ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แก้วจรัสแสง ตอน วังวนแห่งรัก

    ลำดับตอนที่ #15 : แก้วจรัสแสง ตอน วังวนแห่งรัก

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ย. 55


    ����������������������������������������������������������
    ��������������������������������������������������������� บทที่ 15


    �������� นุชในชุดสบายๆสีขาวทั้งชุดนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ เพียงลำพังในยามเช้าเหมือนทุกวันที่ปฎิบัติมาก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พลางหันไปมองรอบๆบริเวณบ้านที่ยังคงเงียบสงัด ไม่เหมือนทุกวันที่ผ่านมา

    "วันนี้ไม่ใช่วันหยุด..ทำไมลูกแก้วยังไม่ตื่นอีก"
    นุชนึกเอะใจขึ้นมาเมื่อไม่เห็นแก้วเหมือนทุกวัน ก่อนจะลุกขึ้นจากการนั่งขัดสมาธิทันที บ้านยังคงเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่

    "สำลี"
    �นุชเรียกเมื่อเห็นสำลีกำลังรดน้ำกล้วยไม้อย่างมีความสุข

    ".สำลีอยู่นี่ค่ะ" สำลีพูดพลางรีบเดินเข้ามาหาทันที

    "มีอะไรให้สำลีรับใช้หรือคะ"
    �สำลีพูดขึ้น ก่อนที่จะยิ้มอายๆเมื่อนุชมองมายังสำลีอย่างจะเอาเรื่อง

    "ขอโทษค่ะ..สำลีชอบลืม"
    สำลีกล่าวขอโทษเพราะนุชไม่ชอบคำพูดนี้ ก่อนจะพูดใหม่ว่า�

    "มีอะไรหรือคะ"ครั้งนี้เป็นผล เมื่อนุชยิ้มและพูดว่า

    "ดีมาก"ก่อนจะชะเง้อมองอะไรสักอย่าง สำลีมองก็รู้ว่านุชต้องการอะไรก่อนพูดขึ้นว่า

    "คุณแก้ว เพิ่งจะเข้านอนเมื่อเช้าเองค่ะ"
    สำลีพูดขึ้น นุชถึงกับหน้าซีดไปทันที


    "เพิ่งนอนเมื่อตอนเช้า"
    ก่อนจะอุทานเบาๆ พลางหันไปมองสำลีเหมือนรู้ดีว่าสำลีต้องรู้รายละเอียด

    "เปล่าค่ะ..สำลีไม่รู้อะไรค่ะ รู้แต่เพียงว่า ตอนที่สำลีลุกขึ้น เห็นห้องคุณแก้วยังเปิดไฟสว่างจ้าอยู่ และเห็น.."สำลีพูดพลางก้มหน้าไม่กล้าพูด

    "อ้าว..พูดให้จบสิ.." นุชพูดขึ้นเมื่อเห็นสำลีหยุดพูด

    "เห็นคุณแก้ว..เช็ดน้ำตาด้วยค่ะ"
    �คำพูดคำหลังนี้เบาหวิวมาจากสำลี นุชถึงกับสะอึกขึ้นมาทันที ความร้อนรุ่มเคล้าความเจ็บปวดเข้ามารุมเร้าผู้เป็นแม่อีกครั้ง เพราะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ก่อนจะหันมายิ้มกับสำลี

    "งั้นสำลีขอรดน้ำต้นกล้วยไม้ก่อนนะคะ"
    พูดพลางรีบเดินออกไปทันทีคงทิ้งให้นุช ยื่นนิ่งอยู่คนเดียว ก่อนนุชจะรีบเดินออกไปทันที

    ������ ............................................


    "อืม..พรุ่งนี้มีการสัมภาษณ์ออกทีวีนะ อย่าลืมตามที่พี่บอกนะนีนนี่"
    เสียงนายด่างพูดขึ้นทางโทรศัพท์ก่อนวางลงทันที

    "ว่าแต่เด็กคนนี้ ก็ไม่เบานะคะ ฉันมองว่าเป็นเด็กที่ฉลาดน่าดู"
    เมียเก็บนายด่างพูดขึ้นอย่างรู้ทันเพราะเคยเจอกับสร้อยในงานแฟชั่นงานหนึ่ง นายด่างยิ้มก่อนจะมองแก้วเบียร์ด้วยสีหน้าดุดัน พลางยกดื่มทันที ก่อนจะพูดว่า

    "หึๆๆ...ฉลาดแต่ไม่มีสมอง"
    พูดพลางหันไปมองสาวเมียเก็บด้วยสายตารู้ทัน�


    "พี่ด่าง...อย่าเอามันมาเป็นแบบฉันอีกหละ..ไม่ยอมด้วย" เมียเก็บนายด่างพูดขึ้นเหมือนรู้นิสัยนายด่างดี นายด่างยิ้มตาหวานก่อนพูดว่า

    "อืม..สาวสมัยนี้ มีสมองไม่กี่คนหรอก แหละอีคนนี้ เป็นแค่ตัวเรียกเงินเอง.."
    นายด่างพูดพลางหัวเราะในลำคออย่างผู้ชนะ ก่อนจะกอดรัดเมียเก็บอย่างเมามันทันที

    ......................................


    ���� ณ ห้องจัดรายการผู้หญิงแนวหน้า


    "สวัสดีค่ะ..วันนี้ตุ๊กตามีเรื่องจะมาเล่าให้ฟังนะคะ"

    พิธีกรรายการชื่อดังพูดขึ้นในขณะที่ออนแอร์สดทางโทรทัศน์

    "และวันนี้ตุ๊กตา มีเรื่องเด็ดมาฝากซึ่งเป็นที่ฮือฮากันอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยาสารและที่สำคัญวงการนางแบบระดับอินเตอร์กันเลยค่ะ"
    พิธีกรสาวร่างอวบอั๋นพูดเรียกน้ำย่อยให้รายการน่าดูมากขึ้น พูดพลางยกหนังสือนิตยาสารฉบับหนึ่งซึ่งโพสรูปสวยของสร้อยเต็มตัว

    "แหละ ต่อไปนี้ ขอเชิญพบกับสาวแนวหน้าคนใหม่ที่จะมาพูดคุยกับเราในคำคืนนี้กันดีกว่านะคะ.." พิธีกรสาวยิ้ม ก่อนพูดด้วยเสียงดัง

    "รายการผู้หญิงแนวหน้าขอต้อนรับ น้องนีนนี่ หรือคุณ สร้อยสุดา จันทร์เกษม ได้เลยค่ะ"

    พิธีกรสาวพูดจบเสียงปรบมือของผู้ชมดังขึ้น พร้อมๆกับสาวร่างสูงในชุดกางเกงยีนส์รัดรูปเสื้อยืดธรรมดา เดินออกมาด้วยรอยยิ้มหวานน่ารัก

    ........................................


    ������������ "แม่คะ..คุณสร้อยออกมาแล้วค่ะแม่ สวยจังเลยแม่" แก้วพูดในขณะที่นั่งดูรายการที่สร้อยกำลังให้สัมภาษณ์สดอยู่อย่างตื่นเต้น �นุชยิ้มดีใจไปกับแก้วที่มีสีหน้ามีความสุข หากแต่สำลียังคงมองด้วยสีหน้าไม่ชอบเอาเสียเลย

    "ไม่เห็นตื่นเต้นเลยค่ะ คุณแก้ว"
    สำลีพูดออกมาจากความรู้สึกที่เป็นจริงก่อนจะหลบหน้าทันทีเมื่อนุชและแก้วหันมามองเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะยิ้มอย่างเข้าใจ


    "อืม..สังคมนี้เป็นสังคมที่ไร้ตัวตนจริงๆ นะลูก เขาเรียกกันอีกอย่างว่าสังคมมายา" นุชพูดขึ้นในขณะที่โทรทัศน์กำลังถ่ายโฆษณาขั้นรายการ แก้วหันมามองผู้เป็นแม่พูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก

    "งั้นก็สังคมนี้เป็นสังคมที่ไว้ใจใครไม่ได้ใช่ไหมคะแม่"
    แก้วพูดถามด้วยความอยากรู้ ผู้เป็นแม่ยิ้ม ก่อนพูดเสริมว่า

    "ธุรกิจ เป็นเรื่องที่ไม่มีคำว่าเพื่อนและพี่น้อง จะมีแต่กำไรและผลประโยชน์ บางคนมีเงินมีทุกอย่างแต่ขาดชื่อเสียงและหน้าตา� ดังนั้นจึงต้องมีเรื่องหน้าตาและชื่อเสียงเข้ามาช่วยด้วยเพื่อเพิ่มผลประโยชน์หลายๆอย่างไง"นุชอธิบายเหมือนจะรู้เรื่องนี้ดี แก้วยังคงนิ่งเงียบ

    "คุณนุชไม่เคยออกไปไหน ทำไมถึงรู้เรื่องพวกนี้ดีคะ สำลีงงค่ะ"
    สำลีอดที่จะถามไม่ได้เมื่อสังเกตุนุชพูดตรงกับความเป็นจริงของยุคปัจจุบัน นุชหันมายิ้มหากแต่ไม่มีคำพูดใดๆ คงยิ่งทำให้แก้วสงสัยผู้เป็นแม่ยิ่งนัก ก่อนจะหันมายังโทรทัศน์ที่เข้าสู่รายการพอดี

    ..............................


    ����������� "� ขอถามก่อนเลยนะคะว่า ก่อนที่จะมีวันนี้ได้ น้องนีนนี่ก้าวเข้ามาวงการนี้ได้อย่างไร ดิฉันคิดว่าทุกคนคนอยากรู้"
    พิธีกรสาวยิงคำถามแรกด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง สร้อยแสร้งยิ้มพร้อมทำสีหน้าไร้เดียงสาก่อนตอบด้วยเสียงพูดที่หวานเรียกความน่ารักได้อีกมากโข

    "เอ่อ..ยังตื่นเต้นไม่หายเลยค่ะ..เมื่อนึกถึงตอนก้าวเข้ามาใหม่ๆ.."
    พูดพลางยกมือประกอบถึงความไม่นึกไม่ฝันในการเข้ามาเป็นดาวในวันนี้

    "คือตอนนั้นนะคะ นีนนี่...ไปเดินที่ศูนย์การค้ากับเพื่อนๆค่ะ พอดีมีแมวมองให้นามบัตรซึ่งทีแรกก็ไม่รับนะคะ..เพราะนีนนี่ไม่ชอบวงการนี้"
    พูดด้วยสีหน้าอ่อนหวานเรียบร้อย พิธีกรยังคงนั่งยิ้มให้กำลังใจต่อไป


    "นีนนี่.... ยื่นนามบัตรให้เพื่อนไปค่ะ เพราะคุณแม่บอกว่าเป็นวงการที่ไม่มั่นคงในอนาคต... คือแบบว่า..ไม่สวยจริงก็ไม่ดังประมาณนี้นะคะ"
    นีนนี่พูดแสดงอาการเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่บริสุทธิ์ยิ่งนัก


    "โอ้..ได้ฟังน้องนีนนี่ เล่าแล้วนึกชมผู้เป็นแม่เหลือเกินนะคะ ที่สอนลูกดีทีเดียว"
    พิธีกรกล่าวชมผู้เป็นแม่ด้วยความจริงใจ ก่อนจะมองมายังสร้อยที่นั่งยิ้มหวานเรียบร้อย

    "ค่ะ..แต่เพราะฟ้าลิขิตให้นีนนี่ มั้งคะ..เลยไปเป็นเพื่อนของเพื่อนที่อยากเป็นดารา แต่ว่า ช่างภาพขอถ่ายรูปนีนนี่เก็บไว้ ซึ่งนีนนี่ไม่ถนัดในเรื่องนี้เลยค่ะ..พออยู่มาไม่นานก็โทรมาตามให้ไปถ่ายชุดที่กำลังดังอยู่นะคะ"
    สร้อยพูดก่อนจะส่งยิ้มหวานเรียบร้อยให้กับพีธีกร

    ....................................


    ������� พิจิตรานั่งร้องไห้อยู่หน้าโทรทัศน์ในขณะที่นั่งดูลูกสาวในไส้ของตัวเองพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย การแสดงตบตาและมารยา พิจิตราถึงกับรู้สึกเสียใจและละอายตัวเองเป็นที่สุด

    "ทำไมลูกสร้อยของแม่ถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้...."
    �ผู้เป็นแม่พูดขึ้นด้วยความรู้สึกสงสารและละอายใจลูกของตัวเอง ก่อนจะปิดโทรทัศน์ลงทันที เป็นเวลาเดียวกันที่จักกฤษเดินเข้ามา

    "อืม..พิจิตรา ดูรายการโทรทัศน์หรือยัง เพื่อนพี่โทรมาบอกว่าลูกสร้อยออกรายการสัมภาษณ์"
    �������� เหมือนฟ้าฟาดลงตรงกลางหัวใจ เมื่อเสียงคนที่ตนรัก พูดขึ้นกับเรื่องที่ตัวเองไม่อยากรับรู้ ความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที เมื่อคำพูดที่จักกฤษเคยพร่ำกับตัวเองมาตลอดถึงการดูแลสร้อย พิจิตรานิ่งเงียบ ไม่มีแม้คำพูด

    ���� จักกฤษทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หน้าโทรทัศน์ห้องรับแขกทันที ไม่มีเสียงตอบจากพิจิตรา ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา�� เป็นช่วงที่จักกฤษเปิดโทรทัศน์พลางหันมายิ้มให้


    "เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า" จักกฤษเอ่ยถาม ในขณะที่พิจิตราหันมามองจักกฤษด้วยแววตาไม่สู้จะดีนักหากแต่จักกฤษยังคงจ้องดูรายการทันที

    "นั่นไง..ลูกสร้อย พี่นึกว่าเพื่อนที่ทำงานจะล้อเล่นเสียอีก"
    พูดพลางนั่งดูการสัมภาษณ์ทันที ก่อนที่พิจิตราจะพูดว่า

    "พี่คะ...พิจิตราขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะคะ"
    พิจิตราพูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบไม่ได้สนใจรายการที่ลูกของตัวเองออกอากาศแม้แต่น้อย จักกฤษมองด้วยความสงสัยก่อนพูดว่า

    "นี่คุณ..ไม่ดูลูกสาวคุณออกรายการหรือไง.."
    จักกฤษพูดก่อนจะหันไปดูต่อไป ไม่มีคำพูดจากพิจิตราแม้สักคำเดียว พลางรีบเดินขึ้นห้องนอนไปทันที คงทิ้งให้จักกฤษมองพิจิตราด้วยความไม่เข้าใจนัก


    �������"อืมค่ะ..พอดีว่าพ่อกับแม่ไม่ได้สนับสนุนเรื่องเป็นนางแบบ แต่นินนี่อธิบายให้ท่านฟังและรับเรื่องนี้ได้ ท่านเลยอนุญาตให้ถ่ายได้ค่ะ"
    สร้อยพูดด้วยรอยยิ้มหวาน จักกฤษถึงกับอึ้งไม่นึกว่าสร้อยผู้เป็นลูกแสดงอาการตบตาผู้คนได้ขนาดนี้

    ".แล้วเรื่องการถ่ายนู้ดซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมบ้านเราไม่ยอมรับสักเท่าไหร่ ตรงนี้น้องนีนนี่ไม่กลัวว่าจะโดนวิจารณ์ไปในทางไม่ดีหรือคะ"
    พิธีกรถามด้วยรอยยิ้มเช่นเคย สร้อยถึงกับ ยิ้มเหมือนเตรียมตัวมาอย่างดีก่อนพูดว่า


    "บังเอิญว่าสร้อยไปอยู่เมืองนอกมานานค่ะ และได้รับรู้เรื่องความแตกต่างของสังคมบ้านเรา ..จะพูดไงดีละคะ นีนนี่คิดว่า เป็นคนรุ่นใหม่ ทุกอย่างต้องทันโลก ถ้าจะให้นีนนี่ไปแต่งตัวเหมือนผู้หญิงสมัยเก่า คงกระไรอยู่นะคะ"
    จักกฤษถึงกับอึ้งด้วยความนึกไม่ถึง ในสิ่งที่สร้อยพูดออกไป ก่อนจะทิ้งตัวลงพิงเก้าอี้ตัวโตในห้องรับแขกอย่างไม่สบอารมณ์

    "ฮืม...ลูกสร้อยเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ .." จักกฤษพูดพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

    ...................................

    ���������
    จักกฤษปิดโทรทัศน์ลงทันที ก่อนจะนั่งในห้องรับแขกเงียบๆเพียงคนเดียวอยู่ในความสลัวของห้องรับแขกเหมือนโลกทั้งโลกไม่มีที่ไป


    "อืม..ทำไม..ทำไมต้องเป็นอย่างนี้...."ภาพวันวานผุดขึ้นมาอีกทีอย่างเห็นได้ชัด

    "มึงจำเอาไว้นะ ลูกของกูยังไงก็เป็นลูกของกูอยู่วันยังค่ำ"
    �เสียงพูดของชายหนุ่มดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงหัวเราะเยาะอย่างผู้มีชัย จักกฤษถึงกับลุกจากเก้าอี้ ไม่อยากนึกถึงอดีตอันโหดร้ายอีกต่อไป �ก่อนจะนั่งลงเอามือกุมขมับ

    "อืม....นายเจียง ฉันจะทำอย่างไรกับลูกนายดี"
    จักกฤษเอ่ยชื่อนาย เจียงผู้เป็นพ่อของสร้อยในอดีตด้วยความสับสน�ก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าและเดินขึ้นห้องไปทันที

    ���������������������������������� � อดีตที่ผ่านมา ลบให้หายไปไม่ได้จากความเป็นจริง
    ��������������������������������� ซ้ำยังเป็นรอยมลทินอยู่เสมอ...หากไม่คิดทำดีเสียแต่วันนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×