คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : รักนี้...มีไว้เพียงเธอ ตอน ซ่อนเร้นรัก
��������������������������������������������������������������������� บทที่ 2
� ณ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โต๊ะอาหารยาวปูด้วยผ้าขาวสะอาดพริ้วไปตามแรงลม บรรยากาศ ช่างสงบร่มเย็นยิ่งนัก ทุกคนต่างมองหน้ากันเมื่อมากันพร้อมหน้า จักกฤษเดินมาตรงโต๊ะอาหารซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง�
“ เอาละครับ วันนี้ผมรู้สึกดีใจที่มีงานเลี้ยงรับลูกสาวของผม และต้องขอขอบคุณ คุณนุชซึ่งเป็นคนริเริ่มและจัดการงานในครั้งนี้แทนผมทั้งหมด”�
เสียงปรบมือดังขึ้นด้วยรอยยิ้ม�
�“คุณนุช คุยอะไรสักหน่อยไหม”�
จักกฤษพูดเชิญในขณะที่นุชปัดปฎิเสธ แต่คุณนีรนุชซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆสะกิดเบาๆ นุชหันมามอง พลางเดินออกไปยืนใกล้จักกฤษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้� นุชมองผู้มาร่วมงานด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาหยุดที่สร้อยเพียงคนเดียว�
“นุชเต็มใจและภูมิใจ ที่จัดงานเลี้ยงเล็กๆตามฐานะการเงินที่นุชมีอยู่ นุชและลูกแก้วเคยเป็นหนี้บุญคุณของคุณพิจิตรารวมถึงพี่จักกฤษและทุกคนในบ้านฟ้าใส”�
นุชพูดพร้อมกับหันหน้าไปมองจักกฤษ ด้วยแววตาจริงใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูด
�
“คุณสร้อย ถึงอย่างไรนุชก็ยังรักและเป็นห่วงคุณสร้อยเหมือนลูกคนหนึ่ง”
�แววตาของนุชมองไปยังสร้อยซึ่งยืนนิ่งมองมายังนุชด้วยความสำนึกผิดในอดีตที่เคยทำกับผู้หญิงคนนี้
�
“งานวันนี้ตั้งใจจัด ให้คุณสร้อยเพื่อการกลับมาสู้กับชีวิตใหม่อีกครั้ง ”
�นุชพูดพลางเช็ดน้ำตาตัวเองด้วยความสงสารสร้อย
�
“แม่นุชคะ”
�สร้อยเก็บความผิดเอาไว้ไม่อยู่เดินเข้ามากอดนุชด้วยน้ำตา�
“สร้อยขอโทษนะคะ”�
เสียงสะอึกสะอื้นดังมาพร้อมกับคำพูดสำนึกผิด จักกฤษตาแดงก่ำ จีน่าปรบมือเป็นคนแรก ก่อนที่ทุกคนจะปรบมือยินดีและต้อนรับการมีชีวิตใหม่ของสร้อยอีกครั้ง
..............................
�
���������� งานเริ่มดำเนินไปอย่างสนุกสนาน �สายลมพัดพริ้วพร้อมๆกับไฟที่ถูกก่อขึ้นสร้างบรรยากาศตอนตะวันใกล้พลบค่ำได้ดีทีเดียว จักกฤษ นีรนุช และนุช ตักอาหารแล้วเดินมานั่งใกล้ๆกัน พร้อมกับเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนาน
�
“พี่พจน์ค่ะ วันนี้คุณพ่อและคุณนุชเก่งมากเลยนะคะ”�
จีน่าพูดชม พจน์ตักอาหารใส่จานพลางหันมามอง
�“อืม พี่ก็ยังอึ้งเลย ไม่นึกว่าแม่นุชจะพูดกินใจ พี่ยังปลื้มแทนน้องสร้อย”�
พจน์พูดขึ้น จีน่าหันมายิ้ม�
“อืม พี่พจน์สังเกตอะไรไหม”�
จีน่าถาม พลางตักอาหารใส่จาน พจน์หันมายังจีนา
�“อืมใครเหรอ น้องสร้อยหรือเปล่า”�
พจน์ถามและตอบเอง จีน่ายิ้ม
�“ใช่แล้วค่ะ จีน่ารู้สึกว่าน้องสร้อยดูห่างเหินกับพี่และคุณพ่อ ไม่เหมือนตอนคุณแม่ยังอยู่”�
จีน่าพูดความคิดเห็น พจน์นิ่งเงียบมองไปยังสร้อยซึ่งนั่งทานอยู่คนเดียวเพียงลำพังด้วยสีหน้าเศร้า
�
“อืม พี่ว่าคงไม่มั้ง สร้อยคงยังคิดถึงแม่ สักพักเดี๋ยวก็คุยจ้อเหมือนเดิมแหละ”�
พจน์พูด จีน่ามองพจน์ ด้วยสีหน้าไม่มั่นใจกับความคิดเห็นของพจน์�
“อืม พี่พจน์ไปนั่งกับน้องสร้อยดีกว่า”
จีน่าพูดพลางรีบเดินไปทันที พจน์เดินตามไปด้วยรอยยิ้ม
�...............................
�
���� “อืม คุณจักกฤษ ดูเด็กสองคนนั้นซิ น่ารักทั้งคู่เลยนะคะ”
�นีรนุชพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นจีน่าและพจน์เดินหัวเราะสนิทสนมกันมาก จักกฤษนิ่งอึ้งมองไปยังพจน์และจีน่า ก่อนจะมองมายังนุชซึ่งมองจักกฤษอยู่ก่อนแล้วอย่างเข้าใจ
�
“เอ่อ......ก็งั้นแหละครับ”�
จักกฤษพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆอย่างไม่เต็มใจนัก
�
“น้องนุชว่าหรือเปล่าคะ”�
นีรนุชเอ่ยถามเมื่อสังเกตนุชนิ่งเงียบไป นุชยิ้มมองมายังจักกฤษด้วยแววตาหนักใจเช่นกัน�
“อืม..ค่ะ ก็เหมาะสมกันดี”
�นุชพูด
�
“งั้นก็แสดงว่าไม่นานก็จะมีข่าวดีนะสิคะ”
�นีรนุชพูดด้วยรอยยิ้ม มองมายังจักกฤษและนุช
�
“อย่าลืมส่งการ์ดมาด้วยนะคะ”
�นีรนุชพูดพร้อมกับจับแก้วไวน์ขึ้นมาดื่ม นุชนิ่งมองมายังจักกฤษอีกครั้ง�
“อืม ครับ เมื่อถึงวันนั้น แล้วผมจะเชิญถึงบ้านเลยครับ”�
จักกฤษพูดด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ นุชนิ่งเงียบ ความรู้สึกปวดร้าวลึกๆเกิดขึ้นทุกที เมื่อนึกถึงความรักของลูกสาวที่มีต่อพจน์และเช่นกันจักกฤษรู้สึกสะอึกทุกครั้งที่นึกถึงความรักของพจน์ที่มีต่อแก้ว หากแต่เพราะความเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล ทั้งสองจึงเก็บเอาไว้อย่างแน่นหนา
................................
�
����� “น้องสร้อย ห่อหมกอร่อยนะ มีอีกเยอะเลย”�
จีน่าพูดชักชวน สร้อยนั่งนิ่งเงียบหันมามอง
�“ไม่แล้วค่ะพี่จีน่า สร้อยอิ่มแล้วค่ะ”
�สร้อยพูดปฎิเสธพร้อมรอยยิ้ม�
“อะไรกันน้องสร้อย พี่ไม่เห็นทานอะไรเลย”�
พจน์พูดเมื่อสังเกตเห็นในจานว่างเปล่ามีเพียงรอยอาหารเล็กน้อย
“สร้อยอิ่มค่ะพี่พจน์”
�สร้อยตอบ�
“อืม... งั้นพี่ไปคนเดียวก็ได้ ยังไม่อิ่มเลย เอางี้ พี่ทานแทนน้องสร้อยแล้วกัน”�
จีน่าพูดด้วยรอยยิ้มพลางรีบเดินลุกไปทันที คงทิ้งให้สร้อยกับพจน์นั่งใกล้กันเพียงสองต่อสอง
�“พี่พจน์คะ”
�สร้อยพูดขึ้น พจน์หยุดทานหันมองมายังสร้อยด้วยแววตานิ่งเงียบ
�
“อืม มีอะไรหรือน้องสร้อย”�
พจน์เอ่ยถามด้วยความห่วงใย�
“พี่พจน์รู้สึกเหมือนสร้อยไหมคะ”
�สร้อยถามพร้อมกับมองไปยังแม่น้ำด้วยแววตาอันเศร้าอย่างเห็นได้ชัด พจน์นิ่ง
�
“ทำไมน้องสร้อยถามพี่แบบนี้ �แม่จากไปทั้งคนทำไมพี่จะไม่เสียใจและคิดถึง พี่พูดออกไปไม่เท่ากับความรู้สึกที่พี่เจ็บปวด พี่เลยไม่พูด”�
พจน์พูดด้วยสีหน้าจริงจังอย่างเข้าใจสร้อย
�
“ค่ะ สร้อยเข้าใจ แต่สร้อย”
�สร้อยพูดพร้อมกับก้มหน้านิ่งเงียบ พจน์ขยับเข้ามาใกล้ๆ
�
“น้องสร้อย อย่าคิดอะไรมาก ทำไมพี่จะไม่รู้ว่าน้องสร้อยคิดอะไร น้องสร้อยคือน้องสาวของพี่ แม่ก็คือแม่ของพี่ ทุกอย่างที่น้องรู้สึกก็คือพี่รู้สึก จำไว้นะ เราเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน”
�พจน์พูด สร้อยหันมาช้า มองหน้าผู้เป็นพี่ชายด้วยแววตามั่นใจ�
“ค่ะ ขอบคุณพี่พจน์นะคะ ที่ยังรู้สึกดีๆกับสร้อย”�
สร้อยพูดด้วยน้ำตาเต็มเบ้าตา
�“อืม ไม่เอาน่า ดูซิทุกคนมีความสุขที่น้องกลับมา พ่อและแม่นุชไม่เคยมีรอยิ้มมากเกือบสองเดือนแล้วนะ วันนี้ทุกคนมีความสุขเพื่อน้องคนเดียว น้องหันไปมองซิ”�
พจน์พูดพร้อมกับหันไปมอง จักกฤษ นุช นีรนุช และจีน่า ต่างนั่งคุยกันอย่างมีความสุข สร้อมมองไปยังทุกคนจากสีหน้าเศร้าๆค่อยๆเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“ค่ะ ทุกคนมีความสุข”�
สร้อยพูดขึ้นเบาๆ
“ใช่จ๊ะ ทุกคนมีความสุข พี่ก็อยากให้น้องมีความสุข เพราะยังไงพี่ก็ยังมีพ่อมีแม่นุช และมีพี่อีกคนไง”�
พจน์พูด สร้อยหันมายังพจน์พร้อมยิ้มทั้งน้ำตา�
�
“พี่พจน์ไม่เคย ทิ้งสร้อยเลยนะคะ”�
สร้อยพูดน้ำตาไหลอาบแก้ม
“พี่จะทิ้งน้องสาวของพี่ได้ยังไง ก็มีน้องอยู่เพียงคนเดียวให้คิดถึงและเป็นห่วง”
�พจน์พูดด้วยรอยยิ้ม
�
“ขอบคุณนะคะพี่พจน์”
�สร้อยพูดด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา พลางเช็ดเบาๆ�
"อืมพี่ค่ะ”�
สร้อยสดชื่นขึ้นมานิด พลางเอยถาม พจน์จิบไวน์เบาๆ พลางวางลง�
“ฮืม มีอะไรหรอนู๋สร้อย”
�พจน์เล่นเสียงกับน้องสาว สร้อยถึงกับยิ้มออกมาเบาๆเห็นไรฟันพองาม
�
“อืม สร้อยรู้สึกว่า งานนี้สร้อยไม่เห็นแก้วเลยนะคะ”
�สร้อยพูดขึ้นเบาๆในขณะที่ชะเง้อมองไปรอบๆไม่เห็นแก้วอยู่ในงานเลย พจน์นิ่งเงียบ
�
“พี่พจน์คะ ไม่มีแก้วจริงๆค่ะ”�
สร้อยพูดพลางหันมายังพจน์ซึ่งนิ่งเงียบ�
“พี่ก็ไม่เห็นตั้งแต่ตอนที่มาแล้ว”�
พจน์พูดเบาๆด้วยสีหน้าเศร้าทันที สร้อยจ้องมองผู้เป็นพี่ชายด้วยความเข้าใจ
�
“พี่พจน์คะ พี่มีอะไรกับแก้วหรือเปล่า”
�สร้อยพูดถามอย่างตรงไปตรงมาทั้งๆที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับความรู้สึกนี้ พจน์นิ่งเงียบ ก่อนหันมามองหน้าน้องสาว
�
“ไม่มีอะไรจ๊ะ ทำไมต้องคิดว่ามีด้วย”
�พจน์ถามด้วยสีหน้ายิ้ม�
“ ถ้าคิดว่าพี่ไม่มีอะไรก็แล้วไปนะคะ แต่ถ้ามีอย่าลืมสร้อยนะคะ สร้อยเป็นน้องพี่พจน์ใช่ไหมคะ” สร้อยพูดด้วยท่าทีรู้ทันในใจของพจน์
�
“อืม จ๊ะ คนเก่ง”
�พจน์พูด สร้อยถึงกับยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรก
�
“ตี๊ดๆ ตี๊ดๆๆ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี พจน์ยิ้มพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู
�
“สวัสดีครับ”
�พจน์พูดพร้อมกับยิ้มดีใจ
�
“ครับ ตอนนี้เพิงจะเริ่มงานเองครับ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะให้คนขับรถไปรอที่สะพานข้ามแม่น้ำมายังบ้านเกาะเรียนนะครับ� ครับแล้วเจอกันนะครับ” พจน์พูดจบส่งยิ้มให้สร้อย
�
“ใครหรือคะพี่พจน์”
�สร้อยเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นพจน์สีหน้ายิ้มแย้มดีใจ�
“อ๋อ คุณอรทัยกับน้ากาญจน์ �เรื่องมันยาวเดี๋ยวพี่ค่อยเล่าให้ฟัง พี่ขอตัวไปบอกพ่อกับแม่นุชก่อน”
�พจน์พูดพลางรีบลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะของจักกฤษทันที คงทิ้งให้สร้อยนั่งอยู่คนเดียวเพียงลำพัง�
�
� “อ้าวเป็นไงพ่อหนุ่ม ไม่มานั่งกับพ่อเลยนะ”�
ผู้เป็นพ่อแซวลูกชาย พจน์นั่งลงพลางเม้มปาก�
“ว่าไงลูกกับข้าวอร่อยไหม”�
นุชเอ่ยถามพลางใช้มือเสยผมซึ่งพลิ้วไปตามแรงลมเบาๆ�
“แหม น้องนุชถามได้ไงแบบนั้น คุณพจน์คงอร่อยไปทุกอย่างแหละค่ะ เพราะมีหวานใจน่ารักอยู่ด้วยทั้งคน”�
นีรนุชพูดพร้อมกับมองไปยังจีน่าซึ่งหยุดเคี้ยวอาหารทันทีพลางมองมายังพจน์ด้วยสีหน้าแดงด้วยความเขินอายพจน์เองก็เกิดอาการขึ้นไม่แพ้กัน
“เอ่อ....คือว่า...อร่อยทุกอย่างครับ”�
พจน์พูดขึ้นเพื่อปกปิดอาการเขินต่อหน้าผู้ใหญ่�
�
“คนหนุ่มสมัยนี้ก็ขี้อายนะคะ เหมือนดิฉันสมัยก่อน คุณกรแฟนดิฉันก็อย่างนี้แหละค่ะ ใกล้ชิดกัน จนเหมือนปาท่องโก๋ แต่ไม่เคยจะเอ่ยรักสักคำ ทั้งๆที่รักกันนะคะ กว่าจะพูดคำนี้มาได้ ก็อายุเยอะแล้ว”
�นีรนุชพูดเล่าอดีตรักของตัวเองให้ทุกคนฟัง พร้อมๆกับเสียงหัวเราะของทุกคนที่นั่นร่วมโต๊ะในท่าทีการเล่าของนีรนุช�
“อืม แต่ก็ดีนะ การได้รักใครสักคนเนี่ยะ แต่อย่าช้า เดี๋ยวพ่อแม่ไม่ทันอุ้มหลาน”
�นีรนุชพูดพร้อมมองไปยังพจน์กับจีน่าด้วยสายตายิ้มๆ ทำเอาจีน่ายิ่งเขินอายไปใหญ่�
“ เอ่อ ขอโทษนะครับ คือผมจะมาบอกว่า อีกสักครู่น้ากาญจน์กับคุณอรจะมาร่วมงานกับเราด้วยนะครับ”�
พจน์พูดมองหน้าทุกคน
“อ้าว..จริงหรือลูก”
�นุชจำหน้าคุณอรได้ดีในคืนวันงานโชว์เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา หากแต่จักกฤษนิ่งเฉยมีเพียงรอยยิ้ม
�
“ใครหรือคะน้องนุช พี่เคยเห็นหรือเปล่าคะ”
นีรนุชเอ่ยถาม�
“พี่คะ พี่จะจำได้ไหม ผู้หญิงใส่ชุดสีฟ้า ที่เดินเข้ามาตอนงานกำลังจะเริ่ม”�
จักกฤษหยุดนิ่งจากการดื่มไวน์ทันที ภาพคืนวันงานผุดขึ้นมาให้เห็นอย่างเลือนลาง ผู้หญิงร่างบางในคืนนั้นช่างคล้ายกับอรทัยอดีตคนรักเหลือเกิน
�
“อ้าว คุณจักกฤษ นิ่งไปเลยเป็นไรหรือเปล่าคะ”
นีรนุชเอยขึ้นเมื่อสังเกตแก้วค้างอยู่กับที่เป็นเวลานาน
�
“อ๋อ...ปะ เปล่าครับ ไม่มีอะไร”�
จักกฤษรีบปฎิเสธทันทีพร้อมกับหันมายิ้มกับทุกคนเป็นปกติ
�“อืม ก็ดีนะลูก แล้วคุณอรจะมาถูกหรือลูก”
นุชเอ่ยถาม พจน์ยิ้ม
�
“เดี๋ยวจะโทรให้น้าชัยออกไปรับที่สะพานข้ามฝั่งนะครับ”�
พจน์พูดพร้อมรอยยิ้ม�
�
“อืม งั้นผมขอตัวโทรศัพท์สักครู่ครับ”
�พจน์พูดพร้อมกับลุกเดินจากไปทันที
�“อืม จีน่าขอตัวไปคุยกับน้องสร้อยสักครู่นะคะ”
�
“ตามสบายนะลูก”
�นุชพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
�
“พี่จักกฤษค่ะ พี่จักกฤษ”
�นุชเรียก หากแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ สายตาเหม่อลอยจ้องมองออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาด้วยความนิ่งเงียบ นีรนุชสะกิดนุชเบาๆ พลางมองหน้ากัน นุชยิ้มเบาๆถอนหายใจเล็กน้อยเป็นการผ่อนคลายความรู้สึก เพราะรู้ความรู้สึกของจักกฤษดี
.....................................
�
��������� “ครับผม ผมน้าชัยคนขับรถให้คุณพจน์เองครับ”
�เสียงนายชัยรับโทรศัพท์�
“ครับผม ตอนนี้ผมรออยู่ที่หัวสะพานแล้วครับ เดี๋ยวขับลงมาเลยนะครับ”
�นายชัยพูดพร้อมกับสังเกตเห็นแสงไฟของรถอยู่อีกฟาก พร้อมกับส่องแสงไฟตอบรับทันที�
“เห็นแสงไฟรถผมหรือยังครับ ครับผม...”
�นายชัยพูดจบปิดโทรศัพท์ทันที พร้อมกับกดเบอร์อีกครั้ง�
“สวัสดีครับน้าชัย เป็นไงบ้าง โอเคครับ ...ได้ครับ อีกประมาณยี่สิบนาทีเหรอ ครับได้ครับ ขอบคุณน้าชัยมากครับ”
�พจน์พูดพร้อมกับรีบเดินมายัง โต๊ะอาหารของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง�
“แม่นุชครับ อีกยี่สิบน้าทีก็จะมาถึงแล้วครับ”
�พจน์พูดพร้อมกับมองมายังเก้าอี้ที่ผู้เป็นพ่อนั่งเมื่อสักครู่�
“คุณพ่อของคุณพจน์ โน้นออกไปยืนริมคลองเพียงลำพังค่ะ เหมือนกำลังจะคอยใครอยู่” นีรนุชพูด พร้อมกับมองไปยังจักกฤษซึ่งยืนกอดอกอยู่เพียงลำพังเงียบๆ�
������ พจน์ผละสายตาจากพ่อมายังนุชซึ่งเข้าใจดีทุกอย่าง นุชผงกศีรษะเบาๆเป็นเชิงบอกให้เดินไปหาผู้เป็นพ่อ พจน์เม้มปากเล็กน้อยอย่างเข้าใจ�
“คุณนีรนุชครับ ผมขอตัวสักครู่นะครับ”�
พจน์พูด
“จ๊ะ”�
พูดพลางหันมามองพจน์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่พจน์จะผละเดินออกไปยังผู้เป็นพ่อทันที
�
“อืม คุณพจน์นีหน้าตาหล่อเหลาเอาการนะ มารยาทก็ดีทุกระเบียดนิ้วจริงๆ สาวใดได้เป็นคู่ครอง พี่ว่าโชคดีที่สุดในโลกแล้วหละ”
�นีรนุชพูด นุชยิ้มรับหากแต่ไม่มีคำพูดใดๆออกมา
����������������������������������������������������� ความรักบางครั้งไม่ได้อยู่ที่ความเหมาะสม
������������������������������������������������� และความรักไม่ได้มีคำกำจัดความและคำนิยาม
����������������������������������������������������������������������� .................................
ความคิดเห็น