แล้วเรา..จะรักกัน - แล้วเรา..จะรักกัน นิยาย แล้วเรา..จะรักกัน : Dek-D.com - Writer

    แล้วเรา..จะรักกัน

    ขอแค่กระทบใจ...ใครสักคน

    ผู้เข้าชมรวม

    827

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    827

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 ก.พ. 50 / 03:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                   
                   ท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถบนถนนวิภาวดี ทั้งๆที่ล่วงเลยเวลาแห่งการจราจรหนาแน่นมาราว สองชั่วโมงแล้วแบบนี้ ทำให้เขาค่อนข้างที่จะกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย เป็นความผิดของเขาเองที่เอ้อระเหย กับไอ้เพื่อนกวนประสาททั้งหลายที่ต้องการคำตอบให้ได้ว่าเขากำลังจะไปส่งใคร หลังจากที่หลุดปากบอกไปว่าจะไปดอนเมือง กว่าบอกพวกมันจบแต่ละคำถามก็เล่นเอาเขาต้องเกี่ยวนิ้วชี้กับนิ้วกลางเข้าหากันนานจนชา  แล้วใครจะไปคิดว่าเวลาเกือบสี่ทุ่ม ตอนออกจากหอพักหน้ามหาวิทยาลัยรถตู้ใช้เวลาแล่นฉิวเพราะถนนที่โล่งยาวไม่มีการจราจรที่ติดขัดให้หงุดหงิดใจเมื่อถึงป้ายรถเมล์ที่ต้องต่อรถสายที่ต้องการในเวลาอันรวดเร็ว แต่ตอนนี้ที่นี่..บนถนนถนนวิภาวดีแห่งนี้รถทุกชนิดมันกลับใช้คลานเอา แถมต้องมาเป็นเวลานี้ เวลาที่เขารีบสิเล่า! ชายหนุ่มรำพึง


                     
      ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่ได้กระเบียดกระเสียร และตัวเขาเองก็ออกจะมีเหลือเกินด้วยซ้ำตามแต่บิดาที่ทำงานรัฐวิสาหกิจจะเอื้ออำนวย  และเมื่อได้มีโอกาสออกมาเล่าเรียนอย่างที่ใจฝันที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ค่าเล่าเรียนที่แพงหูแทบฉีก เขาจึงไม่ลังเลที่จะรับข้อเสนอของบิดาให้มาเรียน และอาศัยอยู่ที่หอคนเดียว นั่นเองที่ทำให้เขาพอจะมีเงินอยู่บ้างแม้ว่าความจริง จะเป็นเงินของพ่อก็เถอะมัน แต่เมื่อมันย้ายมาอยู่ในกระเป๋าเขาแล้วนี่ เขาก็เป็นเจ้าของโดนสมบูรณ์   แต่ว่าตอนนี้เขากลับกำลังนั่งเหงือแตกซิกอยู่บนรถเมล์ที่แม้จะเปิดแอร์เย็นฉ่ำ แต่คนก็เยอะพอดู ก็พอดูว่าหาที่นั่งไม่เห็นก็แล้วกัน
      ! เขาไม่คาดคิดว่าเวลาอย่างนี้คนจะเยอะรถจะแยะขนาดนี้ และเพราะเขาออกมาก่อนเวลานัดตั้งนาน เขาจึงเลือกเดินทางโดยรถโดยสารขสมก. เพิ่งรู้เมื่อมาถึงตรงนี้ล่ะว่าเขาคิดผิด... 

                     ว้า..ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ อีกสี่สิบห้านาที จะถึงเวลานัดหมาย เขาต้องไปให้ถึงสนามบินดอนเมืองก่อนห้าทุ่มครึ่ง   

                    เขา...คงไม่ดิ้นรนขนาดนี้ ถ้าแค่เพื่อนหรือใครซักคนจะไปเรียนอะไรซักอย่างสั้นๆที่ต่างประเทศ แทนที่จะทนร้อนอยู่ในประเทศไทยตามประสาคนมีอันจะรับประทาน (มากกว่าเขา) ถ้าหากว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เพื่อน...คนที่กำลังจะลัดฟ้าไปเรียนไกลถึงอเมริกาจะไม่โทรศัพท์มาหาเขา และชวนเขาไปเดินเที่ยวท่าพระจันทร์  เขาเองก็ตอบตกลงทันที เป็นปกติที่เขากับเพื่อนคนนี้และอีกหลายคนในกลุ่มมักจะนัดกันไปเที่ยวเมื่อต่างฝ่ายต่างมีเวลา เพราะเมื่อจบมัธยมปลายจากโรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมา เขาและเพื่อนอีกหลายคนรวมทั้งเพื่อนคนนี้มาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ 

                    ในวันนั้นมีเพื่อนฝูงไปด้วยอีกหลายคนเหมือนเคย พวกเราเดินเที่ยวและไปนมัสการพระแก้วมรกตในวัดพระแก้ว ก่อนเดินชมความสวยงามของสถานที่เล็กน้อย ก่อนออกมาเดินต่อที่ท่าพระจันทร์กันจนเหนื่อยหอบส่วนหนึ่งคงเพราะอากาศที่ค่อนข้างร้อน มีซื้อของบ้างเล็กน้อยตามแต่ความต้องการ มันก็ดูปกติธรรมดาสำหรับการนัดเจอของเพื่อนพ้องที่เคยเรียนด้วยกัน เล่นด้วยกันมาก่อนยาวนาน

                    "เติ้ล..อีก สองอาทิตย์ ก้อยจะไปอเมริกานะ"  ก้อยบอกเขาเมื่อทั้งกลุ่มกำลังยืนรอคิวเพื่อจะดูดวง เขาเคยได้ยินมาว่าที่นี่แม่น นั่นคงเป็นสาเหตุที่คนรอคิวก็เยอะพอสมควร แม้กระนั้นพวกพ้องทั้งหมดเต็มใจจะเข้าคิวยืนรอเพื่อดูชะตาตัวเองในอนาคต ซึ่งเขาก็ไม่พลาด 

                     "ซัมเมอร์หรือไปยาวล่ะ" ความจริง...เขาไม่ต้องถามก็พอรู้ ก้อยเคยไปเรียนซัมเมอร์ช่วงปิดเทอมที่ต่างประเทศมาแล้ว และครั้งนี้ก็คงเช่นกัน เพราะการศึกษาในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังซึ่งการสอบเข้าแสนยากเย็น คงไม่ทำให้ก้อยตัดสินใจย้ายไปเรียนเมืองนอกยาวอย่างที่เขาถาม ทั้งที่เข้าเรียนไปได้แค่สองปีหรอก 

                     "ซัมเมอร์ซิ มีครอสให้เรียนเป็นสิบ  เติ้ลล่ะเรียนเป็นไงบ้าง" เธอถามคำถามที่เขาไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่เลยพักนี้ 

                     "เรื่อยๆ" คนตอบยักไหล่น้อยๆ  "เติ้ลไม่ค่อยขยันหรอกก้อยก็รู้ คะแนนกลางภาคที่ผ่านมาก็ถือว่า...กลางๆถ้าจะเอียงก็คงเอียงไปทางล่างๆหน่อยมั้ง"  คนตอบยิ้มตาหยีส่งไปยังคนถามขณะตอบ "พอถึงปลายภาคมาเลยหล่นลงไปนิดๆหน่อยๆ" เขาบอกด้วยน้ำเสียงปกติเรื่อยๆเหมือนที่บอกก้อยไว้  เมื่อมีเวลายืนเฉยๆแบบนี้เขาจึงพอมีเวลาพิจารณาเพื่อนหญิงคนข้างหน้าเล็กน้อยขณะตอบคำถาม วันนี้ก้อยดูสดใส ในชุดสีหวานแหววปนเปรี้ยวเล็กน้อยตามเทรนแฟชั่น แถมระบายหน้าอ่อนๆด้วยเครื่องสำอาง โทนสีฟ้า  และคงกำลังยิ้มขำกับคำตอบที่ได้ยินให้เขา 
       
           
      "
      เติ้ล เป็นอะไรรึเปล่าอยู่ๆก็เงียบไป ถามก็ไม่ตอบ

          
         "เปล่าจ๊ะ แค่สงสัยคนตอบยังคงมองคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น

        
               "สงสัยอะไร? สงสัยจะไปไม่ได้หรือ หรือสงสัยว่าจะไม่ไป" คนถามหันมาหาเขาเต็มตัวขณะถามกลับ คิ้วขมวดนิดหน่อยคล้ายรอคอยคำตอบ  เธอเพิ่งจะถามว่าเขาจะไปส่งเธอได้ไหม แต่เหมือนเขาจะไม่ได้ยิน 

                     "วันนี้ก้อยดูน่ารักดี"  เขาพูดออกมาตรงๆทื่อๆ ไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับมีผลให้คนฟังหันหน้ากลับหลังหันไปยืนที่อย่างเก่าแทบทันที หลังจากยืนมองหน้าเขาอย่างตกราวเห็นผี แต่เขาก็ทันเห็น........ว่าก้อยเขิน     

          
      "
      เขินหรือก้อย เติ้ลไม่ได้ชมก้อยครั้งแรกซักหน่อยทำไมถึงเพิ่งจะเขิน" เขาสะกิดเพื่อนสาวที่ยืนข้างหน้าที่หัวไหล่ 

                     "ก็มันไม่เหมือนกันนี่" คนตอบยังยืนหันหลังท่าเดิม "ว่าไงล่ะจะไปส่งก้อยรึเปล่าบอกมาชัดๆ"

                      "ไปสิ" เขาตอบทันที "ขอวันชัวร์ๆล่วงหน้าหน่อยนะ เติ้ลจะเทคิวให้ก้อยทั้งวันเลย" วันนั้นที่เขาพูดไป ไม่ได้รู้เลยว่าทำให้คนฟัง หัวใจพองโตขึ้นอีกซักแค่ไหน ต่อจากคำชมทื่อๆนั่น


         
      เสียงเพลงในโทรศัพท์มือถือ ดังขึ้นเรียกเขากลับมาสู่ปัจจุบัน เขาตบกระเป๋าสองที เสียงฮัลโหลก็ดังขึ้น บทสนทนาเป็นการเป็นงานก็ตามมา ท่ามกลางความเงียบในรถ เสียงคนคุยโทรศัพท์ถือได้ว่าเป็นเสียงจากนรกจริงๆ   เมื่อเขามองลอดออกไปนอกหน้าต่าง และก็เผยยิ้มเมื่อกลับมามองเวลา ในที่สุดเขาเขามาถึงก่อนเวลานัดสิบห้านาที

                   ค่อยยังชั่วหน่อยป้ายหน้า..เขาต้องลงป้ายหน้าแล้ว  คนใช้ความคิดลุกขึ้นยืน ก่อนเดินฝ่าผู้โดยสารที่รู้สึกจะเพิ่มขึ้นอีก ออกมายืนรอที่ประตู

                     อีกห้านาทีถัดมาเขาก็เข้ามายืนอยู่ภายในสนามบิน ในอาคารผู้โดยสารขาออกต่างประเทศที่แสนเย็นฉ่ำ ภายในอาคารค่อนข้างสงบไม่วุ่นวายเช่นภายนอก  เขามาถึงนี่พร้อมด้วยหนังสือแปลในมือหนึ่งเล่ม เขาตั้งใจมากที่จะนำมาให้ก้อยอ่านระหว่างการเดินทางบนท้องฟ้า ถึงตอนนี้เขารู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เพราะแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอไปเรียน และเขาก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาส่ง แต่ครั้งนี้ในวันนี้มันไม่เหมือนกัน

                     ใช่..มันต่างกันมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาส่งก้อย หลังจากที่เขารับรู้เรื่องราวจากปากของก้อยถึงความรู้สึกลึกๆภายในใจ ความรู้สึกที่มากกว่าคำว่าเพื่อน มากกว่าความผูกพันยาวนานนับสิบปีที่ก้อยมีให้กับเขา

                      "อย่าโกรธก้อยนะเติ้ล ก้อยแค่อยากให้เติ้ลรู้ไว้ ก้อยไม่ได้หวังให้เติ้ลตอบรับหรือมีปฎิกริยาอะไรหรอกเชื่อก้อยเถอะ" เสียงระร่ำละลักต่อมาจากคำสารภาพที่ทำเอาเขาอึ้งไปหลายวินาที "ไม่รู้สิเติ้ล...เจอกันครั้งล่าสุดที่เราไปท่าพระจันทร์กับพวกนัย ก้อยรู้....แต่จริงๆก้อยรู้สึกมานานแล้ว แต่ก้อยไม่แน่ใจก้อยเลยต้องทดสอบความรู้สึกตัวเองแล้วมันก็จริง และก้อยก็อยากให้เติ้ลรับรู้ไว้ ว่าก้อยรู้สึกยังไง..แค่นั้น"

                        "เติ้ลรับรู้แล้วล่ะก้อย ขอบคุณมาก" เขาไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ "แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ครับนี่"

                      "อยู่ที่หอ...ก้อยกำลังจะจัดกระเป๋า ใบใหญ่มากๆเลยเติ้ล ชักสงสัยว่าถ้าเสื้อผ้าก้อยหมดตู้แล้ว กระเป๋าจะเต็มรึเปล่า" ปลายสายบอกเล่าเหมือนเคย ทำให้เขาค่อยๆรู้สึกสบายใจขึ้นกับน้ำเสียงใสๆปลายสาย ต่อจากอาการอึ้งในคราแรก

                      "ก็เว้นที่ว่างไว้ เผื่อเอาไว้ใส่ของฝากเติ้ลตอนกลับมาไง" เขาได้ยินปลายสายหัวเราะเสียงใส  ก่อน่จะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ       "เติ้ล....ยังจะมาส่งก้อยอยู่ไหม?"  

           
      "ไปสิครับไปแน่ๆ ก็เติ้ลเทคิวให้ก้อยแล้วนี่" เขาหัวเราะนิดๆ   "ก้อย...เติ้ลก็ชอบก้อยนะ" เขาตัดสินใจเอ่ยตามตรงดังที่เป็นอยู่ปกติกับก้อย  "เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าชอบมากขนาดไหน หรือชอบด้วยความรู้สึกไหน ตอนนี้ที่เติ้ลรู้สึกคือเป็นห่วง ก้อยไปพักอยู่กับญาติใช่ไหม"

                      "ใช่ ก้อยไปอยู่กับอานิลเหมือนเดิม" เสียงใสตอบมา

                      "เอาเป็นว่า ช่วงซัมเมอร์นี้ ขอเติ้ลสำรวจใจตัวเองหน่อยนะก้อย" เขาเอ่ยเสียงหนักแน่นตอบไป

                      "ได้อยู่แล้ว ตามสบายเลยเติ้ล ก้อยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดอะไร แต่ถ้าจะสำรวจก็สำรวจแค่ใจของเติ้ลก็พอนะว่าคิดยังไง เพราะถ้าเราตกลงมาคบกันจริงๆ เราก็ยังต้องเรียนรู้กันอยู่ดี มาส่งก้อยนะเติ้ลตามที่รับปาก วันพฤหัส เครื่องออกเที่ยงคืน แต่ก้อยคงเข้าไปข้างในประมาณห้าทุ่มครึ่ง"

                      "ครับผม แล้วเจอกันวันพฤหัส"


                     
      ภายในอาคารผู้โดยสาร เมื่อเดินลึกเข้ามาหน่อยมีผู้คนที่เตรียมตัวเองทางกลุ่มใหญ่ ต่างกำลังวุ่นวายกับการเช็คสัมภาระ ตรวจสอบตั๋วสำหรับเที่ยวบินถัดไป เขาเดินสอดส่ายสายตาขณะกดโทรศัพท์ติดต่อไปยังคนที่อยู่ในนี้ก่อนแล้ว

                      "เติ้ล! ทำไมช้าจังเลย แล้วนี่ตอนนี้อยู่ที่ไหน ก้อยจะเข้าไปแล้วน๊ะ" เสียงปลายสาร้อนรน แต่เขาสิกลับยิ้ม เพราะทันทีที่ก้อยรับสาย สายตาเขาก็เห็นหญิงสาวทันที ก้อยำลังยืนชะเง้อมองหาเขาที่ยืนอยู่เยื้องไปทางด้ายหลัง แน่นอนก้อยยังไม่ได้หันมาจึงมองไม่เห็นเขา

                      "รถติดมากเลยก้อย สงสัย...."

                     "ไม่ต้องสงสัยแล้วเติ้ล" คนปลายสายสวนขึ้นอย่างรีบๆ "นั่งรถแท็กซี่มาเลยเถอะ ก้อยอยากเจอเติ้ลก่อนนะ"

                      "ก็รถมันติดนี่ นั่งแท็กซี่ก็ติดเหมือนเดิมแหละ" เสียงพูดไม่อนาทรร้อนใจซักนิด ผิดปลายสาย

                      "เติ้ลบ้า.." ก้อยร้องขึ้น "ก็ไหนว่าเทคิวให้ก้อยแล้วไง ทำไมถึงไม่มาก่อนล่ะ" เสียงปลายสายชักสั่น เธอหันหลังให้บรรดาเพื่อนฝูงที่มองเธออย่างเห็นใจ  โชคดีที่ตอนนี้บิดามารดาของก้อยไปเข้าห้องน้ำ สายตาของก้อยหลุบมองพื้นซ่อนแววตา เธอไม่ต้องการให้คนที่เดินผ่านไปมาสักเกตุเห็นว่าเธอกำลังจะร้องไห้ แน่นอนกริยาดังกล่าว ทำให้ก้อยมาอยู่ต่อหน้าเขาพอดี แม้จะห่างเขาก็เห็นชัดเจนหล่ะ

                      "บังเอิญเติ้ลต้องทำงานสำคัญก่อน" เขายิ้ม ท่าทางเขานี่จะซาดิสม์ ชอบเห็นผู้หญิงร้องไห้  แต่ไม่เขาไม่ได้ต้องการให้ก้อยร้องไห้ซักหน่อย

                      "แล้วก็ไม่โทรมาบอกกันก่อน ก้อยรอเติ้ลอยู่คนเดียวนะนี่"

                      "เหรอครับ" เขาตอบรับอย่างคล้ายไม่ใส่ใจอีกแล้ว "เออนี่ก้อย..."

                      "อะไรอีก...เติ้ลอย่ามาทำเสียงระรื่นอยู่หน่อยเลยน่า อยู่ไหนแล้ว" น้ำเสียงที่ส่งมาทำให้เขารู้สึกว่าก้อยเริ่มโกรธ  เขาเห็นเธอยกนาฬิกาขึ้นดู "อีกสิบนาที นะเติ้ล"

           "อีกตั้งนาน" เขาบอก "นี่...เงยหน้าขึ้นหน่อยสิ" ทันทีที่จบคำ สายตาของเธอก็ตวัดขึ้น มันตรงดิ่งมาทางเขาเป๊ะ เขากดปิดโทรศัพท์ด้วยใบหน้ายิ้มพราวค่อยๆเดินเข้าหา แต่ดูเหมือนจะช้าไปหน่อยเพราะก้อยวิ่งมาทางเขาแล้วก็โผเข้ากอด เขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่มองไปทางที่ก้อยวิ่งมาชัดๆ  โล่งอก ไม่เห็นพ่อกับแม่ของก้อย เขาเผลอลูบผมก้อยไป สองสามที

                      "ขอโทษที" ก้อยที่เหมือนรู้สึกตัวแล้วว่ากำลังกอดเขาอยู่ ก็ปล่อยมือจากการโอบรัดเขา ก้อยไม่ได้ร้องไห้อย่างที่เขาตั้งใจ  

                      "ไม่เป็นไร เติ้ลชอบให้ผู้หญิงมากอด" แล้วคนตอบก็ได้ค้อนเหวี่ยงมากระแทกใจไปหนึ่งวดอก นั่นทำให้เขาเดิมเผยยิ้มขึ้นไปอีกขณะเดินเข้าไปทักทายบรรดาเพื่อนเก่าที่ไปเดินเที่ยวท่าพระจันทร์อยู่ครบเซ็ท และก้อยก็แนะนำเพื่อนใหม่ให้เขารู้จัก เพิ่มอีกสองคน ดูเหมือนว่าเพื่อนใหม่ของก้อยรู้จักเขา และคงพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร  แต่เขาก็สบายใจเพราะทั้งหมดแล้วเป็นเพื่อนสนิทกว่าของก้อย ส่วนพื่อนของเขาอยู่ที่มหาลัยโน่น แต่ไม่มีใครล่วงรู้ความลับของเขามานัก โดยเฉพาะเกี่ยวกับก้อยไม่มีใครมาล้อเขาแน่ๆ  ถ้าเขาจะไม่ตัดสินใจไปปรึกษาพวกนั้นเองน๊ะ สักพักพ่อกับแม่ของก้อยก็เดินเข้ามา เขาก็เข้าไปกราบทักทายตามปกติ

                      "คุณลุงกับคุณป้าพักที่ไหนครับคืนนี้" เขาถามพ่อกับแม่ของก้อย

                      "ลุงคงกลับปากช่องเลย มีคนขับรถมาด้วย"  ประโยคสุดท้าย คงบอกเขาเพิ่มเติมหลังจากที่เขาทำหน้าตกอกตกใจเต็มที่

                      "งั้นก็ดีครับ" เขาบอกอย่างตามใจกับผู้สูงวัยก่อนหันมาทางเพื่อนรุ่นเก่าของเขา "พวกนายล่ะจะกลับยังไง"

                      "ว่าจะไปเที่ยวกันต่อว่ะเติ้ล ไปด้วยกันไหม" คนตอบลุกมากระซิบ  เขาไม่ค่อยชอบเที่ยวตอนกลางคืน เขารู้ตัวเองหลังจากที่ฉลองวันเกิดครบรอบยี่สิบปีบริบูรณ์เมื่อสี่เดือนทีผ่านมาในเธคชื่อกระฉ่อนแถวพระราม 9   ก็กับเพื่อนพวกนี้นี่แหละ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าไปไม่ได้ หรือไปแล้วไม่ดีนี่ แล้วตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาเขาก็ออกจะเป็นเคนดีตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบอย่างเดียว  เขาจึงพยักหน้ารับปากเพื่อนเขา

          จวบจนเมื่อถึงเวลาทั้งหมดก็เดินไปส่งก้อยที่ทางเข้า ก้อยร่ำราครบหมดทุกคนจนเขาเป็นคนสุดท้าย เขายื่นหนังสือที่ถืออยู่ในมือมานานให้ก้อย

                      "เอาไว้อ่านแก้เซ็งบนเครื่อง"  เขาว่า

                     "เติ้ลซื้อหนังสือให้ก้อยหรือ?" คนถามถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ "หนังสือเกี่ยวกับสงครามหรือพวกเครื่องบินนักบินอะไรนั่นหรือเปล่า" เขายิ้มเมื่อได้ยินคำถามหวาดระแวงของก้อย 

                      "อ่านเองสิ แล้วกลับมาเล่าให้เติ้ลฟังด้วยว่าเรื่องมันเป็นไง"

                      "เติ้ลยังไม่ได้อ่านหรือ งั้นไม่ใช่สองประเภทที่ว่าแน่ๆ"  เธอยิ้ม "ได้สิก้อยจะกลับมาเล่าให้ฟัง"

                      "รักษาสุขภาพดีๆ ตั้งใจเรียน อย่าดื้อ อย่าซน" เขายิ้มให้อย่าล้อเลียนขณะเอ่ยเสียงดัง  "แล้วกลับมาให้ครบทั้ง สี่ห้องหัวใจนะครับ มาฟังคำตอบจากผม" และเขากระซิบในประโยคท้ายๆ ก่อนก้อยจะเดินเข้าไปในช่องทางเข้าสู่สถานที่สำหรับรอขึ้นเครื่อง 

                      เขาคงเสียเวลาถามใจตัวเองอีกไม่เท่าไหร่หรอก ซัมเมอร์หรือ .... เขาคิดขณะออกเดินตามเพื่อนเพื่อไปยังสถานที่ที่ตกลงกันไว้ในค่ำคืนนี้

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×