คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : แก้วจรัสแสง ตอน วังวนแห่งรัก
������������������������������������������������������������ บทที่ 17
��������� “แก้ว..แก้ว”
เสียกเรียกของนุชดังขึ้น เมื่อสังเกตุเห็นห้องของลูกสาวปิดประตูเงียบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ก่อนนุชจะผลักประตูเบาๆ .....นุชนึกแปลกใจ....เพราะทุกครั้งที่ออกจากบ้านแก้วจะปิดประตูเสมอ
�
“แปลกจริง...ไปไหนกันนะ... ประตูก็ไม่ปิด”�
พูดพลางรีบเดินเข้าไปในห้องทันที นุชมองไปรอบๆห้องของลูกสาวซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่ตนจะเข้ามาในห้องส่วนตัวของลูก��
������� � ก่อนจะเดินมาหยุดที่เก้าอี้ตัวเล็กมุมหนังสือติดขอบหน้าต่าง ลมพัดผ่านมาช่างสดชื่นเสียเหลือเกิน�....ห้องนอนสะอาดถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบ
“อืม..แก้วน่ารักจริงๆลูกแม่”
นุชพูดกล่าวชมเมื่อเห็นห้องถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะมองมายังหนังสือซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ หน้าปกมีภาพเกี่ยวกับเรือนร่างของมนุษย์ นุชถึงกับมีสีหน้าหวาดกลัว ก่อนจะรีบหยิบหนังสืออีกเล่มซึ่งวางอยู่ที่คั้นหนังสือออกมาปิดทันที
����� แต่ทันใดนั้น มีซองจดหมายตกลงมาบนพื้นห้องพร้อมๆกับสร้อยเส้นหนึ่ง� นุชหยิบขึ้นมาดูทันที
�
“เอ๊ะ นี่มันสร้อย...”
ภาพวันวานเรียกความทรงจำกลับเข้ามาทันที
“แม่คะ..พี่คนนั้นฝากสร้อยเส้นนี้ไว้ให้แก้วค่ะ..และแก้วจะแขวนไว้ตลอดไปค่ะแม่”�
แก้วพูดขึ้นในขณะที่กลับจากโรงพยาบาล พร้อมกับใส่สร้อยเส้นนี้มาโดยตลอด นุชนึกแปลกใจยิ่งกว่านั้น.......เมื่อเดือนที่ผ่านมา สร้อยเส้นนี้ก็ยังอยู่ที่กับของแก้วมาตลอด
�
“แม่คะ..ไปถ่ายแบบมาหนู รู้สึกมั่นใจเพราะสร้อยเส้นนี้ไงคะแม่..”�
นุชสับสนเกินกว่าที่จะเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวในยามนี้� �ก่อนจะรีบเก็บเข้าซองทันที แต่ยิ่งเพิ่มความสับสนไปกว่านั้นเมื่อมีจดหมายแผ่นเล็กซ่อนอยู่ นุชไม่กล้าจะเปิดโลกส่วนตัวของลูกสาวมากแต่ครั้งนี้มันเหมือนมีอะไรมากระตุ้นให้ต้องทำก่อนจะเปิดซองด้วยมือสั่นเทา
�
“กำลังใจที่แก้วเคยแอบมี...ต่อไปนี้คงจบกันแล้ว �คงจะมีแต่กำลังใจจากฉันและแม่เท่านั้นเองที่พึงมี”��
นุชเงยหน้าขึ้นด้วยความกระจ่างหากบางตอนยังไม่ชัดนัก....พร้อมๆกับเก็บเข้าซองไว้ที่เดิมทันที ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
..............................
������������ “ อืม..แก้วไปไหนคุณนุช..ผมไม่เห็นมาหลายวันแล้ว”
จักกฤษเอ่ยถามในขณะที่เดินเข้ามาหา ที่ห้องรับแขก นุชนิ่งเงียบก่อนจะพูดว่า
“ไม่ทราบค่ะ วันนี้นุชหาแก้วทั้งวันก็ไม่เจอค่ะ โทรไปก็ไม่รับสาย”
นุชพูดด้วยสีหน้ากังวล จักกฤษนิ่งเงียบเหมือนใช้ความคิด
“อืม..ลูกพจน์ก็เหมือนกัน หมู่นี้แปลกไป ตั้งแต่วันที่ลูกแก้วไปเยี่ยมที่ทำงาน”�
จักกฤษพูดก่อนจะนิ่งเงียบไปเช่นกัน
�
“อะไรนะคะ แก้วนะหรือคะไปเยี่ยมลูกพจน์”
นุชถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจนัก
“อืม อ้าว... ทำไมคุณนุชไม่ทราบหรือครับ” จักกฤษถามด้วยความสงสัย
�
“ค่ะ..แก้วไม่ได้บอกอะไรเลยค่ะ”� นุชพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้น...เพื่อจะได้รู้ทันเหตุการณ์ในจดหมายฉบับนั้น
�
“แล้ว วันนี้ คุณจักกฤษมาหาแก้วเรื่องอะไรหรือคะ”
นุชเอ่ยถามทันที จักกฤษนิ่งเงียบก่อนจะพูดว่า
�
“จะมาขอให้ลูกแก้วอยู่บ้านสักระยะหนึ่งก่อน เพราะผมอยากไปพักผ่อนเงียบๆคนเดียวสักพัก”�
จักกฤษพูดก่อนจะก้มหน้าเงียบด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก นุชมองมายังจักกฤษด้วยความสงสัย เพราะหลายวันมานี้นุชไม่เคยไปบ้านหลังใหญ่จึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากนัก
“คุณจักกฤษคะ..แก้วบอกพี่เรื่องจะกลับบ้านแล้วหรือคะ”�
นุชพูดด้วยเสียงไม่เต็มคำนัก ก่อนจะมองมายังจักกฤษที่มีแววตาอันเศร้า ก่อนตอบว่า
�
“ใช่ครับ..เมื่อสองวันก่อนแก้วเข้ามาบอกผมว่าจะกลับขอกลับไปอยู่บ้าน”�
จักกฤษพูดด้วยเสียงเศร้าๆแววตาฉายแววทุกข์ใจเหลือคณา นุชยังคงจ้องมองมายังจักกฤษด้วยความเข้าใจดี
�
“อืม..ก็คงถึงเวลาที่แก้วเองก็อยากมีชีวิตใหม่..ผมคงกักลูกไว้ไม่ได้หรอก..คุณนุชว่าไหมครับ”�
จักกฤษพูดก่อนจะหันมายิ้มด้วยสีหน้าหม่นหมองยิ่งนัก
“คุณนุชครับ..ผมเป็นห่วงลูกแก้วมาก และผมก็..”�
จักกฤษเงียบลงทันทีเหมือนไม่อยากพูดอะไรต่อไป นุชยังคงเงียบตั้งใจฟังทุกคำพูด ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า
“คุณจักกฤษณ์คะ..ความรู้สึกเราก็ไม่ต่างกันคะ นุชเองสงสารแก้ว และสงสารลูกพจน์ด้วยเช่นกัน”�
นุชพูดเสมือนหนึ่งว่าเข้าถึงความรู้สึกจักกฤษ ก่อนที่ทั้งสองจะหันมายิ้มให้กัน
“คนเราก็แบบนี้หละค่ะ..บางทีการห่างกันสักระยะ อาจทำให้รู้จักถึงความรู้สึกและความต้องการของตัวก็ได้นะคะ”� นุชพูด
...........................................................
������ เช้าวันใหม่ท้องฟ้าแจ่มใส
�� พจน์ในชุดนอนสีขาวสะอาดตา นั่งอยู่หน้าระเบียงห้องนอนของคฤหาสถ์ใหญ่เพียงลำพังคนเดียว สายตายังคงทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย บ่อยครั้งที่ถอนหายใจแรงๆเสมือนหนึ่งว่าแก้ปัญหาไม่ตกสักที ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองขึ้นไปบนฟ้า พลางสูดหายใจเข้าเต็มปอด และต้องชะงักลงทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นรถคันงามเข้ามาจอดที่ประตูใหญ่หน้าตึก ก่อนจะจ้องมองอย่างไม่กระพริบตา
�
“เอ..ใครกันนะมาแต่เช้าตรู่เลย”�
พจน์พูดขึ้นด้วยความสงสัยเป็นที่สุด ทันใดนั้นอารมณ์โกรธวิ่งเข้ามาในความรู้สึกทันทีเมื่อเห็นผู้ที่ลงจากรถ พร้อมกับเสียงอุทานดังขึ้น
�
“สร้อย”�
สาวร่างสูงเพรียวด้วยชุดกระโปรงสั้นสีครีมรองเท้าบูทสูงถึงเข่า เสื้อแจ็คเก็ตสีดำสวมทับเสื้อตัวในบางๆสีขาวสั้นเหนือสะดือ� ก้าวลงมาจากรถด้วยทรงผมสุดเซ็กซี่ ก่อนจะแอบชะเง้อมองเข้ามาในบ้าน พลางรีบเปิดประตูเข้ามาทันที พจน์ถึงกับนิ่งไปชั่วขณะความเจ็บปวดเมื่อวันวานคืบคลานเข้ามา แม้จะเป็นคนที่เงียบขรึมหากแต่ สายตายามโกรธย่อมปิดไม่มิดในสิ่งที่ซ่อนเร้นเช่นกัน
....................
��������� สร้อยเดินเข้าบ้านด้วยความเร่งรีบเพราะเวลานี้ สร้อยรู้ดีว่าทุกคนกำลังพักผ่อนโดยเฉพาะวันหยุด ก่อนจะรีบเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนทันที เมื่อก้าวแรกแตะบันได ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเงยหน้าขึ้น เจอกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดอยู่พักผ่อนอยู่กับบ้านกำลังเดินลงมาพอดี
�
“พ่อ”�
สร้อยถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ สีหน้าสำนึกผิดผุดขึ้นมาให้เห็นทันทีก่อนจะสำรวจการแต่งกายตัวเองอีกครั้ง จักกฤษยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีคำพูดจาใดๆ
“พ่อคะ..สวัสดีค่ะ”
� สร้อยยกมือไหว้ด้วยความเกรงในความเงียบของผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า จักกฤษยังคงนิ่งเงียบก่อน จะเดินลงมาใกล้ๆ
“สวัสดีลูกสร้อย”�
พูดพลางรีบเดินลงไปชั้นล่างทันที คงปล่อยให้สร้อยมองผู้เป็นพ่อเดินผ่านไปอย่างไม่เข้าใจ หากแต่ทว่าความรู้สึกๆแล้วเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นพ่อดี ก่อนจะยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งพร้อมๆกับรีบเดินขึ้นห้องไปทันที
................................
���� จักกฤษเดินลงมาที่สนานหน้าบ้านด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หากแต่ยังมีรอยยิ้มให้นายชิดในขณะที่รดน้ำต้นไม้อยู่ไม่ไกลนัก นายชิดรับยิ้มก่อนจะเดินเลี่ยงไปฉีดต้นไม้อื่นต่อไป ...............จักกฤษเดินตรงมายังเก้าอี้นั่งเล่นซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะนั่งลงช้าๆพลางมองไปรอบๆตัวบ้านใหญ่หลังนี้
� “คุณจักกฤษคะ..จะรับอะไรดีก่อนไหมคะ”
เสียงป้าแพรวแม่บ้านใจดีเดินเข้ามาถาม ก่อนที่จักกฤษจะหันมายิ้ม เป็นคำตอบไปในตัว ป้าแพรวยิ้มตอบรับก่อนพูดว่า
“หมู่นี้ป้าเห็นคุณจักกฤษไม่ค่อยยิ้มแย้มเลยนะคะ”�
ป้าแพรวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้จักคุณจักกฤษดีกว่าใครๆ จักกฤษส่งยิ้มเหมือนกับจะบอกว่าใช่แล้ว ป้าแพรวถอนหายใจก่อนจะรีบเดินจากไปทันที� จักกฤษยังคงทอดสายตาไปทั่ว หากแต่แววตายังคงเศร้า ก่อนจะมาจบลงที่แหวนซึ่งสวมอยู่ในนิ้วมือของตัวเอง ภาพวันวานผุดขึ้นมาให้สบายใจเพียงชั่วขณะ
�
“พี่คะ..แหวนวงนี้ อรรักมากเป็นแหวนที่แม่ให้มา และอรคิดว่าถ้าจะให้แหวนวงนี้กับใคร นั่นก็หมายถึงอรรักเขามากเช่นกัน..อรให้พี่...ยามที่เราไกลกันพี่ดูแหวนวงนี้นะคะ แล้วอรจะอยู่ใกล้พี่เสมอ”
���� เสียงหวานใสของผู้ซึ่งเป็นที่รัก..หนึ่งเดียวในดวงใจดังขึ้น เมื่อครั้งที่ทั้งสองร่วมใช้ชีวิตกันใหม่ๆ จักกฤษยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะยกมือขึ้นมาจูบแหวนสุดแสนจะคิดถึง
� “อรทัย..คุณหนีจากผมไปไหน...ถ้าคุณอยู่ผมคงไม่ต้องทรมานอยู่อย่างนี้”�
จักกฤษนึกในใจเพียงลำพัง ทุกครั้งที่มีเรื่องไม่สบายใจ หากแต่เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบอกใครได้�
“คุณจักกฤษคะ..กาแฟมาแล้วค่ะ”�
เสียงป้าแพรวดังขึ้นพร้อมๆกับกาแฟสีดำวางลงบนโต๊ะทันที จักกฤษส่งยิ้มก่อนพูดว่า
“ยังไม่มีใครตื่นอีกหรือครับป้าแพรว”
�จักกฤษถามก่อนจะยกแก้วสีขาวขึ้นมาดื่ม ป้าแพรวถึงกับหน้าซีดทันที ไม่มีคำตอบ ยังคงนั่งเงียบ
“อ้าว..ว่าไงครับเป็นใบ้ไปอีก”
จักกฤษพูดพลางล้อเมื่อเห็นแม่บ้านคนสนิทเงียบไป ก่อนจะหันมามองป้าแพรวด้วยสายตาเค้นคำตอบ ป้าแพรวไม่กล้าสบตา...หากแต่ต้องตอบว่า
�
“เออ..คือว่า..”
ป้าแพรวยังคงตะกุกตะกักไม่กล้าตอบนัก
�
“คือว่า..ดิฉันได้ยินคุณสร้อยทะเลาะกับคุณพิจิตราค่ะ”
พูดพลางก้มหน้าลงทันที จักกฤษถึงกับหยุดจากการดื่มกาแฟทันที ก่อนจะวางลงบนโต๊ะและมองไปยังคฤหาสถ์หลังงามด้วยสีหน้าไม่สบายใจทันที
.........................................
������ “แม่ก็อีกคน..ชอบถ่วงความเจริญคนอื่นอยู่เรื่อย...”
เสียงสร้อยพูดดังกังวานไปทั่วห้อง พิจิตรายังคงนิ่งเงียบ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ลูกสร้อย..ทำไมลูกไม่ฟังแม่บ้าง....ลูกทำอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ลูกมีพ่อมีแม่และมีพี่ชายนะลูก” พิจิตราพูดให้เหตุผลด้วยเสียงอันราบเรียบไม่แสดงความโกรธให้ผู้เป็นลูกเห็น หากแต่ประโยคนี้ทำให้สร้อยถึงกับหันขวับพร้อมๆกับสายตาอันคมกริบ
�
“แม่คะ...แม่พูดอะไรออกมา..แม่รู้ตัวบ้างหรือเปล่าคะ..”
�สร้อยถามก่อนจะเดินเข้ามาหาผู้เป็นแม่พร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความแค้นฝังใจมานาน
“แม่คะ..แม่ยังคิดว่าหนูมีพ่อและพี่ชายอยู่อีกหรือคะ..หนูจะบอกแม่ว่า แม่คิดผิดค่ะ”
สร้อยพูดก่อนจะยกกล่องที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงออกมาทันที พร้อมกับขว้างออกไปใกล้ประตูห้อง
�
“นี่ไงคะแม่..สิ่งที่หนูคิดเสมอว่า..พ่อและพี่ชายไม่ใช่พ่อและพี่ที่แท้จริงของหนู..หนูเกลียดพวกเค้าค่ะแม่”�
สร้อยพูดพร้อมๆกับน้ำตาเต็มเบ้าตา หากแต่ยังคงมีรอยยิ้มแค้นๆอยู่ตลอดเวลา พิจิตราเกินที่จะทนคำพูดอันหยาบคายของลูกสาวได้อีก�� ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับจับไหล่ลูกไว้
�
“ลูกสร้อย..,ลูกเป็นอะไรไปลูก..แม่ขอนะ .ลูกจะด่าว่าแม่ แม่ไม่โกรธลูก ...แต่แม่ขอ..อย่าด่า...”�
พิจิตราพูดขึ้นน้ำตานองหน้า สร้อยน้ำตาร่วงก่อนจะหันมามองผู้เป็นแม่�สองแม่ลูกสบตากันอย่างเข้าใจอะไรดีหากแต่ต่างฝ่ายต่างปิดบังเอาไว้
�“ทำไมละแม่..ทำไมหนูจะด่าและว่าพ่อไม่ได้ ..ก็ที่หนูพูดมันเป็นความจริง..พ่อและพี่พจน์ไม่เคยเห็นหนูอยู่ในสายตา พ่อตามใจพี่พจน์ทุกอย่าง แล้วหนูละ..ถ้าหนูไม่ทำแล้วใครจะมาทำให้หนูคะแม่..ตอบหนูมาซิแม่..ตอบหนูมา..”
�สร้อยพูดก่อนจะก้มหน้านั่งร้องไห้บนเตียงนอนอย่างน้อยใจตัวเอง
�
“ลูกสร้อย....พ่อและพี่ชายรักลูกมาก ..และรักสร้อยที่สุดนะลูก..ทำไมลูกว่าพ่ออย่างนี้” พิจิตราเดินเข้ามาโอบกอดลูกสาวผู้เป็นที่รักอย่างเข้าใจ หากแต่สร้อยปัดแขนผู้เป็นแม่ออกทันที
“แม่ไม่ต้องมาตอบแทนพวกเขาเลย... หนูไม่เคยคิด..ว่าหนูมีพ่อและมีพี่..แม่คะ..แม่ต้องรับความจริงบ้างค่ะ”�
สร้อยพูดด้วยความเจ็บปวดก่อนจะเงียบลง...คงมีแต่เสียงร้องดังออกมา� พิจิตรายังคงอึ้งและไม่เข้าใจความหมายที่สร้อยพูด � สร้อยเงยหน้ามามองผู้เป็นแม่ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก พร้อมๆก้มหน้ากัดฟัน...ก่อนพูดว่า
�
“แม่คะ..หนูสังเกตุมาตลอดและรู้ความจริงดีค่ะแม่.... ว่าพ่อไม่เคยรักและแคร์แม่เลยจริงไหมคะ”
"เพี๊ยะ...."
�พิจิตราเดินปรี่เข้ามาตบหน้าสร้อยอย่างจัง ก่อนที่น้ำตาแห่งความเจ็บปวดของพิจิตราจะหล่นร่วงกับพื้น พิจิตรายังคงยืนตัวสั่นกับความจริงที่ถูกหยิบขึ้นมาพูด และออกมาจากปากลูกสาวคนเดียวอย่างคาดไม่ถึง หากแต่ตายังคงจ้องอยู่กับผู้เป็นลูกที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง
“แม่ไม่รับความจริงใช่ไหมคะ..แม่กลัวใช่ไหมคะ”�
สร้อยพูดตอกย้ำความจริง..อย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
“อย่าพูดคำนี้ให้แม่ได้ยินอีกนะ แม่ขอร้อง..ถึงแม้ว่า พ่อของลูกจะรักหรือไม่รัก แม่ไม่รู้ แต่แม่รู้ว่าทุกวันนี้ แม่เป็นหนี้ชีวิตของพ่อของลูกคนนี้มาก”
พิจิตราพูดกัดฟันน้ำตายังคงไหลอาบแก้มเพราะความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่หลายปีโดนกระเทาะออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ถ้าแม่ไม่รับความจริง ก็ไม่เป็นไรค่ะ....แต่หนูขอบอกว่า....หนูเกลียดคนที่นี้มาก”
สร้อยพูดพร้อมๆกับเตะกล่องใบนั้นอย่างแรง ภาพถ่ายของจักกฤษและพจน์กระจายไปทั่วห้อง เป็นเวลาที่จักกฤษเดินเปิดประตูเข้ามาพอดี
�� ��พิจิตราและสร้อยถึงกับหยุดนิ่งมองไปที่ชายร่างใหญ่ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มองดูรูปที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้องอย่างเข้าใจเด่นชัด�
�“พี่จักกกฤษ”�
พิจิตราถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ สร้อยยังคงยืนนิ่งหากแต่สายตายังคงจ้องมองผู้เป็นพ่ออย่างไม่หวั่นเกรงใดๆ
�����������������������
�ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายและยังคงจีรัง
อย่ามัวสร้างภาพทับความเป็นจริง
เพราะสักวันจะไม่เหลือแม้คนชิดใกล้
����������������
�
ความคิดเห็น