คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ดอกไม้กลีบที่ 12: เดี๋ยวนี้สังคมมันเปิดกว้าง?
Title: Statice
Genre: BL,Comedy, Romance
Rating: PG
Pairing:Kaix Aichi, Miwa x Misaki
ดอกไม้กลีบที่ 12: เดี๋ยวนี้สังคมมันเปิดกว้าง?
วันถัดมาหลังจากที่เมื่อวานทั้งวันพวกเขาเอาแต่ทำความสะอาดบ้าน ทำให้กว่าจะมาเล่นน้ำทะเลได้ก็วันถัดมากันเลยทีเดียว ทว่าไคไม่ค่อยรู้สึกดีใจเท่าไรนัก สีหน้าที่มักไร้ซึ่งอารมณ์ใด มายามนี้มันถึงได้ดูน่ากลัวไปถนัดตา เดือดร้อนให้เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ พยายามสะกิตบอกแบบแทบเป็นแทบตาย
“ไค นายช่วยทำหน้าให้ดีๆ หน่อยจะได้ไหม ทุกคนกลัวนายกันหมดแล้ว” แต่เหมือนยิ่งเตือนจะยิ่งกลายเป็นการอัพเกรดให้สายตาคู่นั้นดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก มิวะได้แต่ยิ้มแห้งแล้วรีบพาเปลี่ยนเรื่องเป็นการด่วน ก่อนเขานี่แหละจะเป็นเหยื่อรายต่อไปของสายตาแสนดุคู่นั้น
“จะว่าไปแล้ว โทคุระกับไอจิยังไม่มากันเลยเนอะ” ริมชายหาดที่ดูผู้คนต่างพากันออกมาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เห็นแล้วก็รู้สึกอยากจะลงไปเล่นน้ำให้ให้ร้อนกันเสียหน่อย ถ้าไม่ติดว่าอีกสองคนที่บอกว่าจะตามมาทีหลัง ยังไม่มาถึงล่ะก็นะ...
“ฉันจะไปดูไอจิ” บางทีสาเหตุของท่าทางที่ดูน่ากลัวราวกับพร้อมจะหาเรื่องใครได้ทุกเมื่อแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวยังไม่ได้เห็นไอจิอยู่ในสายตานั่นแหละ คิดแล้วมิวะก็ได้แต่นึกถอนหายใจเหนื่อยอย่างไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้วกับไอ้อาการไอจิลิซึม
“ใจเย็นน่า เดี๋ยวก็มากันแล้ว ตอนนี้นายนั่งพักให้ใจร่มๆ หน่อยเถอะนะ เห็นไหมว่าพวกผู้หญิงกลัวนายกันหมดแล้ว” พูดไปแบบนั้นแต่คำตอบที่ได้รับมานอกจากความเงียบแล้ว ก็คือสายตาที่ดูน่ากลัวนั่นแหละ มิวะเพียงยิ้มแห้งอย่างไม่รู้จะว่ายังไงดี นอกจากเลิกสนใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นที่เอาผ้ามาปูเอาไว้
ตุบ...
“นี่ไค... ฉันสารภาพรักกับโทคุระดีไหมอ่า” อยู่ๆ ก็พาเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังบอกให้เขาเลิกทำสายตาน่ากลัว ไคที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องคนอื่นเขาเท่าไรนัก เพียงเหล่ตามองโดยไม่พูดอะไรแล้วเลือนสายตามองไปทางอื่นต่อแทบจะในทันที
“สนใจกันหน่อยเด้!” เปิดประเด็นขึ้นมาแล้วกลับไม่ได้รับความสนใจ เป็นใครมันก็ต้องรู้สึกน้อยใจด้วยกันทั้งนั้น ทว่านอกจากมันจะไม่ทำให้ไครู้สึกรู้สาอะไรแล้ว เจ้าตัวยังทำเมินสนิทใจอีกต่างหาก เป็นครั้งแรกที่มิวะเริ่มคิดขึ้นมาแล้วว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร
“นี่ไค รู้เปล่าว่าเมื่อวานนี้ฉันได้ยินมาจากคุณชินด้วย ว่าแถวนี้มีที่ดีๆ ในการสารภาพรักอยู่ล่ะ นายเองก็ไปบอกกับไอจิที่นั่นสิ เดี๋ยวฉันบอกทางให้ว่าต้องไปทางไหนแล้วเวลาไหนถึงจะดี” ว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดๆ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมายังคงเป็นการนิ่งเฉย
“โว้ย ไอ้เจ้าบ้าไค! ช่วยขนาดนี้ยังเมินกันอีก เดี๋ยวฉันก็ไปสารภาพรักกับไอจิแทนสักเลยนิ!” พูดประชดกันขนาดนี้ มิวะมั่นใจว่าไคต้องหันมาสนใจเขาแล้วอย่างแน่นอน ทว่าสิ่งที่คิดกลับผิดคาดและกลายเป็นตัวเขาเองที่อาจจะเข้าสู่สภาพนิ่งเงียบไป เมื่อเจอไคสวนกลับมาอย่างนิ่งๆ แต่เจ็บเข้า
“เตรียมใจโดนปฏิเสธไว้แล้วก็เชิญ” ไม่มีห้ามแต่ช่วยสนับสนุนกันอีกต่างหาก มิวะถึงกับนั่งเงียบอย่างไม่รู้จะพูดว่าอะไรดีแล้วและก่อนที่บรรยากาศของพวกเขาจะย่ำแย่ไปกว่านี้ เหล่าคนที่รอคอยมานานก็ได้ปรากฏตัวขึ้น พาให้บรรยากาศที่เกือบจะแย่กลายเป็นดีขึ้นมาทันตาเห็น
...โรคไอจิลิซึมนี่ท่าจะเป็นหนักมากกก...
นึกประชดอยู่ภายในใจโดยไม่พูดอะไรออกไปทั้งสิ้น นอกจากมองไคเดินไปหยุดอยู่หน้าไอจิที่หลบไม่รู้เพราะอะไร เจ้าตัวถึงได้ไปหลบอยู่หลังมิซากิแทนที่จะเดินมาด้วยกันดีๆ ฝ่ายไอจิเองก็ดูเหมือนจะเป็นโรคติดไคไม่แพ้กัน พอเห็นหน้าก็รีบเดินไปหลบอยู่หลังอีกฝ่ายแทนแทบจะในทันที
“สองคนนี้เป็นโรคที่ห่างกันแทบไม่ได้เลยสินะ” ไม่รู้เป็นเพราะได้ยินเสียงบ่นหรือไม่ ไคถึงได้หันมาตอบหน้าตาเฉยในขณะที่ไอจิไม่ตอบอะไร เพราะเอาแต่มองไปทางทะเลด้วยท่าทางหวาดๆ เป็นระยะ
“ใช่” คำตอบที่ฟังแล้วพาให้คนสองคนถึงกับนึกกุมขมับ คนตอบเองก็ยังทำท่านิ่งเฉยคล้ายไปรู้สึกอะไรกับสิ่งที่พูด ส่วนคนที่เหมือนจะไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลยอย่างไอจิ ละสายตาจากสิ่งที่ตัวเองกลัวมาเป็นเหล่าเพื่อนๆ ไปแทน
“ทุกคนเป็นอะไรไปเหรอครับ” ฟังจากคำถามนี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่าคงจะไม่ได้สนใจฟังบทสนทนาก่อนหน้านี้ของพวกเขาเลย มิซากิเพียงยิ้มแห้งในขณะที่ไคนิ่งเฉย มีเพียงมิวะคนเดียวที่พาทุกคนเปลี่ยนเรื่อง
“ไอจิลงเล่นน้ำทะเลไม่ได้สินะ งั้นก็เล่นตีแตงโมกัน!” เกมส์ที่ต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง มิซากิเตรียมเอ่ยถามในทันทีว่าจะไปหาของที่ต้องการมาได้จากที่ไหน ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยพูดอะไรออกไป คนที่เสนอเกมส์กลับไปค้นหาของอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่เอามาด้วย ก่อนหยิบแตงโมขึ้นมาหนึ่งลูก ผ้าหนึ่งผืนและไม้....
“มิวะ... จะว่าเป็นคนเตรียมพร้อมก็ใช่ แต่จะบอกว่าเป็นคนน่ากลัวก็ได้เหมือนกันนะเนี่ย” นึกว่าจะได้รับคำชมแต่กลับโดนมองว่าเป็นคนน่ากลัวไปเสียอย่างนั้น มิวะที่ถือเหล่าของที่จะใช้เล่นเกมส์เอาไว้อยู่ ได้แต่นึกร้องไห้อยู่ภายในใจ ส่วนภายนอกก็เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ทุกคน... จะไปเล่นน้ำก็ได้นะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก” ว่าขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ก่อนสายตาทุกคู่จะหันไปมองไอจิที่ยังคงหลบอยู่หลังไคเช่นเก่า ไม่มีท่าทีดูดีขึ้นมาแม้แต่น้อย ร่างนั่นยังคงสั่นเล็กๆ ใบหน้าซีดสีไร้สีเลือด ดูยังไงก็น่าเป็นห่วง ไม่ควรปล่อยให้อยู่คนเดียวอย่างยิ่ง
“อะไรกันไอจิ พวกฉันก็ไม่ได้คิดเกรงใจอะไรนายอยู่แล้ว คิดไว้แล้วด้วยซ้ำว่าเดี๋ยวเปลี่ยนกันมาอยู่เป็นเพื่อนนายน่ะ แต่ตอนนี้... มาเล่นเกมส์ตีแตงโมกันเถอะ!” หายจากอาการนิ่งแข็งแล้วหันมาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ทำให้ผู้รับฟังรู้สึกดีขึ้นเยอะ ไอจิถึงได้พยักหน้ารับออกไปทั้งรอยยิ้ม ส่วนกรณีไค พอเห็นคนที่เกาะเขาอยู่เล่น เขาก็ต้องเล่นกันไปตามระเบียบ
“โทคุระล่ะ ว่าไง เล่นไหมๆ” ถามน้ำเสียงตื่นเต้นเหมือนลุ้นให้อีกฝ่ายเล่นให้ได้ เด็กสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มได้แต่นึกถอนหายใจแล้วเตรียมหาข้ออ้าง
“ฉันว่าฉันจะไปช่วยคุณชิน...”
“อ้าวทุกคน มาอยู่ตรงนี้กันเองเหรอ หาแทบแย่แน่ะ“ คำพูดทุกอย่างถูกกลืนหายไปกับสายลม เมื่อคนที่กำลังถูกยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างได้ปรากฏตัวขึ้น มิซากิหันไปจ้องหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อยด้วยสายตาแดสงความหงุดหงิด แต่เหมือนฝ่ายผู้เป็นญาติจะไม่ได้รับรู้ถึงสายตาเหล่านั้น เพราะดูจากท่าทางที่ยังคงยืนยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรแบบนั้นแล้ว มันพอทำให้ทุกคนเดาได้ในทันที
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณชิน” แล้วก่อนจะได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไอจิตัดสินใจเอ่ยถามทำลาบความเงียบขึ้น เมื่อรู้สึกตัวแล้วว่าถ้ายังไม่มีใครพูดอะไรตอบรับออกไป บทสนทนามันคงจะยังไม่เดินต่อเป็นแน่และรวมไปถึง อาจจะได้เห็นสงครามน้ำลายขนาดย่อมขึ้นด้วย
“อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ฉันจะไปหาเพื่อนที่อยู่แถวนี้น่ะ ทุกคนก็เล่นกันตามสบายนะ แต่อย่ากลับดึกล่ะ” บอกธุระตัวเองเสร็จก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันรอให้มิซากิได้กล่าวแย่งอะไรออกมาทั้งสิ้น ฝ่ายเด็กสาวก็ได้แต่มองตามด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่มีธุระอะไรแล้ว งั้นทุกคนก็มาเล่นกันเถอะ” คิ้วกระตุกไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยบอกด้วยความดีใจของผู้คิดเกมส์ มิซากิเพียงตวัดสายตาหันไปมองโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น แต่ดูจากการที่เดินไปคว้าไม้ที่มิวะถืออยู่ในมือมาถือเองแบบนี้แล้ว มันก็คงจะเป็นคำตอบได้แล้วล่ะว่าเธอก็จะร่วมเล่นด้วยเหมือนกัน
“เอาล่ะทุกคนเล่นกันหมดนะ กฎก็ง่ายๆ คนที่ตีแตงโมต้องปิดตา ห้ามแอบดูโดยเด็ดขาด ส่วนคนอื่นๆ ก็ช่วยกันบอกทางเอานะ” พอเห็นทุกคนพยักหน้ารับเข้าใจสิ่งที่เขาพูดออกไป มิวะก็เริ่มมองหาสถานที่ในการเล่นทันที เพราะเกมส์อันตรายแบบนี้ ให้เล่นในสถานที่ที่มีคนอยู่เยอะคงจะไม่เหมาะ
“อืม... แถวนี้เล่นได้ โอเค โทคุระเป็นคนตีก็แล้วกันเนอะ” พื้นที่บริเวณด้านหน้าทั้งหมด มีคนอยู่บ้างแต่ก็ไม่เยอะ ยังพอมีพื้นที่ให้เล่นได้ มิวะตัดสินใจเอาแตงโมไปวางไว้ที่พื้นแล้วค่อยเดินกลับมาทางเด็กสาวเพื่อเอาผ้ามาปิดตาให้
“ฉันทำเองได้” ได้แต่ยิ้มแห้งโดยไม่อาจว่าขัดอะไรได้ นอกจากรอมิซากิเอาผ้าไปปิดตาให้เสร็จก่อนแล้วนั่นแหละ เขาถึงเข้าไปเช็คอีกทีเพื่อความแน่ใจว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นแล้วจริง ปากถึงได้เริ่มประกาศบอกเริ่มเกมส์ขึ้น
“Game start!”
ทันทีที่สัญญาณเริ่มเกมส์ได้ดังขึ้น มิซากิยกไม้ขึ้นสูงเหนือหัวพร้อมเดินไปอย่างมั่วทิศในทันที เล่นทำเอาคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดอย่างมิวะเดินหลบออกมาแทบไม่ทัน ส่วนไอจิที่ไม่ได้อยู่ในรัศมีอันตรายก็ช่วยบอกทางให้กับเด็กสาวเป็นการใหญ่
“คุณมิซากิ ทางขวาๆ ไม่ครับ ทางซ้าย” เสียงบอกทางไปทางซ้ายที ทางขวาที ดังบอกเป็นระยะโดยคนที่บอกส่วนใหญ่เป็นไอจิเสียหมด ส่วนมิวะที่ยังไม่อาจพ้นจากรัศมีอันตรายมาได้ ยังคงเดินหลบเป็นการใหญ่ ปากก็มีเปิดบอกเป็นระยะว่ามันผิดทาง แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งบอกไปแบบนั้น มิซากิก็ยิ่งเดินตรงมาทางเขามากขึ้น
“ม่ายช่าย อีกทางนู้นๆ แตงโมอยู่ทางนู้น” แหกปากร้องบอกเสียงหลง จากเดินก็เริ่มกลายเป็นวิ่งเข้าไปทุกขณะ ไคที่เริ่มสังเกตความผิดปกติได้ ตัดสินใจยกมือขึ้นปิดปากไอจิให้เงียบ แล้วคอยมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความนึกสนุก หรือไม่บางที ก็มีเอ่ยบอกทางไปบ้าง แม้ทางที่บอกออกไป มันไม่ได้นำไปสู่การตีแตงโมได้เลยก็เถอะ
“โทคุระ เดินไปทางซ้ายแล้วตีเลย” คำแนะนำที่ทำเอาไอจิถึงกับนึกอ้าปากค้างอยู่ภายในใจ มือเล็กก็พยายามดึงมือเรียวที่ปิดปากตัวเองอยู่ออกเป็นการด่วน เพื่อเอ่ยเตือนว่าสิ่งที่เด็กสาวกำลังจะฟาดลงไปอยู่นั่น ไม่ใช่แตงโมแต่เป็นคนต้นคิดเกมส์นี้ต่างหากล่ะ!
โป๊ก!
แต่เหมือนจะสายไปเสียแล้ว ไม้เรียวกลับฟาดเข้าที่หัวของคนต้นคิดเกมส์นี้เข้าอย่างจัง เหล่าผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหลายต่างมีปฏิกิริยาตอบรับที่แตกต่างกันไป อย่างไอจิถึงกับยืนอึ้งไปด้วยความตกใจ มิซากิยังคงเหวี่ยงไม้ไปมาคล้ายไม่แน่ใจว่าตัวเองตีแตงโมได้แล้วหรือยัง ส่วนไคยืนนิ่งกลั้นเสียงหัวเราะตัวเองไปพักใหญ่ ตัดสินใจตะโกนเอ่ยบอกเด็กสาวให้เอาผ้าปิดตาออกไปได้ในที่สุด หลังกลับมาสงบสติอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ
“โทคุระเอาผ้าออก ด่วนเลยด้วย!” น้ำเสียงฟังดูแปลกๆ จะบอกว่ากำลังสั่นอยู่ก็ว่าได้ แล้วไม่รู้เป็นเพราะอะไร เธอถึงได้คิดว่ามันสั่นเพราะกำลังกลั่นหัวเราะ มิซากิที่ไม่อยากเสียเวลามานั่งเดาอะไรให้เปล่าประโยชน์ รีบกระชากผ้าปิดตาออกแล้วตวัดสายตาหันไปมองทางไอจิเป็นอย่างแรก ด้วยความนึกสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่พอเห็นไอจิยืนอึ้งทำหน้าคล้ายกำลังช็อกอยู่ บนใบหน้าปรากฏเครื่องหมายคำถามขึ้นในทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะได้รับคำตอบเมื่อไคที่ยืนอยู่ห่างไปจากเธอพอสมควรเดินเข้ามาใกล้ แล้วช่วยหิ้วคนที่สลบเหมือดไปแล้วขึ้นพาดไหล่
“ฝีมือฉันงั้นเหรอ...” เดินตามไคที่ร่างลากของคนไร้สติกลับไปนั่งพักใต้ร่ม ปากก็เอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจทั้งที่พอจะเดาได้อยู่แล้ว ในเมื่อคนเดียวในทีนี้ที่ถือไม้อยู่ก็มีแค่เธอ
“อ่า... ดูแลด้วยล่ะ” ขานรับพร้อมฝากฝังเสร็จสรรพ จนเหมือนจะลืมไปแล้วว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพนี้เช่นกัน ไม่เปิดช่องว่างให้เธอปฏิเสธแม้แต่น้อย แต่จะว่าไปแล้วมิซากิก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธไปอยู่แล้ว ในเมื่อเธอเป็นคนทำก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตัวเองด้วย
“เข้าใจแล้ว พวกนายก็ไปเล่นกันเถอะ อย่าหมดสนุกเพราะฉันเลย” น้ำเสียงนั่นแม้จะฟังดูไร้อารมณ์แต่ก็ยังมีแววสำนึกผิดปนมาให้ได้ยินอยู่บ้าง มันทำให้ไคเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ จนกำลังคิดคำพูดที่ช่วยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นบ้างออกไป ทว่ามิซากิกลับกล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันจะอยู่กับมิวะเอง พวกนายก็ไปเดทกันเถอะ” ยังไม่ทันจะได้เอ่ยบอกถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไป ฝ่ายมิซากิก็ว่าขึ้นมาเสียก่อนและสิ่งที่เธอพูดออกมา ก็เล่นทำเอาไคถึงกับลืมเสียงของตัวเองไปชั่วขณะ กว่าจะหาคืนกลับมาได้ก็หลังจากได้ยินเสียงไอจิเริ่มบ่นโวยวายนั่นแหละ
“ทั้งสองคนทำอะไรอยู่น่ะครับ รีบๆ พาคุณมิวะเข้ามาในร่วมเร็วเข้า” แล้วก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปอีก นอกจากเร่งฝีเท้าเข้าไปใต้ร่มพร้อมวางคนที่แบกมาด้วยลงนอนดีๆ ส่วนไอจิพอคนเจ็บถูกส่งมาถึงแล้วก็เร่งปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นการด่วน ข้างๆ กันนั่นก็มีมิซากิคอยอยู่ช่วย
...เดทงั้นเหรอ ในที่แบบนี้เนี่ยนะ...
มาเดทกับคนรักที่ทะเล ฟังดูเป็นเรื่องโรแมนติกไม่น้อย หากไม่ติดเรื่องสำคัญอยู่สองเรื่อง หนึ่ง ไอจิกลัวทะเลแค่เห็นก็ขาสั่น การที่มาอยู่ข้างริมหาดแบบนี้ได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว สอง เขากับไอจิเป็นแค่พี่น้อง!
“โทคุระ...”
“คุณชินบอกว่าแถวนี้มีร้านขายน้ำแข็งใสอร่อยๆ อยู่แถวนี้ด้วย ลองไปดูกันสิ เดี๋ยวฉันอยู่กับมิวะเอง” อย่างนี้ไม่ว่าจะฟังยังไง มันก็เป็นการไล่กันอย่างเห็นได้ชัด ไคขยับปากเตรียมกล่าวค้านออกไป ทว่าดูเหมือนมิซากิจะรู้ทันว่าเขาจะพูดอะไร ถึงได้ไม่คิดเปิดโอกาส
“ตื่นมามิวะคงหิ้ว ฝากซื้อยากิโซบะมาด้วย ร้านอยู่สุดนู้นเลยนะ ส่วนของฉันเอาอะไรก็ได้” ตามจริงแล้วควรบอกว่าฟื้นมากกว่าตื่น แต่เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ควรเถียงในตอนนี้ เพราะไอจิกำลังโดนมิซากิหลอกล่อให้ออกไปกับเขาสองคนอยู่ต่างหาก
“เข้าใจแล้วครับ ไคคุงไปกันเถอะ” ต่อให้เขารู้ว่ากำลังโดนไล่ทางอ้อมแต่เหมือนกับไอจิแล้วคงจะไม่รู้ ร่างบางถึงได้ลุกขึ้นพรวดด้วยท่าทางมุ่งมั่น ก่อนเดินมาจูงมือลากเขาให้ออกเดินไปด้วยกันในทันที ไม่คิดรอคำตอบรับอะไรจากเขาสักคำ สุดท้ายแล้วเขาจึงได้แต่ตามน้ำอีกฝ่ายไป
...เอาก็เอา...
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไคได้แต่คิดกับตัวเองด้วยความปลง สายตาก็เหล่มองไปทางมิซากิก่อนขยับปากโดยไร้เสียงพูด ไม่ให้คนข้างตัวได้ยิน…
“นายเองก็ด้วยนั่นแหละ!”
ทางเขาพยายามพูดออกไปโดยไร้เสียงแต่อีกฝ่ายกลับตะโกนลั่นเหมือนต้องการประกาศให้โลกทั้งโลกรับรู้ สีหน้าถึงกับบึ้งด้วยความไม่สบอารมณ์ สองขาเร่งก้าวฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นไปอีกจนกลายเป็นฝ่ายเดินนำหน้าไปแทน ฝ่ายคนโดนจูงก็ได้แต่ตีหน้างงด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนคำถามที่คิดว่าต้องได้รับมาอย่างแน่นอนจะถูกเอ่ยถามขึ้น
“เมื่อกี้ไคคุงพูดอะไรกับคุณมิซากิเหรอครับ” สังเกตเห็นได้ว่าไอจิมีหันกลับไปมองทางด้านหลังเป็นระยะ จนน่ากลัวว่าถ้ายังเอาแต่เดินแบบนี้ไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายอาจหกล้มเอาได้ จากที่เร่งฝีเท้าเดินไปโดยไว้ก็เริ่มผ่อนฝีเท้าลง เพื่อให้คนที่จูงมือลากให้เดินมาด้วยกันตามทัน
“ก็ไม่มีอะไร แค่บอกอย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือ” สีหน้านั่นเต็มไปด้วยความงวยงง บ่งบอกได้ว่ากำลังสงสัยถึงสิ่งที่เขาเอ่ยพูดไปว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่พอได้เห็นปฏิกิริยาตอบรับกลับมาแบบนี้เข้า ไคถึงกับเผลอถอนหายใจออกมาน้อยๆ ด้วยความเหนื่อยใจและค่อยเอ่ยตอบออกไปในภายหลัง
“เป็นนายเองไม่ใช่หรือไง ที่อยากให้สองคนนั้นเข้าใจตรงกัน” ตอบออกไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรใช้คำพูดที่ชัดเจนกว่านี้ดีกว่าไหม แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยแก้คำพูดตัวเองเสียใหม่เพื่อง่ายต่อความเข้าใจมากขึ้น ฝ่ายไอจิก็ว่าขึ้นด้วยท่าทางตกใจ
“ผมลืมไปสนิทใจเลย!” ทั้งๆ ที่เป็นคนริเริ่มแต่กลับมาบอกว่าลืม ไครู้สึกอยากจะหัวเราะแต่ก็อยากจะร้องไห้ไปในขณะเดียวกัน ระหว่างนั้นพวกก็เดินมาหยุดอยู่หน้าร้านขายน้ำแข็งใสเข้าพอดี สายตาหันไปมองร้านตรงหน้าแล้วค่อยหันกลับมามองปฏิกิริยาตอบรับจากคนข้างตัว ปากก็เอ่ยถามคำถามออกไป
“สักหน่อยไหม” เป็นคำถามที่ไม่ต้องรอฟังคำตอบ เพราะดูจากดวงตาที่จ้องจนแทบไม่ละสายตาไปไหนแบบนั้นแล้ว ไคเดาได้เลยว่าคำตอบมันจะออกมาเป็นแบบไหน ร่างสูงที่ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายก็เดินตรงเข้าไปที่ร้านพร้อมกลับออกมาด้วยถ้วยที่บรรจุไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งที่ราดด้วยน้ำแดงซะแล้ว
“แหะๆ” ไร้ซึ่งคำขอบคุณนอกจากเสียงหัวเราะฟังดูแห้งแล้ง ไคได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วส่งของในมือให้อีกฝ่ายไป
“ไคคุง...”
“ช่วยเตือนฉันด้วย ว่าตอนเย็นห้ามนายกินไอติมอีก” ไม่รู้ว่าที่พูดต่อจากนี้คืออะไร แต่เรื่องนี้มันสำคัญกว่าเขาเลยกล่าวขัดออกไปแบบนั้น ไอจิที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมาก่อนหน้านี้ถึงกับหน้าซีดไป แล้วค่อยพยักหน้ารับช้าๆ เป็นการยอมรับ
“เฮ้อ... ให้กินก็ได้...” สุดท้ายก็เป็นเขาที่ยอมใจอ่อนให้ทุกครั้ง ไอจิเพียงแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้างอย่างเป็นสุข ก่อนร่างบางจะเดินไปกินน้ำแข็งไสในมือตัวเองไปด้วยสีหน้ามีความสุข ได้เห็นท่าทางแบบนี้ของอีกฝ่ายเขาก็ไม่กล้าพูดขัดใจอะไรอีกแล้ว
“ไคคุง อ้าม...” สำหรับเขาถือเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาไม่ค่อยชอบกินของหวานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กินเลย ไอจิที่เห็นเขาไม่ค่อยซื้อกินเท่าไรนัก ก็มักจะแบ่งเขากินหรือไม่ก็ป้อนแบบนี้ประจำ ฉะนั้นเขาถึงเผลออ้าปากรับมันเข้าไปอย่างไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ผิดกับคนรอบข้างที่มองเห็น
“ป้อนกันด้วยล่ะเธอ น่ารักมากเลยอ๊ะ” เสียงของหนึ่งในตัวประกอบที่อยู่แถวนั้นดังขึ้น ไคยังคงทำเป็นหูทวนลม แกล้งทำเป็นไม่สนใจแล้วเร่งพาไอจิเดินออกมาจากแถวนั้นให้เร็วที่สุด
“นั่นสิๆ ฝ่ายหญิงก็น่ารักเนอะ ดูน่าปกป้องดี ฝ่ายชายก็เท่จนใจละลายเลย” แต่ต่อให้รีบเดินขนาดไหน เขาก็ยังได้ยินอยู่ดี ถึงสิ่งที่ได้ยินจะทำเอาเขาชะงักไปอยู่ไม่น้อยก็เถอะ สายตามองคนข้างตัวอีกครั้ง ก็พบว่าไอจิในวันนี้ก็แต่งตัวดูเหมือนเด็กชายทุกประการ ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนผู้หญิงเหมือนเช่นปกติ แล้วคนอื่นเขามองเป็นผู้หญิงได้อย่างไร?
“ใครว่าล่ะ นั่นน่ะผู้ชายทั้งคู่ต่างหาก แต่ไม่เป็นไรแม่รับได้ อ้ายย น่ารัก เชียร์ขาดใจ” เดี๋ยวนี้สังคมมันเปิดกว้าง? นี่คือสิ่งแรกที่ไคคิดอยู่ภายในหัว ระหว่างนั้นก็พาไอจิเดินมาไกลพอสมควรแล้ว สายตาของอีกฝ่ายก็คอยจ้องร้านค้าไปด้วย ท่าทางเหมือนอยากเข้าไปซื้ออะไรเพิ่มอีก
“อย่าลืมซื้อของไปให้พวกโทคุระล่ะ” ร่างเล็กพยักหน้ารับทราบเป็นการรับรู้ก็จริง ส่วนสมองจะรับรู้ตามท่าทางด้วยหรือไม่นั่น ไคไม่อาจล่วงรู้ได้ นอกจากรอดูกันต่อไปว่าหลังเดินเล่นจบ ไอจิจะลืมของที่มิซากิฝากให้ซื้อไปให้ด้วยหรือเปล่า ส่วนตัวเขา... ถ้าไม่ลืมก็คงจะเตือน... ล่ะมั้ง
เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง อาการปวดหัวที่ยังมีอยู่หน่อยๆ ปรากฏขึ้น ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นกุมขมับ ส่วนตัวค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ก่อนมารู้สึกตัวว่ามีผ้าเย็นมาประคอบอยู่บนหน้าผาก มันก็หลังจากมันตกลงมาเพราะเขาลุกขึ้นนั่ง สายตาก็ได้แต่จ้องมันนิ่งด้วยความสงสัย ว่าใครกันที่เป็นคนเอามาวางไว้ให้
“ฟื้นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นไงบ้าง” เสียงหวานติดไปทางเย็นชาดังทักมาจากทางด้านข้าง พอหันไปมองตามก็อดรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม่คิดว่าเธอจะมานั่งเฝ้าเขาอยู่แบบนี้
“คือ...” ถึงกับลืมเสียงและอาการปวดหัวของตัวเองไปชั่วขณะ สายตาก็เอาแต่จ้องมองเด็กสาวตรงหน้านิ่งจนสีหน้าของอีกฝ่ายเริ่มดูไม่สบอารมณ์แล้วนั่นแหละ เขาถึงสามารถเรียกสติตัวเองกลับมาได้
“สบายมากๆ ว่าแต่พวกไอจิล่ะ” รีบพาเปลี่ยนเรื่องไปเมื่อรู้สึกแล้วว่ามิซากิกำลังไม่พอใจ สายตาก็คอยกวาดมองหาคนสองคนที่น่าจะอยู่แถวนี้ไปด้วยความสงสัยอย่างแกล้งทำ เป็นการกลบเกลื่อนไม่ให้อีกฝ่ายได้ล่วงรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่
“ไปซื้อของกิน อีกพักใหญ่ก็คงจะกลับ” พอพาเปลี่ยนเรื่อง ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเริ่มฟังดูผ่อนคลายมากขึ้น แล้วถ้าลองสังเกตให้ดี เขารู้สึกได้ว่าในคำพูดของเด็กสาวมันมีอะไรแอบแฝงอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เดายากอะไร ในเมื่อเขาพอจะเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว
“เห... พวกไอจิไปเดทกันสินะ แล้วพวกเราล่ะ ไปกันบ้างไหม” ว่าออกไปอย่างไม่จริงจังอะไร แม้อีกใจจะแอบหวังอยู่ไม่น้อยก็ตาม สายตาก็คอยแอบเหล่มองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย
“ก็เอาสิ”
“ห๊ะ!”
แต่เป็นตัวเขาเสียเองที่ตกใจ สายตาตวัดหันมามองหน้าเด็กสาวข้างตัวอย่างเต็มตาด้วยความสงสัยว่าเมื่อครู่นี้เจ้าตัวเพียงรับมุกหรือเอาจริง
“ถือเป็นการไถ่โทษที่ทำให้นายหมดสติไปด้วยล่ะน่ะ” นึกอยากเถียงออกไปว่ามีใครไปเดทเพื่อไถ่โทษ มิวะถึงกับไปต่อไม่ถูก ปากปิดเงียบอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี
“ล้อเล่นหรอกน่า หรือนายคิดว่าฉันพูดจริง” เกือบพยักหน้ารับออกไปแล้วว่าคิดแบบนั้นจริง แต่ก็หยุดตัวเองเอาไว้ทันแล้วแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้าง ก่อนหัวเราะออกมาเสียงใสพร้อมว่าออกไป พยายามปิดบังไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้สึกว่าเขาคิดเช่นไร
“ฮ่าๆ นั่นสินะ ก็คิดอยู่แล้วแหละว่าล้อเล่น” พยายามทำตัวให้ดูร่าเริงสดใสเข้าไว้ แม้ใจจริงจะตรมข้ามกับที่แสดงออกไปก็ตาม ใจก็ได้แต่เอ่ยปลอบตัวเองว่าเขายังมีหวังอยู่ เขายังไม่ได้โดนหักอกเสียหน่อย จะมารู้สึกเศร้าไปทำไมกัน แต่แล้วในขณะที่เขาเอาแต่นึกปลอบใจตัวเองอยู่ เด็กสาวก็ได้พูดในสิ่งที่เขาแล้วถึงกับนึกแปลกใจออกมา
“แต่คืนนี้ไปงานวัดด้วยกันก็ดีนะ” ต่อให้ใจจะรับรู้ได้ก็เถอะ ว่าบางทีการที่พวกเขาได้ไปกันสองคน คงเพราะมิซากิต้องการให้พวกไอจิได้ไปเดินด้วยกัน ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยัง...
“อื้อ เอาสิ น่าสนุกดีนะ” ขานตอบรับกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใส ภายในใจก็ได้ตัดสินใจแล้ว ว่าในค่ำคืนนี้ ภายในงานเทศกาลที่ถูกจัดขึ้น เขาจะพูดมันออกไป พูดในสิ่งที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในหัวใจออกไปให้อีกฝ่ายรับฟัง แม้คำตอบรับที่ได้รับกลับมา อาจทำให้เขาต้องทรมานก็ตาม...
มุมน้ำชา
ตอนเห็น ED ใหม่ครั้งแรก กรี๊ดกระจายเลยค่า งานนี้หนูไอจิยิ่งเหมือนนายเอกหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเลย แถมเนื้อหาของเพลงก็แบบ โอ๊ยยย ชอบท่อนที่ไคหันไปแล้วไม่เจอไอจิสุดแล้วค่ะ
“Yowakatta boku wo Michibiite kureta ne (ขอบคุณนะ ที่ช่วยชี้นำคนที่อ่อนแออย่างผม)”
//แปลผิดต้องขออภัยนะคะ เพราะเขาก็ไม่ได้เก่งญี่ปุ่นอะไรมาก
ครั้งหน้าเรางดเนื้อเรื่องหลักนะคะ อย่างที่บอกกรี๊ดเพลงใหม่มาก เลยว่าจะเอาไปเขียนฟิกเรื่องสั้นค่ะดังนั้นเอาสปอยไปดูเล่นก่อนนะคะ 555+ (จบด้วยภาพที่กรี๊ดสุดใจขาดดิ้น)
ป.ล.ทุกคนมีท่อนไหนกรี๊ดเป็นพิเศษแบบเราบ้างไหมค่ะ?
สปอย
“ฉันชอบเธอ”
“มิวะนี่นาย...”
“ขอโทษนะ ที่ผ่านมาฉันคงทำให้นายลำบากใจ”
“ไม่เอานะ อย่าทิ้งผมไป ไคคุง!”
H & H
ความคิดเห็น