คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : แก้วจรัสแสง ตอน วังวนแห่งรัก
บทที่ 21
�����������ขวัญนั่งมองลูกชายสุดที่รักด้วยน้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะหันมามองลูกชายคนเล็กที่นั่งยิ้มมองพี่ชายตัวเอง
�
“พี่วัฒน์หล่อนะแม่..คิดถึงพี่วัฒน์จังเลย เมื่อไหร่จะซื้อจักรยานมาให้ผม”�
จุกผู้เป็นน้องชายพูดขึ้นด้วยความฉลาดก่อนจะเข้ามากอดผู้เป็นแม่ด้วยความรัก พร้อมจ้องมองผู้เป็นแม่
� “แม่ครับ”
นุชหันมาตามเสียงเรียกของลูกน้อย
�
“อะไรหรือลูก”�
พร้อมกับโอบกอดใช้มือลูบศีรษะลูกรักเบาๆ
“ทำไม แม่ต้องร้องไห้ด้วยครับ”�
จุกถามด้วยความสงสัย พร้อมกับเงยหน้ามองผู้เป็นแม่อีกครั้ง ขวัญยิ้มก่อนพูดว่า
“แม่ดีใจลูก..พี่ชายลูกเป็นเด็กดี..ไม่เคยทำให้แม่เสียใจเลย..”�
ขวัญพูดก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
�
“ผมก็ไม่เคยทำให้แม่เสียใจใช่ไหมครับ”
จุกพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ ผู้เป็นแม่ลูบศีรษะลูกน้อยเบาๆ ก่อนพูดว่า
�
“จุกก็เป็นเด็กดีเหมือนพี่ชายมาก..ลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือนะลูก”
ขวัญพูดพลางลุบศีรษะลูกรักอีกทีอย่างทะนุถนอม
“ครับแม่..ผมสัญญาจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนครับ”
จุกพูดก่อนจะใช้แขนอันเรียวเล็กกอดผู้เป็นแม่อย่างเข้าใจ สองแม่ลูกนั่งดูลูกชายให้สัมภาษณ์รายการทางโทรทัศน์ด้วยความสุขใจ
...........................
�������� “�ต่อไปก็เป็นตอนที่เราต้องมาเจาะใจกันบ้างแล้วหละ”�
พิธีกรพูดขึ้นหลังจากที่วัฒน์ร้องหลายเพลงติดต่อกัน
�
“�ผมเองก็อยากรู้เหลือเกินว่า ชีวิตนักร้องผู้นี้เป็นมาอย่างไร ถึงได้มีวันนี้ วันที่ไม่มีใครนึกว่าคนอย่างเขาจะมีวันนี้ได้”�
พิธีกรคู่พูดเหมือนจะมีข้อมูลอะไรที่มากกว่านั้น พร้อมๆกับสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก
�
“วินาทีต่อไปนี้ขอหยุดเสียงเพลงหวานไว้สักครู่ รายการลูกทุ่งคนเด่นจะ นำท่านผู้ชมไปรู้จักกับหนุ่มผู้นี้ให้มากกว่าเสียงหวานกันดีกว่าครับ.... ขอต้อนรับ คุณ วัฒน์ พัฒนษร ครับ”
������� เสียงประกาศของพิธีกรจบลง วัฒน์เดินยิ้มออกมาในชุดสูทสีขาวเรียบร้อย ก่อนจะยกมือไหว้พิธีกรและท่านผู้ชมในห้องส่ง
“อืม..ผมเองก็เริ่มจะตื่นเต้นครับ”
�พิธีกรพูดขึ้นเรียกเสียงหัวเราะเสียกรี๊ดของผู้ชมสร้างอารมณ์ในการสัมภาษณ์�
“แล้วตื่นเต้นทำไมละครับ..คนที่น่าตื่นเต้นคือน้องวัฒน์ต่างหาก”
พิธีกรอีกคนพูดขึ้นก่อนทั้งคู่จะหัวเราะชอบใจ
......................��
��������ณ ร้านส้มตำย่านาง
“นก..อิ่มจังเลย..เผ็ดอีกต่างหาก”
�แก้วพูดขึ้นเมื่อวางแก้วน้ำส้มลง นกยังคงมองโทรทัศน์ด้วยความสุข หากแต่ปากกยังคงเคี้ยวไก่ย่างอย่างเอร็ดอร่อย�
“เหรอ..ก็ฉันบอกแล้วไงว่า แซ่บๆนะ”
นกพูดพลางก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม
�
“นี่แก้ว..เธอไม่เชื่อฉันเหรอ” นกพูดด้วยสีหน้าจริงจัง�
“นก..คนในโลกนี้หน้าตาเหมือนกันเป็นล้านๆคนนะ ฉันไม่เชื่อหรอก..”�
แก้วพูดก่อนจะยกน้ำขึ้นมาดื่มอีกที
�
“แต่ฉันว่าใช่..แล้วเธอเคยมีเพื่อนสมัยเรียนที่บ้านนอกหรือเปล่า”
นกถามขึ้นก่อนจะตักส้มตำซึ่งมีพริกแดงๆติดอยู่เข้าปากทันที แก้วเงียบไปก่อนพูดว่า
�
“แก้วมีนะ..เป็นเพื่อนต่างโรงเรียนของแก้วเอง แต่เราสนิทกันมาก”�
แก้วพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงวันนั้น
����������� ภาพวันวานของวัฒน์เห็นเด่นชัด ท่ามกลางทุ่งนาที่เขียวขจี สายลมในยามบ่ายพัดพริ้วต้นข้าวไหวเอนไปตามแรงลม เด็กน้อยสองคนกำลังนั่งคุยถึงเรื่องการร้องเพลงที่จะมีขึ้นอีกไม่นาน “แก้ว..ถ้าเธอเป็นนักร้องเธออย่าลืมฉันนะ” เสียงเด็กชายพูดขึ้นในขณะที่ใช้เท้าแช่อยู่ในน้ำ�“วัฒน์..เธอเองก็เหมือนกันนะ..เธออย่าลืมฉันนะ..ฉันสัญญาฉันไม่ลืมเธอหรอก” แก้วพูดขึ้นก่อนจะยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
�� “แก้ว...แก้ว..”�
����� นกเรียกเมื่อเห็นแก้วเงียบไป แก้วตกใจตื่นจากความคิดในอดีต หันมายิ้มให้นก ที่จ้องมองหน้าอย่างแปลกใจ
“�ฉันถามว่าเธอมีเพื่อนบ้างไหมตอนเด็กๆ”� แก้วยิ้มก่อนตอบว่า
“มี..มีหลายคนด้วย”
แก้วพูดก่อนจะใช้ช้อนจิ้มไก่เป็นชิ้นเล็กๆเข้าปาก พร้อมตามด้วยน้ำทันที
“อืม..แต่ฉันว่าใช่นายคนนี้แหละ..ที่สำคัญนายคนนี้แหละยังบอกอีกว่า เป็นเพื่อนเก่าเธอ”�
นกพูดขึ้นเหมือนจะยังยึดอยู่กับความคิดของตัวเอง �ก่อนจะหันไปมองรายการโทรทัศน์ต่อไป
........................
��������� ณ บ้านฟ้าใส
� “ป้า แพรว....พจน์ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
�เสียงจักกฤษพูดขึ้นด้วยความเหนื่อย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องรับแขก�
“ยังเลยค่ะ..ก็ยังไม่ถึงเวลากลับนี่คะ”
ป้าแพรวคนใช้สนิทพูดขึ้นก่อนจะหันไปมองนาฬิกา จักกฤษทำหน้างง ก่อนหันมามองป้าแพรวที่นั่งยิ้ม
�
“ไม่ต้องแปลกใจค่ะท่าน.. ดิฉันรู้เวลาคุณพจน์กลับดีค่ะ”
พูดพลางยิ้ม จักกฤษถึงกับยิ้มตอบรับด้วยความดีใจ
“อืม..ไม่เสียแรงเลยนะ..ที่มีคนดีอย่างป้าแพรวไว้ในบ้าน”
จักกฤษพูดพร้อมกับเอนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมถอนหายใจ
“ทุกวันนี้บ้านเราก็เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่... บ้านหลังโต มีครบทุกอย่าง หากแต่...หาความสุขใจไม่ได้เลยจริงๆ”�
จักกฤษพูดระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้แม่บ้านฟัง ด้วยสีหน้าเศร้าๆ
�
“..ดิฉันว่า...ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่วัตถุค่ะ ท่าน”
จักกฤษหันมามองป้าแพรวก่อนยิ้ม
“.พูดถูกแล้วหละ..ฉันก็อยากมีความสุขเหมือนป้าแพรว...แต่พระเจ้าให้มาเป็นแบบนี้ ฉันเองก็เลือกเกิดไม่ได้แล้ว” จักกฤษพูดพลางยิ้มให้กับตัวเอง�
“.คุณจักกฤษคะ..ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
ป้า แพรวพูดขึ้นก่อนจะรีบเดินจากไป
�
“อ้าว..ป้าแพรวก็จะทิ้งฉันไปอีกคนแล้ว”
�จักกฤษพูดขึ้นอย่างน่าสงสารทำเอาป้าแพรวหยุดกึกไม่ไหวติงทันที สีหน้าเศร้าสลดสงสารผู้เป็นเจ้านาย�
“ป่าวค่ะ..ดิฉันยอมเป็นคนรับใช้ท่านตลอดชีวิตค่ะ..”
ป้าแพรวพูดด้วยความจริงใจ ก่อนจะมองหน้าจักกฤษที่ยังคงนิ่งแววตาอันเศร้ายังคงฉายแววให้เห็น
“ขอให้จริงเถอะ..แล้วทำไมต้องรีบไปด้วย..ไม่อยู่คุยกันก่อน”�
จักกฤษถาม ป้าแพรวถึงกับนิ่ง ก่อนจ้องไปยังโทรทัศน์ที่ยังคงปิดอยู่ จักกฤษหันไปตามสายตาของป้าแพรวอย่างสงสัย ก่อนพูดว่า
�
“จะรีบกลับไปดูโทรทัศน์”�
จักกฤษถามเหมือนจะเข้าใจดี ป้าแพรวยิ้มอายๆก่อนพูดเบาๆว่า
�
“ค่ะ..คืนนี้เป็นคืนนักร้องลูกทุ่งที่ไม่เคยเห็นตัวตน ได้ยินแต่เสียงมาตลอดให้สัมภาษณ์ค่ะ”�
ป้าแพรวพูด จักกฤษรีบหยิบรีโมทขึ้นมากดทันที
� ...........................................
�� “น่าสงสารชีวิตก่อนมีวันนี้นะครับ ผมคิดว่า เพราะความกตัญญู ที่ทำให้น้องวัฒน์มีวันนี้ขึ้นมาได้”�
พิธีกรสรุป วัฒน์ยังคงนั่งนิ่ง เมื่อพิธีกรพูดถึงผู้เป็นมารดา
�
“นั่นซิครับ... สังคมเราทุกวันนี้ มีแต่จ้องจะฉวยโอกาส..หาโอกาสกันมาก มากกว่าจะสร้างความดีและสร้างพลังให้ตัวเองเพื่อวันข้างหน้า นักร้องและดาราจึงดังได้ไม่นาน นี่ก็เป็นอุธาหรณ์สอนใจน้องๆที่จะก้าวขึ้นมาสู่วงการมายาหรือนักร้องนะครับ”�
พิธีกรพูดเสนอและสอนในแง่ความคิด ก่อนจะยิ้มให้กัน
�
� “.ผมลืมถามไปเลย”� พิธีกรอีกคนพูดขึ้นก่อนจะหันมามองหน้าวัฒน์ที่ยังคงนั่งยิ้ม�
“บ้านเกิดจริงๆอยู่ที่ไหนหรือครับ”� พิธีกรยิงคำถามที่ไม่น่าลืมจะถาม วัฒน์ยิ้มก่อนพูดว่า
“ผมเป็นคนบ้านนอกครับ อยู่หมู่บ้านทุ่งหว้า”
���� ......................
�������������� คำพูดที่ออกมาจากปากวัฒน์ด้วยดวงตาอันเศร้าๆ ทำเอาแก้วถึงกับวางแก้วน้ำลงทันที ก่อนจะหันไปมองจอโทรทัศน์ทันที
“หมู่บ้านทุ่งหว้า”
ยังคงก้องอยู่ในหูอย่างไม่เชื่อตัวเองนัก�
“แก้ว..แก้ว..” นกรีบร้องบอก
�
“บ้านทุ่งหว้า ที่เธอเคยเล่าให้ฉันฟัง”�
นกพูดด้วยความตื่นเต้น หากแต่ต้องหยุดทันทีเมื่อหันไปมองแก้วที่จ้องมองไปยังจอโทรทัศน์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ก่อนนกจะเงียบไปและหันไปดูรายการต่อไปด้วยความสนใจ
�........................
������������ ณ บ้านฟ้าใส
���� “นั่นไงคะ..เสียงรถคุณพจน์มาแล้วค่ะ”
�ป้าแพรวพูดขึ้นพร้อมๆกับรีบเดินออกไปรับทันที� จักกฤษหันไปมองก่อนจะเบนสายตาดูรายการสัมภาษณ์สดต่อไป�
“สวัสีดครับ คุณพ่อ..ยังไม่นอนอีกหรือครับ”�
พจน์ถามเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในคฤหาสถ์ใหญ่ เห็นผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ห้องโถงใหญ่ด้วยรอยยิ้ม
“ยังไม่ง่วงเลยลูก เลยมานั่งดูรายการโทรทัศน์กับป้าแพรว”� จักกฤษพูดด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะพ่อ”� เสียงหวานใสของจีน่าดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มหวาน
“อ้าวลูกจีน่า..ไม่เห็นบอกพ่อก่อนเลย..นั่งก่อนลูก”
จักกฤษหนุ่มใหญ่พูดขึ้นด้วยความเป็นกันเองก่อนจะรีบนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ตัวโต จีน่าหันมายิ้มให้พจน์ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาจักกฤษทันที
“คิดถึงพ่อนานแล้วค่ะ แต่งานที่บริษัทยุ่งเหลือเกิน เลยไม่ค่อยได้มีโอกาส วันนี้ว่างเลยมาหาพ่อเลยค่ะ” จีน่าพูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก ป้าแพรวยกน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ
“เชิญดื่มน้ำก่อนค่ะ คุณจีน่า”�ป้าแพรวพูดก่อนจะส่งยิ้มให้
�
“ขอบคุณป้าแพวนะคะ”
�จีน่ากล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มพลางหันไปมองพจน์ซึ่งยังคงยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอก
� “พ่อดูรายการอะไรอยู่คะ”
จีน่าถามเมื่อวางแก้วน้ำลงค่อยๆ จักกฤษเบนสายตาจากโทรทัศน์หันมายิ้ม พลางพูดว่า
“ดูรายการสัมภาษณ์นักร้อง น่าสงสารลูก” จักกฤษพูดก่อนจะหันไปดูโทรทัศน์ต่อไป จีน่ารู้สึกซาบซึ้งในความมีเมตตาของจักกฤษ
� “นักร้องคนนี้ เสียงเพราะมาก ป้าฟังเพลงทางรายการวิทยุทุกคืนค่ะ แต่ไม่เคยมีใครเห็นตัวตน วันนี้แหละค่ะ เพิ่งเห็นตัวนักร้อง”�
ป้าแพรวอธิบายอย่างชัดเจน จีน่าหันตามมามองรายการอย่างสนใจเช่นกัน
�
“อ้าว..นั่งนิ่งกันหมดเลย” พจน์พูดขึ้นก่อนจะเดินมาที่เก้าอี้ตัวโต
�จักกฤษยิ้มก่อนพูดว่า
�
“พจน์..ลูกจำได้ไหมลูก เมื่อหลายปีก่อน”
จักกฤษพูดขึ้นเมื่อพจน์เดินเข้ามา
�
“ทำไมหรือครับพ่อ” พจน์ถามด้วยความงง เมื่อถูกผู้เป็นพ่อถามขึ้น
“นี่ไง นักร้องที่เราเคยไปเชียร์ลูกแก้วนะลูก.. เป็นคนเดียวกันหรือเปล่า พ่อจำไม่ได้นะ”�
จักกฤษพูดขึ้นด้วยความสงสัย พจน์ถึงกับนั่งลงทันที ก่อนจะจ้องมองไปยังรายการสัมภาษณ์อย่างตั้งใจ
�
“ไม่ทราบครับพ่อ เมื่อก่อนเด็กนะครับ ผมจำไม่ได้แล้วหละ”
�พจน์พูดตอบก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม
�
“แต่เมื่อตะกี้เขาบอกว่าเป็นคนหมู่บ้านอะไระ พ่อจำได้ว่า ทุ่งอะไรสักอย่างนี้แหละ”�
จักกฤษทำท่าคิดก่อนจะเงียบไป
�
“ทุ่งหว้าค่ะ”� ป้าแพรวรีบเสริมขึ้นทันที
“อืม..ใช่แล้วลูก ทุ่งหว้า”�
จักกฤษพูดด้วยเสียงดังเมื่อนึกขึ้นได้ พจน์ถึงกับหน้าซีดเผือดวางเสื้อสูทลงบนเก้าอี้ทันที ก่อนจะตั้งใจดูรายการอีกคน จีน่ารู้สึกแปลกใจและไม่รู้เรื่องราวเมื่ออดีตดีนักก่อนจะมองทุกคนด้วยสีหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ทุกคนพูดกัน
.................................
����������
� “ได้ข่าวว่า น้องวัฒน์เป็นตัวแทนประกวดร้องเพลงของโรงเรียนระดับประถมมาก่อนใช่ไหมครับ” พิธีกรพูดถามด้วยรอยยิ้ม
“ครับผม ..ผมได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนบ้านทุ่งหว้าและได้ไปซ้อมร้องเพลงกับโรงเรียนบ้านทุ่งขี้ไก่ครับ”�
วัฒน์ตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆ เมื่อเอ่ยถึงหมู่บ้านของคนที่จากวัฒน์ไปนานเหลือเกิน
................................
��� แก้วถึงกับน้ำตาไหลพราก ความเศร้าในอดีตเข้ามาปกคลุมความรู้สึกอีกครั้ง
“บ้านทุ่งขี้ไก่”
�อดีตวันวานของบ้านเกิดเมืองนอนผุดขึ้นมาอีกครั้ง อย่างห้ามไว้ไม่ได้
.............................
���������� “ผมมีรูปที่ทุกคนจะได้รับรู้ว่า เป็นรูปที่น้องวัฒน์รักมาก”
พิธีกรเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม��วัฒน์ถึงกับนิ่งอึ้งไปพักใหญ่สีหน้าเปลี่ยนเป็นแดงทันทีเมื่อโดนลูกเล่นของพิธีกรพูดขึ้น
“จริงซิครับ..น้องวัฒน์มีของที่รักและเป็นกำลังใจด้วย”�
พิธีกรอีกคนพูดก่อนจะหันมามองวัฒน์� วัฒน์ยิ้มสีหน้าแห้งๆด้วยความงง ไม่คิดว่าจะมีการนำสิ่งที่ตัวเองเก็บไว้ออกมาโชว์� ทันใดนั้นพิธีกรลุกขึ้นยืนก่อนพูดว่า
�
“ผมแอบไปถามผู้ที่ผลักดันให้น้องวัฒน์มีวันนี้ขึ้นมา ท่านบอกว่า”�
พิธีกรพูดก่อนจะหันไปมองวัฒน์ที่ยังคงนั่งตะลึงทำสีหน้าไม่ถูกว่าพีธีกรหมายถึงอะไร�
“และนี่คือสิ่งที่น้องวัฒน์หวงที่สุดในชีวิตครับ”
พูดพลางโชว์รูปถ่ายสมัยเด็กของวัฒน์และเด็กผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ในชุดสีครีมน่ารัก
�� .............................
��������� “แก้ว...”�
พจน์เอ่ยขึ้นด้วยความตะลึงงัน มือไม้เย็นเฉียบ�
�
“แก้ว..”
เสียงอุทานดังขึ้นอีก ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าเศร้าๆ สองพ่อลูกมองหน้ากันด้วยความเข้าใจ
.....................
���������� “วัฒน์”
แก้วอุทานออกมาเบาๆน้ำตาไหลอาบแก้ม มือไม้สั่นเทาหากแต่สายตายังคงจับจ้องหน้าวัฒน์อย่างไม่กระพริบตา
�
“แก้ว..นั่นรูปเธอตอนเด็กใช่ไหม”
นกถามขึ้นด้วยเสียงเศร้าๆเมื่อเห็นแก้วนั่งน้ำตานองหน้าด้วยความคิดถึง ไม่มีคำตอบจากแก้ว นอกจากหันมามองนกด้วยดวงตาอันเศร้า
�
“แก้ว..ทำใจดีๆ.." นกรีบเดินมานั่งใกล้แก้วอย่างเข้าใจ
“แก้ว..ฉันเข้าใจเธอ..”�
��������������������������������������
������������������������������������� �����การรอคอย แม้เป็นสิ่งทรมาน หากแต่ยังหวานสำรับผู้ที่รอ
����������������������������������������������� แม้บางครั้งผลการรอ คือความว่างเปล่าจากผู้ที่เฝ้ารอ
�����������������������������������������
ความคิดเห็น