คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : รักนี้..มีไว้เพียงเธอ ตอน แด่คนที่รอคอย
�
��������� �ระยะทางจากริมแม่น้ำมายังอาคารบ้านไม้หลังเล็กไกลเกินกว่าจะมองเห็นภาพหนุ่มหล่อวัยกลางคนๆนี้ได้อย่างชัดเจน จักกฤษเดินออกมาจากรถคันงามอย่างช้าๆ ตรงไปยังเปียโนซึ่งวางไว้อย่างพอเหมาะ�
�
จักกฤษนั่งลงช้าๆพลางใช้มือเคาะไมค์ตัวเล็กเบาๆ� สายตามองไปยังผู้คนอีกฟากด้วยแววตาอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม� พร้อมกับพูดขึ้น�
“ สวัสดีทุกคนด้วยความรัก และขอต้อนรับลูกสร้อยด้วยความคิดถึง”�
จักกฤษพูดเสียงดังฟังชัด ทุกคนถึงกับนิ่ง�
���������� หากแต่อร รู้สึกใจสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะเสียงที่ดังมา มือที่เคยวางไว้กับโต๊ะกลับต้องย้ายมากุมไว้ซึ่งหน้าอก สีหน้าซีดขึ้นมาทันที
�
“คุณอร เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
�นีรนุชซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆถามขึ้น เมื่อสังเกตุอรหน้าซีดไปทันตา ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน อรยิ้มให้ทุกคน
�
“คุณอร..เป็นอะไรหรือเปล่า”�
กาญจน์ร้องถามขึ้นด้วยความห่วงใยเมื่อสังเกตุเห็นสีหน้าที่ซีดลง
“ไม่เป็นไรค่ะ รู้สึกเย็นๆ”�
อรพูดพร้อมกับมองหน้าทุกคนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พจน์ถอดเสื้อชั้นนอกที่ใส่อยู่ สวมให้อรไว้ทันที
�
“อุ้ย ..ไม่เป็นไรค่ะ คุณพจน์”
�อรตกใจด้วยความคาดไม่ถึงกับการสุภาพของเด็กหนุ่มคนนี้�
“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้สึกร้อนแล้ว ไม่นึกว่าพ่อจะมีเซอไพรส์ในงานนี้ด้วย”��
พจน์พูดทุกคนถึงกับส่งเสียงเห็นด้วย สร้อยนั่งยิ้มด้วยความตึ้นตันใจ
�
���� “ พ่อเคยร้องเพลงให้ลูกฟังเสมอ ตั้งแต่เล็กจนโต วันนี้ ลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว พ่อก็จะร้องให้ฟัง เพลงนี้ขอมอบให้กับทุกๆคนที่มาร่วมงาน โดยเฉพาะลูกสร้อย”
��จักกฤษพูดจบพลางใช้มือกดเปียโนด้วยความรู้สึกอินไปกับเนื้อเพลงรักที่มอบให้แก่ลูกน้อย สร้อยถึงกับนิ่งเงียบน้ำตาคลอเบ้าตาด้วยความรู้สึกดีใจ�
���������� จีน่ากุมมือสร้อยไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง ทุกคนนั่งร้องคลอไปพร้อมๆกับเพลง คงมีแต่อรทัยเท่านั้น ที่พยายามจ้องมองไปยังคนร้องด้วยความอยากรู้ ว่าเขาคนนี้คือใคร หากแต่อีกใจหนึ่งพยายามคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่
.............................
�
�������� ณ โรงพยาบาล
�
�แก้วนั่งนิ่งเงียบอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เพียงลำพังคนเดียวไม่มีญาติผู้ป่วยและผู้คนเดินพลุกพล่านในยามนี้ เก้าอี้วางเรียงเป็นแถวด้วยความว่างเปล่า แก้วพยายามนึกถึงหน้าผู้ชายคนนี้ หากแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน ก่อนจะรีบเดินไปยังโต๊ะซึ่งนางพยาบาลยืนอยู่�
“.. ขอโทษนะคะ คืออยากทราบว่า ผู้ป่วยที่เข้าห้องฉุกเฉินเมื่อสักครู่ชื่ออะไรหรือคะ”�
แก้วถาม นางพยาบาลหันมายิ้มมองหน้าแก้ว
�“ค่ะ สักครู่นะคะ”�
แก้วยืนมองไปยังหน้าห้องฉุกเฉินซึ่งคงอยู่ในความเงียบ
�
“คุณคะ ผู้ป่วยรายนี้ชื่อ คุณปราโมทค่ะ”�
แก้วนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
� “ปราโมท”�
พร้อมกับเอ่ยชื่อขึ้นเบาๆเหมือนจะคุ้นเคย สีหน้าที่เคยสับสนกลับต้องสดใสขึ้นเมื่อ ภาพวันวานเมื่อหลายปีก่อน ณ วันงานประจำปีของหมู่บ้านผุดขึ้นมาอย่างไม่รอช้า
“เรียกว่าน้าปราโมทก็ได้นะ ลูกแก้ว”�
ชายหนุ่มหล่อในชุดสุภาพเดินเข้ามาทักทายแก้วกับนุช พร้อมกับส่งยิ้มให้รอยยิ้มนี้แก้วยังจำได้ดี
�“น้าปราโมท”�
แก้วอุทานออกมา
“ใช่แล้ว...ใช่แล้วจริงๆ...น้าปราโมท คนที่เคยพาแก้วไปซื้อเสื้อผ้า”
�แก้วพูดออกมาเพียงลำพังน้ำตาเอ่อนอง เมื่อนึกถึงบุญคุณในครั้งนั้น นางพยาบาลนิ่งเงียบเมื่อสังเกตุแก้วพูดด้วยน้ำตาไหลริน
�...........................
������������� เสียงประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกช้าๆ �แก้วรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
�
“คุณหมอคะ น้าหนูเป็นไงบ้างคะ”
�แก้วพูดพร้อมกับใช้มือเช็ดน้ำตา หมอถอนหายใจแรง พลางมองมายังแก้ว เหมือนไม่ยากจะตอบ�
“คุณหมอคะได้โปรดบอกหนูนะคะ น้าหนูเป็นโรคอะไร”�
แก้วร้องถามน้ำตาไหลนอง
�“อืม น้าของคุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย”
นายแพทย์พูดจบพลางรีบเดินจากไปทันที เสียงคำพูดของนายแพทย์ ดังซ้ำอยู่ในโสตประสาทแก้วครั้งแล้วครั้งเล่า แก้วทรุดตัวลงนั่งใช้มือกุมหูทั้งสองข้างไว้ด้วยความเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยิน
�
“ไม่....ไม่”
�มีเพียงเสียงที่เล็ดลอกออกมาจากปากเบาๆด้วยความนึกไม่ถึง
...............................
�������
���������� เสียงปรบมือ พร้อมๆกับเสียงเฮ ดังขึ้นด้วยความไพเราะเมื่อเพลงจบไป�
“�พ่อร้องเพลงมอบให้กับทุกคนไปแล้ว นี่ก็ดึกแล้วพ่อก็จะร้องเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้าย และมอบให้กับตัวของพ่อเอง..และ........คนที่พ่อรักอยู่เสมอ”�
�
�������� จักกฤษพูด พยายามเปล่งเสียงให้ออกมาเป็นปกติ ทุกครั้งที่จะเอ่ยเพลงนี้ความรู้สึกเหงาบั่นทอนหัวใจทุกทีไป ��ทุกคนนิ่งเงียบ นุชลุกขึ้นช้าๆ พร้อมกับมองมายังทุกคนด้วยความรู้สึกเดียวกัน ก่อนที่ทุกคนจะลุกขึ้นเดินไปยังจักกฤษพร้อมๆกัน
�
� “วันนี้พ่อไม่รู้ว่า คนที่พ่อรักอยู่ที่ไหน..เป็นอยู่อย่างไร....หรือ...อยู่กับใคร..”
�คำพูดทุกคำพูดมันซึ้งและเจ็บปวดเกินกว่าที่คนมีความรู้สึกนี้จะทนต่อไปได้ อรถึงกับร้องให้อยู่กับที่ไม่ยอมเดินไปด้วย ทั้งๆที่พจน์พยายามเดินเข้ามาหา
�
“ไปเถอะคุณพจน์ ขอน้าอยู่คนเดียวนะลูก”�
อรพูดพลางนั่งกุมหัวใจตัวเองอย่างไม่เข้าใจตัวเองมากนัก กับความรู้สึกในค่ำคืนนี้
�
� “ฉัน รัก เธอ...รัก..เธอ...ด้วยความ..ไหวหวั่น”�
�� เสียงร้องเพลงดังขึ้น พร้อมกับเสียงร้องของอรทัยสุดจะรั้งไว้ได้อีกต่อไป ทุกคนที่เดินต่างหันมายังอรทัยซึ่งนั่งก้มหน้าร้องไห้ไม่หยุด�
���� กาญจน์มีสีหน้าตกใจ หากแต่ไม่เข้าใจอรในความรู้สึกของอรที่เกิดขึ้น พลางมองทุกคนก่อนจะพูดออกมา�
�“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณอรเอง”�
กาญจน์พูดพร้อมกับรีบเดินไปยังอร แต่ช้าไปเสียแล้ว เมื่อพจน์เดินสวนมาพร้อมกับจับมือกาญจน์ไว้
�“ปล่อยให้น้าอรอยู่เพียงลำพังจะดีกว่าครับ”
� พจน์พูดด้วยสีหน้าเข้าใจความรู้สึกของอรดี ในขณะนี้ถึงแม้ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงก็ตาม�กาญจน์นิ่งเงียบพร้อมกับมองไปยังอรซึ่งนั่งก้มหน้าร้องไห้ประหนึ่งคนเจ็บปวดเหลือเกิน�
“แม้ มีปีก โผบิน ได้เหมือนนก....อกจะต้อง..ธนู เจ็บปวดยิ่งนัก.......ฉันจะบิน.......มาตาย ตรงหน้าตัก...ให้ยอดรัก...เช็ดเลือดและน้ำตา.....”�
� �จักกฤษร้องเพลงด้วยสีหน้าเศร้า ทุกคนเดินมายังเปียโน พอที่จะมองเห็นสีหน้าคนร้องได้อย่างเข้าใจ นุชแอบเช็ดน้ำตากับความหมายเพลงนี้เบาๆ พลางมองมายังทุกคนก็มีน้ำตาคลออยู่เช่นกัน�
�
��� “แม้ มีปีก โผบิน ได้เหมือนนก....อก....จะต้อง..ธนู เจ็บปวดยิ่งนัก.......ฉันจะบิน.......มาตาย ตรงหน้าตัก...ให้ยอดรัก...เช็ดเลือดและน้ำตา.....”
� จักกฤษซ้ำท่อนสุดท้าย พร้อมกับมองมายังทุกคนด้วยแววตาอันเศร้า� พร้อมกับจบเพลงด้วยการกดเปียโนลงช้าๆ
�
“ ให้ยอด.....รัก...เช็ดเลือด....และน้ำตา.....”�
เสียงเพลงจบลงอย่างสมบูรณ์เสียงปรบมือดังขึ้น จักกฤษยิ้มให้กับทุกคน สร้อยเดินไปยังผู้เป็นพ่อ พลางกอดไว้เบาๆน้ำตาแห่งความดีใจไหลอาบแก้ม�
������ สร้อยซึ้งถึงความรักที่พ่อมีให้กับลูก และยังซึ้งไปกว่านั้นคือ ความรักที่พ่อมีให้กับคนที่พ่อรัก ซึ่งไม่ใช่แม่ของตัวเอง
�
“ลูกสร้อย เพราะไหมลูก”�
จักกฤษพูดเบาๆ สร้อยยังคงร้องกอดผู้เป็นพ่อไว้ เกินกว่าที่ทุกคนจะหยุดน้ำตาไว้ได้� สร้อยผละออกมาจากอ้อมกอดผู้เป็นพ่อ พลางมองผู้เป็นพ่อ
�
�
“พ่อคะ สร้อยรักพ่อค่ะ”�
สร้อยพูดพร้อมกับหอมแก้มผู้เป็นพ่อเบาๆ�
�“เพราะมากค่ะ เพราะจนน้ำตาไหล”�
นีรนุชพูดชมพร้อมๆกับแอบเช็ดน้ำตาตัวเอง ก่อนที่ทุกคนจะหันมาหัวเราะกันเบาๆ
�“ขอบคุณมากนะครับ”�
จักกฤษพูด พร้อมกับยืนขึ้น
�
“อืม ขอบคุณนะครับ ที่มาร่วมงานวันนี้”�
จักกฤษพูดขึ้น กาญจน์เดินเข้ามาหาจักกฤษ
�“สวัสดีครับ”�
พร้อมกับยกมือไหว้ชายหนุ่มวัยเดียวกัน
�“ครับ ... สวัสดีครับ เอ่อ ถ้าเดาไม่ผิดคือ คุณกาญจน์ใช่ไหมครับ”�
จักกฤษทักทาย กาญจน์หัวเราะเบาๆ
“ครับผม ไม่ผิดหรอกครับ”
จักกฤษยิ้ม�
�"อืม แล้วมาคนเดียวหรือครับ"
จักกฤษมองไปยังผู้หญิงซึ่งนั่งนิ่งมองออกไปยังแม่น้ำ�
“แล้วทำไมทิ้งให้คุณอร นั่งอยู่คนเดียวละครับ”
�จักกฤษถามด้วยความสงสัย และเรียกชื่ออย่างคนคุ้นเคย�
“อืม ไม่ทราบค่ะ ตั้งแต่คุณจักกฤษเริ่มพูดแล้ว คุณอรเค้าดูเศร้าลงทันที แปลกๆ”�
นีรนุชพูดขึ้น จักกฤษอึ้งไปชั่วขณะ
�“เศร้าหรือครับ”�
จักกฤษพูดขึ้นเบาๆด้วยสีหน้างง พลางมองหน้านรีนุชอย่างไม่มั่นใจในคำพูดนัก
�
“ค่ะ..เศร้า และพอได้ยินเพลงที่คุณร้อง คุณอรร้องไห้เลย สงสัยคงอินกับเพลงค่ะ”
นีรนุชพูดกับสิ่งที่ได้เห็นมา
�
“ เห็นทีต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ ดึกแล้ว”
�นีรนุชพูดขึ้นทันที�เมื่อสังเกตุเห็นจักกฤษมองไปยังอรซึ่งนั่งนิ่งเงียบอยู่ริมแม่น้ำเพียงลำพัง
�
“ครับ งั้นก็เชิญตามสบายนะครับ ขอบคุณที่มาร่วมงานครับ”�
จักกฤษพูดในขณะที่ทุกคนต่างเดินไปส่งนีรนุช
“คุณพ่อครับ”�
พจน์เรียก จักกฤษผละสายตาจากหญิงผู้ซึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังทันที
“� ผมสงสารน้าอรนะครับ”��พจน์พูด
�
“พี่พจน์คะ น้านุชเรียกค่ะ”
�จีน่าตะโกน พจน์รีบหันไปยังจีน่าทันที ก่อนจะมองมายังจักกฤษด้วยแววตาเศร้า
...........................
�
����������� ทุกคนกำลังยืนอำลากันอยู่หน้ารั้วบ้านด้วยรอยยิ้ม��จักกฤษรีบเดินมายังโต๊ะริมน้ำทันที ยิ่งเดินใกล้เข้ามาจักกฤษยิ่งรู้สึกสับสนและแปลกใจกับคำพูดนีรนุชเมื่อสักครู่ และยังคงดังอยู่ตลอดเวลา��
““อืม ไม่ทราบค่ะ ตั้งแต่คุณจักกฤษเริ่มพูดแล้ว คุณ อรเค้าดูเศร้าลงทันที”�
คำพูดนีรนุชยังคงดังอยู่ด้วยความสงสัย จนกระทั่งเดินมายังโต๊ะซึ่งอรนั่งอยู่ เพียงลำพัง�
“ขอเวลาให้อรสักครู่นะ คะ��� คุณกาญจน์”
�เสียงพูดของอรดังขึ้นช้าๆ หากแต่ยังคงมีเสียงสะอื้นอยู่เบาๆ จักกฤษนิ่งเงียบไปไม่กล้าขยับเท้าเข้ามาอีกเลย พลางถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นว่า
�
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ทราบว่าคุณต้องการอยู่เพียงลำพัง”�
จักกฤษพูดเบาๆก่อนจะหันกลับทันที อรยังคงหันหน้าสู่แม่น้ำ ไม่มีคำพูดใดๆออกจากอร
�“และต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ไม่นึกว่าเพลงที่ร้องจะเป็นเพลงที่ทำให้คุณอรรู้สึกเศร้า”
�จักกฤษพูดพร้อมกับก้าวเท้าเดินออกไปทันที�
“ฉันแปลกใจค่ะ”�
เสียงของอรดังขึ้น ครั้งนี้ชัดเจน ชัดเกินกว่าที่จักกฤษจะพลาด เมื่อเสียงพูดนี้เหมือนเสียงคนที่ตัวเองถวิลหาอยู่ตลอดเวลา�
������ �อรลุกขึ้นยืนช้าๆ พร้อมๆกับหันหน้าซึ่งยังคงเปื้อนรอยน้ำตา และแล้วทั้งสองถึงกับยืนนิ่งเงียบมองหน้ากันด้วยแววตาอันเศร้าๆยิ่งนัก น้ำตาอรถึงกับไหลรินสุดเกินจะห้ามมือยกขึ้นมาเกาะอกตัวเองเอาไว้เบาๆ ก่อนจะถอยหลังเซไปหนึ่งก้าว ปากสั่นเหมือนจะพูดอะไรออกมา�
��������� สภาพความรู้สึกนี้ก็ไม่ต่างจากจักกฤษน้ำตาลูกผู้ชายระยิบระยับเต็มสองเบ้าตาด้วยความรักความคิดถึงสองขาอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรงหากแต่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง�
“อร... ทัย ใช่...ไหม”�
หนึ่งประโยคที่พูดออกไปพร้อมกับน้ำตาไหลรินด้วยความเจ็บปวดเหลือเกิน อรทัยก้มหน้าร้องไห้แทบใจจะขาด ไม่มีคำพูดใดๆ ก่อนร่างจะร่วงลงบนพื้นหญ้าทันที
�
“อรทัย”
จักกฤษตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความตกใจเมื่อคนที่ตนรักหมดสติอยู่ตรงหน้า ทุกคนต่างมองมายังจักกฤษเป็นตาเดียวกันเด้วยความตกใจ
..............................................�
�
��� ������ตะวันทอแสง แดงขึ้นมาอีกครั้ง เสียงนกกาบินออกจากรังเหมือนทุกวัน ซึ่งได้ยินในยามเช้าตรู่เช่นนี้ อรทัยลืมตาขึ้นช้าๆ สอดสายตาไปรอบ ด้วยความแปลกใจกับสถานที่แห่งนี้ ก่อนจะพยุงตัวขึ้นช้าๆ
�
“โอ๊ะ”
�พร้อมกับร้องออกมาเมื่อรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง�
“คุณอรเป็นอะไรหรือเปล่า”
�เสียงกาญจน์ดังขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ สีหน้าเหมือนคนนอนไม่หลับทั้งคืน ยิ้มเห็นไรฟันขาวด้วยความดีใจ
�
“ไม่ต้องตกใจนะ พักผ่อนเถอะ”�
กาญจน์พูดด้วยรอยยิ้ม พลางดึงผ้าห่มขึ้นมายังอกอรเบาๆ
�“นี่ที่ไหนคะ แล้วทำไมอรมานอนอยู่ที่นี่คะ”
�อรรีบร้องถามในขณะที่มือยังกุมอยู่ที่ศีรษะ กาญจน์โน้มตัวลงเบาๆ พลางใช้มือวางบนศีรษะอรเบาๆ อรนิ่งเอามือออกจากศีราษะหันมาสบตากาญจน์ช้าๆ
�
“คุณอร ไม่สบาย พักผ่อนสักครู่ แล้วค่อยคุยกัน”�
กาญจน์พูดด้วยสีหน้าอบอุ่น อรนิ่งเงียบก่อนจะหลับตาลงเบาๆ ด้วยความอ่อนเพลีย
� ..........................
�
����� “เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณอรทัยเป็นอย่างไรบ้างครับ”�
จักกฤษ กระวนกระวายใจเมื่อลงมาจากรถ พร้อมกับเปิดประตูรถให้นุชซึ่งนั่งมาด้วยกัน
� “อ๋อ...ไม่เป็นไรครับเมื่อเช้ารู้สึกตัวมาครั้งนึ่ง แล้วก็หลับไปอีกครับ”
กาญจน์พูดหากแต่สีหน้ายังคงแสดงถึงความกังวล
“ตื่นแล้วใช่ไหมครับ ...ฮือ..”�
จักกฤษพูดย้ำด้วยความดีใจ สีหน้าที่เคยทุกข์ใจกลับมีรอยยิ้ม พลางหันมายังนุช ซึ่งยืนมองอยู่ใกล้ๆ�
“น้องนุชคุณอรทัย ฟื้นแล้ว”
�จักกฤษพูดพร้อมกับรีบเดินเข้าบ้านไปทันที� กาญจน์งงในท่าทีและการกระทำของจักกฤษที่มีต่ออรอย่างไม่เข้าใจ นุชนิ่งเงียบมองจักกฤษเดินเข้าบ้านไปจนลับตา�
“คุณกาญจน์คะ ทางนี้ดีกว่าค่ะ”
�นุชเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตุเห็นกาญจน์มีสีหน้าเปลี่ยนไปหากแต่ยังคงจ้องมองไปยังจักกฤษด้วยสีหน้าแปลกๆ
�
“ครับๆ”
�ก่อนจะขานรับ พลางหันมายังนุช ซึ่งมองดูอยู่ด้วยรอยยิ้ม สีหน้าสงสัยยังคงมีแสดงอยู่บนใบหน้าขอกาญจน์ อย่างไม่มีคำตอบ
������������������������������������� การอคอยคนที่เรารัก แม้จะนานเนิ่นนาน��
������������������������������������กาลเวลาก็ไม่สามารถลบล้างความรักลงได้เลย�������������������������������������������������
�������������������������������������������������
..
ความคิดเห็น