คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : การพบกันครั้งแรก
บอกตามตรงเลยว่าที่มาอัพเพราะนอนไม่หลับ ฮ่าๆๆๆ
อีกอย่างอินโทรมันสั้นมากใช่ม้าาา ก็กลัวว่ารีดเดอร์จะเบื่อซะก่อน
อินโทรมีมาตั้งหนึ่งคอมเม้นแหนะ ดีใจๆ อย่างน้อยก็มีคนอ่าน ฝากเม้นกันด้วยละกันเนอะๆ
____________________________________________________________________________________________
Chapter1 การพบกันครั้งแรก
“ว้าวววว เนี่ยหรอสนามบินโอตะ กว้างจังเลย มีร้านอาหารใหญ่ๆทั้งนั้นเลยอ่ะ สุดยอดๆ ” หลังจากลงจากเครื่องมาและได้เห็นบรรยากาศภายในสนามบิน จุนซูก็ออกอาการตื่นเต้นวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดหย่อนจนชนใครต่อใครไปหลายคนแต่จุนซูก็ไม่ได้ให้ความสนใจที่จะขอโทษเลยสักคน
“นี่จุนซู หยุดวิ่งได้ไหม เดี๋ยวก็หลงหรอก ถ้านายหลงฉันไม่ตามหานายจริงๆด้วย” แจจุงพูดขึ้นด้วยกลัวว่าหากเพื่อนรักบังเอิญไปเดินชนผู้มีอำนาจในญี่ปุ่นเข้าจะเดือดร้อนเอาได้เพราะถึงแม้ว่าตระกูลคิมของคุณหนูทั้งสองอย่างพวกเขาจะร่ำรวยและมีอำนาจมากเพียงใด แต่ก็เป็นแค่อำนาจภายในประเทศเกาหลีเท่านั้นแหละ
“โธ่ แจจุงอะ อย่าใจร้ายได้ไหม ฉันก็แค่ตื่นเต้นเอง ใจคอนายจะทิ้งเพื่อนรักไว้กลางสนามบินอันกว้างใหญ่แห่งนี้ได้ลงคอหรอไง” เมื่อได้ยินคำพูดของแจจุง เด็กน้อยคิมจุนซูก็เป็นอันหยุดวิ่งทันที เพราะกลัวว่าจะหลงกับเพื่อนรักจริงๆ แต่ก็อดน้อยใจเพื่อนร่างบางไม่ได้ คบกันมาตั้งนาน แค่เพื่อนหายที่สนามบินแค่นี้จะไม่ตามหากันเชียวหรอ
“ไม่ต้องมาหน้างอเลยจุนซู นายนี่นะเหมือนเด็กจริงๆ ไปหาโรงแรมพักกันเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ก็ได้นอนข้างถนนหรอก” แจจุงทำเป็นไม่สนใจคำพูดที่แสดงออกชัดเจนว่าน้อยใจของจุนซู แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตนเองจะทิ้งให้เพื่อนร่างเล็กนั่นน้อยใจหรอกนะ เพราะถึงแจจุงจะไม่พูดแต่ก็เดินไปจับมือเพื่อนรักให้เดินเคียงข้างตนเองไป ไม่ได้ทิ้งไว้เหมือนที่ตัวเองพูด
“ไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุดครับ” แจจุงบอกกับคนขับแท็กซี่เป็นภาษาญี่ปุ่น ที่เลือกโรงแรมที่ใกล้ๆก็เนื่องจากว่าตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้วและแจจุงก็รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทาง ผิดกับเพื่อนตัวเล็กที่ยังคงตื่นตาตื่นใจอยู่ตลอดทางที่รถแท็กซี่ขับผ่านไป
“ว้าวแจจุง ดูบอลลูนนั่นสิ มันเป็นสีสะท้อนแสงด้วยอะ เหมือนมีพระจันทร์อีกดวงเลยเนอะ” จุนซูพูดอย่างตื่นเต้น
“อืม”
“นั่นๆ แสงไฟยิงมาจากไหนก็ไม่รู้อะแจจุง เต็มท้องฟ้าไปหมดเลย”
“อืม”
“อะไรกันแจจุง มาเที่ยวทั้งที ตื่นเต้นหน่อยไม่ได้รึไง” ร่างเล็กเริ่มรู้สึกขัดใจเมื่อเพื่อนรักนั้นไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเลย
“เราไม่ได้มาเที่ยวนะจุนซู นายก็รู้ว่าเรามาที่นี่เพราะใคร” แจจุงพูดหวังจะเตือนสติเพื่อนว่าในเวลาแบบนี้เพื่อนควรจะรู้สึกเศร้าหมองมากกว่าจะมารื่นเริงแบบนี้ ไม่ใช่ว่าแจจุงต้องการให้เพื่อนเศร้าหรอกนะ แต่บางทีแบบนี้มันก็ดูร่าเริงเกินกว่าจะเป็นคนที่หนีออกจากบ้าน
“ใช่ ฉันรู้ แต่ไหนๆก็มาแล้ว เราก็ควรจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุดสิ!!!!” จุนซูพูดพร้อมกับยกกำปั้นขึ้นมาด้วยท่าทางมุ่งมั่น
“ฉันว่านายดูหนังมากไปนะจุนซู” แจจุงบอกเพื่อนเมื่อเห็นว่าเพื่อนเริ่มจะทำท่าเพี้ยนๆออกมา “แต่ถ้านายอยากเที่ยวก็ค่อยว่ากันทีหลังละกัน วันนี้ฉันเหนื่อยเกินจะเที่ยวแล้ว”
“จริงหรอO.O แจจุงจะพาฉันไปเที่ยวจริงอะ?”
“อื้ม”
“เย้ แจจุงน่ารักจัง จุนซูรักแจจุงที่สุด” แจจุงได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆ เพื่อนของเธอน่ะใครตามใจก็รักหมดนั่นแหละ เด็กน้อยคิมจุนซู
____________________________________________________________________
ร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มขยับไปมาเมื่อรู้สึกถึงแสงแดดที่ส่องมาแยงตาจากประตูกระจกระเบียงห้องของโรงแรม เมื่อคืนแท็กซี่ขับรถพาพวกเขามาถึงโรงแรมภายในไม่ถึงชั่วโมง แต่พอมาถึงก็กลับมาแต่ห้องVIPราคาคืนละเป็นแสน ซึ่งถึงแม้ว่าแจจุงจะคิดว่ามันเกินความจำเป็นไปหน่อยแต่เพราะดึกมากแล้วและเหนื่อยจนขี้เกียจจะไปหาที่พักทีอื่น บวกกับความรวยของตนเองกับจุนซูจึงไม่ต้องคิดเลยที่จะพักที่นี่
“สงสัยจุนซูจะยังไม่ตื่นมั้ง เมื่อวานคงจะเหนื่อยมาก ถ้างั้นไปทำอาหารเช้าก่อนแล้วค่อยไปปลุกดีกว่า” แจจุงพึมพำกับตัวเองเมื่อเปิดประตูห้องนอนออกมาแล้วไม่พบใคร และเดินไปที่เคาท์เตอร์ครัว โรงแรมนี้นี่ดีจังนะ มีของสดไว้ในตู้เย็นด้วย แต่ก็อย่างว่าแหละ ค่าห้องราคาตั้งแพงก็ต้องมีทุกอย่างอยู่แล้ว อาหารที่แจจุงทำวันนี้ก็เป็นแค่ข้าวต้มกุ้งธรรมดาเพราะเอาจริงๆแล้วแจจุงก็ขี้เกียจเหมือนกันนะวันนี้ ใจจริงอยากจะนอนไปยันเย็นเลยด้วยซ้ำ แต่ก็กลัวว่าเด็กชายคิมจุนซูตื่นมาแล้วจะโวยวายว่าไม่มีอะไรกิน ซึ่งจริงๆก็สั่งรูมเซอร์วิสก็ได้แต่จุนซูคงนึกไม่ออกหรอกว่ามีบริการแบบนั้นเพราะคุณหนูอย่างคิมจุนซูไม่เคยต้องทำอะไรเองสักอย่างแม้แต่โทรสั่งอาหารกิน
.
.
.
“เฮ้อออ เสร็จสักที ไปปลุกจุนซูดีกว่า” ร่างบางเดินไปทางห้องนอนของเพื่อนรักเพื่อที่จะปลุกมากินข้าว “จุนซู ตื่นได้แล้ว”
“นี่จุนซู ตื่นนนนน”
“จุนซู ตื่นเดี๋ยวนี้นะ”
“จุนซู ตื่น!!!!” เมื่อใช้วิธีธรรมดาไม่ได้ ร่างบางจริงเลื่อนหน้าเข้าไปข้างหูเพื่อนรักและตะโกนดังๆ
“โอ๊ยยยย เสียงดังทำไมเนี่ยแจจุง”
“ก็ฉันปลุกนายไม่ยอมตื่นนี่ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว อาหารเสร็จแล้วเดี๋ยวไปกินกัน”
“เดี๋ยวค่อยกินได้ไหม ฉันง่วงอะ นายกินไปก่อนเหอะ”
“ไม่ได้นะจุนซู ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ฉันอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแต่เช้าทำกับข้าวให้นายกินนายจะทิ้งให้ฉันนั่งกินข้าวคนเดียวหรอ”
“ก็ฉันง่วงนี่”
“ง่วงมากใช่ไหมหะไอ้อ้วน งั้นนายก็นอนไปเลยนะ ตอนแรกว่าจะพาไปเที่ยวแต่ในเมื่อนายไม่อยากตื่นก็ช่างเหอะ”
“อืม ทำอะไรกินหรอ” แจจุงยิ้มให้กับปฏิกิริยาตอบรับของจุนซูที่จากตอนแรกนอนเอาหน้าซุกหมอนไม่ยอมลุกท่าเดียวแต่พอพูดถึงเรื่องเที่ยวกับกระเด้งตัวขึ้นนั่งเหมือนติดสปริงเลย
“ข้าวต้มกุ้ง ไปอาบน้ำเร็ว เดี๋ยวเย็นหมดต้องอุ่นอีกรอบ”
“โอเคๆ” ร่างเล็กเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างว่าง่าย เมื่อร่างบางเห็นเพื่อนเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วจึงเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อชมบรรยากาศยามเช้า ระเบียงของห้องจุนซูเป็นฝั่งที่ติดกับแม่น้ำจึงเป็นบรรยากาศที่สวยมากประกอบกับมีสายลมอ่อนๆผ่าน รู้สึกดีชะมัด ร่างบางคิดพร้อมกับกางแขนขึ้นรับลม
“นายทำอะไรของนายอะ” จู่ๆก็มีเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นเป็นภาษาญี่ปุ่น และเมื่อหันไปมองแจจุงก็พบว่าผู้ชายคนนึงเดินออกมาจากห้องข้างๆ ซึ่งทำให้แจจุงนั้นถึงกับอึ้ง คนอะไรถึงจะปากห้อยนิดๆแต่กลับดูหล่ออย่างกับเทพบุตรเลย
“มองอะไร ประสาทหรือไง” ถึงแม้ว่าคำพูดจากร่างสูงนั้นจะฟังดูไม่ค่อยเข้าหูคนเท่าไหร่ แต่ตอนนี้แจจุงไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นแล้วล่ะ ในหัวตอนนี้มีแต่คำว่า
“เทพบุตร” เป็นคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากแจจุง
“หะ?”
“เทพบุตร” แจจุงยังจ้องมองผู้ชายคนนั้นและเพ้ออยู่แบบนั้น คนอะไรดูดีชะมัด เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีขาว ดูแล้วเหมือนเทพบนสวรรค์อย่างไรอย่างนั้นเลย
“อ้าว นายเป็นคนเกาหลีหรอ?” ยุนโฮถามขึ้นเป็นภาษาเกาหลีเมื่อได้ยินร่างบางพึมพำภาษาเกาหลี
“เทพบุตรจริงๆด้วย” แต่แจจุงก็ไม่ได้สนใจคำถามนั้นเลย โอ้ แจจุงนี่ท่าจะเป็นเอามานะ
“เฮ้ย ไอ้ยุนโฮทำอะไรอยู่วะ” ผู้ชายสองคนเดินตามออกมาจากห้องเดียวกับที่ร่างสูงเดินออกมาเมื่อสักครู่นี้ แต่ถึงแม้จะมีบุคคลอื่นเพิ่มขึ้นมาตั้งสองคนก็ไม่ทำให้แจจุงละความสนใจจากร่างสูงตรงหน้าเลย
“มันก็ออกมาชมบรรยากาศดิ่วะ แกคิดว่ามันจะออกมากระโดดระเบียงเล่นหรือไง ถามอะไรโง่ๆนะยูชอน”
“นี่นายจะไม่ขัดฉันบ้างไม่ได้เลยหรือไงวะชางมิน แล้วดูดิ่มันไม่ได้มาชมบรรยากาศสักหน่อยมันมาจีบสาวญี่ปุ่นต่างหาก” ยูชอนหันไปทำหน้ายุ่งใส่เพื่อนที่เดินตามหลังตนเองออกมา ก่อนจะหันไปเห็นแจจุงแล้วคิดเองเออเองว่าเพื่อนออกมาจีบสาวญี่ปุ่น ส่วนชางมินก็ได้แต่ยิ้มเหยียดใส่ยูชอนแล้วหันไปมองแจจุงอย่างสงสัย
“เทพบุตรจริงๆด้วย”
“เห?” ทั้งยูชอนและชางมินประสานเสียงขึ้นพร้อมกันด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นวะไอ้ยุน เห้ย แล้วนี่คนเกาหลีนี่หว่า” ยูชอนเป็นคนถามขึ้น แต่ชางมินกับสงสัยเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นเพราะแค่เขามองสายตาของร่างบางแล้วก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีอะไรหรอกนะที่คนอย่างชิมชางมินจะไม่รู้ เสน่ห์ของเพื่อนเขาคงจะไปโดนใจใครเข้าให้อีกแล้วสินะ
“ไม่รู้ดิ่ พอเดินออกมาฉันก็เห็นนายคนนั้นยืนทำท่าเพี้ยน พอหันมาเจอฉันก็พูดคำพูดเพี้ยนๆอีก” ยูชอนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อน แต่ก็ยังงงๆอยู่ว่าร่างบางคนนั้นเป็นอะไร
“นี่แจจุง ฉันอาบน้ำเสร็จแล้ว เราไปกินข้าวกัน” จุนซูซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินออกมาเพื่อนตามเพื่อนรักไปกินข้าว
“เอ่อ...พวกนายเป็นใครอะ “ ร่างเล็กหันไปถามผู้ชายสามคนทียืนอยู่ระเบียงอีกห้องแต่ลืมไปว่าตัวเองอยู่ที่ญี่ปุ่นก็เลยรัวภาษาเกาหลีใส่ “เฮ้ย!!!พวกนายทำอะไรเพื่อนฉัน” แต่พอหันมาทางก็เพื่อนรักทำหน้าอึ้งและดูเหมือนจะเลื่อนลอยไปไกลจนสติไม่อยู่กับตัวจึงทำให้ร่างเล็กโวยวายขึ้นเพราะคิดว่าสามคนนั้นทำอะไรเพื่อนรักของตน แต่พอถามออกไปก็ไม่มีคำตอบจากสามคนนั้นร่างบางจึงหันไปเรียกเพื่อนตัวเองแทน
“แจจุง แจจุง นี่ แจจุง”
“หะ ห๊ะ? ว่าไงจุนซู” แจจุงผู้ซึ่งตื่นจากภวังค์เพราะแรงเขย่าของเพื่อนหันมาถามเพื่อนของตน
“นายเป็นอะไรของนาย ยืนพึมพำคนเดียว ฉันเรียกตั้งหลายรอบ”
“หา? ฉันพึมพำหรอ? “ แจจุงทำหน้าตาตื่นตกใจ เขาจำได้ว่าเขาเรียกผู้ชายคนนั้นว่าเทพบุตรแต่มันเป็นแค่ความคิดในหัวของเขาไม่ใช่หรอ นี่อย่าบอกนะว่าเขาพูดมันออกมาอะ โอ๊ยๆๆๆ ตายๆๆ อายที่สุด
“ไปกินข้าวกันเถอะจุนซู” เมื่อความอายเข้าครอบงำร่างบางก็รีบดึงเพื่อนร่างเล็กเข้าห้องทันที
“ใจเย็นสิๆแจจุง จะรีบไปไหน เดี๋ยวก็ล้มหรอก”จุนซูเอ่ยเตือนเพื่อน
ปึง!!!
ยังไม่ทันขาดคำของจุนซูแจจุงก็ถลาตัวเข้าไปกระแทกประตูระเบียงเต็มๆ
“โง่” ชางมินพูดเมื่อเห็นการกระทำของร่างบาง
ยุนโฮได้แต่มองแล้วส่ายหัวช้าๆ
“ฮ่าๆๆๆๆ” ซ้ำเติมคนอื่นแบบนี้ยูชอนเท่านั้นแหละ
“เฮ้ย!แจจุง!” จุนซูรีบเข้าไปพยุงเพื่อนทันทีและพาเพื่อนเข้าไปด้านในห้องโดยพาไปนั่งพักที่โซฟาและตัวเองก็หยิบขวดน้ำที่ข้างโซฟาก่อนจะเดินกลับมาที่นะเบียงที่เกิดเหตุอีกครั้ง
“หัวเราะอะไรไอ้เถิก!!!!” จุนซูเดินออกมาเพื่อที่จะเอาเรื่องกับคนที่หัวเราะเยาะเพื่อนรักของเขา จุนซูพูดภาษาเกาหลีใส่เพราะคิดว่าคนพวกนั้นฟังไม่ออกโดยที่ลืมนึกไปเลยว่าคำว่า”โง่”ที่หลุดออกมาจากชางมินเป็นภาษาเกาหลี
“อะไรนะ?” เมื่อยูชอนได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับหยุดหัวเราะทันที ไม่เคยมีใครมาว่าเขาแบบนี้เลยนะ นี่เป็นคนแรกเลยจริงๆ แต่จุนซูนี่สิถึงกับผงะ เฮือก!!...คนเกาหลีนี่หว่า เวรแล้วไง เอาวะ!ยังไงก็ทำกล้าไปก่อนกลับลำตอนนี้เสียชื่อตระกูลคิมน่ะสิ
“นายหัวเราะเพื่อนฉันทำไมไอ้เถิก อยากตายรึไง” จุนซูพูดพร้อมกับโยนขวดน้ำไปใส่ร่างสูงนั้น
“นี่แน่!!! เอาขวดน้ำกระแทกหัวไปบ้างนะ แล้วถ้ามีปัญหาอะไรก็มาเลยนะ ฉันน่ะคิมจุนซูพร้อมเสมอ” หลังจากทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ร่างเล็กก็เดินเข้าห้องไป ทิ้งผู้ชายสามคนที่ยังอึ้งกับเหตุหารณ์ไปคาดฝัน
“หึๆ” ชางมินที่ตั้งสติได้ก่อนหัวเราะเยาะเพื่อนก่อนจะเดินเข้าห้องไป ส่วนยุนโฮก็เดินตามเข้าไปโดยไม่ได้พูดอะไร
“ไอ้เถิกงั้นหรอ เหอะ นายยังรู้จักเพล์บอยอย่างปาร์คยูชอนน้อยไป คอยดูนะ ถ้าทำให้นายมาชอบฉันไม่ได้อย่ามาเรียกไอ้ยูชอนเลย นายเจอฉันแน่ คิมจุนซู” ยูชอนพูดกับตัวเองสายตาจับจ้องไปที่ห้องพักที่ร่างเล็กเดินเข้าไปเมื่อครู่ การกระทำที่ร่างเล็กทำกับเขา เขาไม่คิดจะถือสาเลย ที่เขาถือสาก็แค่คำว่าไอ้เถิกที่ร่างเล็กใช้เรียกเขาเท่านั้นแหละ ปกติแล้วชีวิตของเขามีแต่ผู้หญิงมาพลีกายให้เขาทั้งนั้น และผู้หญิงเหล่านั้นก็จะพร่ำบอกแต่ว่าเขาหล่อ เขาเท่ห์ต่างๆนานา มีแค่คิมจุนซูเนี่ยแหละที่มองข้ามความหล่อของเขาไป แล้วสักวันเถอะ จุนซูต้องหลงเสน่ห์ของเขา
.
.
.
.
“นายเป็นอะไรของนายน่ะ อยู่ๆก็ไปยืนทำท่าเปิ่นๆให้ไอ้พวกนั้นมันหัวเราะ” จุนซูพูดขึ้นมาระหว่างที่กำลังสวาปามข้าวต้มกุ้งฝีมือเพื่อนรัก
“นี่จุนซู”
“หือ?”
“นายเชื่อไหมว่ารักแรกพบมีจริง” แจจุงไม่ได้สนใจจะคำถามของเพื่อนแต่กลับยิงคำถามกลับไป
“ก็คงจะมีมั้ง ไม่รู้สิ นายถามทำไม เฮ้ยๆๆๆ นี่อย่าบอกนะว่านายตกหลุมไอ้ชุดขาวนั่นอะ”จุนซูพุ่งน้ำออกจากปากด้วยความตกใจ
“อี๋..สกปรก”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยแจจุง นายชอบไอ้หน้าหล่อนั่นหรอ”
“ไม่รู้สิจุนซู ฉันแค่รู้สึกว่ามันเหมือนมีอะไรดึงดูดจากผู้ชายคนนั้นอะ”
“เหอะๆ นี่มันเกิดอะไรกับคุณหนูคิมแจจุงผุ้ที่ไม่เคยมองใครอย่างนายกันเนี่ย แต่นายนั่นมันก็หล่อขนาดนั้นอะนะมันก็ไม่แปลกหรอกที่นายจะชอบ”
“แต่นายรู้สึกเหมือนฉันไหมว่า ฉันกับเขาไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง ดูแล้วเรียกว่าตรงข้ามกันสุด”
“อย่างเช่น ไอ้หล่อนั่นมันใส่ชุดขาวทั้งชุด แต่นายชอบใส่เสื้อผ้าสีสันอะนะ”
“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งนะ แต่ฉันว่าเราต้องต่างกันสุดขั้วแน่ๆเพราะความรู้สึกของฉันมันบอกแบบนั้น”
“อืมมม”จุนซูทำท่าครุ่นคิดก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะ “ฉันรู้แล้วๆ นายนั่นน่ะดูท่าเหมือนจะเป็นคนเจ้าระเบียบมากเลยนะ แต่นายอะทั้งไฮเปอร์ ซุ่มซ่าม ไร้ระเบียบที่สุด”
“เอ่อ...นายไม่ได้ด่าฉันใช่ไหม”
“ป่าวๆ ฉันแค่พูดตามความคิดน่ะ”
“แล้วถ้าหากว่าเราต่างกันขนาดนั้นจริงๆ เขาจะหันมามองฉันไหมนะ”
“อย่าเพิ่งคิดมากสิแจจุง บางทีนายอาจจะแค่ปลื้มเพราะนายนั่นมันหล่อก็ได้”
“ไม่หรอก ฉันว่าพี่ฮยอนจุงก็หล่อดีออกทำไมฉันถึงไม่ชอบทั้งที่เขาตามฉันจะตาย มันเหมือนกับว่า ต้องเป็นคนนี้เท่านั้นอะ”
“โอ๊ยยย ถ้าเป็นนายคนนั้นฉันก็ต้องเจอไอ้เถิกนั่นบ่อยๆน่ะสิ”
“ไอ้เถิกไหน?” แจจุงขมวดคิ้วอย่างสงสัย เริ่มมีลางสังหรณ์แปลกๆ
“ก็ไอ้เถิกเพื่อนไอ้หล่อชุดขาวนั่นไง ที่มันหัวเราะเยอะนายอะ”
“นี่อย่าบอกนะว่าที่นายถือขวดน้ำออกไปนั่นคือไปเอาเรื่องเพื่อนสุดหล่อนั่นมา”
“ก็ใช่น่ะสิ” นั่นไง ลางสังหรณ์ของแจจุงเคยพลาดซะที่ไหน แล้วทีนี้จะเอาไงดีเนี่ย เข้าทางเพื่อนก็ไม่ได้แล้วด้วย เอ๊ะ แต่ทำไมเขาต้องจัดการเรื่องนี้ล่ะ ในเมื่อคนก่อเหตุไม่ใช่เขาซะหน่อย
“จุนซู”
“น นะ นาย อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นสิ ฉันเขินนะแจจุง บ้าหรอ” จุนซูรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ร่างบางกำลังจะยัดเยียดให้ตน แต่ก็ต้องทำเป็นพูดเล่นๆไปก่อน ใจดีสู้เสือไว้ก่อนดีกว่า
“ไม่ตลกนะจุนซู”
“เฮือก!!!” เสียงเพื่อนรักเขาโหดขนาดนี้ สงสัยลำบากแล้วล่ะ
“นายเป็นคนไปหาเรื่องเพื่อนของสุดหล่อ ดังนั้นนายต้องเป็นคนไปเชื่อมความสัมพันธ์นั้นขึ้นมา”
“โธ่ แจจุง เราไม่จำเป็นต้องใช้ไอ้เถิกนั่นก็ได้นี่ เราเข้าหาสุดหล่อของนายตรงๆเลยก็ได้ และอีกอย่างฉันก็ทำเพื่อนายนะ”
“นายก็รู้ว่าเข้าทางเพื่อนมันง่ายกว่าเป็นไหนๆ ไม่รู้ล่ะ ถ้านายไม่รับปากฉันจะกลับเกาหลี ทิ้งนายอยู่คนเดียว”
“อย่าทำแบบนี้สิแจจุง”
“ตกลงเดี๋ยวนี้”
“แจจุ๊งงงงงงงงงงงงง”
“งั้นฉันกลับเกาหลีละนะ”
“เออ ก็ได้ๆ ชั้นจะพยายามทำญาติดีกับไอ้เถิกนั่น”
“ไม่ใช่พยายามจุนซู นายต้องทำ!”
“โอเคๆ ฉันจะญาติดีกับมัน”
“ดีมากกกกกก” แจจุงพูดพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะเข้าห้องไป
เฮ้ออออ ทำไมนะแจจุง คนหล่อที่มาชอบมีตั้งเยอะตั้งเยอะไม่เลือก ทำไมต้องไปชอบเพื่อนไอ้เถิกนั่นด้วย แล้วอย่างนี้จุนซูกัจะช่วยให้เพื่อนสมหวังดีไหม เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้บ้านั่นอีกแล้ว ดูท่าว่าไอ้นั่นจะแค้นเขามากซะด้วย เแต่ในเมื่อแจจุงเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว เขาก็คงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้รักแรกของเพื่อนสมหวังสินะ
หึๆ งานนี้เราคงต้องสนุกกันจริงๆแล้วล่ะไอ้ห้อย
“ไอ้มินมันหายไปไหนวะ” ยูชอนถามยุนโฮหลังจากที่ตัวเองกลับมาจากการไปส่งสาวๆในสต๊อกแต่ไม่เห็นเพื่อนอีกคนซึ่งเวลานี้ควรจะอยู่ในห้องแล้วเพราะปกติมันไม่ใช่คนที่ชอบออกไปไหนดึกๆแบบนี้
“มันลงไปหาอะไรกินข้างนอกน่ะ เดี๋ยวก็กลับมา นายจะทำไมล่ะ” ยุนโฮตอบเพราะก่อนชางมินออกไปเขาก็สงสัยจึงถามเอาไว้ ยูชอนพยักหน้าอย่างเข้าใจเหตุผลเดียวที่จะทำให้คนอย่างไอ้มินมันออกจากห้องตอนดึกได้ก็คงจะมีแต่เรื่องกินเรื่องเดียวเนี่ยแหละ แต่เขามีเรื่องจะบอกเพื่อนๆนี่น่า ช่างเหอะบอกยุนโฮไปก่อนละกัน
“ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่น้องชายฉันจะมาพักอยู่กับพวกเราสักระยะนะ ถ้ามีคนที่ชื่อริคกี้มาที่ห้องก็รู้ไว้นะว่าคือน้องของฉัน “
“อ่อ อืมๆ” ยุนโฮพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ทางด้านชางมิน
“หิวโว้ยยย หิวจัง ร้านมันจะรีบปิดอะไรนักหนาวะนี่มันเพิ่งจะตีสองครึ่งเอง” ชางมินเดินไปบ่นไปด้วยความโมโหหิว ก็ร้านค้าต่างๆเริ่มปิดหมดแล้ว ถนนที่เคยมีของกินวางขายเรียงรายเต็มไปหมดตอนนี้มีแต่ร้านที่ว่างเปล่า
“อ๊ะ นั่นร้านบะหมี่เปิดอยู่นี่” ร่างสูงตาเป็นประกายวิบวับเมื่อเห็นร้านขายบะหมี่ยังเปิดอยู่ร้าน ชางมินรีบวิ่งไปทางร้านนั้นด้วยความเร็วสูงเนื่องจากหิวมาก
“บะหมี่เย็นชามนึงครับ / บะหมีเย็นที่นึงฮะ” ชางมินหันหน้าไปทางเสียงอีกเสียงที่สั่งขึ้นพร้อมเขาพอดีและรีบโวยวายทันที
“นี่ฉันสั่งก่อนนะ” รีบพูดขึ้นเพราะกลัวว่าจะได้ทีหลังก็คนมันหิวนี่หว่า
“ฉันสั่งก่อนต่างหาก” แต่อีกคนนึงก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“ฉันพูดก่อน”
“ฉันหรอกนายอย่ามามั่วนิ่มนะ”
“แต่ฉันหิวกว่านะ”
“แล้วฉันไม่หิวหรือไง ฉันก็หิวเหมือนกันนะไอ้ขายาว”
“นายว่าใครขายาวห๊ะ นายนั่นแหละเตี้ยเองต่างหาก”
“เตี้ยหรอ นายอยากลองดีใช่มะไอ้สูง” ร่างเล็กกำลังจะพุ่งเข้าหาร่างสูงแต่เสียงหนึ่งดังขึ้นมาซะก่อน
“บะหมี่เย็นได้แล้วครับ” เสียงของพ่อค้าขายบะหมี่เย็นที่ดังขึ้นเหมือนจะเป็นเสียงระฆังหมดยก แต่ที่จริงแล้วมันคือเสียงระฆังเริ่มยกต่างหากล่ะ
“ของฉันนะ”ร่างเล็กพูดขึ้น
“อย่ามามั่วนิ่มนะเตี้ย ของฉันหรอก”
“นี่นายไม่เคยได้ยินหรอไงว่าคนสูงต้องเสียสละให้คนเตี้ยน่ะ”
“สุภาษิตอะไรของนาย อย่ามาเนียนๆ”
“นี่ฉันหิวจริงๆนะ ให้ฉันเหอะ”
“อย่ามาพูดดีซะให้ยาก ฉันก็หิวเหมือนกัน แล้วฉันก็สั่งก่อนด้วย บะหมี่จะต้องเป็นของฉัน”
“นายสั่งก่อนที่ไหนล่ะ เฮ้อ แต่ช่างเหอะ เรามาตกลงกันดีกว่า” คนตัวเล็กที่เริ่มจะเหนื่อยกับการโต้เถียงเริ่มหาวิธีอื่น
“ตกลงอะไรล่ะ”ร่างสูงเห็นด้วยเพราะตัวเองก็เหนื่อยเหมือนกัน
“ไม่รู้สิ นายคิดดิ่”
“งั้นเรามาเล่นเกมกันดีกว่า จ้องตากันใครหลบสายตาก่อนคนนั้นถือว่าแพ้ดีไหม”
“เอางั้นก็ได้”
“โอเค งั้น หนึ่ง สอง สาม เริ่มได้!!!” สิ้นสุดเสียงของร่างสูง ทั้งสองก็จ้องตากัน ที่ชางมินเลือกเล่นเกมนี้เพราะไม่มีใครที่จะสามารถปฏิเสธสายตาคมของร่างสูงได้ และก็กับร่างเล็กก็เช่นกัน เมื่อชางมินเริ่มส่งสายตาคมที่เหมือนจะมองลึกเข้าไปในดวงตาคนตัวเล็กนั้น ร่างนั้นก็เริ่มขยับไปมาเพราะรู้สึกหวิวๆแต่ก็ยังไม่ได้ขยับสายตาไปไหน ชางมินจึงต้องงัดไม้สุดท้ายออกมาใช้ ชางมินเลื่อนหน้าเข้าไปหาร่างเล็กที่จ้องตาตนเองอยู่ ทำให้ลมหายใจของทั้งสองรินไหลรดกันอยู่และก็ได้ผล
“ไอ้บ้า นายขยับหน้าเข้ามาทำไม ขี้โกงนี่หว่า” คนตัวเล็กหลบสายตาเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และโวยวายเพราะรู้ว่าตัวเองแพ้
“ไม่ได้โกงสักหน่อย ก็สายตาฉันสั้นมองนายไม่ค่อยเห็นนี่ สรุปบะหมี่นี่ของฉันนะ” ชางมินยิ้มอย่างผู้มีชัยก่อนจะหยิบเงินจ่ายและเดินถือบะหมี่ไป
“บะหมี่เย็นได้แล้วครับ” บะหมี่อีกชามเสร็จแล้วแต่ตอนนี้ร่างเล็กไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว อยากต่อยหน้าไอ้คนขี้โกงมากกว่า เอ๊ะ อย่าเพิ่งสิ สงครามมันยังไม่จบแค่นี้ซะหน่อยจะไอ้ขายาว ร่างเล็กคิดได้ดังนั้นก็หยิบบะหมี่แล้วจ่ายเงินก่อนจะวิ่งตามร่างสูงไป
“นี่ๆ นาย”
“ห๊ะ” ร่างสูงหันมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกและก็แสยะยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าคนที่เรียกตัวเองนั้นเป็นใคร “นายมีอะไรหรอ ถ้าจะขอแก้ตัวน่ะ ตอนนี้ฉันไม่ว่างจะมาเล่นกับนายหรอกนะ ที่ฉันลดตัวไปเล่นด้วยเพราะบะหมี่แต่ตอนนี้ฉันได้แล้วนายก็ไร้ค่าแล้ว”
“ป่าวซะหน่อย ก็แค่ฉันแพ้เลยอยากทำหน้าที่ของผู้แพ้หน่อยน่ะ” ถึงจะรู้สึกหมันไส้หน้าตาหยิ่งๆของไอ้สูงนั่นเท่าไหร่แต่ก็ต้องระงับอารมณ์ไว้ไม่งั้นจะเสียแผนหมด
“อะไรล่ะ? นายนี่ก็ดีนะ มีน้ำใจนักกีฬาดี”
“แน่นอนสิ อ่ะ”
“อะไรน่ะ?” ชางมินถามด้วยสีหน้าที่สงสัยสุดๆ ก็อยู่ๆไอ้เตี้ยมันก็มายื่นบะหมี่มาตรงหน้านี่
“นายหิวไม่ใช่หรอ ฉันก็ให้นายไง”
“จริงหรอ”
จริงสิ นี่ไง” ร่างเล็กบอกร่างสูงพร้อมกับยกบะหมี่ขึ้นสุดแขนแล้วแปะไปที่หน้าร่างสูงเต็ม “กินให้อร่อยนะไอ้ขายาว แบร่ๆ” ยังไม่ทันที่ชางมินจะได้อ้าปากตอบอะไรกลับไปร่างเล็กก็วิ่งหายไปซะก่อนแล้ว
“หน็อยยยยย ไอ้เตี้ยยย อย่าให้เจออีกนะ นายตายแน่!!!”
ความคิดเห็น