คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 น้ำตาร่วงบนหลุมศพ
บทที่ 1
เสียงไก่แข่งกันขันหลายสิบตัว ดังมาจากท้องทุ่งนา ในขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่าง น้ำค้างหยดลงบนพื้นสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับพื้นดิน กลิ่นอายควันไฟที่สุมให้วัวควายตามคอก ค่อยๆจางลง หมอกอายความหนาวเริ่มจาง เมื่อมีแสงทองริมขอบฟ้าค่อยๆชัดเจนขึ้นทีละนิด
เสียงนกกาเริ้มร้องและออกบินว่อนออกจากรังเพื่อพบกับวันใหม่ เสียงวัวความเริ่มร้องและออกเดินนำเจ้าของไปตามท้องทุ่งนาที่เขียวขจีอยู่เบื้อหน้าชัดเจน
ณ หมู่บ้าน ม่วงทวน
เสียงอาซาน (เสียงเรียกร้องให้ผู้นับถือศาสนาอิสลามทำการละหมาด) ดังมาจากมัสยิดของหมู่บ้าน ในเช้าตรู่ของวันสำคัญอิสลิลาม วันฮารีรายอ (หลังจากที่ได้ถือศิลอดมาหนึ่งเดือนเต็ม) วันนี้ทุกบ้านจะทำอาหารมารับประทานรวมกันที่มัสยิด ซึ่งเป็นที่ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อรับฟังคำสั่งสอนตักเตือนจาก โต๊ะอีหม่าม (ผู้นำในศาสนา) หลังจากนั้นจะมีการเยี่ยมเยียนกุโบร์ (หลุมศพ) ของผู้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
ในขณะที่ทุกคนกำลังกุลีกุจอทำอาหารกันอยู่นั้น ณ บ้านหลังเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ในสวนยางพาราห่างจากถนนทางเข้าหมู่บ้านและผู้คนมากนัก มีเด็กน้อยอายุประมาณ 7 ขวบแต่งชุดโต๊บ (ชุดเสื้อลึกถึงตาตุ่มของชาวอาหรับ)สีขาวเก่าๆพร้อมหมวกสีขาวหม่นๆตั้งอยู่บนศีรษะ ยืนชะเง้อไปมา หูก็ได้ยินเสียงตามสายเป็นระยะๆ
“แม่ทำไรอยู่นะ...ยังไม่กลับมาอีก ช้าจังเลย”
เด็กชายบ่นพึมพำเพียงลำพังสีหน้าเริ่มไม่มีรอยยิ้มให้เห็นอีกเมื่อได้ยินเสียง กอมัด (เสียงเรียกร้องเพื่อให้รู้ว่าได้เวลาละหมาด) ดังมาจากมัสยิด หนูน้อยหันมองไปยังสวนยางอีกครั้งด้วยสีหน้าเศร้า ยิ่งนัก พลางถอนหายใจ
“แม่ครับผมไปมัสยิดก่อนนะแม่”
เด็กน้อยพูดขึ้นด้วยสีหน้าหงอยๆ แล้วรีบเดินออกจากบ้านซึ่งไม่เหมาะที่จะใช้กับคำว่าบ้านเลย จากที่เดินช้าๆ ค่อยๆสาวเท้าเร็วขึ้น และกลายเป็นวิ่งในที่สุด
“อับดุลเลาะห์ เร็วๆเดี๋ยวไม่ทันนะ”
เสียงเพื่อนร่วมรุ่นดูท่าที่อายุจะไล่เลี่ยกันเรียกในขณะที่ อับดุลเลาะห์เด็กน้อยในชุดขาววิ่งออกมาสู่ถนนใหญ่ในหมู่บ้านพอดี อับดุลเลาะห์ยิ้มให้เพื่อน
“เอ้าเลาะห์ มาขึ้นรถมาเดี๋ยวไม่ทันนะ”
เสียงหนุ่มวัยกลางคนเรียกอับดุลเลาะห์ดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหยุดรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆทันที เลาะห์ยิ้มพร้อมกับรีบวิ่งขึ้นนั่งซ้อนท้ายทันที
“ทำไมออกมาช้าหละ เห็นทุกวันชอบไปมัสยิดก่อนคนอื่นทุกทีนี่”
ฮาซัน เพื่อนวัยเดียวกันเอ่ยขึ้นในขณะที่อยู่บนรถ ฮาซันยิ้มเหมือนเคย
“ฉันรอแม่ฉันนะ แม่บอกฉันว่าจะไปมัสยิดพร้อมฉันในวันนี้”
อับดุลเลาะห์ พูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ ฮาซันดูท่าที่จะเข้าใจเพื่อนดี ก่อนจะเงียบไปทันที คงปล่อยให้ความเงียบเรียกความร่าเริงกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อเสียงอ่านซูเราะห์ (หนึ่งบทของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านในการละหมาด) อับดุลเลาะห์อ่านตามไปเบาๆด้วยสีหน้าสดชื่นขึ้นอีกครั้ง ลืมความเศร้าเมื่อสักครู่ไปอย่างสิ้นเชิง
“เอาละรีบเข้ามัสยิดก่อนเร็วเดี๋ยวไม่ทัน”
พ่อของฮาซันพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อรถมาจอดอยู่ในสนามจอดรถของมัสยิดซึ่งวันนี้ลานสนามที่เคยกว้างกลับแคบลงไปถนัดตา
“ฮาซันเร็วๆซิ เดี่ยวไม่ทันนะ”
อับดุลเลาะห์ พูดขึ้นเมื่อรอฮาซันนุ่งผ้าโสร่งให้แน่นขึ้น
“อืม เดี๋ยวซิผ้าโสร่งหลุดเนียะ”
ฮาซันพูดพลางจัดแจงโสร่งให้เข้าที่แล้วรีบวิ่งไปยังมัสยิดทันที
มัสยิดบ้านม่วงทวน
เป็นมัสยิดที่รวมผู้คนได้เป็นหนึ่งเดียวในวันสำคัญของศาสนา โดยเฉพาะวันนี้ ผู้คนต่างมาละหมาดตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยเสื้อผ้าขาวสะอาดตา กลิ่นน้ำหอมอบอวนไปทั่วมัสยิดผู้คนทั้งหญิงชายหรือแม้แต่เด็กเล็กต่างยืนแถวตรงหน้ากระดาน สภาพมือเกาะอกนิ่งไม่ไหวติง อับดุลเลาะห์เหลือบไปมองอีกฟากซึ่งเป็นผู้หญิงละหมาดอยู่ด้วยสีหน้าเศร้ายิ่งนัก ฮาซันสะกิดเมื่อเห็นอับดุลเลาะห์นิ่งไป อับดุลเลาะห์หันมามองฮาซันอีกครั้ง
“อัลลอฮูอักบัร”
อับดุลเลาะห์ ยกมือขึ้นถึงติ่งหูพร้อมกล่าวตักบีร (การกล่าวเมื่อเริมละหมาดโดยการยกแขนทั้งสองข้างขึ้นถึงติ่งหู) สีหน้าที่เคยเศร้าเปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบเหมือนไม่มีเรื่องราวใดๆอีกต่อไป การละหมาดดำเนินไปนานกว่า 10 นาที ทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย พร้อมกับรอยยิ้มที่แสนสบายใจทุกครั้งที่ได้ทำการละหมาด อับดุละเลาะยังคงหันไปมองผ้าม่านซึ่งกันระหว่างหญิงชายในมัสยิดด้วยความคิดถึงผู้เป็นแม่ยิ่งนัก
“อามีน”
อับดุลเลาะห์พูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาหากแต่ส่องแววตาอันเชื่อมันในการขอพรของวันสำคัญวันนี้
...........................
เพียงครู่ใหญ่ต่อมาเมื่อเสร็จสิ้นการขอพรหลังละหมาดแล้ว ทุกคนต่างเดินทางออกจากมัสยิดมุ่งหน้าไปยังกุโบร์ (หลุมศพ) ทันที อับดุลเลาะลุกขึ้นเดินตามผู้คนซึ่งมีสีหน้าสดชื่นทักทายสลาม(การจับมือ และบางครั้งอาจเป็นการกอดกัน)
“อัลดุลเลาะห์ มานี่ซิ”
ฮาซันพูดเอ่ยทุกทายเมื่อสังเกตเห็นเพื่อนรักยืนมองผู้คนซึ่งกำลังเดินออกจากมัสยิดไป อับดุลเลาะห์หันมายิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเจอกันนะ”
อับดุลเลาะห์พูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ฮาซันและพ่อเดินออกจากมัสยิดไปทันที อับดุลเล๊าะยืนนิ่งเงียบมองผู้คนก่อนจะเดินออมายังประตูห้องมัสยิดซึ่งมีอีกห้องเพื่อรอผู้ที่จะเดินเข้ามัสยิด พลางเหลือบไปเห็นที่อาบน้ำศพก่อนจะนำไปฝังซึ่งวางอยู่อีกมุมหนึ่งด้วยสีหน้าเศร้าอย่างจับใจ
“ลูกรัก การละหมาดและการขอพรจากพระเจ้าเป็นสิ่งที่ผู้ล่วงลับไปจะได้รับผลบุญโดยเฉพาะลูกที่ดีขอพรให้กับพ่อแม่นะลูก”
เสียงของผู้เป็นพ่อยังคงเหมือนเสียงกระซิบอยู่เสมอตั้งแต่ที่ได้จากอับดุลเลาะห์ไปด้วยโรคมะเร็ง เมื่อสองปีที่แล้ว น้ำตาเออนองด้วยความเหงา พลางใช้มือสั่นเทาแตะที่อาบน้ำศพอย่างช้าๆ
“ลูก....สักวันพ่อก็คงต้องได้นอนบนที่อาบน้ำศพแบบนี้แหละ”
เสียงผู้เป็นพ่อพูดขึ้นในขณะที่อีกใช้มือโอบกอดไหล่ลูกรักไว้ด้วยความรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก หากแต่อับดุลเลาะห์ยังคงเงียบอาจเพราะยังไม่รู้สึกอะไรมากในตอนนั้น
“และทุกคนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความตายนะลูก”
ผู้เป็นพ่อยังคงพูดต่อไปอีก พลางนั่งลงช้าๆ สองมือของผู้เป็นพ่อจับอยู่ที่ไหล มองลูกรักซึ่งอยู่ในชุดเสื้อสีขาวผ้าโสร่งด้วยแววตาอันสงบนิ่ง มองมายังผู้เป็นพ่อ
“ดังนั้นคนเราต้องทำความดีอยู่เสมอนะลูก ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน ความดีและความบริสุทธิใจต้องอยู่ในหัวใจตลอดเวลา เพราะความตายไม่ได้บอกวันเวลา จำไว้นะลูก”
อับดุลเลาะห์ก้มหน้านิ่งเงียบน้ำตาเอ่อนองมือยังคงจับที่อาบน้ำศพด้วยความรู้สึกคิดถึงผู้เป็นพ่อยิ่งนัก
“อ้าวอัลดุลเลาะห์ ร้องให้ทำไมลูก”
เสียงดังมาจากด้านหลัง เมื่อสังเกตเห็นเด็กน้อยยืนร้องไห้เพียงลำพัง อับดุลเลาะห์รีบเช็ดน้ำตา แต่ยังคงนิ่งเงียบ
“อย่าร้องเลยลูก วันนี้วันสำคัญวันแห่งรอยยิ้มนะ ป่านนี้พ่อของลูกคงดีใจที่ลูกมาละหมาดขอพรให้พ่อแล้วหละ” เสียงผู้ใหญ่ในชุดโต๊บสีขาวมีผ้าสะรอบัน (ผ้าซึ่งผู้ชายอิสลามจะผูกอยู่บนศีรษะ) พูดด้วยแววตาสงสารหนูน้อยยิ่งนัก อับดุลเลาะห์หยุดร้องไห้เงยหน้ามองโต๊ะอีหม่ามด้วยคราบน้ำตา
“ไปลูก ไปเยี่ยมเยียนพ่อของลูกนะ”
โต๊ะอีหม่ามพูด พร้อมกับลุกขึ้นไปทันที เด็กน้อยใช้มือเช็ดน้ำตา มองไปยังที่อาบน้ำศพครั้งสุดท้ายแล้วค่อยๆเดินออกจากมัสยิดเพียงลำพังด้วยแววตาอันเศร้ายิ่งนัก
ณ กุโบร์
ใต้ร่มไม้ต้นใหญ่อยู่กลางพื้นที่ๆ ซึ่งได้เรียกว่าถิ่นอันสงบสุข พื้นดินขาวสะอาดอันกว้างใหญ่ มีเพียงดอกไม้และต้นหญ้ารอบๆเขตรั้วหากแต่ไม่มีแม้ต้นหญ้าสักตนบนหลุมศพกว่าหมื่นชีวิต มีเพียงตันนอ (ไม้หรือหินซึ่งทำเป็นสัญลักษณ์ไว้ที่หลุมศพ) โผล่ให้เห็นด้วยสีสันต่างๆนาๆบางหลุมก็มีขอบปูก่อสร้างไว้ตามแล้วแต่ฐานะของญาติที่ทำให้ไว้กับผู้จากโลกนี้ไป วันนี้ผู้คนต่างใส่ชุดสีขาวสะอาดตานั่งรวมกันอยู่ ในศาลากลางหลุมศพด้วยความนิ่งเงียบ โต๊ะอีหม่านเป็นคนเริ่มนำในบทพิธีกรรมทางศาสนา เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
อับดุลเลาะห์เดินถึงขอบรั้วหลุมศพ มองเข้าไปด้านในซึ่งมีผู้คนต่างนั่งนิ่งเงียบ มีเพียงบางครั้งที่ได้ยินเสียงผู้คนกล่าวขอรับพรอย่างพร้อมเพรียงกัน
“อามีน”
อับดุลเลาะยกมือขึ้นพร้อมกล่าวขอพร หากแต่สายตายังคงจับจ้องไปยังหลุมศพของพ่อตัวเองด้วยหัวใจแทบสลาย ทุกครั้งที่ได้เดินผ่านมายังสถานที่แห่งนี้
“อ้าว อับดุลเลาะห์ เข้าไปด้านในสิ”
เสียงชาวบ้านซึ่งยกสำหรับเข้ามาในกุโบร์เพื่อทำบุญในครั้งนี้พูดขึ้น อับดุลเลาะห์มองมาด้วยแววตาอันเศร้าน้ำตายังคงเต็มเบ้าตา
“ครับ”
ก่อนตอบรับเบาๆ
“พ่อจ๋า..วันนี้ผมมาเยี่ยมพ่อคนเดียว ....คิดถึงพ่อมากครับ”
อับดุลเลาะห์พูดขึ้นเบาๆสายตาจ้องมองหลุมศพพ่อ น้ำตาไหลหยดลงบนเนินดินซึ่งก่อเป็นเครื่องหมายหลุมศพ อับดุลเลาะห์แน่นิ่งไปชั่วขณะ พร้อมๆกับเสียงสะอื้นดังแรงขึ้น
“อับดลเลาะห์”
เสียงเรียกของฮาซันดังขึ้นมาพร้อมกับนั่งลงใกล้ๆร่างที่สั่นระริกเพียงลำพัง
“วันนี้วันดีนะ อับดุลเลาะห์อย่าร้องนะเลาะห์ เดี๋ยวพ่อเลาะห์ก็เสียใจหรอก”
เสียงพูดของเพื่อนรักดังขึ้น อับดุลเลาะห์ยังคงก้มหน้านิ่งเงียบไม่มีแม้เสียงร้องอีกเลย ฮาซันเองน้ำตาเออนองเหมือนกันเมื่อมองเห็นเลาะห์ เพื่อนที่โตมาด้วยกันนิ่งเงียบ
“อับดุลเลาะห์..อับดุลเลาะห์”
ฮาซันเรียกเลาะห์เบาๆ เลาะห์ผละสายตาจากหลุมศพผู้เป็นพ่อเบาๆพลางหันมายังฮาซัน
“โน้นแม่นายมามาแล้วนะ”
ฮาซันพูดในขณะที่มองผู้เป็นแม่ซึ่งเดินอยู่บนถนนลูกรังสีแดงอย่างเร่งรีบ
“แม่”
อับดุลเลาะห์พูดออกมาเบาๆเมื่อสังเกตเห็นแม่ในชุดเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่เมื่อปีที่แล้ว เดินตรงมาด้วยรอยยิ้ม เด็กน้อยก้มหน้ามองหลุมศพผู้เป็นพ่อ
“พ่อครับ...เดี๋ยวแม่คงมาหาพ่อครับ”
เด็กน้อยพูดด้วยเสียงแหบแห้งน้ำตาไหลรินลงสู่หลุมศพอีกครั้ง ปากสั่นระริกหากแต่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาเมื่อเห็นผู้เป็นแม่รีบเดินมาแต่ไกล
ทุกศาสนาย่อมมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
พุทธ มุสลิม คริสต์ ต่างก็มีความรู้สึกที่เป็นคนเหมือนๆกัน
ความคิดเห็น