด์ แต่สาเหตุที่ทำให้ล็อคเนสโด่งดังไปทั่วโลกคือ ข่าวลือเรื่องสัตว์ประหลาดอย่างเนสซี ที่อาศัยอยู่ใต้ฝืนทะเลสาบแห่งนี้ โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 20 มีผู้อ้างว่าพบเห็นเนสซีมากมาย รวมทั้งมีการเก็บภาพถ่ายที่ดูคล้ายไดโนเสาร์ไว้ได้

    ใน พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) ได้มีการตัดถนนผ่านทะเลสาบล็อกเนส จึงมีผู้พบเห็นเนสซีมากขึ้น โดยมีผู้อ้างว่า ขณะเขาขับขี่รถมอเตอร์ไซด์นั้น เห็นเนสซีขึ้นมาบนบก ไฟจากหน้ารถที่ส่องไปถูกตัว ทำให้เห็นว่าเนสซีมีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส และต่อมาก็ได้มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้มากมายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวแต่ทั้งหมดนี้ก็เป้นเพียงเงาตะคุ่มๆ หรือคลื่นน้ำที่เคลื่อนไหวบนผิวน้ำเท่านั้น ต่อมา ทางมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยใช้เรือติดสัญญาณโซน่าร์หลายลำแล่นไปบนพื้นผิวน้ำ เรียกว่า "ปฏิบัติการดีพสแกน" (Deepscan Operation) ปรากฏว่า โซน่าร์ได้สะท้อนถึงเงาของวัตถุบางอย่างขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวใต้น้ำ แต่บางคนคิดว่าอาจเป็นเพียงฝูงปลาธรรมดาๆ


    อย่างไรก็ดีรายงานการพบเห็นเนสซีก็ยังมีอยู่เป็นระยะๆ จนถึงกับมีผู้บันทึกสถิติไว้ว่า ทุกๆ 130 ชั่วโมงที่สังเกตุการไว้ จะมีผู้พบเห็นเนสซี 1 ครั้ง ตามคำบอกเล่าของผู้อ้างว่าพบเห็นและจากการค้นคว้าต่างๆ สามารถบอกได้ว่า เนสซีอาจะเป็นสัตว์ที่เรียกว่า Plesiosaur ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานอาศัยอยู่ในน้ำ มีขนาดใหญ่ และอยู่ในยุคเดียวกันกับไดโนเสาร์ มีตัวเล็ก คอและหางเรียว ลำตัวเป็นก้อนกลม เชื่อกันว่าสัตว์ประเภทนี้สูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีมาแล้ว

    เรื่องราวเกี่ยวกับเนสซีมีทั้งผู้ที่เชื่อ และผู้ที่ไม่เชื่อ โดยผู้ที่เชื่อ เชื่อว่าเนสซีอาจเป็นไดโนเสาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบล็อกเนส ในยุคโบราณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน ไดโนเสาร์ในสมัยนั้นอาจเข้ามาอยู่อาศัยจนสภาพของพื้นที่เปลี่ยนไป กลายเป็นพื้นที่ปิด และปราศจากสิ่งรบกวน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในนี้จึงยังหลงเหลืออยู่ และมีสภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกที่เข้ามาอาศัย ไม่เพียงเท่านั้นแหล่งน้ำหรือทะเลสาบที่มีลักษณะใกล้เคียงกับล็อกเนส ที่อื่นๆ และบริเวณใกล้เคียงกันก็มีรายงานของสิ่งประหลาดที่คล้ายกับเนสซีด้วย ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เชื่อ เชื่อว่ารูปถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวที่ได้นั้น อาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเนสซีเลย และทั้งหมดทำขึ้นก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ทะเลสาบแห่งนี้โด่งดังขึ้น โดยบางรูปเชื่อว่าเป็นเพียงหางของตัวนากที่กำลังดำน้ำ หรือเป็นขอนไม้หรือวัสดุต่างๆ ที่กำลังลอยน้ำอยู่

    ทุกวันนี้ เรื่องราวของเนสซีก็ยังเป็นเรื่องลึกลับ ที่เป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้ไปสำรวจและศึกษามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้หลักฐานของเนสซีที่หนักแน่นสักราย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเนสซีก็สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลสก๊อตแลนด์และชุมนุมใกล้เคียง เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แม้จะมีการค้นคว้า ตรวจสอบ หรือสำรวจทะเลสาบแห่งนี้ด้วยเครื่องโซนาร์มาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีสัตว์ประหลาดที่ว่านี้อาศัยอยู่เลยแม้แต่น้อย



    ตามล่า หา " เนสซี "

               
    มากกว่า 10,000 ปีมาแล้ว แม่น้ำน้ำแข็งสายสุดท้ายได้กัดเซาะให้เกิดรอยแยกของหินขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ในแถบไอแลนด์ของสก็อตแลนด์ และเมื่อน้ำแข็งละลายหมดลง รอยแยกยาว 25 ไมล์นั้นก็ขังเจิ่งนองไปด้วยน้ำ และกลายเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดลึกลับตลอดกาลแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์


               
    ตำนานของสัตว์ประหลาดตัวนี้ หรือที่เรียกขานกันด้วยความเอ็นดูว่า เนสซี่ นั้นอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อคเนสส์มาเนิ่นนาน ก่อนที่จะมีรายงานว่ามันปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนครั้งแรก ในปี ค.ศ. 565 ซึ่งในปีดังกล่าวนั้น เซนต์โคลัมบา กำลังอยู่ในระหว่างเดินทางไปอินเวอร์เนส เพื่อนำคณะนักบวชไปเผยแพร่คริสตศาสนาให้กับพวกฟิคท์ ท่านสั่งให้ผู้ติดตามคนหนึ่ง ว่ายน้ำไปเก็บเรือลำเล็กที่ลอยออกจากฝั่งทะเลสาบกลับมา ขณะที่ชายผู้นั้นเริ่มว่ายน้ำออกไป " สัตว์รูปร่างประหลาดก็โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ " เพียงไม่กี่หลาตรงหน้าชายผู้นั้น เรื่องราวกล่าวไว้เพียงว่า เซ็นต์โคลัมบาเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตัวนั้นพร้อมกับตะโกนว่า " อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้หรือทำอันตรายชายคนนั้น " สัตว์ประหลาดก็หนีไป


               
    นับตั้งแต่นั้นมาประชาชนของตำบลเกรท เกลน แห่งทะเลสาบล็อคเนสส์ ก็ได้รู้จักกับเนสซี่และบรรพบุรุษของมันว่าเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจ สงบเสงี่ยม และไม่เป็นอันตรายกับใคร นานๆถึงจะขึ้นมาสู่ผวิน้ำสักครั้ง แม้ว่าในแถบทะเลสาบเป็นที่รู้จักกันว่า มีสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่นานนับศตวรรษ แต่ชื่อเสียงของเนสซี่เพิ่งขจรขจายไปทั่วโลก เมื่อประมาณ 50 ปี ที่ผ่านมานี้เท่านั้นเอง


               
    วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1933 จอห์น แม็คเคย์ และภรรยาขับรถไปตามถนนตัดใหม่เลียบทะเลสาบล็อคเนสส์ ที่ยามนั้นพื้นน้ำราบเรียบปานกระจก ล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสูง ทันใด... มิสซิสแม็คเคย์ก็คว้าแขนสามีอย่างตื่นเต้น " จอห์น..." เธอเรียกชื่อเขาอย่างกระหืดกระหอบ " นั่นอะไรคะ... โน่นน่ะ ? "
    พื้นน้ำในทะเลาสาบที่ต้องแสงอาทิตย์เป็นประกายแวววาวนั้น กำลังพุ้งผุดเป็นฟองคล้ายกับภูเขาไฟคุกกรุ่นอยู่ใต้ผิวน้ำ จอห์น แม็คเคย์ ผู้เป็นเจ้าของโรงแรมในละแวกนั้นเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน เขาและภรรยาเฝ้ามองด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดกลัว เมื่อสัตว์ขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมา มันเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีคอยาวคล้ายงู สัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาผกผันฟาดฟันพื้นน้ำแตกฟองขาว จากนั้นก็ดำหายไปจากสายตา


               
    นับจากวันนั้นของปี 1933 เป็นต้นมา เนสซี่ยั่วยวนโดยการเล่นเกมส์ซ่อนหากับบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา และนักล่าสัตว์ประหลาดนับพันๆ ซึ่งมีผู้อ้างว่าพบเห็นสัตว์ประหลาดที่ว่องไวราวกับปรอทตัวนี้ มากกว่าสามพันคน


               
    เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่คล้ายคลึงกับประสบการณ์ของสามีภรรยาแม็คเคย์ ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งการที่เห็นสัตว์ประหลาดในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นที่จะสืบสาวราวเรื่องของเนสซี่อย่างจริงจัง จนสบโอกาสถ่ายรูปของสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้เป็นครั้งแรก โดยวิศวกรชื่อ ฮิว เกรย์ ขณะเขาเดินทางกลับจากโบสถ์ในวันอาทิตย์ ใกล้ถึงบ้านพักในฟอยเยอร์ ทะเลสาบราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรรบกวน แต่ประมาณ 100 หลาจากฝั่ง เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น


                "
    หลังกลมมนและส่วนหางปรากฏขึ้น " เขากล่าวในเวลาต่อมา "และสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่ยาวประมาณ 40 ฟุต กำลังพ่นน้ำเป็นฟองฟู่กระจาย
    ภาพถ่ายสัตว์ประหลาดของเกรย์ ถูกส่งไปวิเคราะห์ที่บริษัทโกดัก ซึ่งได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีการยุ่งเกี่ยวแต่งเติมกับฟิล์มที่ใช้ถ่าย แต่ภาพสัตว์ประหลาดที่เป็นเงาดำนั้น เป็นหลักฐานที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก


               
    ภาพหนึ่งที่บรรดาผู้วชาญได้ลงความเห็นว่า ยังคงเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุด ถ่ายไว้เมื่อเดือนเมษายนปี 1934 โดยโรเบิร์ต เดนเนธ วิลสัน ศัลยแพทย์จากลอนดอน ผู้มีบุคลิกลักษณะน่าเชื่อถือ ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง วิลสันและเพื่อนคนหนึ่งกำลังขับรถเลียบไปตามถนนริมทะเลสาบล็อคเนสส์ เป็นการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่พวกเขาหวังว่าคงได้ถ่ายภาพสัตว์ป่าไว้ได้บ้าง แต่ภาพที่วิลสันได้รับในวันนั้น กลับกลายเป็นภาพของสัตว์ที่เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า มันมีตัวตนอยู่จริงๆ


               
    ศัลยแพทย์และเพื่อนร่วมเดินทาง ขับรถมาตลอดกลางคืน และตัดสินใจหยุดพักแรมใกล้กับอินเวอร์มอร์ริสัน ขณะที่วิลสันนั่งเหยียดขาอยู่ริมทะเลสาบนั่นเอง หัวเล็กๆของสัตว์ชนิดหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา เขากระโจนกลับไปที่รถ คว้ากล้องถ่ายรูปเอามาไว้บันทึกภาพได้ชุดหนึ่ง ซึ่งภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงส่วนหัวและคอ ที่สะโอดสะองและลำตัวของมันเห็นเลือนลางอยู่ใต้ผิวน้ำ


               
    ภาพถ่ายเหล่านี้ รวมทั้งอีกจำนวนนับร้อยที่ได้มีการถ่ายเอาไว้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาถูกยกเลิกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผู้ที่ทำลายชื่อเสียงแห่งตำนานของเนสซี่ ว่าจริงๆแล้วเป็นเพียงท่อนซุง แมวน้ำ นก นาก หรือว่าเรือที่ลอยคว่ำอยู่ในน้ำ แต่ความจริงเป็นสิ่งใดก็ตาม รายงานและรูปภาพของสัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนสส์เหล่านั้น ก็เป็นสาเหตุให้ทั่วโลกบังเกิดความตื่นเต้น


               
    ในไม่ช้าทะเลสาบก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักวิทยาศาสตร์ นักล่า นักเรียนและนักหลอกลวง ชาวบ้านร้านตลาด พากันไปทำธุรกิจอาหารและที่พักอย่างเป็นล่ำเป็นสันและอึกทึกครึกโครม เบอร์แทรม มิลส์ หัวหน้าคณะละครสัตว์เสนอรางวัล 20,000 ปอนด์ แก่ผู้ที่จับเป็นสัตว์ประหลาดมาให้เขาได้ ปัญหาที่ถูกนำไปถกกันในสภาผู้แทนราษฎรก็คือความปลอดภัยของเนสซี่ ในที่สุด กฏหมายฉบับหนึ่งก็ผ่านสภาออกมาปกป้องสัตว์ต่างๆในทะเลสาบให้ปลอดภัยจากการ ยิง วางกับดัก หรือสร้างความรบกวน การหลอกลวงครั้งหนึ่งที่ผ่านมา เกี่ยวข้องกับนักล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ชื่อ มิเชล เวทเธอเรลล์ สมาชิกของบริเทน'ส " ฮลี่ - เรสเปดเทด ซูโลจิคอล โซไซตี้ ในปี 1533 เขาพบรอยเท้าของสัตว์ประหลาดบนชายฝั่งทะเลสาบ เวทเธอเรลล์กล่าวว่า "มันเป็นสัตว์สี่เท้าซึ่งเท้าหรือครีบกว้าง 8 นิ้ว ผมเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดทรงพลังที่ยาวประมาณ 20 ฟุต "


               
    ท่ามกลางกระแสความตื่นเต้นรุนแรง แบบพิมพ์รอยเท้าที่หล่อโดยปูนปลาสเตอร์ก็ถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ กลางกรุงลอนดอน หลังจากการตรวจสอบ ผู้วชาญก็ลงความเห็นว่า " มันเหมือนกับรอยเท้าของฮิปโปโปเตมัส " และต่อมาพบว่า เท้าของฮิปโปที่ถูกทำให้แห้ง หายไปจากพิพิธภัณฑ์ที่อินเวอร์เนส ห่างจากทะเลสาบออกไปเพียง 2-3 ไมล์


               
    การเห็นสัตว์ประหลาดที่สร้างความตื่นเต้นจำนวน 3 ครั้ง ได้ถูกรายงานไว้ในปี 1933 และ 1934 สองครั้งแรกพบเห็นโดยชาวบ้านในละแวกทะเลสาบ ส่วนครั้งที่สามพบเห็นโดยนักธุรกิจชาวลอนดอน ต่อไปนี้คือความรู้สึกของนักข่าวอิสระของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น อเล็กซานเดอร์ แคมเบลล์ พรรณาถึงสิ่งที่เขาพบเห็นใตตอนกลางวันของเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1434


               
    ขณะที่ผมออกจากกระท่อมติดทะเลสาบนั้น สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายสัตว์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็โผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ มันยาวประมาณ 30 ฟุต คอยาวคล้ายงูและหางแบน ระหว่างคอและลำตัวที่ตะโหงกนูนขึ้นมา สัตว์ประหลาดลอยอาบแดดอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ จนกระทั่งได้ยินเสียงเรือจาก แคลโดเนียน ดานัล แว่วมา จึงดำน้ำหายไป เหลือไว้แต่รอยกระเพื่อมบนพื้นน้ำ " 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น แคมเบลล์ได้อ่านพบรายงานของพระรูปหนึ่ง คือ บราเธอร์ ริชาร์ด โฮแรน แห่งโบสถ์ เซ็นต์เบเนดิคท์ ฟอร์ท ออกัสตัส ดังนี้


                "
    ผมเห็นสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาจากทะเลสาบล็อคเนสส์ และเฝ้ารอดูอยู่ราวๆ 20 นาที หัวแลคอยื่นออกมาทำมุม 45 องศากับพื้นน้ำ ด้านล่างของลำคอที่อวบหนานั้นเป็นสีน้ำเงิน จมูกเชิด เมื่อเครื่องยนต์เรือดังใกล้เข้ามา สัตว์ประหลาดก็ค่อยๆจมหายไปอย่างช้าๆ "


               
    มีคำบอกเล่าของพยานอีกรายที่แตกต่างกันออกไป เป็นเรื่องราวของผู้อำนวยการบริษัทแห่งหนึ่งในลอนดอน จอร์จ สไปเซอร์ ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์น่าฟังเช่นกัน


                "
    ผมและภรรยากำลังท่องเที่ยวไปตามชายฝั่งทะเลสาบ เมื่อเห็นสัตว์ที่ไม่ธรรมดาเดินข้ามถนนห่างออกไป 200 หลาข้างหน้า เฉพาะคอของมันยาว มีขนาดใหญ่กว่าลำตัวของช้างเล็กน้อย ลำตัวมโหฬารสูงประมาณ 5 ฟุต ผิวหนังสีดำคล้ำน่าเกลียด มันเคลื่อนที่ด้วยการเหวี่ยงตัวไปข้างหน้า ผมเร่งเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ แต่สัตว์ตัวนั้นก็หายไปภายใต้พงไม้หนาทึบเสียแล้ว "


               
    นักล่าสัตว์ประหลาดรายอื่นๆรายงานว่า ได้เห็นมันอ้าปาก บ้างก็ว่ามันมีแผงคอคล้ายม้า ชาวชนบทคนหนึ่งอ้างว่า ได้เข้าใกล้ชิดกับสัตว์ประหลาดถึงขนาดมองเห็นหยดน้ำร่วงหล่นจากผิวหนัง คล้ายเกล็ด ขณะที่มันสะบัดตัว ( อะไรจะขนาดนั้น เพ่.. ) ต่อมาในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1934 กิตติศัพท์ของเนสซี่ แผ่กระจายกว้างไกลออกไปมาก จนพอที่จะสร้างความสนใจให้กับ จอห์น เอิร์นเนสต์ วิลเลียมสัน ชาวอเมริกันผู้วชาญชั้นแนวหน้า ของการถ่ายภาพใต้ผิวน้ำ เขามาถึงล็อคเนสต์พร้อมกับอุกรณ์ที่เรียกว่า โฟโต้ สเฟียร์ ที่มีรูปร่างกลมพร้อมหน้าต่างสมชื่อ เมื่อเครื่องมือนี้ดำอยู่ในน้ำ เขาจะนั่งอยู่ในเก้าอี้เพื่อถ่ายภาพสิ่งต่างๆที่อยู่ใต้น้ำ


               
    ฟังดูน่าสนใจแฮะ แต่สิ่งที่วิลเลียมสันไม่รู้มาก่อนก็คือ ใต้ระดับ 30 ฟุตลงไปในทะเลสาบนั้น มีสภาพมืดมัวเป็นสีน้ำตาลและค่อยๆเปลี่ยนเป็นมืดเหมือนหมึกดำ ถึงขนาดสปอตไลท์ที่มีกำลังแรงยังไม่สามารถทำอะไรได้ ความมืดมิดของท้องน้ำนี้มีสาเหตุมาจาก อนุภาคของถ่านหินชนิดร่วนที่ถูกชะล้างลงมาจากภูเขา สู่ทะเลสาบเป็นเวลานานหลายพันปี ในที่สุดวิลเลียมสันก็ยกเลิกแผนการด้วยความหัวเสีย และเดินทางกลับบ้านในที่สุด


               
    ตลอดทั้งปี 1960 และ 1970 การไล่ล่าสัตว์ประหลาดยังคงเป็นกีฬาสำคัญของสหราชอาณาจักร และเนสซี่กลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพมากที่ สุดของสก็อตแลนด์ นักดำน้ำที่ลงไปค้นหาศพของชายที่ตายอยู่ในทะเลสาบ รายงานว่าได้พบสิ่งที่น่าขนพองสยองเกล้า นั่นคือเขาพบว่าแนวหินขนาดใหญ่มีปลาไหลทะเลเกาะเกี่ยวกันอยู่หนาแน่น อย่างกับลำตัวของมนุษย์เลยทีเดียว และมนุษย์กบผู้ซึ่งกำลังปฏิบัติงานในทะเลสาบ อ้างว่าเนสซี่โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำห่างออกไปเพียง 30 หลา เขาเล่าว่า " มันยาวประมาณ 30 ฟุต คอยาว หางคล้ายตัวนาก มี 4 ครีบ ผมตะโกนเรียกเพื่อน ขณะที่มันดำหายไปจากสายตา " วิธีการอื่นๆในการไล่ต้อนให้จนมุม หรือ ล่อเนสซี่ออกมาก็ถูกเสนอแนะ เช่น การลากด้วยตาข่ายเหล็กที่มีราคา 200,000 ปอนด์ แต่วิธีการนี้ถูกระงับไป ต่อมาไมีการเสนอให้ใช้ความร้อนล่อให้เนสซี่ออกมาจากที่ซ่อน โดยการหย่อนแผ่นความร้อนขนาดยักษ์ลงไปในทะเลสาบ ขั้นแรกเรือดำน้ำขนาดจิ๋วของอังกฤษดำลงไปสำรวจความเป็นไปได้ในการนี้ ที่ระดับความลึก 450 ฟุต จากพื้นผิวทะเลสาบปรากฏว่าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย " ข้างล่างมันมืดยังกะขุมนรก " พวกเขาบอก


               
    ในปี 1969 การบุกรุกทะเลสาบล็อคเนสส์ของชาวอเมริกันก็ได้เริ่มต้นขึ้น แดน เทย์เลอร์ อดีตลูกเรือของเรือดำน้ำแห่งกองทัพเรือสหรัฐจากแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ใช้เวลา 5 ปีกับเงินอีก 20,000 ปอนด์ สร้างเรือดำน้ำขนาดเล็กด้วยไฟเบอร์กลาส ซึ่งเขาตั้งชื่อมันว่า "ไวเพอร์ฟิช" โดยวางแผนจะยิงลูกดอกยาสลบจากเรือดำน้ำลำดังกล่าวเข้าใสเนสซี่ เทย์เลอร์อ้างว่าเขาอาจจับเนสซี่ได้โดยใช้เครื่องดังกล่าวส่งคลื่นออกไปไม่ ไกลพอที่จะจับร่องรอยของมันได้ เขายังกล่าวด้วยว่า เจ้าเรือดำน้ำไวเพอร์ฟิชถูกดูดเข้าไปในโพรงลึกถึง 130 ฟุต อย่างไรก็ตาม เขาทำผิดพลาดเช่นเดียวกับที่ จอห์น วิลเลียมสันทำเอาไว้เมื่อ 35 ปีก่อน นั่นคือไม่ได้ตระหนักมาก่อนว่า น้ำในทะเลสาบที่ลุก 30 ฟุตนั้น มืดมิดชนิดที่ไม่สามารถมองลอดทะลุได้ หนทางสุดท้ายที่เขาทำ คือตีหน้าจ๋อยแล้วก็เก็บของกลับบ้านไป


               
    ในปี 1970 ดร.โรเบิร์ต ไรนส์ ประธานสภาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ในเบลมอนด์ แมสสาชูเส็ทส์ ใช้เวลา 2 อาทิตย์ที่ล็อคเนสส์ เขาเป็นผู้นำของทีมงาน 4 คน พร้อมด้วยอุปกรณ์ประกอบด้วยเครื่องโซน่าที่สามารถสะท้อนเสียงในน้ำ กล้องใต้น้ำ และ "เซ็กส์ คอ็คเทล" ที่สกัดมาจากต่อมน้ำมันของสัตว์ต่างๆอาทิเช่น ปลาพะยูน ปลาไหล และ สิงห์โตทะเล ทีมงานยังมีเทปที่อัดเสียงการสื่อสาร การต่อสู้ และจู๋จี๋กันของสัตว์หลายชนิดเอาไว้เปิดใต้น้ำด้วย ต่อมาไรนส์อ้างว่า "เซ็กส์ ค็อคเทล" นั่นเอง ทำให้เขาจับสัญญาณสัตว์ที่มีขนาดใหญ่เป็น 100 เท่าของปลาในทะเลสาบได้อย่างใกล้ชิด เขากล่าวว่า พวกมันอาศัยอยู่ในหลืบหินใต้น้ำห่างจากฝั่งทะเลสาบ 200 ฟุต


                2
    ปีต่อมาในเมืองบอสตัน ไรนส์นำเอาภาพถ่ายทั้งสีและขาวดำที่ถ่ายไว้ในทะเลสาบมาแสดง ซึ่งก็ปรากฏให้เห็นครีบใหญ่ที่ติดอยู่กับลำตัวของสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายวัว


               
    เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับการสำรวจของไรนส์นั่นเอง ทีมอเมริกันอีกคณะหนึ่งก็มาถึงทะเลสาบ ทีมนี้มีสปอนเซอร์เป็นบริษัทวิสกี้ คัตตี้ ซาร์ก โดยมรศาสตราจารย์เจมส์ อัลริช แห่งสถาบันสมิธโซเนียน เป็นผู้ควบคุม อัลริชกล่าวว่า "สัตว์ประหลาดไม่ใช่เรื่องโกหกอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นอะไรบางอย่างจริงๆ" ส่วนสามชิกคนหนึ่งในทีมของเขากล่าวเสริมว่า " มีสัตว์ประหลาดอยู่ในทะเลสาบอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครเชื่ออย่างจริงจังหรอกว่า สิ่งที่เห็นทั้งหลายนั้นเป็นท่อระบายน้ำ ตอไม้ หรือเศษขนมปังกรอบที่ติดอยู่บนเลนส์กล้องถ่ายรูปของใครบางคน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ผมคิดว่าคงพิสูจน์ความจริงให้เห็นได้อย่างไม่ยากเลย "


               
    คัตตี้ ซาร์ก จับมือกับลอยด์แห่งลอนดอนในการจ่ายเงิน 1 ล้านปอนด์ ให้กับใครก็ตามที่จับสัตว์ประหลาดมาให้ได้แบบตัวเป็นๆ ก่อนเดือนพฤษภาคม ปี 1972 แต่ก็ไม่ยักกะมีใครจับได้ และทีมงานของอัลริช ก็ได้ใช้เทคนิคต่างๆเช่นเดียวกับการสำรวจของไรนส์ รวมทั้งกลิ่นล่อหรือ " เซ็กส์ คอ็คเทล " ด้วย อย่างไรก็ตาม ความพยายามทั้งหลายก็ไม่ได้ให้ผลงานอะไรที่โดดเด่นไปกว่าคนอื่นที่ผ่านมา และในปี 1975 ชาวเอเชียอย่างเราก็ได้ร่วมขบวนกับเขาด้วยเช่นกัน ชาวญี่ปุ่นชื่อ โยชิโอะ คูโอะ นักธุรกิจเกมส์โชว์อายุ 36 ปี นำทีมแข็งแกร่งถึง 15 ชุด ไปยังทะเลสาบล็อคเนสส์ ซึ่งนักธุรกิจใหญ่จากสมาคมนายธนาคารเป็นผู้จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด และคูโอะคุยว่า ทีมงานของเขาจะส่งเรือดำน้ำ 2 ลำจากโตเกียวลงไปสำรวจ แต่เมื่อเขาดำลงไปเห็นความมืมิดใต้ทะเลสาบ เขาจึงสั่งยกเลิกโครงการทั้งหมดเสีย


               
    เซอร์ปีเตอร์ สก็อตส์ ผู้วชาญในการค้นหาร่องรอยของสัตว์ประหลาดยืนยันการมีตัวตนของ " เนสซี่ " ในที่สุดว่า " อาจมีอยู่ 20-50 ตัวข้างใต้นั่น ผมเชื่อว่ามันอาจเกี่ยวดองกับ Plesiosaurs


               
    เพลซิโอเสาร์ไม่ได้พบเห็นบนโลกมา 7 ล้านปีแล้ว ดังนั้นนักล่าสัตว์ประหลาดเชื่อว่า บรรพบุรุษของเนสฐี่ ถูกตัดขาดจากทะเลเมื่อครั้งทะเลสาบก่อตัวขึ้นตอนสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง ทะเลสาบล็อคเนสส์ลึกถึง 1,100 ฟุต ลึกกว่าทะเลเหนือเสียอีก และมันกว้างใหญ่ไพศาล กลายเป็นที่อยู่อาศัยอย่างอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการรบกวน จนอยู่รอดปลอดภัยมาได้นับพันๆปี แต่ทำไมการเห็นสัตว์ประหลาดจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย หลังจากปี 1933 เป็นต้นมาเล่า? นักล่าสัตว์ประหลาดมีคำอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ถนนที่จอห์น แม็คเคย์และภรรยาขับรถไป จนสังเกตเห็นเนสซี่เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 เมษายน 1933 นั้น เป็นถนนที่เพิ่งตัดเสร็จสดๆร้อนๆ และเป็นถนนรอบทะเลสาบสายแรก ซึ่งในการก่อสร้างเส้นทางดังกล่าว หินนับพันๆตันถูกระเบิดลงไปที่ทะเลสาบ และแมกไม้ใบหญ้าที่หนาแน่นปกคลุมชายฝั่งมานานนับศตวรรษก็ถูกตัดทำลายลง ผู้วชาญกล่าวว่า การระเบิดหินได้ทำลายที่อยู่อาศัยใต้น้ำครั้งบรรพการของเนสซี่ และทำให้มันสูญเสียแหล่งพักพิง จนต้องเตร็ดเตร่ไปในทะเลสาบนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    พยานที่เคยเห็น พรรณนารูปร่างของเนสซี่ ประมวลออกมาได้ ดังนี้


    ความยาว : มากกว่า 50 ฟุต
    ลำตัว : ยาวอย่างน้อย 30 ฟุต โดยรอบลำตัวประมาณ 12 ฟุต
    หัว : เหมือนทากและมีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับลำตัว
    คอ : ยาว 4-7 ฟุต ลักษณะตั้งระหง และหนาอย่างกับลำตัวช้าง
    ครีบ : 2 ครีบข้างหน้าเล็ก และ 2 ครีบใหญ่อยู่ด้านหลัง
    ผิวหนัง : เหมือนทาก สีเทา เงิน และดำ ...





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×