ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แก้วจรัสแสง ตอน วังวนแห่งรัก

    ลำดับตอนที่ #7 : แก้วจรัสแสง ตอน วังวนแห่งรัก

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 55


    ����������������������������������������������������������
    ������������������������������������������������������
    บทที่ 7

    ���
    ����������
    ณ สถานีรถไฟ


    ����������� แม่ครับ..แล้วผมจะกลับมาหาแม่นะครับ

    �วัฒน์ในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดธรรดาพูดขึ้น ในขณะยืนอยู่ที่ชานชาลา� เป็นช่วงที่รถไฟกำลังจะเข้าเทียบชานชาลาพอดี ผู้เป็นแม่ยังคงยิ้ม

    แม่จะรอลูก

    ขวัญในชุดผ้าซิ่นเสื้อลายดอกไม้ธรรมดา ยืนนิ่งสีหน้ามีความสุขและความเศร้าผุดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด

    นี่นายโตแล้วนะ ดูแลแม่ด้วยเข้าใจไหม..เดี๋ยวพี่จะซื้อรถให้เป็นรางวัล วัฒน์พูดกับน้องชายด้วยรอยยิ้ม

    ครับพี่วัฒน์ ลูกเสือสำรองจะดูแลแม่อย่างดีครับผู้เป็นน้องชายพูดด้วรอยยิ้มมีความสุข


    ��แม่ครับ..ผมลาก่อนนะแม่..ผมจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ครับ...สักวันแม่ไม่ต้องขายผักและลำบากอีกแล้วครับแม่...ผมรักแม่นะครับ

    วัฒน์พูดด้วยน้ำตาเต็มเบ้าตา ไม่มีเสียงตอบจากผู้เป็นแม่ที่ยืนนิ่งร้องไห้กอดลูกชายด้วยความรัก

    ผมจะตามหาแก้วให้เจอครับแม่
    ผู้เป็นแม่ถึงกับร้องให้โฮทันที สองแม่ลูกกอดกันนิ่งน้องชายสุดฉลาดเดินเข้ามากอดขวัญด้วยความสงสารแม่สุดจะพรรณนา

    �������������
    ��
    แม่ครับ..ผมไปก่อนครับแม่พูดจบวัฒน์เดินขึ้นรถไฟทันที ขวัญยังคงยืนนิ่งน้ำตาไหลอาบแก้ม หากแต่ยังคงยิ้มให้วัฒน์ เพราะอีกนานแค่ไหนกว่าลูกจะกลับเข้ามาสู่อ้อมอกอีกครั้ง

    ....................�


    ������ รถไฟแล่นออกมาไกลวัฒน์ยังคงตาแดงก่ำ มองออกไปทางหน้าต่างรถไฟ� ทุ่งนาที่เขียวขจีพริ้วไหวไปตามแรงลม ชาวนาเดินกลับบ้านกันเป็นทิวแถวยามตะวันพลบค่ำ แสงทองเริ่มมีบนท้องฟ้าในยามนี้ ความรู้สึกเริ่มหดหู่และเงียบเหงาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้า

    �������� นับแต่นี้ต่อไปการเดินทางของชีวิตตัวเองเริ่มขึ้นและนั่นหมายถึงการรอคอยของผู้เป็นแม่ก็เริ่มขึ้นเช่นกัน วัฒน์ละสายตากลับเข้ามาในรถไฟอีกครั้ง ไม่อยากให้ชีวิตท้องทุ่งและภาพวันเก่าผุดขึ้นมาอีกต่อไป พลางล้วงจดหมายที่อยู่ในประเป๋าออกมาคลี่อ่านด้วยสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

    ...............

    ����������สถานีหัวลำโพง

    สวัสดีครับน้า..รถสายไหนไปสะพายควายครับ

    วัฒน์เอ่ยถามชายคนหนึ่งที่กำลังยืนคอยรถเมล์หลังจากที่ออกมาจากอาคารสถานีหัวลำโพงได้สักครู่ใหญ่

    อืม..ลุงเองก็ไม่รู้พ่อหนุ่ม...

    เสียงชายสูงอายุตอบพร้อมกับเงียบไป วัฒน์มองมองไปรอบๆบริเวณหากแต่ไม่มีที่จะให้นั่งพักก่อนจะเดินไปนั่งที่ริมกำแพงอย่างหมดแรงเหนื่อยอ่อน

    อืม..ทำไงดีละเรา.. พูดพลางหันไปมองผู้คนรอบๆ หลายปีมาแล้วที่เคยมาคว้าแชมป์ร้องเพลงหากแต่วันนี้ไม่ได้มาเหมือนวันก่อน พจน์นั่งมองผู้คนก่อนจะยิ้มเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง

    เอาละวะ เป็นไงเป็นกัน

    .....................

    ���������
    ��
    เฮ้ยมาได้ไงเนี่ยะ ดีใจว่ะ

    นิ่มเพื่อนชายคนสนิทสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน พูดดังลั่นด้วยความดีใจ ก่อนวิ่งไปเปิดตู้เย็นยกน้ำมาให้วัฒน์ซึ่งนั่งมองดูไปรอบๆบ้านเพื่อนอย่างไม่คุ้นเคยกับสถานที่นัก

    อืม บ้านพักนายก็สบายนะ ก่อนจะเหลือบไปเห็นเสื้อชั้นในผู้หญิงที่วางอยู่ พร้อมๆกับที่นิ่มหันไปมอง ก่อนจะส่งยิ้มอายๆให้เพื่อนแล้ววิ่งไปเก็บไว้ทันที วัฒน์มองหน้าเพื่อนเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง หากแต่นิ่มยิ้มแล้วตอบเองว่า

    เปล่าหรอก..เพื่อนน่ะ เพื่อน พูดพลางยิ้มอายๆ วัฒน์ถึงกับนิ่งไม่เข้าใจเพื่อนคนนี้นัก ก่อนจะยกน้ำขึ้นมาดื่มด้วยความกระหาย

    .................................


    �� อืม วัฒน์แล้วนายจะทำอย่างไรต่อไป

    �นิ่มถามเมื่อทานอาหารเที่ยงแบบง่ายๆเสร็จแล้ว

    ก็ต้องไปตามที่จดหมาย ส่งมานี่แหละ จะลองไปดู วัฒน์พูดพลางยื่นจดหมายให้เพื่อนดู

    โห..นี่มันบริษัทใหญ่นะ แล้วนายรู้จักคนที่ส่งจดหมายมาหานายได้อย่างไรวะ
    นิ่มถามด้วยความสงสัย วัฒน์ยิ้มก่อนตอบว่า

    ก็ตอนที่ไปร้องเพลงตามงานต่างๆนั่นแหละนิ่มนิ่งก่อนพูดเหมือนคนรู้ดีในสังคมนี้ว่า

    ฉันว่าบางทีมันอาจจะยากนะ

    �ก่อนจะเงียบไป แล้วหันมามองวัฒน์ วัฒน์ยังคงไม่เข้าใจนักก่อนยิ้มให้

    เอาเหอะ ไหนๆก็มาแล้วสู้นะวัฒน์ ฉันจะเป็นกำลังใจให้นายอีกแรงนิ่มนักศึษารามคำแหงที่มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงหลายปีพูดขึ้น เหมือนจะเข้าใจเมืองแห่งนี้ดี

    ����� วัฒน์นิ่งเงียบก่อนมองออกไปยังคลองน้ำสีดำที่อยู่ติดกับบ้านพักอย่างทอดถอนอารมณ์ นิ่มมองเพื่อนด้วยความเข้าใจก่อนจะล้มตัวลงนอนใกล้ๆ


    วัฒน์ ..พรุ่งนี้เราก็บุกกันเลยนายไม่ต้องกังวลมีฉันทั้งคน นิ่มพูดก่อนจะหลับทันที วัฒน์มองเพื่อนร่วมรุ่นด้วยรอยยิ้มก่อนจะมองน้ำสีดำที่ยังคงไหลอย่างไม่หยุดสาย

    ...................................


    ���� สวัสดีครับ...เออ ไม่ทราบว่า พี่จิต อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ
    วัฒน์เอ่ยถามเมื่อถึงมาออฟฟิศ ซึ่งมีภาพดารานักร้องแปะติดอยู่เต็มไปหมด พนักงานหนุ่มมองวัฒน์ด้วยสีหน้าแปลกๆ เริ่มมองตั้งแต่เท้าจรดศีรษะก่อนบอกว่า

    จำชื่อผิดคนหรือเปล่าน้อง พนักงานหนุ่มถามด้วยความไม่มั่นใจ

    “ไม่ผิดครับครับ พี่จิตให้ที่อยู่และจดหมายส่งไปหาผม ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูก่อนมองมายังวัฒน์อีกครั้งด้วยความไม่มั่นใจ

    นี่..ทำไมต้องถามเยอะวะ..�นิ่มสุดจะทนสายตาดูถูกไม่ไหว วัฒน์หันมาห้ามเพื่อนไว้ ก่อนหันมายิ้มให้พนักงาน ซึ่งยืนมองดูนิ่มอย่างจะเอาเรื่อง

    เก็บปากไว้แดกนะไอ้น้อง...

    สิ้นเสียงพูด นิ่มกระโดดเตะพนักงานล้มลงไปทันที ก่อนจะกระทืบซ้ำหากแต่วัฒน์จับไว้ได้

    อย่านิ่ม ฉันขอเถอะนิ่มหันมามองวัฒน์ ก่อนหันจะพูดตะคอกใส่พนักงานที่นอนอยู่กับพื้นว่า

    มึงอย่า ทำตัวเว่อร์นัก มึงก็ไอ้แค่คนถ่อยเหมือนพวกกูนี่แหละนิ่มพูดพลางชี้หน้าก่อนจะหันหลังเดินกลับ พนักงานที่นอนอยู่กับพื้นเช็ดเลือดที่มุมปาก พลางรีบลุกขึ้นหยิบไม้ที่ตั้งอยู่หมายจะเข้าไปทำร้ายนิ่มแต่ต้องหยุดทันที เมื่อ

    หยุดนะ

    �เสียงจากชายหนุ่มวัยกลางคนดังขึ้น พนักงานถึงกับหยุดวางไม้ลงทันที ทุกสายตาหันไปมองเจ้าของเสียง วัฒน์ถึงกับอุทานออกมา

    พี่จิต

    .............................


    ��พี่ดีใจที่วัฒน์ตัดสินใจมากรุงเทพ และพี่ก็หวังว่านายต้องทำได้ดี

    ��� �
    จิตพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานอันหรูติดแอร์เย็นเฉียบ วัฒน์มองไปรอบๆห้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ นิ่มยังคงนั่งนิ่งมองฉ่ำที่เดินอยู่ข้างนอกอย่างเคืองๆ จิตหันมาเห็นก่อนจะพูดว่า

    อืม..ฉันขอโทษแทนนายฉ่ำมันแล้วกันพ่อหนุ่ม

    นิ่มหันมามองจิตด้วยสายตาเคารพก่อนยิ้มให้

    ไม่เป็นไรครับ

    ก่อนมองไปยังวัฒน์ที่เดินมองรูปภาพนักร้องดังๆด้วยความสนใจ

    วัฒน์
    จิตเรียกในขณะที่วัฒน์หันมาทันที

    ครับพี่จิต

    เสียงตอบรับดังขึ้นทันที ก่อนหันมามองจิตด้วยความเคารพ

    พรุ่งนี้ ฉันจะพานายไปรู้จักกับใครอีกหลายคนรวมทั้งการเรียนรู้และการก้าวเดินไปสู่นักร้องเต็มตัว

    จิตพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น วัฒน์ยกมือไหว้ พร้อมกับรอยยิ้มด้วยความสดชื่นดีใจ�

    นิ่ม..ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

    �วัฒน์ร้องถามเพื่อนด้วยความดีใจ นิ่มยืนขึ้นก่อนเดินเข้ามาใกล้

    วัฒน์นายไม่ได้ฝัน พรุ่งนี้ชีวิตใหม่ของนายเริ่มขึ้นแล้วนะ

    นิ่มพูดก่อนหันมาขอบคุณจิตที่ยังคงนั่งยิ้มอย่างมีความสุข

    .................................


    �������� อืม เด็กคนนี้แก้วเสียงดีจริงๆ ลูกคอ
    �เจ้าของบริษัทห้องอัดเสียงถึงกับกล่าวชมในขณะที่วัฒน์ร้องเพลงอยู่ในห้องอัดเสียง

    วัฒน์��เคยชนะการประกวดร้องเพลงที่กรุงเทพแล้วนะพี่สลา

    จิตอธิบายเจ้าของห้องอัดเสียงผู้เคยสร้างนักร้องมานับร้อยคนแล้ว หากแต่สลาหนุ่มวัยกลางคนยืนนิ่งตั้งใจฟังน้ำเสียงอันไพเราะของวัฒน์ ก่อนจะหันมาพูดว่า

    อืม ตกลง ผมโอเค

    �จิตถึงกับยกมือไหว้ครูสลาด้วยความเคารพก่อนยกมือให้วัฒน์ด้วยความดีใจ วัฒน์หันมายิ้มหากแต่ไม่รู้ว่า��

    ต่อจากนี้ไป ตัวเองจะได้เป็นนักร้องสมใจหวังแล้ว�การร้องเพลงและการเรียนรู้เพลงของวัฒน์จึงเริ่มขึ้นนะถนนดนตรีตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป


    ขอบคุณมากครับ ผมสัญญาว่าผมจะเป็นนักร้องที่ดีและพร้อมจะทำตามอาจารย์สลาทุกอย่างครับ

    วัฒน์ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ ครูสลายิ้ม ก่อนพูดว่า

    วัฒน์ร้องเพลงได้เพราะมาก และคิดว่าการเดินทางในครั้งนี้ของวัฒน์ต้องโชคดีแน่นอน

    �ครูสลากล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนหันไปมองจิตที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

    อืม อีกอย่างที่ยังไม่ดีพอ ครูสลาพูดขึ้นหลังจากที่ผละสายตามาจากจิต

    มีอะไรที่ต้องปรับปรุงหรือครับครู จิตเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครูสลายิ้มก่อนจะชี้นิ้วไปดูที่กระจกเงาบานใหญ่

    วัฒน์ถึงกับยิ้มด้วยความเขินอาย จิตรร้องอ๋อขึ้นทันที แล้วทั้งหมดก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข

    ....................................


    �����������โห..วัฒน์

    ����� เสียงนิ่มดังขึ้นด้วยความตะลึงงันเมื่อวัฒน์มาเยี่ยมถึงบ้านอีกครั้ง หลังจากที่ย้ายไปอยู่บ้านพักของจิตหลายอาทิตย์�� วัฒน์หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายผิวเข้มยิ้มเห็นไรฟันขาวเพิ่มเสน่ห์ให้น่าหลงไหลมากขึ้น�

    บ้าน่า นิ่ม

    วัฒน์เอ่ยเขินๆก่อนจะวางของที่ซื้อมาฝาก และต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อ

    ว้าย..ขอโทษค่ะ

    สาวสวยคนหนึ่งที่ออกมาจากน้องน้ำพอดีก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลังห้องทันที วัฒน์เหลือบไปเห็นชุดนักศึกษาสาวซึ่งแขวนอยู่อีกฟากด้วยสีหน้าไม่เข้าใจนัก�ก่อนจะมองกลับมายังนิ่มที่ยังคงนั่งยิ้มอายๆ

    อืม..อย่าคิดมาก.. เพื่อนฉันเอง
    วัฒน์ยิ่งงเข้าไปใหญ่ ถึงแม้ว่าสิ่งที่วัฒน์เข้าใจอาจไม่ผิด แต่ยังไม่ชัดเจนเท่านั้นเอง ก่อนจะยิ้ม
    แห้งๆด้วยสีหน้าที่พยายามเข้าใจกับสิ่งที่เห็นในสังคมนักศึกษาเมืองกรุง

    ����������������������������������������������หนึ่งสังคม...หนึ่งชีวิตใหม่ และหนึ่งการเรียนรู้
    �������������������������������������เช่นกัน....การเดินทางของชีวิตยังคงต้องเรียนรู้กันตลอดไป���

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×