คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : แก้วจรัสแสง ตอน วังวนแห่งรัก
����������������������������������������������������������
������������������������������������������������������ � บทที่ 7
���
���������� ณ สถานีรถไฟ
����������� “แม่ครับ..แล้วผมจะกลับมาหาแม่นะครับ”
�วัฒน์ในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดธรรดาพูดขึ้น ในขณะยืนอยู่ที่ชานชาลา� เป็นช่วงที่รถไฟกำลังจะเข้าเทียบชานชาลาพอดี ผู้เป็นแม่ยังคงยิ้ม
“แม่จะรอลูก”
ขวัญในชุดผ้าซิ่นเสื้อลายดอกไม้ธรรมดา ยืนนิ่งสีหน้ามีความสุขและความเศร้าผุดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
�
“นี่นายโตแล้วนะ ดูแลแม่ด้วยเข้าใจไหม..เดี๋ยวพี่จะซื้อรถให้เป็นรางวัล” วัฒน์พูดกับน้องชายด้วยรอยยิ้ม
�
“ครับพี่วัฒน์ ลูกเสือสำรองจะดูแลแม่อย่างดีครับ”� ผู้เป็นน้องชายพูดด้วรอยยิ้มมีความสุข
��“แม่ครับ..ผมลาก่อนนะแม่..ผมจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ครับ...สักวันแม่ไม่ต้องขายผักและลำบากอีกแล้วครับแม่...ผมรักแม่นะครับ”
วัฒน์พูดด้วยน้ำตาเต็มเบ้าตา ไม่มีเสียงตอบจากผู้เป็นแม่ที่ยืนนิ่งร้องไห้กอดลูกชายด้วยความรัก
�
“ผมจะตามหาแก้วให้เจอครับแม่”
ผู้เป็นแม่ถึงกับร้องให้โฮทันที สองแม่ลูกกอดกันนิ่งน้องชายสุดฉลาดเดินเข้ามากอดขวัญด้วยความสงสารแม่สุดจะพรรณนา
�������������
�� “แม่ครับ..ผมไปก่อนครับแม่”� พูดจบวัฒน์เดินขึ้นรถไฟทันที ขวัญยังคงยืนนิ่งน้ำตาไหลอาบแก้ม หากแต่ยังคงยิ้มให้วัฒน์ เพราะอีกนานแค่ไหนกว่าลูกจะกลับเข้ามาสู่อ้อมอกอีกครั้ง
....................�
������ รถไฟแล่นออกมาไกลวัฒน์ยังคงตาแดงก่ำ มองออกไปทางหน้าต่างรถไฟ� ทุ่งนาที่เขียวขจีพริ้วไหวไปตามแรงลม ชาวนาเดินกลับบ้านกันเป็นทิวแถวยามตะวันพลบค่ำ แสงทองเริ่มมีบนท้องฟ้าในยามนี้ ความรู้สึกเริ่มหดหู่และเงียบเหงาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้า
�������� นับแต่นี้ต่อไปการเดินทางของชีวิตตัวเองเริ่มขึ้นและนั่นหมายถึงการรอคอยของผู้เป็นแม่ก็เริ่มขึ้นเช่นกัน วัฒน์ละสายตากลับเข้ามาในรถไฟอีกครั้ง ไม่อยากให้ชีวิตท้องทุ่งและภาพวันเก่าผุดขึ้นมาอีกต่อไป พลางล้วงจดหมายที่อยู่ในประเป๋าออกมาคลี่อ่านด้วยสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
�...............
����������สถานีหัวลำโพง
�
“สวัสดีครับน้า..รถสายไหนไปสะพายควายครับ”
วัฒน์เอ่ยถามชายคนหนึ่งที่กำลังยืนคอยรถเมล์หลังจากที่ออกมาจากอาคารสถานีหัวลำโพงได้สักครู่ใหญ่
�
“อืม..ลุงเองก็ไม่รู้พ่อหนุ่ม...”
เสียงชายสูงอายุตอบพร้อมกับเงียบไป วัฒน์มองมองไปรอบๆบริเวณหากแต่ไม่มีที่จะให้นั่งพักก่อนจะเดินไปนั่งที่ริมกำแพงอย่างหมดแรงเหนื่อยอ่อน
�
“อืม..ทำไงดีละเรา..” พูดพลางหันไปมองผู้คนรอบๆ หลายปีมาแล้วที่เคยมาคว้าแชมป์ร้องเพลงหากแต่วันนี้ไม่ได้มาเหมือนวันก่อน พจน์นั่งมองผู้คนก่อนจะยิ้มเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง
“เอาละวะ เป็นไงเป็นกัน”�
.....................
���������
�� “เฮ้ยมาได้ไงเนี่ยะ ดีใจว่ะ”
นิ่มเพื่อนชายคนสนิทสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน พูดดังลั่นด้วยความดีใจ ก่อนวิ่งไปเปิดตู้เย็นยกน้ำมาให้วัฒน์ซึ่งนั่งมองดูไปรอบๆบ้านเพื่อนอย่างไม่คุ้นเคยกับสถานที่นัก
�
“อืม บ้านพักนายก็สบายนะ” ก่อนจะเหลือบไปเห็นเสื้อชั้นในผู้หญิงที่วางอยู่ พร้อมๆกับที่นิ่มหันไปมอง ก่อนจะส่งยิ้มอายๆให้เพื่อนแล้ววิ่งไปเก็บไว้ทันที วัฒน์มองหน้าเพื่อนเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง หากแต่นิ่มยิ้มแล้วตอบเองว่า
“เปล่าหรอก..เพื่อนน่ะ เพื่อน” พูดพลางยิ้มอายๆ วัฒน์ถึงกับนิ่งไม่เข้าใจเพื่อนคนนี้นัก ก่อนจะยกน้ำขึ้นมาดื่มด้วยความกระหาย
.................................
�� “อืม วัฒน์แล้วนายจะทำอย่างไรต่อไป”
�นิ่มถามเมื่อทานอาหารเที่ยงแบบง่ายๆเสร็จแล้ว
“ก็ต้องไปตามที่จดหมาย ส่งมานี่แหละ จะลองไปดู” วัฒน์พูดพลางยื่นจดหมายให้เพื่อนดู
“โห..นี่มันบริษัทใหญ่นะ แล้วนายรู้จักคนที่ส่งจดหมายมาหานายได้อย่างไรวะ”�
นิ่มถามด้วยความสงสัย วัฒน์ยิ้มก่อนตอบว่า
�
“ก็ตอนที่ไปร้องเพลงตามงานต่างๆนั่นแหละ”� นิ่มนิ่งก่อนพูดเหมือนคนรู้ดีในสังคมนี้ว่า
“ฉันว่าบางทีมันอาจจะยากนะ”
�ก่อนจะเงียบไป แล้วหันมามองวัฒน์ วัฒน์ยังคงไม่เข้าใจนักก่อนยิ้มให้
�
“เอาเหอะ ไหนๆก็มาแล้วสู้นะวัฒน์ ฉันจะเป็นกำลังใจให้นายอีกแรง”� นิ่มนักศึษารามคำแหงที่มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงหลายปีพูดขึ้น เหมือนจะเข้าใจเมืองแห่งนี้ดี
����� วัฒน์นิ่งเงียบก่อนมองออกไปยังคลองน้ำสีดำที่อยู่ติดกับบ้านพักอย่างทอดถอนอารมณ์ นิ่มมองเพื่อนด้วยความเข้าใจก่อนจะล้มตัวลงนอนใกล้ๆ
“วัฒน์ ..พรุ่งนี้เราก็บุกกันเลย� นายไม่ต้องกังวลมีฉันทั้งคน” นิ่มพูดก่อนจะหลับทันที วัฒน์มองเพื่อนร่วมรุ่นด้วยรอยยิ้มก่อนจะมองน้ำสีดำที่ยังคงไหลอย่างไม่หยุดสาย
...................................
���� “สวัสดีครับ...เออ ไม่ทราบว่า พี่จิต อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”
วัฒน์เอ่ยถามเมื่อถึงมาออฟฟิศ ซึ่งมีภาพดารานักร้องแปะติดอยู่เต็มไปหมด พนักงานหนุ่มมองวัฒน์ด้วยสีหน้าแปลกๆ เริ่มมองตั้งแต่เท้าจรดศีรษะก่อนบอกว่า
“จำชื่อผิดคนหรือเปล่าน้อง” พนักงานหนุ่มถามด้วยความไม่มั่นใจ
�
“ไม่ผิดครับครับ พี่จิตให้ที่อยู่และจดหมายส่งไปหาผม” ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูก่อนมองมายังวัฒน์อีกครั้งด้วยความไม่มั่นใจ
“นี่..ทำไมต้องถามเยอะวะ..”�นิ่มสุดจะทนสายตาดูถูกไม่ไหว วัฒน์หันมาห้ามเพื่อนไว้ ก่อนหันมายิ้มให้พนักงาน ซึ่งยืนมองดูนิ่มอย่างจะเอาเรื่อง
�
“เก็บปากไว้แดกนะไอ้น้อง...”
สิ้นเสียงพูด นิ่มกระโดดเตะพนักงานล้มลงไปทันที ก่อนจะกระทืบซ้ำหากแต่วัฒน์จับไว้ได้
�
“อย่านิ่ม ฉันขอเถอะ”� นิ่มหันมามองวัฒน์ ก่อนหันจะพูดตะคอกใส่พนักงานที่นอนอยู่กับพื้นว่า
�
“มึงอย่า ทำตัวเว่อร์นัก มึงก็ไอ้แค่คนถ่อยเหมือนพวกกูนี่แหละ”� นิ่มพูดพลางชี้หน้าก่อนจะหันหลังเดินกลับ พนักงานที่นอนอยู่กับพื้นเช็ดเลือดที่มุมปาก พลางรีบลุกขึ้นหยิบไม้ที่ตั้งอยู่หมายจะเข้าไปทำร้ายนิ่มแต่ต้องหยุดทันที เมื่อ
“หยุดนะ”
�เสียงจากชายหนุ่มวัยกลางคนดังขึ้น พนักงานถึงกับหยุดวางไม้ลงทันที ทุกสายตาหันไปมองเจ้าของเสียง วัฒน์ถึงกับอุทานออกมา
“พี่จิต”
.............................
���“พี่ดีใจที่วัฒน์ตัดสินใจมากรุงเทพ และพี่ก็หวังว่านายต้องทำได้ดี”�
��� �จิตพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานอันหรูติดแอร์เย็นเฉียบ วัฒน์มองไปรอบๆห้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ นิ่มยังคงนั่งนิ่งมองฉ่ำที่เดินอยู่ข้างนอกอย่างเคืองๆ จิตหันมาเห็นก่อนจะพูดว่า
�
“อืม..ฉันขอโทษแทนนายฉ่ำมันแล้วกันพ่อหนุ่ม”
นิ่มหันมามองจิตด้วยสายตาเคารพก่อนยิ้มให้
“ไม่เป็นไรครับ”
ก่อนมองไปยังวัฒน์ที่เดินมองรูปภาพนักร้องดังๆด้วยความสนใจ
“วัฒน์”
จิตเรียกในขณะที่วัฒน์หันมาทันที
“ครับพี่จิต”
เสียงตอบรับดังขึ้นทันที ก่อนหันมามองจิตด้วยความเคารพ
“พรุ่งนี้ ฉันจะพานายไปรู้จักกับใครอีกหลายคนรวมทั้งการเรียนรู้และการก้าวเดินไปสู่นักร้องเต็มตัว”
จิตพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น วัฒน์ยกมือไหว้ พร้อมกับรอยยิ้มด้วยความสดชื่นดีใจ�
“นิ่ม..ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”
�วัฒน์ร้องถามเพื่อนด้วยความดีใจ นิ่มยืนขึ้นก่อนเดินเข้ามาใกล้
“วัฒน์นายไม่ได้ฝัน พรุ่งนี้ชีวิตใหม่ของนายเริ่มขึ้นแล้วนะ”
นิ่มพูดก่อนหันมาขอบคุณจิตที่ยังคงนั่งยิ้มอย่างมีความสุข
.................................
�������� “อืม เด็กคนนี้แก้วเสียงดีจริงๆ ลูกคอ ”
�เจ้าของบริษัทห้องอัดเสียงถึงกับกล่าวชมในขณะที่วัฒน์ร้องเพลงอยู่ในห้องอัดเสียง
“วัฒน์��เคยชนะการประกวดร้องเพลงที่กรุงเทพแล้วนะพี่สลา”
จิตอธิบายเจ้าของห้องอัดเสียงผู้เคยสร้างนักร้องมานับร้อยคนแล้ว หากแต่สลาหนุ่มวัยกลางคนยืนนิ่งตั้งใจฟังน้ำเสียงอันไพเราะของวัฒน์ ก่อนจะหันมาพูดว่า
�
“อืม ตกลง ผมโอเค”
�จิตถึงกับยกมือไหว้ครูสลาด้วยความเคารพก่อนยกมือให้วัฒน์ด้วยความดีใจ วัฒน์หันมายิ้มหากแต่ไม่รู้ว่า��
ต่อจากนี้ไป ตัวเองจะได้เป็นนักร้องสมใจหวังแล้ว�การร้องเพลงและการเรียนรู้เพลงของวัฒน์จึงเริ่มขึ้นนะถนนดนตรีตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
“ขอบคุณมากครับ ผมสัญญาว่าผมจะเป็นนักร้องที่ดีและพร้อมจะทำตามอาจารย์สลาทุกอย่างครับ”
วัฒน์ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ ครูสลายิ้ม ก่อนพูดว่า
�
“วัฒน์ร้องเพลงได้เพราะมาก และคิดว่าการเดินทางในครั้งนี้ของวัฒน์ต้องโชคดีแน่นอน”
�ครูสลากล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนหันไปมองจิตที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“อืม อีกอย่างที่ยังไม่ดีพอ” ครูสลาพูดขึ้นหลังจากที่ผละสายตามาจากจิต
�
“มีอะไรที่ต้องปรับปรุงหรือครับครู” จิตเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครูสลายิ้มก่อนจะชี้นิ้วไปดูที่กระจกเงาบานใหญ่�
วัฒน์ถึงกับยิ้มด้วยความเขินอาย จิตรร้องอ๋อขึ้นทันที แล้วทั้งหมดก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข
....................................
�����������“โห..วัฒน์”
����� เสียงนิ่มดังขึ้นด้วยความตะลึงงันเมื่อวัฒน์มาเยี่ยมถึงบ้านอีกครั้ง หลังจากที่ย้ายไปอยู่บ้านพักของจิตหลายอาทิตย์�� วัฒน์หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายผิวเข้มยิ้มเห็นไรฟันขาวเพิ่มเสน่ห์ให้น่าหลงไหลมากขึ้น�
“บ้าน่า นิ่ม”
วัฒน์เอ่ยเขินๆก่อนจะวางของที่ซื้อมาฝาก และต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อ
“ว้าย..ขอโทษค่ะ”
สาวสวยคนหนึ่งที่ออกมาจากน้องน้ำพอดี� ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลังห้องทันที วัฒน์เหลือบไปเห็นชุดนักศึกษาสาวซึ่งแขวนอยู่อีกฟากด้วยสีหน้าไม่เข้าใจนัก��ก่อนจะมองกลับมายังนิ่มที่ยังคงนั่งยิ้มอายๆ
�
“อืม..อย่าคิดมาก.. เพื่อนฉันเอง”
วัฒน์ยิ่งงเข้าไปใหญ่ ถึงแม้ว่าสิ่งที่วัฒน์เข้าใจอาจไม่ผิด แต่ยังไม่ชัดเจนเท่านั้นเอง ก่อนจะยิ้ม
แห้งๆด้วยสีหน้าที่พยายามเข้าใจกับสิ่งที่เห็นในสังคมนักศึกษาเมืองกรุง
����������������������������������������������หนึ่งสังคม...หนึ่งชีวิตใหม่ และหนึ่งการเรียนรู้
�������������������������������������เช่นกัน....การเดินทางของชีวิตยังคงต้องเรียนรู้กันตลอดไป���
ความคิดเห็น