คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : แก้วจรัสแสง ตอน วังวนแห่งรัก
������������������������������������������������������������� ��� บทที่ 10��
� “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้นินนี่อยู่ไหนครับ”
�เสียงนุ่มหวานจากนายด่างพูดขึ้นพร้อมๆกับสายตาเจ้าชู้ส่องประกายในห้องนอนบนคอนโดหรูกลางกรุง
“ตอนนี้นินนี่อยู่พัทยากับเพื่อนๆค่ะ..ไม่ทราบพี่เอกมีอะไรหรือคะ”� เสียงสร้อยดังมาจากสายโทรศัพท์ นายด่างยิ้มก่อนพูดว่า
“อืม..ทีหลังไปไหนบอกฉัน..เออ บอกพี่ด้วยแล้วกัน” นายด่างพยายามพูดหวานหว่านล้อมอย่างมีเป้าหมาย
�
“ทำไมนีนนี่ ต้องบอกพี่เอกด้วยละคะ..นีนนี่ต้องการมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง อีกอย่างไม่มีงานก็ไม่ใช่ว่าเราต้องติดต่อกันตลอดนี่คะ” นีนนี่พูดด้วยเสียงอวดดี พร้อมเหตุผลหากแต่นายด่างต้องกัดฟัน หน้าอันโหดเหี้ยมผุดขึ้นมาทันที ก่อนกัดฟันพูดว่า
�
“เปล่านี่ครับ พี่อยากจะบอกว่าหนังสือของนีนนี่จะออกวันนี้ และเมื่อสักครู่ทางกองบรรณาธิการบอกว่ามีงานถ่ายอีกหลายงานรอเพียงการตอบรับจากนางแบบระดับแนวหน้าอย่างคุณนีนนี่เท่านั้น” นายด่างพูดก่อยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนปิดโทรศัพท์ ลงทันที
“ฮึ..อยากดังนัก เดี๋ยวก็ได้ดัง..ลูกไก่ตัวน้อย”� พูดจบก่อนจะทุ่มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ด้วยรอยยิ้มแสนกล
“.นานแล้วนะ จะให้พี่รอไปถึงไหนกัน” นายด่างพูดอ้อนขึ้นในขณะที่หญิงสาวเดินออกมาด้วยชุดผ้าขนหนูก่อนที่ทั้งสองจะ พูดจาภาษาใคร่กันบนเตียงอย่างมีควาสุข
...............
���� ณ ระเบียงชั้นบนโรงแรมหรูชายหาดพัทยา
�“เห็นยัง ...ว่าฉันทำได้”
สร้อยพูดขึ้นในขณะที่หันหน้าสู่ท้องทะเลในยามเช้า ชายหาดเงียบสงัดไม่มีผู้คนเดินพลุกพล่านให้รำคาญสายตา ก่อนหันมามองเพื่อนๆที่อยู่ในชุดนอนบางสี่ห้าคน
�
“และวันนี้ พี่เอกก็โทรมาบอก ว่า....”� ทุกคนต่างหันมามองสร้อยด้วยความสนใจ
�
“นี่ มีอะไรก็บอกมาเลยนีนนี่..อย่าให้ฉันต้องรอลุ้นเลย น่าเบื่อ” เพื่อนสาวพูดขึ้นในขณะที่สร้อยเดินเข้ามามองหน้ทุกคน ก่อนชี้นิ้วมาที่ตัวเอง แล้วพูดว่า
“ฉันเป็นนางแบบอินเตอร์ แล้วนะ” พูดพลางยิ้มด้วยความภูมิใจ เพื่อนๆต่างร้องกรี๊ดด้วยความดีใจไปกับเพื่อน
�
“เออ..ว่าแต่ว่าหนังสือที่เธอถ่ายออกหรือยัง” เพื่อนอีกคนร้องถามด้วยความสงสัย ก่อนที่คนอื่นๆต่างคอยตั้งใจฟัง��
สร้อยยิ้มก่อนเดินหายเข้าไปในห้อง เพื่อนๆต่างมองหน้ากันด้วย สักครู่ต่อมาสร้อยเดินออกมา พร้อมพูดว่า
�
“นี่คือหลักฐาน การยืนยันดูซ่ะ”
ก่อนจะวางหนังสือสี่ห้าเล่มลงบนโต๊ะที่เพื่อนๆนั่งล้อมกันอยู่อย่างสนใจ
“ว้าวว..ฮู้ๆๆๆๆ”
�เพื่อนๆถึงกับตะลึงส่งเสียงด้วยความทึ่ง ภาพสีสวยสดใส หนังสือแฟชั่นชั้นนำของเมืองไทยหนาพอประมาณ ภาพสาวน้อยผิวสวย หุ่นเพรียวในชุดว่ายน้ำ ยืนโพสท่าด้วยท่าทางยั่วยวนสุดเซ็กซี่ของสร้อย� ก่อนทุกคนจะมองสร้อยเป็นตาเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ สร้อยมองมายังเพื่อนๆด้วยรอยยิ้มแห่งผู้ชนะ
�
“นีนนี่..เธอสวยเซ็กซี่จริงๆเลย..ฉันว่าพ่อแม่และพี่ชายเธอคงดีใจ” เพือนอีกคนในกลุ่มพูดชมด้วยความจริงใจ หากแต่สร้อยถึงกับเงียบไปทันที� ก่อนจะพูดว่า
“ฉันไม่แคร์ หรอกว่าใครจะดีใจหรือภูมิใจฉันหรือไม่”
�เพื่อนๆต่างละสายตาจากหนังสือหันมายังสร้อยเพื่อฟังสิ่งที่สร้อยจะพูดต่อไป สร้อยหันมาสบตากับเพื่อนๆก่อนพูดด้วยสีหน้ามั่นใจว่า
“แต่ฉันจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ฉันก็ทำได้ และทำได้ดีกว่าใครๆ”
สร้อยพูดด้วยแววตามีเป้าหมายชัดเจน ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู
“ว้าย ตายแล้ว พูดเพลินเลย เดี๋ยวฉันขอตัวก่อน �เดี๋ยวรถกับบอดี้การ์ดจะมารับแล้ว”
�สร้อยพูดก่อนจะรีบเดินเข้าห้องไปทันที เพื่อนต่างมองหน้ากัน ก่อนพูดว่า
“บอดี้การ์ด จะมา” พูดพลางส่งเสียงหัวเราะชอบใจก่อนจะแย่งกันดูภาพของนีนนี่กันต่อไปอย่างสนุกสนาน
� ................................
������ จักกฤษ เดินเข้ามาในบริษัท หากแต่พนักงานทุกคนกำลังจับกลุ่มกันอยู่ อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
“อะแอ้ม”
เสียงกระแอมคือเสียงเรียกที่ดีที่สุดในยามนี้ ก่อนที่ทุกคนจะหันมามองแล้วพากันยิ้มพร้อมกับแยกย้ายไปที่โต๊ะของตัวเองทันที ก่อนจะเหลือบไปยังโต๊ะที่จับกลุ่มกันอย่างสงสัย พนักงานรู้ทันก่อนจะใช้เเฟ้มเอกสารทับบนรูปหนังสือทันที
จักกฤษยิ้มก่อนจะหันมามองทุกคนเหมือนปกติทุกวันหากแต่วันนี้พนักงานทุกคนดูแปลกๆไป ก่อนจะเดินมายังโต๊ะเลขาซึ่งยืนยิ้มอายๆอยู่เช่นกัน
�
“วันนี้ วันแห่งรอยยิ้มหรือครับคุณเลขา” จักกฤษหยุดพูดหน้าโต๊ะเลขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องทำงานทันที เลขาถึงกับขำก่อนจะใช้มือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะจากการพูดติดตลกของจักกฤษ ก่อนที่ทุกคนจะรวมตัวกันอีกครั้ง
..............................
������ “ก๊อกๆ”
�เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่พจน์หนุ่มหล่อในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มตัดกับเสื้อขาวข้างใน ทำให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มยิ่งขึ้นเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้ม
�
“พ่อครับ มีอะไรหรือครับพ่อ” พจน์ถามขึ้นด้วยความสงสัยเพราะถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆผู้เป็นพ่อไม่เคยโทรตามให้มายังห้องทำงานเลย จักกฤษยิ้ม ก่อนลุกขึ้นเดินไปหยุดที่กระจกใส มองออกไปภายนอกด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“พ่อคิดว่า พ่อจะหยุดลางานสักพัก”
จักกฤษพูดก่อนจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่หากแต่สายตายังเหม่อลอย พจน์สังเกตุอาการผู้เป็นพ่อเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ก่อนจะพูดว่า
�
“พ่อครับ..ผมว่าพ่อผักผ่อนก็ดีนะครับ เรื่องงานเดี๋ยวผมกับจีน่าจะดูแลให้ พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ” พจน์พูดด้วยความมั่นใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาใกล้ผู้เป็นพ่อ สีหน้าและสายตาของพ่อเหมือนคนอมทุกข์อะไรสักอย่าง
������ ก่อนจักกฤษจะยิ้มให้ผู้เป็นลูก พลางยกมือขึ้นมาแตะบนไหล่อันกว้างของพจน์ซึ่งยืนมองผู้เป็นพ่อย่างไม่เข้าใจในความรู้สึกของพ่อมากนัก�
“อืม..ขอบใจลูก พ่อไปไม่กี่วัน แล้วพ่อจะกลับมา” ก่อนวางมือลงแล้วรีบเดินไปนั่งบนโต๊ะทำงานเหมือนเดิม พจน์เดินเข้ามาหาพ่อก่อนพูดว่า
“พ่อจะไปกับแม่หรือครับ” จักกฤษเงียบลงทันที ก่อนจะหันมายังพจน์ที่ยืนรอคำตอบอย่างไม่เข้าใจอยู่ดี จักกฤษยิ้ม ก่อนพูดว่า
“พ่อคงไปคนเดียวลูก” ก่อนจะวางปากลงทันที พจน์มองพ่อด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พจน์เดินไปยังเก้าอี้แล้วนั่งลงอีกครั้ง ก่อนยื่นมือมาจับมือผู้เป็นพ่อเอาไว้
�
“พ่อครับ...ผม”� หากแต่ต้องหยุดลงทันทีเมื่อผู้เป็นพ่อวางมือลงบนมือพจน์พร้อมกับแตะเบาๆสองสามครั้ง
�
“ขอบใจลูก พ่อรู้ว่าลูกเป็นห่วง..พ่อขอไปอยู่เงียบๆคนเดียวสักระยะนะลูก แล้วจะกลับมา” จักกฤษพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น
พจน์มองผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ดี ก่อนจะยิ้มให้ผู้เป็นพ่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ครับพ่อ..ผมเข้าใจ” แต่ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์จากเลขาดังขึ้นทันที จักกฤษยกโทรศัพท์
“สวัสดีครับ มีอะไรครับเลขา” จักกฤษพูดรับโทรศัพท์หากแต่ต้องทำหน้าแปลกๆ
� “ครับ เชิญเข้ามาได้เลยครับ” ก่อนจะวางสายลงทันที
“มีอะไรหรือครับพ่อ” พจณ์ถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อมีสีหน้าแปลกไป
�
“พ่อก็ไม่รู้..เลขาบอกว่าหนูจีน่าขอเข้าพบ” ก่อนทั้งสองจะมองหน้ากัน
...................................
���������� “ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับสาวสวยร่างสูงระหงในชุดสาวออฟฟิต เดินเข้ามาก่อนยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้ม ทำตัวเหมือนพนักงานทั่วไป�
“อ้าวลูกจีน่า เชิญนั่งก่อนเลยลูก”
จักกฤษพูดขึ้นด้วยความเป็นกันเอง ก่อนทั้งสามจะนั่งรวมกันบนโต๊ะรับแขกห้องทำงาน
“อืมว่าแต่ว่า มีอะไรสำคัญหรือจ๊ะ ถึงได้มาห้องพ่อได้”
จักกฤษพูดขึ้นในขณะที่ จีน่าหันไปมองพจน์ด้วยความไม่มั่นใจนัก
“อืม ..นั่นซิครับ จีน่ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
พจน์ถามเมื่อเห็นจีน่ามีอาการแปลกไป ทั้งๆที่เป็นคนพูดฉะฉาน จีน่ายังคงนิ่งหากแต่มือที่ถือเอกสารแน่นขยับไปมา ก่อนถอนหายใจ แล้ววางเเฟ้มสีดำลงทันที
�
“คุณพ่อคะ คือว่า..เอ่อ..”
หากแต่ไม่กล้าที่จะพูดในสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนให้เจ้าของบริษัททราบ
“นี่พ่อเอง..ไม่ใช่เจ้านายหรือหัวหน้านะลูก” จักกฤษพูดเรียกความกล้าให้กับจีน่า พร้อมยิ้มเป็นกันเอง
�“พ่อคะ..วันนี้หนูได้รับรายงานเรื่องความเป็นไปของบริษัทของเรา..เอ่อ..”
จีน่าพูดพลาดไปก่อนจะหันมายิ้ม
�
“ขอโทษค่ะ บริษัทของคุณพ่อ ทุกอย่างเรียบร้อยและไม่มีข้อผิดพลาดในเรื่องการตรวจสอบด้านการเงินหรือความพร้อมในด้านบุคลากรของบริษัทคะ และอีกเรื่องที่นายินดี คือตอนนี้บริษัทของคุณพ่อมีผู้สนใจและต้องร่วมธุรกิจอีกหลายรายค่ะ”
�จีน่าพูดรายงานความคืบหน้าที่ได้เข้ามาอยู่ในหน้าที่นี้อย่างละเอียด จักกฤษและพจน์ยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจักกฤษจะตบมือเป็นเชิงดีใจ ที่กิจการบริษัทไปได้ด้วยดี�
“อืม..พ่อดีใจลูก และขอบใจลูกจีน่ามากที่มาทำให้บริษัทของพ่อก้าวหน้าในเรื่องการตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและว่องไว”
จักกฤษยิ้มก่อนหันมามองพจน์ที่นั่งทึ่งในความสามารถของจีน่า
�
“เออ...แต่ว่า..”
จักกฤษหันมายิ้มก่อนจะกลายเป็นเงียบไปทันที จีน่ามองด้วยความไม่มั่นใจนักก่อนพูดว่า
“แต่หนูมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะพ่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับบริษัทของคุณพ่อค่ะ..หากแต่” จีน่าเงียบไปอีกครั้ง
��� ครั้งนี้ทำเอาจักกฤษขรึมไปเลย จีน่าไม่พูดต่อไป ก่อนจะยื่นหนังสือทีอยู่ในแฟ้มสีดำให้ จักกฤษรับมาดูทันที พร้อมๆกับหันไปยังพจน์ที่นั่งมองมาอย่างสนใจ หากแต่จีน่าก้มหน้านิ่งเงียบ
��������������������������������������������������� ��������������� ความดีเป็นได้แค่ความสงสาร
� � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � และความดีไม่สามารถชนะความรักได้ ��
ความคิดเห็น