คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ดอกไม้กลีบที่ 8: ไฝว้!
Title: Statice
Genre: BL,Comedy
Rating: PG
Pairing: Kaix Aichi, Miwa x Misaki
ดอกไม้กลีบที่ 8: ไฝว้!
ภายในห้องนั่งเล่นบ้านเซ็นโด ในตอนนี้มีสมาชิกประกอบไปด้วยไอจิ ไค มิวะ มิซากิและนาโอกิกันอยู่พร้อมหน้า ทุกคนต่างหยิบการบ้านปิดเทอมหน้าร้านขึ้นมานั่งทำกันอย่างขะมักเขม้น... ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอกนะ หากบรรยากาศภายในห้องมันไม่ให้ความรู้สึกอึดอัดน่ะ
...อัดอึดชะมัด...
สำหรับนาโอกิแล้ว ไม่รู้ถึงที่มาที่ไปหรอก ว่าทำไมบรรยากาศมันถึงได้อัดอึดขึ้นมาแบบนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าที่ทุกคนจะมารวมตัวกันภายในห้อง บรรยากาศมันก็ไม่ได้อึดอัดอะไรเลย แม้แต่ตอนที่ไคเข้ามาเองก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเช่นนี้ ทว่าพอมิซากิและมิวะที่ไม่รู้หายขึ้นไปทำอะไรข้างบนอยู่นานสองนานกลับเข้ามาภายในห้องเท่านั้นแหละ
บรรยากาศมันก็ได้กลายสภาพเป็นเช่นนี้ไปได้ นาทีนี้นาโอกิได้แต่นึกถอนหายใจเหนื่อยอย่างไม่รู้จะพูดว่าอะไรดีแล้ว นอกจากก้มหน้าก้มตาทำการบ้านของตัวเองต่อไป ต่อให้มีส่วนไหนที่รู้สึกไม่เข้าใจหรือสงสัยยังไง ก็ไม่กล้าเอ่ยถามใครทั้งสิ้น นอกจากนั่งเงียบแล้วทำตัวให้กลายเป็นธาตุอากาศมากที่สุด
ส่วนในกรณีของมิวะ ต่อให้รู้ถึงเหตุผลดีอยู่แล้วก็เถอะ แต่พอได้มาอยู่ในสภาพบรรยากาศแบบนี้เข้าก็นึกอยากจะตะโกนร้องบอกให้ไอ้พวกสร้างบรรยากาศมันหยุดเสียเดี๋ยวนี้ สายตาก็คอยมองไปทางไคที ทางมิซากิทีด้วยความรู้สึกอยากจะร้องไห้อย่างบอกไม่ถูก
แล้วดูเหมือนคนที่ไม่ได้รับผลกระทบกับสภาพบรรยากาศที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย คงจะมีเพียงไอจิเพียงคนเดียวเท่านั้น ในเมื่อเจ้าตัวยังดูสดใสร่าเริงอยู่เลย ไม่มีเค้าความหนักใจปรากฏให้เห็นอยู่เลยแม้แต่นิด เห็นแล้วอดรู้สึกอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก
...ดีจังเลยน่า...
ก่อนนึกขึ้นได้ว่าวันนี้จะมีเหตุการณ์น่าสนุกอะไรเกิดขึ้น ความอึดอัดเนื่องด้วยเป็นผลกระทบมาจากผู้สร้างบรรยากาศทั้งสองแลดูจะหายไปในพริบตา สายตาก็คอยจ้องมองคนทั้งสามเป็นระยะ ส่วนมือก็พยายามที่จะขยับเขียนตัวหนังสือลงไปแล้วนะ แต่มันก็แทบไม่ขยับเลยเนี่ยสิ เพราะสติมันไม่ได้อยู่ที่การบ้านแต่ไปอยู่ที่บุคคลเสียหมด
“ไอจิคุง นายเก่งเลขสินะ ช่วยสอนตรงนี้ฉันหน่อยสิ” ดูเหมือนมิซากิจะเริ่มรุกแล้วแถมยังเรียกไอจิอย่างสนิทสนมเสียอีก เห็นแล้วมันน่าอิจฉา... เสียเมื่อไรล่ะ มันน่าสนุกมากยิ่งขึ้นต่างหาก เพราะพอมิซากิรุกออกไปแบบนั้น ไคเองก็เริ่มเอาบ้างเช่นกัน
“ไอจิ ตรงนี้ฉันไม่เข้าใจ” การบ้านที่ไคยื่นไปให้ไอจิดู ถ้ามิวะมองไม่ผิดมันคือการบ้านคณิตอย่างไม่ต้องสงสัย ฟังดูเผินๆ แล้วมันก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถ้าไม่ติดว่าการบ้านที่ขอให้สอนให้มันสูงกว่าชั้นที่คนสอนเรียนอยู่หนึ่งปีน่ะนะ...
...เฮ้ยๆ เจ้าไค อย่างนี้มันไม่ดูเป็นการเรียกความสนใจเกินไปหน่อยหรืออย่างไร...
แล้วเหมือนเรื่องนี้นาโอกิเองก็คิดเช่นเดียวกัน ถึงได้เตรียมเปิดปากพูดแย้งอะไรบางอย่างออกมาแต่กลับต้องเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน เนื่องจากได้รับสายตาแลดูน่ากลัวมาจากมิซากิเข้าเสียก่อน สุดท้ายจากที่จะได้มีบทพูด ก็เป็นอันไม่มีบทพูดอยู่เช่นนั้นต่อไป
“เอ๋... อ่าคุณมิซากิไม่เข้าใจตรงไหนเหรอครับ ส่วนของไคคุงเดี๋ยวผมดูให้อีกทีนะครับ” ลำบากใจในนาทีแรก ก่อนตัดสินใจเลือกทำตามลำดับนั่นคือใครขอมาก่อนก็ช่วยคนนั้นก่อน ทำให้ในยกแรกมิซากิกลายเป็นผู้ชนะไป แต่ช้าก่อน! ดูเหมือนไคยังไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ
“ไอจิ... ผมนายยังไม่ได้หวีเลย เดี๋ยวฉันช่วยหวีผมให้นะ” น้ำเสียงมันยังไงดูแข็งกระด้างแต่คำพูดที่เอ่ยออกมาช่างตรงข้ามยิ่งนัก มิวะถึงกับนึกหัวเราะอยู่ภายในใจส่วนภายนอก พยายามทำให้ดูเหมือนตัวเองสนใจการบ้านตรงหน้าเป็นอย่างมาก แล้วเพื่อความสมจริงมากยิ่งขึ้น ถึงได้คว้าเอาหนังสือมาเปิดคู่ด้วย
“เอ๋.. ครับ” ขานรับอย่างงงๆ แล้วหันมาช่วยสอนการบ้านให้กับมิซากิต่อในทันที ระหว่างนั้นไคที่เหมือนจะได้รับความสนใจก็กลับมาโดนเมินอีกครั้ง พอรู้ว่าผลในครั้งนี้ตัวเองแพ้แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากคว้าหวีออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเริ่มสางผมให้กับไอจิในทันที
“มิวะ นายอ่านหนังสือกลับหัวแบบนั้นรู้เรื่องด้วยเหรอ” ขณะตั้งใจสังเกตพฤติกรรมคนทั้งสามด้วยความตั้งอกตั้งใจเสียยิ่งกว่าการทำการบ้าน หนังสือที่ใช้เอามาทำเพื่อให้มันดูสมจริงว่าเขากำลังทำการบ้านอยู่นั่นกลับกลายเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจทุกคนได้ในพริบตา เพียงเพราะนาโอกาทักมาเท่านั้น
...จะทักมาเพื่อ!...
“ไม่ได้ใช้อ่านหรอก แค่เอามาตั้งไว้ดูเล่นน่ะฮ่าๆ” เเถทีสีข้างแทบหลุดเพราะนอกจากเหตุผลที่ฟังดูไม่ขึ้นแล้ว สีหน้าของนาโอกาเองก็แลดูบ่งบอกไม่เชื่อสุดๆ เสียอีก มิวะถึงได้นึกตะโกนด่าอีกฝ่ายอยู่ภายในใจ ส่วนคนสามคนที่ทำท่าเหมือนไม่สนใจใครอื่นก่อนหน้านี้เองก็ดูเหมือนจะหันมาสนใจเขาด้วยเช่นกัน
“นายเนี่ยชอบทำอะไรแปลกๆ นะ” เจอคนที่แอบชอบอยู่พูดใส่แบบนี้ มิวะแทบนึกอยากจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด ส่วนไคยังคงวุ่นวายอยู่กับการหวีผมไอจิ ในขณะที่เจ้าตัวก็ไม่ได้อยู่นิ่งให้อีกฝ่ายหวีได้ง่ายๆ เอาแต่หันไปหันมาเสียจนคนทางด้านหลังเริ่มรำคาญ
“ไอจิอยู่นิ่งๆ” โดนดุไปหนึ่งทีก็ถึงกับนั่งนิ่งตัวแข็งไปกันเลย มิซากิเพียงถอนหายใจเสียงแผ่วแล้วคว้าแก้วน้ำที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมา
“อากาศร้อนแบบนี้ กินน้ำหน่อยไหมไอจิ” ไม่ทันรอคำตอบ จัดการป้อนน้ำให้เสร็จสรรพ มิวะแอบเห็นไคชักสีหน้าไม่พอใจด้วย รับรู้ได้ในทันทีเลยว่ายกที่สองคงจะเริ่มขึ้นแล้ว
“มาสอนฉันได้แล้ว” ไม่พูดเปล่ายังคว้าร่างบางขึ้นมานั่งตักตัวเองเสียอีก สองมือก็กั้นเอาไว้ไม่ให้ไอจิลุกออกไปไหนได้อีก ดูยังไงมันก็เผด็จการกันจัดๆ ทว่าในยกที่สองนี้ดูท่าทางไคจะเป็นฝ่ายชนะไป เพราะพอไคทำแบบนั้น มิซากิก็แทบหาทางโต้กลับไปไม่ได้เลย
...โอ้ว สองคนนี้กำลังไฝว้กันอยู่สินะ...
คิดกับตัวเองยิ้มๆ ส่วนมือที่ขยับไปขยับมา ถ้ามีคนสังเกตสักนิด คงรู้สึกตัวไปนานแล้วว่าสมุดทำการบ้านมันได้กลายสภาพเป็นที่วาดรูปเล่นเป็นที่เรียบร้อยและแน่นอน คนที่สังเกตเห็นก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นนาโอกินั่นเอง
...วันนี้ทุกคนมาทำการบ้านกันใช่ไหม...
นี่คือเสียงกรีดร้องที่อยู่ภายในใจของผู้ที่กำลังตั้งใจทำการบ้านอย่างสุดซึ้งแบบนาโอกา ส่วนคนอื่นๆ นั่นแลดูจะไม่ค่อยมีความคิดแบบนี้อยู่ภายในหัวเท่าไรนัก เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเรื่องอื่นอยู่เต็มหัวไปหมด อย่างเช่นมิซากิกับไค กำลังคิดวิธีดึงดูดความสนใจกว่าไอจิอยู่ ส่วนมิวะขอเป็นผู้ชมแสนดี
“ไคคุง สอนเสร็จแล้วปล่อยผมลงด้วยนะ” กระซิบเสียงแผ่วจนแทบไม่มีใครได้ยิน ดูท่าทางจะอายอยู่ไม่น้อยที่โดนทำแบบนั้นแต่ปากกับมือก็ยังคงช่วยสอนการบ้านไคได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วไม่ใช่แค่มิวะที่รู้สึกแปลกใจ นาโอกิ มิซากิเองก็แปลกใจไม่แพ้เขา
“ไอจิ... ถึงฉันจะรู้ก็เถอะว่านายเก่งวิชานี้แต่... นี่เก่งถึงขนาดเข้าใจหลักสูตรของปีหน้าด้วยเหรอเนี่ย” นาโอกิเป็นคนแรกที่เอ่ยทักออกไปหลังเห็นไอจิสอนไคไปได้สักพัก ส่วนคนอื่นนั่นเอาแต่ปิดปากเงียบ รอฟังคำตอบจากคนโดนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ก็... ผมอยากจะช่วยอะไรไคคุงได้บ้างนี่น่า ก็เลย... พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้ดูน่ะครับ” คำตอบที่ฟังแล้วมันไม่ค่อยตรงคำถามเท่าไรนัก บนสีหน้าของทุกคนถึงขั้นปรากฏเครื่องหมายคำถามขึ้นมาในทันที สุดท้ายคนที่ตอบได้เข้าใจที่สุดก็คือคนโดนสอนนี่แหละ
“ไอจิชอบหยิบหนังสือเรียนฉันไปอ่าน มันก็แค่นั้นแหละ”
...จะขยันไปไหน!...
นี่คือเสียงที่ตะโกนร้องอยู่ภายในใจของทุกคนยกเว้นไคกับไอจิที่เป็นตัวต้นเหตุ สายตาสามคู่ถึงขั้นหันไปมองคนสองคนที่ชักเริ่มไม่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องเข้าไปทุกขณะ
“นี่ๆ ไอจิ ถามอย่างสิ ถ้าเกิดไคมีแฟนขึ้นมาจะทำยังไง” ไม่รู้เป็นเพราอะไร อยู่ๆ มิวะก็เผลอหลุดถามออกไปแบบนั้น แล้วกว่าจะรู้สึกตัวอีกที มันก็หลังจากที่ได้รับสายตาแลดูเย็นชามาจากไคแล้วนั่นแหละ เขาถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มแห้งไปให้
“ไคคุง... มีแฟนแล้วเหรอครับ” หันหลังไปแล้วช้อนตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้สายตาสบกัน เสียงที่เอ่ยถามฟังดูเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก เล่นทำเอาคนถูกมองหัวใจเต้นผิดจังหวะไปชั่วครู่หนึ่งแล้วรีบทำตัวกลับมาเยือกเย็นโดยเดิมที่สุด พร้อมตอบคำถามที่พึ่งได้รับมากลับไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ไร้สาระ ของแบบนั้นฉันไม่มีหรอก จะอยู่ดูแลนายแบบนี้ไปตลอดนั่นแหละ” ว่าเสียงไร้อารมณ์แต่แววตากลับฉายแววจริงจัง มิวะถึงขั้นมองไคตาโตด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ ในขณะที่มิซากิทำหน้าประหลาดเสียจนบอกความรู้สึกไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไร ส่วนนาโอกิที่คาดว่าต้องทำหน้าใกล้ร้องไห้กลับทำหน้าเครียดยิ่งกว่าเก่า แถมยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำมาประมาณว่า...
“วันนี้การบ้านจะเสร็จสักวิชาไหมเนี่ย”
...เสร็จล่ะมั้ง...
นึกตอบคำถามอยู่ภายในใจโดยไม่ได้พูดออกไปตามตรง สายตาก็ย้อนกลับมามองคู่ที่เผลอหวานกันไปอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น ว่าไอจิจะมีปฏิกิริยายังไงต่อ
“เอ๋ ไม่ได้หรอกครับ สักวันผมกับไคคุงต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเองนะ” ตอบกลับไปอย่างซื่อตรงเสียจนมิวะนึกอยากเอาหัวโขกโต๊ะเสียให้รู้แล้วรู้รอด มิซากิยิ่งทำสีหน้าประหลาดมากขึ้น นาโอกิปลงกับตัวเองเป็นที่เรียบร้อยว่าวันนี้การบ้านคงจะยังไม่เสร็จตามเป้า
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงนายมีคนอื่นฉันก็ยังคิดที่จะดูแลนายต่อไป” มิวะรู้สึกว่าต่อให้ไม่ต้องไปถามตรงหรืออ้อมกับไค คำตอบมันก็ชัดแล้วเมื่อได้รับฟังคำพูดเหล่านี้ หากแต่เขาก็ต้องหยุดความคิดพวกนี้เอาไว้เมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“ก็พวกเราเป็นพี่น้องกันนี่น่า” เข้าใจเลยว่าสีหน้าประหลาดของมิซากิมันเป็นผลมาจากอะไร บางทีเธอคงจะเดาได้อยู่แล้วว่าเจ้าไคเองก็คงจะไม่รู้สึกตัวเช่นกันว่าตัวเองคิดยังไงกับไอจิอยู่กันแน่
“นี่พวกนาย... ไม่คิดเป็นครอบครัวเดียวกันหรือไงอย่าง... ไอจิไม่คิดเปลี่ยนนามสกุลเป็นไคอะไรเงี้ยบ้างเหรอ” ลองเสนอขึ้นมาเล่นๆ โดยลืมทำใจรับกับคำตอบเสียก่อน เพราะพอได้ยินคำตอบมาจากอีกฝ่าย มิวะถึงขั้นอยู่ในสภาพวะกินจุดไปพักใหญ่
“พูดอะไรแบบนั้น่ะคุณมิวะ ผมกับไคคุงก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว อีกอย่างชื่อไคน่ะมันเป็นของไคคุงเขานะครับ ผมเอามาใช้ไม่ได้หรอก” ตอบคำถามด้วยสีหน้าจริงจังแล้วเหมือนไคเองก็เข้าใจไปแบบเดียวกับไอจิ ถึงได้พยักหน้ารับเป็นการยืนยันคำพูดเหล่านั้นว่าเป็นจริงแน่แท้อีกต่างหาก
เห็นแล้วทั้งมิซากิและมิวะนึกอยากเอาหัวโขกโต๊ะขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันอย่างบอกไม่ถูก ส่วนอารมณ์ที่จะพยายามทำให้คนทั้งสองรู้สึกตัว รู้สึกหมดหดหายไปเสียหมดแล้ว บรรยากาศที่ควรเกิดตั้งแต่แรกจึงเริ่มเกิดขึ้น ทุกคนเริ่มเข้าสู่สภาวะตั้งใจทำการบ้านตรงหน้า
“ในที่สุด...”
พอเห็นทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนต่างก็เอาแต่สนใจสมุดที่อยู่ตรงหน้า นาโอกิถึงขั้นเผลอพึมพำออกมาด้วยความโล่งอกไปในทันที พอได้ยินแบบนี้เข้า มิวะแอบเหล่สายตามองคนพูดเล็กน้อยแล้วได้แต่นึกแสดงความยินดีกับอีกฝ่ายอยู่ภายในใจเท่านั้น
...ยินดีด้วยนะ ที่ได้ทำการบ้านอย่างสงบแล้วน่ะ...
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากพระอาทิตย์ที่ฉายแสงอยู่กลางหัวก็ได้ลดต่ำลงจนตกดินไปในที่สุด บ้านที่มืดสนิทเพราะแสงจากธรรมชาติได้หายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากฝีมือมนุษย์แทน ทว่าทุกคนก็ยังคงเคร่งเครียดกับการทำการบ้านต่อไป
แม้จะเป็นเวลาบางช่วงที่ได้ยินเสียงไอจิบ่นกับไคว่าอยากลงไปนั่งกับพื้นแล้วเจ้าตัวไม่ยอมปล่อยลงก็เถอะ หรือไม่ก็เสียงมิซากิแกล้งพูดหยอกไอจิเล่นให้ไครู้สึกโมโห แต่โดยรวมแล้วก็ผ่านไปอย่างสงบ ตอนนี้ทุกคนก็ไม่ค่อยสนใจอะไรอื่นนอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ตัวไอจิเองที่วันนี้ทั้งวันนั่งอยู่บนตักไคเองก็กลับมานั่งพื้นตามปกติแล้ว หลังจากมีเถียงกันให้ได้ยินเป็นระยะจนสุดท้ายไคจำต้องยกธงขาวให้อย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดของไอจิเข้า
“ถ้าไคคุงยังทำแบบนี้อยู่ ผมจะงอนไคคุง!”
แล้วนั่นแหละ ก็คือสิ่งที่ทำให้ไคยอมทำตามแต่โดยดีหลังจากเอาแต่ใจตัวเองมาเป็นเวลาเกือบทั้งวันแล้ว จนบัดนี้เป็นเวลาเย็น ไม่สิต้องบอกว่าดึกแล้วเสียมากกว่า เพราะขนาดคนที่ออกไปข้างนอกอย่างแม่ของไอจิและเอมิยังกลับมากันแล้วเลย แถมเริ่มมีกลิ่นอะไรหอมๆ ลอยมาจากห้องครัวอีกต่างหาก
“ทุกคนจ๊ะ ถ้าหิวก็ไปกินกันได้ทุกเมื่อนะ ทำอาหารรอเอาไว้แล้วแต่ถ้ามันเย็น ก็อย่าลืมเอาไปอุ่นกันก่อนนะ” แล้วนั่นก็คือคำพูดของแม่ไอจิที่ได้กล่าวบอกหลังเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วเห็นสภาพของทุกคนเข้า
...หิวจังเลย...
มิวะนึกบ่นอยู่ภายในใจแต่ก็ไม่อาจพูดออกไปได้ นอกจากตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้านในส่วนของวันนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด เพราะดูเหมือนถ้ายังไม่มีใครเสร็จตามที่กำหนดเอาไว้ ก็คงไม่มีใครคิดลุกออกไปกินข้าวกันอย่างแน่นอน ฉะนั้นในตอนนี้สมาธิของทุกคนจึงอยู่ที่การบ้าน
...รีบทำให้เสร็จดีกว่า...
คิดแบบนั้นแล้วก็เริ่มหันมาตั้งใจบ้างเช่นกัน จากนั้นเวลาผ่านไปอีกไม่รู้เท่าไรแล้ว มารู้สึกตัวอีกทีก็หลังจมอยู่ในห้วงนรกมาอยู่นาน มันก็หลังจากที่มีคนพูดคำว่าเสร็จออกมาแล้วนั่นแหละ
“เสร็จแล้ว” เป็นนาโอกิคนแรกนั่นเองที่พูด ส่วนคนอื่นไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยืดเส้นยืดสายแก้เมื่อยไปตามๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเองก็เริ่มบิดตัวไปมาเล็กน้อย ไล่อาการปวดเมื่อยเนื่องจากอยู่น่าเดิมเกือบทั้งวัน
“ไปกินข้าวกันเถอะครับ” คำชวนที่ไม่ต้องถามซ้ำสอง เพราะใครหลายคนต่างรอประโยคนี้มาแสนนานแล้ว มิวะเป็นคนแรกที่ตอบรับออกไปและตามมาด้วยนาโอกิ ส่วนอีกสองคนต่างปิดปากเงียบ
“ได้เลย”
“หิวจะตายอยู่แล้ว”
“...”
แล้วก็ค่อยต่างคนต่างเดินไปที่ห้องครัวที่มีหม้อแกงกระหรี่ตั้งเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่เนื่องจากมันถูกปล่อยทิ้งเอาไว้นานจนเกินไปทำให้ในตอนนี้มันเย็นชื้น ไอจิจึงเป็นคนอาสาที่จะอุ่นแกงกระหรี่ ส่วนไคในฐานะเป็นคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เช่นกัน
ก็ต้องรับหน้าที่ไปหยิบจานและตักข้าวมาให้แขกทุกคนไปโดยปริยาย ใช้เวลาไปนานในการเตรียมการให้พร้อมสำหรับอาหารมื้อเย็นหรือดึก ทุกอย่างก็ดูจะเข้าที่ดีหมดแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่อาหารตรงหน้าอย่างเตรียมพร้อมลงมือทานได้ทุกเมื่อ
“ทานแล้วนะครับ”
ไอจิเป็นคนแรกที่พูดขึ้น จากนั้นก็มีเสียงของคนอื่นดังไล่หลังมาติดๆ จากนั้นก็ต่างคนต่างตักข้าวตรงหน้าเข้าปากกันไปโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้สักใหญ่ โต๊ะอาหารที่ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบเพราะต่างคนต่างปากไม่ว่างก็เริ่มมีบทสนทนาดังขึ้นมาให้ได้ยิน
“ไอจิที่แก้มเปื้อนแน่ะ” ยังไม่ทันได้ยกมือขึ้นเช็ดเอง มิซากิก็เป็นคนจัดการเช็ดให้เรียบร้อย เรียกใบหน้าขึ้นสีจากไอจิได้ไม่ยากจนเจ้าตัวต้องก้มหน้าลงต่ำด้วยความเขินอาย ปากก็กระซิบกล่าวคำขอบคุณออกไปเสียงแผ่ว ส่วนมือก็เริ่มใช้แขนเสื้อเช็ดปากอีกครั้งเพื่อเช็คให้แน่ใจว่ามันไม่มีตรงไหนที่เปื้อนแล้ว
“ขอบคุณครับ”
มิวะที่นั่งกินข้าวเงียบๆ มาโดยตลอดก็ยังคงนั่งอยู่แบบนั้นต่อไป สายตาก็คอยสังเกตพฤติกรรมของไคไปด้วยความนึกสนุก
...ยกที่สามเริ่มแล้วสินะ...
ดูท่าทางวันนี้จะไม่ได้จบลงที่ยกสองตามที่เข้าใจแต่แรก เพราะบัดนี้ยกที่สามกำลังเริ่มขึ้นแล้ว มิวะนึกลุ้นว่าไคจะโต้ตอบกลับไปยังไงด้วยความตื่นเต้น สายตาก็คอบแอบจ้องมองไปปากก็เคี้ยวข้าวไปหยุด ส่วนนาโอกิที่พอจะเริ่มเดาเรื่องทั้งหมดได้ ตัดสินใจนั่งกินข้าวไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
“ไอติ ตรงนี้มีข้าวติด” พึ่งตักข้าวเข้าปากไปได้อีกหนึ่งคำ ไคก็ว่าขึ้นพร้อมช่วยหยิบเมล็ดข้าวที่ติดอยู่มุมปากออกให้ในทันที ทว่าการกระทำต่อจากนั้นของอีกฝ่าย ทำเอาทั้งโต๊ะถึงกับมองตาค้างไปด้วยความตะลึง
“ไคคุง! ผมบอกแล้วไงว่าอย่าทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นน่ะ มันน่าอายออก” หยิบเมล็ดข้าวที่ติดอยู่ที่มุมปากของไอจิมากินหน้าตาเฉยแถมยังเป็นหูทวนลม ไม่สนใจในสิ่งที่ไอจิพูดเสียอีกปล่อยให้คนโดนกระทำได้แต่หน้าขึ้นสียิ่งกว่าในกรณีของมิซากิไปอยู่อย่างนั้นด้วยใบหน้าประดับยิ้มบางที่มุมปาก
“งั้นแสดงว่าถ้าอยู่กันสองต่อสองก็ทำได้สินะ”
“บ้า!” หน้าไอจิแดงจนแทบจะไปแข่งกับมะเขือเทศชนะอยู่แล้ว หลับหูหลับตาต่อว่าไคไปแล้วหันมาก้มหน้าก้มตาตักข้างเข้าปากไปด้วยความรวดเร็วที่มากกว่าก่อนหน้านี้ไปในทันที ท่าทางคงจะเขินเป็นอันมากแล้วที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตักข้างเข้าปากโดยไม่มองใครอื่นหรือแม้แต่คนข้างตัวที่กำลังหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ คงจะทำไปแก้เขินนั่นแหละ
...นี่มันยังคิดว่าเป็นพี่น้องกันอยู่จริงง่ะ...
ทั้งบทสนทนาและท่าทางที่ชักห่างไกลจากคำว่าพี่น้องเข้าไปทุกขณะ มันทำให้มิวะอดคิดออกมาแบบนั้นไม่ได้ สายตาก็คอยแอบมองท่าทางของมิซากิไปด้วย ก็พบว่าเธอยังขมวดคิ้วเข้าหากัน ท่าทางเหมือนจะยังไม่พอใจอะไรอยู่บ้างอย่าง อดทำให้สงสัยอยู่ไม่น้อยแต่ก็ใช่ว่าจะเดาไม่ได้เลย
“วันไหนบอกเป็นแฟนกันขึ้นมา จะไม่แปลกใจเลย” ได้ยินเสียงนาโอกิบ่นพึมพำมาจากทางด้านข้าง มิวะเพียงเหล่ตามองก็เห็นท่าทางเหนื่อยใจผสมกับดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก จะเรียกว่าเป็นอาการของคนอกหัดดีไหมนะ หรือเอาแค่ซอฟท์ๆ บอกว่าเป็นเพียงแค่อาการของคนที่ผิดหวังดี
“กว่าจะได้ยินข่าวดีแบบนั้น มันก็ต้องหลังจากแก้นิสัยซื่อบื้อของคนทั้งสองให้ได้ก่อนล่ะน่ะ” มิวะก็ทำได้เพียงกระซิบตอบกลับไปแบบนั้น แล้วดูเหมือนมันจะยิ่งเป็นการทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายหรือไม่ เขาถึงได้รู้สึกมีเมฆดำมาก่ออยู่บนหัวอีกฝ่าย
“เอ่อคือ...”
“ก็นะ พอจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วแหละ” ทำใจได้เร็วผิดคาด มิวะถึงขั้นนึกปรบมือให้นาโอกิอยู่ภายในใจ แต่เนื่องจากท่าทำแบบนั้นออกไปมันจะกลายเป็นจุดสนใจคนอื่นเอาได้ เขาถึงทำได้เพียงแค่นึกอยู่ภายในใจเท่านั้น สายตาก็ได้แต่คอยมองส่งไปให้เป็นกำลังใจ
“ทั้งสองคนคุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอครับ” ดูท่าทางไอจิจะเลิกอายเรื่องที่ไคทำก่อนหน้านี้แล้ว ถึงได้หันมาสนใจพวกเขาแทน
“ก็แค่คิดว่าหลังทำการบ้านเสร็จจะไปเที่ยวที่ไหนกับทุกคนดีนะ นาโอกิก็เลยเสนอมาเลยว่าเป็นสวนสนุก!” ก่อนหน้านี้คือมิวะที่นึกตรบมือให้อยู่ภายในใจ มาตอนนี้สลับบทเป็นนาโอกิแทน รู้สึกชื่นชมกับคำตอบที่ฟังยังไงมันก็เป็นการแถแบบสดๆ ร้อนๆ นั้นอย่างบอกไม่ถูก
“อย่างนี้เอง ไคคุง ปิดเทอมนี้พวกเราต้องไปบ้านต่างจังหวัดเมื่อไรเหรอครับ” และแล้วคำตอบที่คิดแค่พูดๆ ออกไปเพื่อเอาตัวรอด กลับกลายเป็นว่าไอจิคิดจริงจังเสียแล้ว มิวะถึงขั้นแอบส่งภาษาตาสื่อสารกับนาโอกิในทันทีว่าจะแถกันไปยังไงต่อ
“เหมือนทุกทีนั่นแหละ ก่อนเปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์ คาดว่าปีนี้คงไม่อยู่ๆ มาปรับเปลี่ยนให้ไปตลอดช่วงปิดเทอมเมื่อตอนเด็กๆ แล้วหรอก” คำตอบของไคที่ยิ่งฟังก็ยิ่งเครียด คนสองคนที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองมีความสามารถในการสื่อสารกันทางภาษาตา สามารถเรียนรู้และพูดคุยกันได้เพียงเสี้ยววิ
“เอาไงดี”
“สกิลแถนายสูงกว่าฉัน ยังมีหน้ามาถามอีกเรอะ”
“อ้าว ร่วมด้วยช่วยกันหน่อยสิ”
“เรื่องเที่ยวค่อยว่ากันก็ได้ ทำการบ้านให้เสร็จกันก่อนเถอะ” ราวกับระฆังช่วยชีวิต ทั้งนาโอกิและมิวะถึงกับตวัดสายตาหันไปมองด้วยความซาบซึ้งไปในทันทีเมื่อมิซากิช่วยพูดให้
“เข้าใจแล้วครับ” ไอจิก็รับคำอย่างว่าง่ายแล้วดูไม่ติดใจอะไรอีก เรียกได้ว่างานนี้พวกเขาสองคนรอดแล้ว ทั้งสองถึงกับเผลอนึกถอนหายใจอยู่ภายในใจแล้วตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากไป ในใจก็ได้แต่คิดกับตัวเองอยู่ภายในใจเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
...วันหลังจะแถอะไร ต้องคิดให้ดีก่อน!...
และแล้วดูเหมือนสองคนนี้จะยังไม่เข็ดกันล่ะน่ะ...
มุมน้ำชา
ในอนิเมะมิวะไม่ค่อยเด่น มาในเรื่องนี้รู้สึกนายจะเด่นจริงนะ ทำเอาคู่หลักเราแลดูเป็นตัวประกอบ เหอะๆ สุดท้ายก็ยังเดินเรื่องช้าอยู่ดี ต้องขออภัยด้วยค่ะ ต่อจากนี้จะพยายามทำให้ไว้ขึ้นกว่านี้อีกค่ะ เพื่อตัวร้ายจะได้ออก (แต่ดูจากพล็อตที่วางไว้ มันยังเดินไปได้เสี้ยวของเรื่องที่วางไว้เอง อยากจะร้องไห้นี่ตอน 8 แล้วนะ!)
ตอนหน้า มิซากิเลิกไฝว้ เธอจะรุกถามไคมันตรงๆ แล้วค่ะ คุยแบบเปิดอกไปเลย ดูสิ จะยังคิดว่าเป็นพี่น้องได้อีกไหม!สปอยตอนหน้าค่ะ ใครไม่อยากโดนสปอย ปิด!
“ไค! ฉันถามจริงเถอะ นายรู้สึกยังไงกับไอจิ”
“ถามอะไรแปลกๆ ก็ต้องรักสิ”
“อย่าบอกนะว่าแบบพี่น้อง”
“ก็...”
“คิดดูให้ดีไค โทชิกิ ถามใจตัวเอง ว่านายคิดกับไอจิแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ”
“ฉัน...”
H & H
ความคิดเห็น