คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ดอกไม้กลีบที่ 13: เข้าใจผิด
Title: Statice
Genre: BL,Comedy, Romance, Drama
Rating: PG
Pairing:Kaix Aichi, Miwa x Misaki
ดอกไม้กลีบที่ 13: เข้าใจผิด
แสงจากดวงตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้าไปและในอีกไม่ช้าความมืดคงจะเข้าปกคลุม ตามปกติแล้วในช่วงเวลานี้เหล่าผู้คนคงจะเริ่มเดินทางกลับสู่ที่พักหรือว่าบ้านกันแล้ว ทว่าวันนี้กลับต่างออกไปจากที่ควรจะเป็น เมื่อลานกว้างภายในศาลเจ้าแห่งหนึ่งกลับปรากฏผู้คนอยู่อย่างมากมาย ตลอดสองข้างทางเองก็มีร้านค้าที่ตามปกติแล้วจะไม่มีปรากฏอยู่ทั่ว
เห็นอย่างนี้เข้าก็พอจะเดาได้แล้วว่า ณ ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากทะเลมากเท่าไรนัก คงกำลังจะจัดงานเทศกาลฤดูร้อนขึ้นอย่างแน่นอน เหล่าผู้คนในชุดยูคาตะบ้าง ชุดธรรมดาบ้าง ถึงได้เริ่มมาเดินชมงานกันบ้างแล้วและพวกไอจิเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
พวกเขาทั้งสี่คนเองก็ไม่คิดหยุดพักอยู่ในบ้านพักเพื่อผักผ่อนหลังเหนื่อยมาทั้งวันกับการเล่น กลับออกมาเดินเล่นอยู่ภายในงานเทศกาล สายตาก็คอยมองร้านที่เรียงรายอยู่สองข้างทางด้วยท่าทางตื่นตาตื่นใจ แม้ท่าทางเหล่านี้จะมีเพียงไอจิคนเดียวที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผย ส่วนมิซากิเพียงแค่ภายในก็เถอะ
ผิดกับไคและมิวะที่เดินตามคนทั้งสองอย่างไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับงานเทศกาลนี้เท่าไรนัก ในทางกลับกันพวกเขาแลดูจะผิดหวังอยู่ไม่น้อยอีกต่างหาก ในเมื่อเด็กสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มไม่คิดสวมชุดยูคาตะโดยให้เหตุผลไปว่าไม่ได้เอามาด้วย จะให้ไปเช่าชุดมาก็เสียเงินเปล่า สรุปแล้วก็ไม่ได้ใส่ ส่วนไอจิที่เหมือนจะอยากใส่แต่เพราะไม่มีเพื่อน สุดท้ายแล้วก็ตามน้ำกันไป ในกลุ่มสี่คนนี้จึงไม่มีใครแต่งกันสักคน
“มิวะไปเล่นนั้นกัน!” แต่แล้วในขณะที่กำลังเดินดูอะไรไปเรื่อยอย่างไม่คิดเข้าไปร้านไหนสักร้าน อยู่ๆ มิซากิก็รีบคว้ามือมิวะให้เดินตรงไปที่ร้านเกมส์ร้านหนึ่งเข้าพร้อมกัน สร้างความสงสัยให้ไม่น้อยว่าทำไมถึงได้แยกตัวออกมาอย่างกะทันหันแบบนี้
แต่พอมิวะได้ลองย้อนหันกลับไปมองทางด้านหลัง เห็นไอจิกำลังยืนจ้องแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลด้วยสายตาอยากได้เสียเหลือเกินและไคกำลังเข้าไปดูจนไม่ทันสังเกตพวกเขาสองคนแล้ว เขาพอจะเดาถึงจุดประสงค์ของเด็กสาวได้เลยว่าเจ้าตัวต้องการทำอะไร
...อยากให้สองคนนั่นอยู่ด้วยกันสินะ...
ต่อให้ใจรับรู้ถึงเหตุผลที่มิซากิดึงเขาแยกออกมาก็ตาม แต่เขาก็อดรู้สึกแอบเข้าข้างตัวเองนิดๆ ไม่ได้ว่าบางที อีกฝ่ายก็อยากจะออกมาเดินกับเขาเพียงลำพัง สายตาเหล่มองเสี้ยวใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลงใหล แม้จะแปลกใจตัวเองก็ตามว่าทำไมถึงได้นึกชอบเข้าไปได้กันนะ ผู้หญิงที่ไร้ซึ่งความอ่อนหวานคนนี้
“หวังว่าไคจะบอกกับไอจิไปเสียทีนะ” หรือบางที การที่เขาแอบชอบผู้หญิงคนนี้ คงจะเป็นเพราะนิสัยที่ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองนั่นแหละ หรือไม่ก็...
...ทุกสิ่งที่เป็นเธอ...
“ยิ้มอะไรของนายน่ะ ดูน่ากลัวชอบกล” พอโดนทักมาแบบนี้มิวะถึงกับสะดุ้งไปด้วยความตกใจที่ตัวเองเผลอจมอยู่ในความคิดนานไปหน่อย จนเผลอแสดงพิรุธออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น มิวะถึงได้รีบยิ้มร่าเริงแกล้งทำเป็นกลบเกลื่อนแล้วว่าออกไปอีกเรื่อง สองมือที่กุมกันเอาไว้ เขายังคงแกล้งเนียนกุมมันต่อไปโดยไม่ทักให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“มิซากิ พวกเราก็ไปเล่นเกมส์กันดีกว่าเนอะ เอาแต่เดินดูอย่างเดียวคงน่าเบื่อแย่เลย” ก่อนจะกล่าวถ้อยคำแสนสำคัญนั่นออกไป การลดช่วงว่างระหว่างพวกเขาลงคงเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรกและการเริ่มต้นของเขา ก็คือการแกล้งเนียนเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไปแบบนี้นั่นแหละ
“หือ เอาสิ” ท่าทางแปลกใจที่เห็นเขาเรียกชื่อแทนนามสกุล แต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไร ในทางกลับกันดันตอบรับคำชวนเขาเสียอีก ถือเป็นก้าวแรกที่ดี
“งั้น... เล่นเกมส์ยิงปืนกันม่ะ” ดีใจแต่ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด พยายามไม่แสดงอาการออกไปให้อีกฝ่ายนึกสงสัยเล่น เพราะนี้เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น ก้าวแรกก่อนที่จะกล่าวถ้อยคำนั่นออกไป ดังนั้นในนาทีนี้ เขาควรทำตัวให้ดูปกติมากที่สุด ปากถึงได้เอ่ยชวนออกไปทันทีที่เห็นซุ้มเกมส์ผ่านเข้ามาในสายตา
“ก็ดีเหมือนกัน ถือเป็นการฆ่าระหว่างรอดูดอกไม้ไฟ” ตอบรับคำชวนเขาแล้วเดินนำเข้าไปก่อน มิวะยังคงยิ้มแย้มทั้งที่ในใจนั่นตรงข้าม เรียกได้ว่าวันนี้เขาค่อนข้างรู้สึกเครียดเป็นพิเศษ แต่ก็ยังพยายามทำตัวให้ดูร่าเริงเข้าไว้ สองขาก้าวตามเด็กสาวเข้าไปในซุ้มเกมส์นั่น
ปังๆ
เพียงก้าวเดินตามเข้ามาและหยุดยืนอยู่ข้างๆ มิซากิไม่รอช้าจ่ายเงินให้เสร็จก็รับเอาลูกและตัวปืนมาถือเอาไว้ในมือ ก่อนเล็งแล้วยิงไปที่ตุ๊กตากระต่ายสีขาวทันที มิวะเพียงยืนอึ้งอยู่กับที่ ดูเหมือนงานนี้เขาจะไม่ได้โชว์เท่ซะแล้ว ในเมื่อฝ่ายเด็กสาวกำลังกวาดเอารางวัลได้อย่างไร้ซึ่งปัญหาใด
ปัง!
กระสุนนัดสุดท้ายหมดลงพร้อมของรางวัลอีกชิ้นที่ได้รับมา มิวะเพียงมองของที่เด็กสาวรับมาจากเจ้าของร้านอย่างพูดอะไรไม่ออก แล้วไม่รู้เป็นเพราะเขาเอาแต่จ้องอีกฝ่ายนานเกินไปหรือเปล่า มิซากิถึงได้รู้สึกตัวแล้วหันมาจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าดูเหมือนกำลังหงุดหงิด
“อะไร” น้ำเสียงนั่นแฝงไปด้วยความหงุดหงิดและไม่พอใจ แต่สายตาที่มองตรงมาดูเหมือนกำลังเขินอายเสียมากกว่า เขาเพียงยิ้มรับอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ปากก็เอ่ยตอบออกไปตามใจคิดและรีบเดินหนีไปที่ร้านอื่นโดยไม่คิดหันมามองปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่าเธอเก่งแบบนี้ ฉันก็อดโชว์เท่เลยน่ะสิ” ไม่รู้ว่ามิซากิจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง เพราะเขาไม่ได้หันกลับไปมอง แม้อีกใจจะนึกอยากรู้มากก็ตามว่าเด็กสาวจะรู้สึกยังไงกับคำพูดของเขา ทว่าสองขายังคงไม่หยุดเดิน เขายังคงก้าวไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าร้านที่ตั้งใจเอาไว้
“งั้นร้านนี้ฉันปล่อยให้นายโชว์เท่ไปล่ะกัน” เดินมาหยุดอยู่ซุ้มเกมส์หนึ่งเข้า มิซากิที่ไม่รู้ว่าเดินตามเขามาตั้งแต่เมื่อไรก็ได้พูดตอบเขากลับมาแทบจะในทันทีที่ได้มาหยุดยืนอยู่หน้าร้าน มิวะตวัดสายตาหันกลับไปมองด้วยความตกใจอยู่ไม่น้อยกับคำพูดนั่น แต่พอได้เห็นสายตาที่เอาแต่จ้องตุ๊กตาเป็ดนิ่งแบบนั้นแล้ว...
“นี่...” ระหว่างจ่ายเงินค่าเล่นเกมส์ให้กับเจ้าของร้านไป มิวะก็ส่งเสียงทักออกไป สายตาก็เหล่มองมิซากิที่ยืนอยู่ด้านข้างเขาไปด้วยเพื่อดูปฏิกิริยา
“ถ้าฉันเอาตุ๊กตาตัวนั้นมาให้เธอได้ เธอต้องจูบฉันเป็นการตอบแทนด้วยนะ” เสียงนั่นแผ่วเบามาก ผู้คนที่เดินสวนอยู่ทางด้านหลังพวกเขาก็มีมากเช่นกัน ทำให้คำพูดเหล่านั้นไม่น่าจะส่งไปถึง ทว่าเขากลับล่วงรู้ได้ว่าถ้อยคำเหล่านั้นได้ส่งไปถึงทุกถ้อยคำอย่างแน่นอน ก็ในเมื่อ...
“ก็เอาสิ” ได้รับคำตอบที่ไม่คาดฝันแบบนั้นกลับมานี่น่า รอยยิ้มจากที่มีประดับอยู่บนใบหน้าอยู่แล้วกลับฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิม ใจรู้สึกเป็นสุขและมีความหวังขึ้นมาว่าสิ่งที่เขาคิดจะทำลงไปในวันนี้ มันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน สองมือก็ยื่นออกไปรับเหรียญมาถือไว้
สายตามองจานสามจานที่มีอยู่ตรงหน้านิ่ง ภายในใจก็ได้แต่คิดว่าจะโยนยังไงให้เหรียญมันตกลงไปบนจานใหญ่ได้อย่างพอดี เพราะถ้าเขาโยนให้เหรียญมันตกไปอยู่ที่จานใบใหญ่ได้เพียงเหรียญเดียว รางวัลก็จะได้มาครองแล้ว ทว่าดูจากคนเล่นอื่นที่พยายามโยนกันแล้ว
...ท่าทางจะไม่ง่าย...
เพราะเหล่าผู้คนที่พยายามโยนเหรียญใส่จานกัน ต่างไม่มีใครทำได้เลยสักคน ดูจากสภาพการณ์แล้ว เหรียญที่โยนไปมักจะกระเด้งออกไปหรือไม่ก็ใช้แรงน้อยไป มันก็จะส่งไปไม่ถึงที่หมาย ท่าทางร้านที่เขาเลือกเข้ามาคงจะเป็นเกมส์ที่เล่นได้ยากพอตัว
...แต่ก็ต้องพยายามล่ะน่ะ...
ให้กำลังใจตัวเองแบบนั้นแล้วเริ่มลงมือในทันที...
ท่ามกลางความวุ่นวายก็ยังมีสถานที่สงบให้นั่งพักได้อยู่ ตอนนี้เขากับมิซากิได้หนีจากความวุ่นวายเหล่านั้นมาหลบพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สองมือของเขานั่นว่างเปล่าเพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถเอารางวัลมาครองได้ แถมเสียเงินไปก็ต้องเยอะ แต่ยังไม่สามารถทำได้สำเร็จอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
“ไม่ได้เป็นเพราะนายหรอกน่า แต่ผิดที่ตัวเกมส์นั่นมันยากเกินไปต่างหาก” ต่อให้ได้รับคำปลอบใจมาแบบนั้น มันก็ไม่ช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย สายตาได้แต่เหล่มองคนข้างตัวที่บัดนี้ได้มีตุ๊กตาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัวแล้ว แม้มันจะเป็นตัวเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่เหมือนกับที่จ้องอยู่นานสองนาน
แต่ยังไงตุ๊กตาเป็ดขนาดมินิตัวนี้ เด็กสาวก็เป็นคนเล่นเกมส์โยนเหรียญนั่นมาจนได้มาเองนั่นแหละ ถึงแม้เธอจะโยนเข้าแค่จานเล็ก แต่กับเขาที่ต่อให้จะเป็นจานใหญ่หรือเล็กก็ตาม กลับทำไม่ได้สักอย่าง เห็นความแตกต่างแบบนี้แล้วเขายิ่งรู้สึกเศร้าหนักกว่าเดิม
“เฮ้อ... เห็นนายเศร้าแบบนี้ฉันไม่ชอบเลยนะ อ๊ะนี่!” ตุ๊กตาเป็ดขนาดมินิที่มิซากิอยากได้นักอยากได้หนากลับถูกยัดลงมาในฝ่ามือเข้า มิวะเพียงมองสลับไปมาระหว่างใบหน้าของเด็กสาวกับของในมือตัวเองด้วยความสงสัย ปากปิดเงียบไร้ซึ่งคำพูดใดอย่างเช่นทุกที
“ฉันให้...” ของขวัญที่ได้มาอย่างคาดไม่ถึง มิวะถึงกับอ้าปากค้างไปด้วยความตกใจ ฝ่ายมิซากิเองพอเจอปฏิกิริยาตอบรับแบบนี้เข้าไปถึงกับสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นแล้วรีบเอ่ยแก้ตัวเป็นการใหญ่ ทั้งที่ใบหน้าของเธอนั่น ต่อให้แสงสว่างโดยรอบจะไม่ค่อยมีแล้วเพราะเวลาขณะนี้ ดวงตะวันได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ทำให้มีแค่แสงไฟจากภายในงานส่องมาเท่านั้น เขาก็ยังมองเห็น... ใบหน้าที่ขึ้นสีน้อยๆ นั่น
“เห็นหน้ามันตลกเหมือนนายดี ฉันเลยยกให้” มือที่ได้รับตุ๊กตาตัวเล็กมากำแน่น ความรู้สึกที่เก็บซ่อนอยู่ภายในใจนั่นเริ่มเอ่อล้นออกมาจนไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาถึงได้เผลอพูดถ้อยคำนั่นออกไป พูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ฉันชอบเธอ...” หลุดถ้อยคำที่ไม่ควรกล่าวออกไปในเวลานี้ เพราะมันไม่ยังถึงเวลาที่เหมาะสม มิวะถึงกับรีบยกมือขึ้นตะครุบผิดปากตัวเองแทบไม่ทัน แต่ก็ยังช้าไป ถ้อยคำเหล่านั้นได้ถูกกล่าวออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้เสียแล้วและในเมื่อพูดออกไปแล้วมันก็ช่วยไม่ได้ เขาไม่มีทางเรียกมันคือกลับมาได้อีกแล้วนอกจากสู้ให้ถึงที่สุด!
“มิวะนี่นาย...” ไม่คิดกล่าวแก้ตัว นอกจากยืนเงียบรอรับฟังคำตอบที่กำลังหลุดรอดออกมาให้ได้ยินนั่น หัวใจรู้สึกสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัว สองมือนั่นกำแน่นเพราะใจมันก็นึกไปถึงคำตอบที่จะได้รับไปต่างๆ นานา แม้สิ่งที่เขานึกเอาไว้ในหัว จะเป็นไปในแง่ลบจนเกือบหมดก็เถอะ
“หาว่าฉันมีช่องว่างเรอะ!”
“ห๊ะ...”
อุทานออกมาด้วยความมึนงงไปพักใหญ่ก่อนนึกขึ้นได้ว่าบางทีอีกฝ่ายคงจะฟังสิ่งที่เขาพูดผิดไป เตรียมกล่าวออกไปใหม่ แต่ทว่า...
“นี่ฉันดูอ่อนแอ่ขนาดนั่นเชียว... ไม่ได้ มิวะมาแข่งกัน!”
และแล้วความเข้าใจผิดครั้งนี้ ก็นำพาความซวยต่อกระเป๋าตังครั้งใหญ่มาให้เขา... โดยต่อจากนี้ไป จนกว่าจะถึงช่วงชมดอกไม้ไฟ พวกเขาคงต้องแข่งกันเล่นเกมส์ไปอีกหลายต่อหลายเกมส์เลยทีเดียว แค่คิดก็น่าหนักใจต่อกระเป๋าตังตัวเองแล้ว...
ทว่าโดยไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดอีกฝ่าย ว่าแท้จริงแล้วมิซากิได้รับรู้แล้วต่างหาก ถึงความรู้สึกที่ส่งผ่านมาเหล่านั้น แต่กลับเป็นตัวเธอเองที่ยังไม่กล้าพอที่จะให้คำตอบออกไป เธอยังไม่พร้อมที่จะให้คำตอบ ดังนั้นทางแก้ที่ดีที่สุดคือ... เธอต้องแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ไป...
...ขอโทษนะ ที่แกล้งเมินเฉยต่อความรู้สึกของนาย...
ทำได้เพียงนึกขอโทษอยู่ภายในใจ ทั้งที่ภายนอกยังคงทำทีท่าดูขึงขังเหมือนโกรธกันอยู่ สองมือนั่นก็พยายามตักปลาทองขึ้นมาเพื่อแข่งกับอีกฝ่ายไปด้วย
...แต่ในสักวันนึง ฉันจะพูดมันออกไปอย่างแน่นอน ดังนั้นช่วยรอหน่อยนะ...
จนกว่าวันนั้นจะมาถึง จนกว่าวันที่เธอแน่ใจตัวเองและมีความกล้าพอแล้ว ครั้งนี้เธอจะเป็นฝ่ายมันพูดออกไปเองอย่างแน่นอน ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดซ้ำหรอก ทว่าในช่วงเวลานี้ เธอกลับรู้สึกว่าการอยู่แบบนี้ไปก่อนมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร...
ยิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พวกเขาจะพลัดหลงกับพวกมิซากิไปได้อย่างง่ายดาย ในตอนแรกไอจิคิดตามหาทั้งสองคน ทว่าเขากลับถูกไคห้ามเอาไว้เสียก่อน โดยให้เหตุผลแสนเรียบง่ายว่าถ้าเอาแต่ตามหากันและกัน
งานเทศกาลคงได้จบลงโดยที่พวกเขาไม่ได้เดินดูอย่างแน่นอน อีกทั้งฝ่ายพวกมิซากิเองก็คงไม่คิดเสียเวลามาตามหาพวกเขา แต่คงจะเดินดูภายในงานต่อเลยนั่นแหละ และด้วยเหตุเหล่าเหล่านี้เอง ไอจิถึงได้ตัดใจไม่คิดตามหาทั้งสองคนแต่เลือกที่จะเดินเล่นภายในงานไปแทน
ทว่าไม่รู้เป็นเพราะเขาเอาแต่วิ่งเข้าร้านนู้นออกร้านนี้แบบลืมรอคนที่มาด้วยกันหรือไม่ มารู้สึกตัวอีกทีเขาก็ยืนอยู่คนเดียวเสียแล้ว มือข้างที่ยังถือสายไหมเอาไว้อยู่กำแน่น สายตากวาดมองหาคนคุ้นเคยในหมู่ผู้คน แต่ไม่ว่าจะมองหายังไงก็ไม่พบเสียที สองขาเริ่มออกตัวก้าวเดินไปเรื่อย
...ไคคุงไปอยู่ที่ไหนกันนะ...
ท่ามกลางเหล่าผู้คนมากมายที่ไม่รู้จัก ตัวเขาที่อยู่เพียงลำพังชักเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาหน่อยๆ มือข้างที่ไม่ได้ถือสายไหมเอาไว้เลื่อนขึ้นมาจับข้อมืออีกข้างที่เขามักจะผูกริบบิ้นที่ไคเคยให้ไว้สมัยเด็กเอาไว้แน่น เป็นการเรียกกำลังใจตัวเองให้คืนกลับมา สายตาก็ยังคงพยายามมองหาอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย
...หาไม่เจอเลย หรือว่าไคคุงจะเดินดูภายในงานต่อกันนะ...
เพราะตอนที่หลงกับพวกมิซากิ ไคดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรแล้วยังคงเดินดูภายในงานต่อได้หน้าตาเฉย บางทีกรณีของเขาเองก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน เพียงแค่คิดน้ำตาก็พาจะไหล ก่อนรู้สึกตัวได้ว่าเขาไม่ควรมีความรู้แง่ลบเช่นนั้น ใบหน้าหวานติดไปทางผู้หญิงมากกว่าผู้ชายสะบัดหัวไปมาแรงๆ ไล่ความคิดเหล่านั้นออกไปให้หมด
...อย่างไคคุงน่ะ ไม่ทิ้งผมไว้คนเดียวหรอก...
เพราะนับตั้งแต่ได้รู้จักกันมา มันก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด เขาไม่เคยถูกอีกฝ่ายปล่อยทิ้งเอาไว้คนเดียวเลยสักครั้งและครั้งนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้น ไคเองก็คงกำลังตามหาตัวเขาอยู่ ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะแตกตื่นเสียยิ่งกว่าตัวเขาก็เป็นได้ ในเมื่อพี่ชายแสนดีของเขามักชอบเป็นห่วงเกินเหตุอยู่เรื่อย
แค่คิดก็เผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ความรู้สึกด้านลบแทบหายไปหมดสิ้น สายตาเริ่มกวาดมองหาคนที่หลงกันไปอีกครั้งจนกระทั่ง...
...นั่นไคคุงนี่น่า...
ดีใจที่หาคนที่หลงกันไปเจอเสียที สองขาออกวิ่งตรงเข้าไปหา มือบางยื่นออกไปหมายคว้าชายเสื้อเอาไว้ ทว่ามือบางต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหันเมื่อสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
“คุณมาคนเดียว ฉันเองก็มาคนเดียว ไม่สนใจไปเดินเที่ยวด้วยกันหน่อยเหรอค่ะ” เสียงนั่นหวานใสน่าฟัง ใบหน้าหวานราวกับตุ๊กตาเดินได้ ดวงตากลมโตเส้นผมเป็นสีน้ำตาลไหมเป็นลอนดูแล้วเป็นคนที่น่ารักมาก แล้วยิ่งทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันแบบนี้ ไม่รู้ทำไมไอจิถึงได้เผลอคิดไปว่าช่างเหมาะสมกัน
ตึกตัก...
ทันใดนั้นหัวใจรู้สึกเต้นผิดจังหวะไป มือบางยกขึ้นกุมบริเวณหัวใจด้วยความรู้สึกสงสัยว่าตัวเองเป็นอะไรไป ระหว่างนั้นหูก็บังเอิญไปได้ยินบทสนทนาต่อเข้า ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ควรไปแอบฟังเพราะมันเสียมารยาท แต่ในนาทีนี้เขากลับเลือกที่จะเงียบหูฟัง
“ไม่ได้มาคนเดียว มีน้องชายมาด้วย” ยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ตามปกติ แต่ฝ่ายหญิงเพียงแย้มรอยยิ้มอ่อนหวานขึ้นบนใบหน้า ทว่าถ้อยคำที่เธอเอ่ยกล่าวออกมา กลับเป็นสิ่งที่เขาฟังแล้วรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่เอ่ยกล่าวออกมา มันคือความเป็นจริง...
“อย่างนี้ก็ลำบากแย่เลยนะคะ ต้องมาคอยดูแลน้องชายแบบนี้” ที่ผ่านมาเขาลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป เพราะอีกฝ่ายคอยอยู่เคียงมาโดยตลอด จึงได้ลืมคิดไป... ว่าบางทีไคอาจจะรำคาญเขาอยู่ก็เป็นได้
“นั่นสินะ... มันก็ลำบากจริงๆ นั่นแหละ”
รู้สึกร่างกายชาอย่างไร้สาเหตุ ของในมือถูกปล่อยให้หลุดร่วงไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ถูก เพราะตอนนี้ภายในหัวมันรู้สึกว่างเปล่าไปหมด นัยน์ตาสีฟ้าครามได้แต่เบิกขึ้นกว้างก่อนด้วยความตกใจ แล้วก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ทันรู้สึกตัวว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น สองขาก็เร่งพาร่างของเขาวิ่งหนีออกมาจากที่ตรงนั้นโดยทันที ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่าเลือน สองมือยกขึ้นขยี้ตาเพราะรู้ดีว่าทำไมเขาถึงมองเห็นภาพเบื้องหน้าได้ไม่ชัด
...ไม่ได้นะ จะมาร้องไห้อยู่ตรงนี้ไม่ได้...
ใจกรีดร้องบอกกับตัวเองเช่นนั้น สองขาวิ่งต่อไปไม่มีหยุดพัก แม้ไม่รู้ก็ตามว่าตอนนี้ตัวเองต้องการวิ่งไปที่ใด แต่สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือต้องวิ่งออกห่างจากฝูงชนให้มากที่สุด ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีอยู่ ดังนั้นเขาจึงวิ่งต่อไป ออกวิ่งไปจากงานเทศกาลแสนสนุกแห่งนี้
ตึกๆ
ตุบ...
ไม่รู้ว่าวิ่งหลบมาที่ไหนแล้ว แต่บริเวณโดยรอบทั้งหมดมีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่ล้อมรอบอยู่เต็มไปหมด นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาคงจะออกห่างจากจุดที่มีผู้คนอยู่แล้ว เมื่อใจรับรู้เช่นนั้น หยดน้ำตาจำนวนมากที่ถูกเก็บซ่อนไว้เริ่มรินไหลออกมาไม่ขาดสาย
แปะ... แปะ... แปะ...
พริบตาที่หยดน้ำตาใสกระทบลงพื้นดิน ต้นหญ้าบริเวณนั้นกลับกลายเป็นน้ำแข็งภายในพริบตา ไอจิเพียงปล่อยให้หยดน้ำตารินไหลไปอยู่เช่นนั้น ภายในหัวรู้สึกโล่งไปหมด คิดอะไรไม่ออกอีกแล้วนอกจากนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และปล่อยให้พื้นบริเวณโดยรอบถูกย้อมให้กลายเป็นสีขาวใสของน้ำแข็ง...
“ให้ตายเถอะ ต่อให้มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจอยู่ แต่เล่นมาร้องไห้แบบนี้ พลังนั่นก็คงถูกสะกดเอาไว้ไม่อยู่หรอกนะ” สะดุ้งตัวด้วยความตกใจ สองมือรีบยกขึ้นเช็ดน้ำตาโดยด่วนแล้วเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าคนตรงหน้าเขา ไม่ใช่คนที่เขาต้องการพบแต่กลับกลายเป็นใครอีกคน ที่เหมือนจะคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคยไปในขณะเดียวกัน
“คุณเรน...” ชื่อของชายคนนั้นถูกเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างเหม่อลอย พาให้คนเห็นรู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังพยายามยิ้มแย้มต่อไป สองขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างไม่นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด ทั้งที่พื้นบริเวณนั้นได้กลับกลายเป็นน้ำแข็งไปจนเกือบหมดแล้ว
“เหมือนในอดีตเลยนะ... ทั้งๆ ที่มีเจ้านี่อยู่ด้วย แต่ถ้าจิตใจกำลังร่ำไห้ มันก็ไม่อาจช่วยอะไรได้” ร่างสูงโปร่งเดินมาทรุดลงตรงหน้า มือข้างหนึ่งยื่นออกมาประคองมือข้างที่เขามักจะถูกริบบิ้นขาวเอาไว้เป็นประจำอย่างทะนุถนอม ถ้อยคำที่เอ่ยกล่าวออกมา ฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจไปในขณะเดียวกัน
“เฮ้อ... นี่ไอจิคุง ถ้านายเหนื่อยนัก ไม่สนใจหันมาหาฉันแทนบางหรือไง”
“!!!?” นัยน์ตาที่ไม่รู้ว่ากลายเป็นสีแดงฉานตั้งแต่เมื่อไรได้แต่เบิกขึ้นกว้างด้วยความสับสนในคำพูดเหล่านั้น แล้วก่อนที่เขาจะได้ทันตอบรับอะไรกลับไป ดอกไม้สีม่วงแสนคุ้นตาได้ถูกนำมาวางเอาไว้บนมือข้างที่ยังถูกประคองเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“รู้หรือเปล่าว่ามันคือดอกอะไร” ลดระดับสายตาลงต่ำแล้วได้แต่นิ่งเฉยไปเช่นนั้น เมื่อเขาได้เห็นดอกไม้สีม่วงที่แสนคุ้นเคยเข้า หากถามว่าเขาเคยพบเห็นมันตามร้านขายดอกไม้อย่างนั้นเหรอ ก็คงจะใช่เพราะมันมีขายอยู่ทั่วไปหมด ทว่าอีกใจกลับแย้งขึ้นมาว่าเขาไม่ได้เห็นมันมาจากร้านค้าหรอก
“ดอกสแตติส...” เจ้าดอกไม้สีม่วงขนาดเล็กที่เรียงตัวกันเป็นแนวยาว ไอจิกำก้านของมันเอาไว้นิ่ง ความรู้สึกบางอย่างในใจที่ก่อขึ้น เขาไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ เพียงแต่ภายในใจเขากลับรู้สึกเศร้าและโหยหาได้อย่างน่าประหลาด ราวกับว่าดอกไม้ในมือเขา มันมีความสำคัญบางอย่างต่อเขาเป็นอย่างมาก
“จำเอาไว้ให้ดีนะไอจิ หากทั้งโลกรังเกียจนายที่เป็นสัตว์ประหลาดแล้วล่ะก็ จงหันมาหาฉันซะ เพราะฉันจะเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่เคียงข้างนาย” เสียงของชายตรงหน้าปลุกเรียกให้เขาตื่นจากภวังค์ ไอจิละสายตาจากดอกไม้ในมือขึ้นเงยมองคนตรงหน้า แล้วกว่าจะทันรู้สึกตัวว่ามันได้เกิดอะไรขึ้น
มันก็หลังจากที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าได้ประทับลงบนริมฝีปากเขาอย่างเบาบางแล้วนั่นแหละ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาเพียงชั่วครู่ แต่ความอ่อนหวานและความเศร้าของคนตรงหน้าเขาก็ยังคงรับรู้ถึงมันได้ ไอจิเพียงยกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่ไม่ได้โดนรุกล้ำเข้ามา หากแต่สัมผัสกันเบาๆ เท่านั้นเอาไว้นิ่ง
“โชคดีจริงๆ เลยนะ ที่สีตาของนายกลับมาเป็นปกติแล้ว” เสียงนั่นกระซิบบอกเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ไอจิเพียงเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจปนสับสนไปในขณะเดียวกัน
“เพราะถ้าไคคุงมาเห็นมันเข้า มันคงจะไม่ดีใช่ไหมล่ะ” แล้วต้องยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเรนพูดออกมาแบบนั้น ตอนนี้เขาได้แต่นั่งนิ่งอย่างไม่อาจเข้าใจได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร หากแต่ในขณะที่หัวสมองกำลังทำงานอย่างหนัก ชายตรงหน้ากลับลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน
“คิดให้ดีล่ะ ว่าอะไรคือสิ่งไม่แปรผันตลอดกาลสำหรับนาย” พร้อมกับกล่าวถ้อยคำนั่นออกมาและวิ่งหายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ไอจิเพียงมองตามด้วยความสับสน หัวสมองคล้ายจะยังหยุดนิ่งจนไม่อาจคิดอะไรออกทั้งสิ้นและเขาคงจะนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นไปอีกแสนนาน หากไม่ได้ยินเสียงทักเข้าเสียก่อน...
“ไอจิ...”
น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อเขาไร้ซึ่งความอ่อนโยนอย่างเช่นทุกที แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเย็นชาและเหินห่างเสียจนน่าตกใจ ไอจิค่อยๆ หันไปมองตามอย่างเชื่องช้าแล้วพอได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเข้า หัวใจถึงกับหล่นวูบ ความรู้สึกหวาดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจ
“ไคคุง...” กระซิบเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปเสียงแผ่ว ก่อนมารู้สึกตัวว่าสภาพรอบข้างเขาในตอนนี้ไม่สมควรให้ไคมาเห็นเป็นอย่างยิ่ง จากท่าทางที่เหมือนจะเหม่อลอยก็กลับกลายเป็นร้อนรนไปในทันที สายตากวาดมองรอบตัวที่คาดว่าต้องมีน้ำแข็งปรากฏอยู่ทั่วไปหมด ทว่าสิ่งที่เห็นนั่นมีเพียงใบหญ้าสีเขียวขจี
...ได้ไง...
ต่อให้ดีใจที่ความลับยังไม่แตก แต่อีกใจมันก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้เช่นกัน ว่าเหตุใดน้ำแข็งที่เกิดจากน้ำตาของเขาได้หายไปจนหมดสิ้นแบบนี้ แล้วขณะที่เขาเอาแต่เครียดเพราะหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้อยู่นั่น ร่างของเขากลับถูกใครบางคนกระชากให้ลุกขึ้นยืนอย่างแรง
หมับ!
“เจ็บ...” ข้อมือที่ถูกกระชากไปถูกบีบแน่นจนรู้สึกเจ็บไปหมด ทว่าพี่ชายที่แสนดีของเขากลับไม่ยอมคลายข้อมือให้เลย ในทางกลับกันเขากลับกำแน่นมากขึ้นไปอีก รู้สึกแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายโกรธได้ขนาดนี้
...ทำไมถึงโกรธล่ะ...
“นายจะทำให้ฉันลำบากใจไปถึงไหน แอบมาพบกับผู้ชายไม่พอ ยังแอบมาทำเรื่องพรรค์นั้นอีก!” หัวสมองคล้ายด้านชาคิดอะไรไม่ออก คำพูดที่ควรเอ่ยกล่าวออกไปจึงกลืนหายไปกับความเงียบ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่เอาแต่จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังเกรี้ยวกราด
“ตอบมาไอจิ!” นับตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเขาไม่เคยโดนตวาดแบบนี้มาก่อนเลย หน้าอกรู้สึกแน่นจนหายใจไม่ออก ถ้อยคำที่ควรพูดกล่าวออกไปเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกใจเย็นกลับตรงข้าม เมื่อความรู้สึกน้อยใจมันมีมากกว่า
“แล้วไคคุงจะมายุ่งวุ่นวายอะไรกับชีวิตของผมนักหนาล่ะ! รู้ไหมว่าผมลำบากใจ!” ทันทีที่เผลอตะโกนตอบออกไปแบบนั้น ไอจิถึงกับชะงักไปด้วยความตกใจ สายตามองใบหน้าที่เคยเกรี้ยวกราดของอีกฝ่ายกลายเป็นเบิกนัยน์ตาขึ้นกว้างราวกับตกใจ ก่อนข้อมือที่ถูกกำเอาไว้แน่นจะเริ่มคลายออก
“ที่ผ่านมาฉันคงสร้างความลำบากใจให้กับนายมาโดยตลอด”
...ไม่ใช่นะ...
น้ำเสียงฟังดูอ้างว้างและเศร้าสร้อยนั่นเริ่มทำให้เขาได้สติ ทว่าความรู้สึกจุกมันมีมากกว่า ถ้อยคำที่เตรียมกล่าวปฏิเสธออกไปจึงไม่มีหลุดรอดออกมาให้ได้ยิน เขาทำได้เพียงจ้องมองคนตรงหน้าถอยออกห่างจากตัวเขาไปทีละก้าวสองก้าว โดยที่ตัวเขาเองยังคงนิ่งเฉยอยู่เช่นเก่า
“แต่ไม่ต้องห่วงนะ ต่อจากนี้ไป ฉันจะไม่สร้างความลำบากใจอะไรให้กับนายอีกแล้ว และจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของนายอีกด้วย” นึกอยากตะโกนร้องบอกออกไปว่ามันไม่ใช่แบบนั้น อีกฝ่ายกำลังเข้าใจเขาผิด ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม มันยังคงนิ่งแข็งอยู่เช่นนั้น ราวกับถูกคำสาปทำให้กลายเป็นหินจนไม่อาจขยับไปไหนได้
“ขอโทษนะ ที่ผ่านมาฉันคงทำให้นายลำบากใจ” รอยยิ้มนั่นจงใจฝืนปั้นแต่งขึ้นมาชัดๆ ไอจิรู้ดีแต่ว่าไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายหันหลังให้แล้วเริ่มเดินจากไปแล้วนั่นแหละ คำพูดของเรนได้ย้อนกลับเข้ามาในหัวเขาอีกครั้ง
“คิดให้ดีล่ะ ว่าอะไรคือสิ่งไม่แปรผันตลอดกาลสำหรับนาย”
สายตาเลื่อนมองต่ำเห็นดอกไม้สีม่วงตกอยู่ตรงนั้น เจ้าดอกไม้ที่มีความสำคัญกับเขาได้อย่างน่าประหลาดแต่กลับนึกไม่เคยออกว่ามันสำคัญกับเขาอย่างไร จนกระทั่งภาพเหตุการณ์หนึ่งได้ผ่านเข้ามาในหัว ภาพที่แผ่นหลังของชายคนหนึ่งกำลังหันหลังให้และเดินจากเขาไป
...ไม่เอานะ...
ภาพความฝันอันแสนเลือนรางและความเป็นจริงกำลังทับซ้อนกัน ต่อให้ไม่เข้าใจอะไรดีเท่าไรนัก แต่เขาก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เขาอาจจะไม่ได้พบเห็นอีกฝ่ายอีกเลยก็เป็นได้ สองมือยื่นออกไป ใจได้แต่นึกกรีดร้องอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งอีกฝ่ายใกล้เดินลับสายตาเขาไป
“ไม่เอานะ อย่าทิ้งผมไป ไคคุง!”
ร้องบอกออกไปสุดเสียงแต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว คนสำคัญของเขาได้เดินจากไปโดยไม่ได้หันกลับมามองกันเลย อยู่ๆ ไอจิก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ ร่างทั้งร่างทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น
ตุบ...
“ไคคุง...” เอ่ยเรียกเสียงแผ่ว รู้สึกเศร้าเสียจนใจแทบแหลกสลายไปเสียตรงนั้น ไอจิหลับตาลงแล้วซุกใบหน้าลงไปกับเข่า ภายในใจมันนึกสับสนจนไม่อยากจะนึกอะไรอีกต่อไปทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่อีกใจหนึ่งเขาก็ได้แต่นึกสับสนว่าความรู้สึกที่ก่อขึ้นภายในใจเหล่านี้ มันจะยังเป็นความรู้สึกเพียงแค่พี่น้องจริงหรือ
“มันแค่พี่น้อง... จริงๆ น่ะเหรอ” คำถามที่ไม่อาจมีใครตอบได้นอกจากตัวเอง แต่ตัวเขาในยามนี้ก็รู้สึกสับสนเกินกว่าจะคิดหาคำตอบได้ด้วยตัวเองอีกแล้ว เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน อยากหลับตาลงแล้วหลับลงตรงนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ทันทีที่คิดได้แบบนั้น
เปลือกตาปรือปิดลงแล้วเข้าสู่สภาวะหลับใหลไปในที่สุด ราวกับต้องการปิดกั้นตัวเองจากทุกสิ่ง ไม่อยากคิดหรือรับรู้อะไรอีกต่อไปทิ้งสิ้น และเพราะไอจิได้หลับไปแล้ว เขาถึงได้ไม่ทันรู้สึกตัวเลย ว่าคนที่คิดว่าจากไปแล้วจะยังอยู่ในสถานที่แห่งนี้... ยังคงเฝ้ามองเขาอยู่ด้วยความเป็นห่วงเช่นเก่า...
มุมน้ำชา
ตอนนี้ค่อนข้างยาวสุดเลยค่ะแถมคู่มิวะมิซากิก็เด่นอีกด้วย แต่ว่านะ... เรื่องราวของคู่มิวะมิซากิจะจบลงตรงนี้แล้วค่ะ เพราะเรื่องนี้มันไม่ค่อยมีคนอ่านสักเท่าไร เลยคิดว่าจะพยายามเน้นดันคู่ไคไอจิให้จบและเขียนเฉลยปริศนาแทนดีดีกว่า เพื่อที่เรื่องนี้จะได้จบลงเร็วๆ
แต่ถ้าแฟนๆ คู่มิวะมิซากิอยากอ่าน สามารถรีเควสได้นะคะ จะแต่งเป็นตอนเสริมขึ้นมาให้แทนค่ะ
เกร็ดความรู้กันสักนิด
คาดว่าหลายคนคงสงสัยว่าตอนสารภาพรัก ทำไมมิซากิฟังเพี้ยนจากคำว่าชอบไปเป็นช่องว่างได้ จะขออธิบายสั้นๆ ตรงนี้เลยนะคะ คือคำว่าชอบในภาษาญี่ปุ่นมันดันไปพ้องเสียงกับคำว่าช่องว่าง,ว่างน่ะค่ะ แต่คันจิที่เขียนคนละตัวกัน เราเลยเอามาเล่นมุกกันสักหน่อย เพื่อสร้างสีสันค่ะ 555+
หมายเหตุ
คนที่ขอ NC เราส่งไปให้เรียบร้อยแล้วนะคะ แต่เนื่องจากมันมีเมลตีกลับมา เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าจะได้รับกันครบทุกคนหรือเปล่า ใครที่ยังไม่ได้รับ รบกวนแจ้งมาด้วยนะคะ
ส่วนเมล chengshb18@gmail.com มีตีกลับมาทุกรอบว่าส่งไปไม่ได้ค่ะ รบกวนขอใหม่ด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับความร่วมมือทุกท่าน (. .)
H & H
ความคิดเห็น