ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Fic Vanguard} Statice (Kai x Aichi)

    ลำดับตอนที่ #10 : ดอกไม้กลีบที่ 9: ถามใจตัวเอง

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 57


    Title: Statice

    Genre: BL,Comedy,Romance,Drama

    Rating:  PG

    Pairing: Kaix Aichi, Miwa x Misaki

     

    ดอกไม้กลีบที่ 9: ถามใจตัวเอง

     

    ในเช้าวันที่สองของการทำการบ้าน ในวันนี้ทุกคนก็มารวมตัวกันอีกเช่นเคยแต่ดูเหมือนนาโอกิจะไม่ได้มาด้วยในวันนี้ ส่วนสาเหตุจะเป็นอะไรนั่นเขาไม่คิดสนใจเท่าไรนัก แต่เท่าที่ฟังผ่านหูมาจากไอจิ เห็นว่านาโอกิมีธุระกะทันหันทำให้ไม่สามารถมาได้ในวันนี้ ไม่สิหรือว่าจะเจอกันอีกทีเปิดเทอมเลยนะ

    ...ช่างเถอะ...

    สุดท้ายก็ได้เลิกคิดไปเพราะรู้สึกตัวว่ายิ่งคิดมันก็ยิ่งรกสมองเสียเปล่าๆ ที่สำคัญไปกว่านั้นมันมีเรื่องน่าเครียดกว่านั้นมากอยู่ ในเมื่อวันนี้มิซากิก็ทำตัวแปลกๆ ใส่ไอจิอีกแล้ว วันนี้อารมณ์ของเขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดตามไปด้วยเพียงแต่ไม่ค่อยแสดงออกให้คนอื่นเห็น

    “ไคคุง พักก่อนไหมครับ” แต่ต่อให้พยายามเก็บอาการแล้วก็ตาม ดูเหมือนไอจิจะยังคงมองออกอยู่ดี สมแล้วที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก

    “ก็ดี” ตอบรับสั้นแล้วเตรียมลากไอจิออกไปที่ห้องครัวพร้อมกัน ทว่ายังไม่ทันได้คว้ามืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืนตาม กลายเป็นเขากลับถูกมิซากิลากออกไปแทนเสียก่อน สร้างความสงสัยให้อยู่ไม่น้อยจนเผลอหันไปมองหน้ามิวะอย่างขอความเห็นในทันที

    แต่พอเห็นหน้ามิวะที่ดูเหมือนจะทำสีหน้าไม่พอใจ แม้ภายในจะยังคงยิ้มแย้มและโบกมือให้เขาอยู่ก็ตาม ไคเลิกสนใจแล้วหันไปมองหน้าไอจิแทน ก็พบว่าเจ้าตัวดูเหมือนจะงงอยู่ไม่น้อยที่เห็นเขาโดนลากออกไป แล้วยังไม่ทันได้พูดบอกอะไรทั้งสิ้น รู้ตัวอีกทีก็โดนลากออกมานอกห้องเป็นที่เรียบร้อย

    “ไค ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

    พ้นจากห้องนั่งเล่นมาอยู่ในห้องครัวที่ไม่มีใคร ประโยคแรกที่มิซากิเอ่ยพูดกับเขาก็คือประโยคนี้และที่สำคัญไปกว่านั้น ฟังดูจากน้ำเสียงแล้ว เธอคงไม่คิดถามเขาหรอกว่าอยากจะได้น้ำอะไรหรือว่าควรเอาขนมอะไรดี บางทีมันคงจะเป็นเรื่องสำคัญมากและเรื่องที่ว่าก็คงจะไม่พ้น...

    “เกี่ยวกับไอจิ”

    ...ว่าแล้ว...

    นึกเอาไว้แล้วว่าเรื่องที่พูดจะต้องเป็นเรื่องนี้ ไคที่ยังไม่ทำใจและไม่คิดที่จะทำใจอีกด้วยถึงกับจ้องหน้าเด็กสาวด้วยสายตาดุดันไปในทันที ปากก็เอ่ยปฏิเสธออกไปอย่างรวดเร็ว หวังคิดปิดบทสนทนานี้โดยด่วน

    “เดี๋ยวพวกไอจิรอนาน” ไม่พูดเปล่า ยังเดินไปที่ตู้เย็นพร้อมหยิบน้ำชาที่มีแช่เอาไว้อยู่ก่อนแล้วออกมาเทใส่แก้วตามจำนวนคนไปในทันทีอีกด้วย

    หมับ!

    “ฉันใช้เวลาไม่นานหรอกน่า แต่มันจะนานหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวนายเอง เพราะฉะนั้นช่วยรับฟังด้วย!” ทว่านอกจากการทำแบบนี้จะไม่ช่วยทำให้บทสนทนายุติลงแล้ว มิซากิยังเดินมาแย่งขวดชาในมือเขาไปถือเอาไว้ไม่พอ มืออีกข้างยังคว้าหมับเข้าที่ไหล่เอาไว้แน่นเสียอีกและพอเขาเตรียมจะเดินหนี

    มือที่จับไหล่เขาเอาไว้แน่นก็ออกแรงบีบเสียจนรู้สึกปวดไปหมด สุดท้ายเขาที่ไม่อาจหนีไปจากสถานการณ์นี้ได้ ก็ได้แต่จำใจยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วพยักหน้ารับออกไปอย่างส่งๆ แทน เป็นการตอบรับว่าเขาพร้อม (โดนบังคับ) ที่จะรับฟังสิ่งที่เด็กสาวจะพูดแล้ว

    “ฉันชอบไอจิ แล้วนายล่ะ” เพียงฟังประโยคแรกก็ถึงกับสะอึกแล้ว ไคเพียงหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างไม่คิดจะมองหน้า ปากก็เอ่ยตอบออกไปส่งๆ

    “แล้วแต่เธอจะคิด” คำตอบฟังดูไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเท่าไรนัก จนคนฟังต้องเอาไปตีความกันเองต่อ แต่ดูเหมือนมิซากิไม่คิดที่จะเก็บเอาคำตอบนี้ไปตีความเองกันแต่อย่างใด เธอถึงได้เริ่มขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิดแล้วเอ่ยถามเขาเสียงเครียด

    ไค! ฉันถามจริงเถอะ นายรู้สึกยังไงกับไอจิ คำถามฟังดูจริงจังเสียจนไคเองก็เริ่มรู้สึกกดดัน สายตาที่พยายามไม่ทันไปมองหน้าอีกฝ่ายกลับถูกมือเรียวแต่กลับแข็งแกร่งจับเอาไว้แน่น แล้วบังคับให้หันมาสบตากัน สภาพเขาในตอนนี้รู้สึกได้เลยว่าเหมือนกำลังโดนนักเลงหาเรื่องกันอยู่เลย

    ถามอะไรแปลกๆ ก็ต้องรักสิในเมื่อหนีไม่ได้แล้วก็มีแต่ต้องตอบออกไปตามความเป็นจริงเท่านั้น สายตาก็ได้แต่มองดูปฏิกิริยาของเด็กสาวว่าจะเป็นเช่นไรต่อ

    อย่าบอกนะว่าแบบพี่น้องขึ้นเสียงสูงอย่างต้องการแสดงให้เห็นว่าเธอสงสัยจริง ไคเตรียมเปิดปากตอบออกไปว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมามันถูกต้องแล้ว ทว่าพูดออกไปเพียงคำเดียว เขากลับถูกมิซากิว่าดักขึ้นมาเสียก่อน

    ก็...

    คิดดูให้ดีไค โทชิกิ ถามใจตัวเอง ว่านายคิดกับไอจิแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ ราวกับกำลังถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนกันอยู่ ไคเริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมาว่าความรักที่เขามีให้ไอจิ มันจะยังคงเป็นแค่พี่น้องจริงหรือไม่ ในเมื่ออาการช่วงหลังมานี้ของเขาชักเริ่มให้ความรู้สึกไม่เหมือนพี่น้องเข้าไปทุกขณะ

    ฉัน...คำตอบที่จะให้ได้จึงยากตามไปด้วย หลุดคำแทนตัวออกไปเพียงคำเดียวก็ถึงกับยืนเงียบไปอีกนานจนมิซากิเริ่มถอนหายใจ สองมือที่ประคองใบหน้าเขาเอาไว้อยู่ค่อยๆ เลื่อนกลับมาข้างตัวเช่นเดิม ทว่ายังไม่ทันได้ว่าอะไรออกไป เสียงทักจากคนที่ตกเป็นหัวข้อบทสนทนาได้ดังขึ้นมาจากทางเบื้องหลัง

    “ขอโทษที่มารบกวนนะครับ!

    ตะโกนลั่นออกมาแบบนั้นแล้วรีบออกไปในทันที ไคที่เอาแต่ครุ่นคิดถึงคำพูดมิซากิเมื่อครู่ถึงกับตื่นจากภวังค์แล้วหันกลับไปมองทางเข้าห้องครัว ก็พอจะทันเห็นปลายเส้นผมสีฟ้าผ่านไปพอดี ทำให้รู้ได้ว่าไอจิคงกำลังเข้าใจอะไรพวกเขาผิดอยู่อย่างแน่นอน

    “แย่แล้ว...” ในหัวไคเริ่มเต็มไปด้วยความกังวลเพราะตามความเข้าใจเขาแล้ว ไอจิชอบมิซากิ พอมาเห็นภาพแบบนี้เข้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอนและฝ่ายเด็กสาวเองก็คงจะต้องเป็นกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    “นั่นสินะ ท่าพวกเราในตอนนี้เหมือนพึ่งจูบกันมาเลยนี่น่า” แต่พอได้ยินในสิ่งที่มิซากิพูดกับท่าทางที่ดูสบายใจแบบนี้เข้า ไคเดาได้เลยว่าเจ้าตัวคงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร ผิดกับเขาที่นึกอยากวิ่งไปปรับความเข้าใจจะตายอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเด็กสาวยังยืนขวางทางเขาอยู่ล่ะน่ะ

    “อยากปรับความเข้าใจล่ะสิ คนเป็นพี่น้องกันเขาไม่คิดอะไรแบบนี้หรอกนะ” ชะงักไปกับสิ่งที่ได้ยิน สายตาที่จ้องมองตามแผ่นหลังไอจิไปถึงกับตวัดหันมามองด้วยความสงสัยในทันที

    “ฉันน่ะชอบไอจินะ ไคเองฉันก็ชอบ อยากให้ทั้งสองมีความสุข เพราะงั้นฉันจะถามอีกครั้ง นายน่ะ รักไอจิใช่ไหม แล้วรักที่ฉันหมายถึงไม่ได้แบบพี่น้องแต่เป็นคนรักกัน” คำพูดที่ฟังแล้วไม่รู้ทำไม ใจเขาถึงได้รู้สึกโล่งอกแต่ในขณะเดียวกันก็นึกสับสนไปด้วย คำตอบรับจากเขาจึงกลายเป็นความนิ่งเงียบ

    “เฮ้อ... ช่วยดันพวกนายยากจิง! เอาอย่างนี้ ถ้าเกิดว่าไอจิมีแฟนขึ้นมา นายจะยอมได้ไหม” คำถามที่ฟังแล้วไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ เพราะคำถามแนวนี้เขาเคยเอ่ยตอบมิวะไปแล้วครั้งหนึ่ง

    “ขอแค่ให้ไอจิมีความสุข... ฉันไม่ขวางหรอก”

    ตุบ...

    สิ้นคำตอบของเขา ร่างบางถึงขั้นทรุดลงไปนั่งกับพื้นแล้วยกสองมือขึ้นกุมหัวไปในทันที สร้างความสงสัยให้อยู่ไม่น้อยว่าเจ้าตัวเป็นอะไร ถึงได้ทรุดลงนั่งข้างๆ แล้วยื่นมือไปเตรียมแตะไหล่อีกฝ่าย ทว่ายังไม่ทันเอื้อมมือไปถึง มิซากิก็เงยหน้าขึ้นแล้วหันมาจ้องหน้าเขาด้วยสายตาดุดัน

    “แล้วถ้าเกิดไอจิไปมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นล่ะ!” เจอคำถามนี้เข้าไป ไคถึงขั้นนิ่งค้าไปหลายวิ คล้าหัวสมองประเมินไม่ทันว่าเมื่อครู่นี้เขาได้ยินอะไรเขา

    “ช่างเถอะ เอาเป็นว่านายลองถามใจตัวเองดูก็แล้วกัน ว่าจริงๆ แล้วนายรู้สึกยังไงกับไอจิ” พูดจบก็เดินออกไปนอกห้องพร้อมแก้วน้ำชาที่รินน้ำเอาไว้เสร็จสรรพ ปล่อยทิ้งให้ไคยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ไปเช่นนั้น คล้ายต้องการเปิดโอกาสให้เขาได้คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

    ...นี่ฉัน... ไม่ได้รักไอจิแบบพี่น้องอย่างนั้นเหรอ...

    คำถามที่ไม่มีใครเอ่ยตอบได้อีกแล้วนอกจากตัวเอง ไคยังคงเอาแต่ครุ่นคิดหาคำตอบนี้ไปจนกระทั่งเวลาเย็นได้มาถึง...

     

    วันนี้ทั้งวันเขาแทบไม่มีสมาธิกับเรื่องอะไรทั้งสิ้น แม้จะมีสติอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่ไปช่วยพูดให้ไอจิเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องครัวก็เถอะ แต่นอกนั่นก็แทบไม่มีใจทำอะไรทั้งสิ้น เรียกได้ว่ากว่าจะทำการบ้านในส่วนของวันนี้จนเสร็จทั้งหมดได้มันก็ลำบากอยู่มากเช่นกัน จนทำให้ไอจิเป็นห่วงอยู่บ่อยๆ ครั้งและพอทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว ไคก็ตั้งใจจะขึ้นไปพักผ่อนเสียหน่อย เพราะตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจมากจริงๆ ทว่าก่อนที่จะได้เดินขึ้นห้องตัวเองไป...

    “ไคคุง” เสียงเรียกที่ฟังดูไม่มีความมั่นใจเท่าไรนักดังเรียกเสียงแผ่วมาจากทางด้านหลังและในยามนี้ คนที่อยู่ภายในห้องนอกจากเขาแล้วก็ไม่ใช่ใครอื่น ไอจินั่นเอง

    “มีอะไร” ย้อนถามกลับไปพร้อมหันกลับไปมอง ก็พบว่าไอจิถึงกับก้มหน้าลงต่ำ สองมือประสานกันแน่นในบริเวณหน้าอกพร้อมกล่าวปฏิเสธเสียงอ่อน

    “ไม่มีอะไรครับ...” ปากว่าแบบนั้นแต่ท่าทางที่คอยแอบเงยหน้ามามองเขาเป็นระยะ ดูก็รู้แล้วว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่นอน ไคถึงกับเผลอนึกถอนหายใจอยู่ภายในใจ เพราะพอจะเดาได้แล้วว่าไอจิคงมีเรื่องอะไรบางอย่างจะพูดกับเขา แต่เพราะเขาดันใช้น้ำเสียงที่ฟังดูติดไปทางหงุดหงิดตอบรับกลับไป เจ้าตัวถึงได้ไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา นอกจากยืนทำท่ากระอักกระอ่วนอยู่แบบนั้น

    “กล้ามีความลับต่อฉันแบบนี้ แสดงว่านายไม่ต้องการฉันแล้วสินะ” ทันทีที่พูดขู่ออกไปแบบนั้นจบ จากไม่กล้าพูดอะไรออกมา ก็ถึงกับรีบพูดออกมารวดเดียวจบ จนแทบลืมหายใจกันเลยทีเดียว เห็นแล้วไม่รู้จะนึกขำดีหรือเป็นห่วงดีกันแน่ เพราะสิ่งที่เขาพูดออกไปก็แค่พูดไปงั้นๆ

    “เกี่ยวกับเรื่องคุณมิซากิครับผมอยากขอคำปรึกษา” ท่าทางนั้นดูตลก รวมไปการพูดแบบรวดเดียวโดยไม่พักหายใจมันก็ดูน่ารักดีไปอีกแบบ แต่พอได้ยินเรื่องที่จะปรึกษาแล้ว ไคได้แต่ยกยิ้มอย่างยากลำบากแล้วขานรับรับออกไปเสียงแผ่ว ที่ใจรู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก

    “ว่ามาสิ” ทันทีที่เขาว่าออกไปแบบนั้น ท่าทางที่ดูเหงาหงอยก็กลายเป็นยิ้มแย้มอย่างดีใจไปในทันที เห็นแบบนี้เข้าอีกใจมันรู้สึกดีแต่อีกใจก็รู้สึกแย่ไปในขณะเดียวกัน

    “ผมคิดว่าคุณมิซากิชอบคุณมิวะ อยากช่วยครับ เพราะเป็นเพื่อน!” ว่าออกมาด้วยความตื่นเต้นจนลิ้นแทบพันกัน ไคที่เตรียมพร้อมที่จะรับฟังปัญหาหัวใจของไอจิแล้วถึงขั้นนิ่งชะงัก แล้วเอ่ยถามกลับไปใหม่คล้ายไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่นี้ ตัวเองได้ยินมาถูกต้องแน่แล้ว

    “เมื่อกี้... ว่ายังไงนะ” เอ่ยถามย้ำหวังได้ยินคำตอบแบบเดิม ใจก็ได้แต่นึกภาวนาขอให้สิ่งที่ตัวเองได้ยินมาก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดไปเอง

    “ผมบอกกว่า อยากช่วยทำให้คุณมิซากิกับคุณมิวะ สมหวังกันครับ!” ครั้งนี้จังหวะในการพูดค่อนข้างช้าลง ราวกับต้องการตอกย้ำให้เขาได้รับรู้มันกันทุกถ้อยคำ ไคถึงกับยิ้มบางๆ ด้วยความรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังพยายามทำตัวให้ดูสุขุม เหมือนไม่รู้สึกอะไรพร้อมเอ่ยถามออกไปเสียงเรียบ

    “แล้วนายไม่ได้รักโทคุระหรอกเหรอ” ต่อให้ใจมันรู้สึกดีขนาดไหนแต่ในฐานะพี่ที่ดีแล้ว เขาก็ยังต้องการที่จะรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของไอจิต่อมิซากิอยู่ดี ถึงได้กลั้นใจถามออกไปโดยไม่ได้เตรียมใจพร้อมรอรับฟังคำตอบเสียเท่าไร กว่าจะมาคิดได้ว่าตัวเองคิดช้าไป มันก็สายไปแล้ว

    “ชอบสิครับ” คำตอบที่ฟังแล้ว ทำเอาความดีใจก่อนนี้แทบบินหายไปสิ้น ปากก็เตรียมเอ่ยถามออกไปต่อในทันทีว่าทำไมถึงคิดจับคู่คนที่ตัวเองรักให้กับคนอื่น ทว่ายังไม่ทันได้ถามออกไป คำพูดต่อมาที่ได้ยินจากปากของไอจิ มันทำให้เขาล้มเลิกที่จะถามออกไปในทันที

    “ก็คุณมิซากิเป็นเพื่อนของผมนี่น่า เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อน มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ” ท่าทางเขาจะเข้าใจผิดไปเอง เช่นเดียวกับความรู้สึกของตัวเองหรือเปล่าเขาองก็ไม่มั่นใจ แต่ในตอนนี้เรื่องส่วนตัวของเขาคงต้องเก็บเอาไว้ก่อน เพราะเรื่องที่ไอจิกำลังจะพูดต่อไปนี้เจ้าตัวค่อนข้างจริงจัง

    “วันพรุ่งนี้ผมวางแผนให้ทั้งสองคนไปสวนสนุกกันครับ แน่นอนว่าทั้งผมกับไคคุงพอไปถึงแล้วต้องบอกว่ามีธุระด่วนนะครับ เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน” ยังไม่ทันรู้ความเป็นมา ไอจิก็เล่นวางแผนให้เรียบร้อยพร้อมบอกบทบาทที่เขาต้องเล่นให้เสร็จสรรพ เนื่องจากมันข้ามขั้นตอนเกินไป ไคถึงได้รีบเอ่ยดักขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะอธิบายแผนของตัวเองจนจบ

    “เดี๋ยวไอจิ แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าสองคนนี้ชอบกันอยู่”

    ...ถึงในกรณีของมิวะ จะรู้แล้วก็เถอะว่าเป็นความจริง...

    ปากถามออกไปแม้คำตอบส่วนนึงจะรู้อยู่แก่ใจแล้วก็เถอะ สายตาก็มองไอจิที่เจอคำถามนี้เข้าไปถึงกับนิ่งชะงักไปอยู่เหมือนกัน ก่อนคิ้วทั้งสองข้างจะขมวดเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิด

    “สายตา... ท่าทาง... หลายอย่างเลยครับ ผมสังเกตสองคนนี้นานแล้ว ดูยังไงก็ต้องชอบกันอยู่แน่นอน” เจอคำอธิบายไม่ช่วยทำให้เข้าใจได้แม้แต่น้อย เปลี่ยนจากไอจิที่ขมวดคิ้วก็กลายเป็นไคแทน แต่ในกรณีของเขามันเป็นเพราะความฉงน

    “ยังไง” คำถามสั้นๆ แต่คนตอบถึงกับนิ่งคิดไปอีกครั้ง ดูท่าทางถ้าเขาไม่คิดถามอะไรที่เจาะจงมากกว่านี้ คำตอบที่ได้รับก็คงจะไม่กระจ่างโดยเร็วเช่นกัน

    “สายตา ท่าทาง มันเป็นยังไง เพราะในสายตาฉัน ทั้งคู่ก็ดูปกติดี” เมื่อได้รับคำถามที่มีความเจาะจงมากขึ้นแล้ว ครั้งนี้ไอจิไม่ได้นิ่งเงียบไปเหมือนเมื่อครู่ แต่เริ่มเอ่ยปากอธิบายออกมาให้เขารับฟังแล้ว

    “สายตาที่มองดูอีกฝ่ายดูมีความสุขครับ ท่าทางเองก็จะดูอ่อนโยนมากขึ้นด้วย ไคคุงอาจจะไม่ค่อยได้สังเกต แต่เวลาที่คุณมิซากิอยู่ใกล้คุณมิวะ ท่าทางของเธอดูอ่อนโยนขึ้นนะครับ” ข้อสังเกตที่กล่าวออกมา ฟังแล้วไคก็ได้แต่นิ่งเงียบต่อไป ไม่ได้เอ่ยอะไรตอบรับกลับไปทั้งสิ้น จนเริ่มทำให้ไอจิเริ่มเป็นกังวลว่าตงลงแล้วเขาได้อธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจได้แล้วหรือยัง

    “ไอจิ การรักใครสักคนมันเป็นยังไง เอาความรักแบบคู่รักนะ ไม่ใช่แบบพี่น้อง” เจอคำถามแบบนี้เข้าไป ไอจิได้แต่ยืนนิ่งไปสักพัก สีหน้าฉายแววแปลกใจและฉงนไปในขณะเดียวกัน ก่อนรีบคิดหาคำตอบโดยด่วน เมื่อเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจ

    “ทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุขล่ะมั้ง... ครับ” คำตอบที่เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจเพราะตัวเขาเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไรนัก ทว่ากับไคที่ได้รับฟังถึงกับนิ่งชะงักไปครู่ใหญ่แล้วรีบเดินจากไปในทันที

    “เดี๋ยวสิครับไคคุง” ได้ยินเสียงร้องเรียกของไอจิดังไล่หลังมา แต่ยามนี้เขาไม่มีใจคิดหันกลับไปมองอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้เขาตระหนักถึงบางสิ่งได้หลังจากได้รับฟังคำพูดจากอีกฝ่าย

    ...นี่ฉัน... หลงรักไอจิอย่างนั้นเหรอ...

    ยามเมื่อลองถามใจตัวเองดู คำตอบที่ค้นพบช่างน่าตกใจยิ่งนัก บางทีอาจจะคาดไม่ถึงหรือเรียกได้ว่าไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนมากกว่า ในเมื่อพวกเขาใกล้ชิดกันมากเกินไป ใกล้กันจนไม่ทันรู้สึกตัวถึงความรู้สึกที่ก่อขึ้นในใจอย่างเชื่องช้าเหล่านี้และในตอนนี้ ยามเมื่อรู้สึกตัวแล้ว มันคงจะยังไม่สายเกินไปใช่ไหม

    ...ไม่ได้!...

    ทันใดนั้นอีกใจก็แย้งขึ้นมาในทันที เพราะพอลองคิดไปถึงสภาพของตัวเองที่ได้บอกรักกับไอจิแล้วโดนปฏิเสธกลับมาดูแล้ว... ทุกสิ่งมันคงจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมและถ้าให้เขาใช้ชีวิตโดยที่โดนอีกฝ่ายเมินหรือไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยแบบนั้นแล้ว

    ...ให้เป็นแบบนี้แหละ ดีแล้ว...

    สุดท้ายก็ตัดสินใจให้ทุกสิ่งยังคงเป็นเหมือนเดิม ขอแค่เขารับรู้ความรู้สึกเหลานี้ไว้ในใจเพียงคนเดียวก็พอแล้วและในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นอยู่ รู้สึกชายเสื้อถูกดึงมาจากทางด้านหลัง พอลองมองย้อนกลับไปดูก็พบว่าเป็นไอจินั่นเอง ที่มาดึงชายเสื้อเขาเอาไว้

    “ไคคุงโกรธเหรอ” สีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงเองก็ฟังดูสั่นไหวราวกับใกล้จะร่ำไห้ เห็นสภาพแบบนี้ของไอจิเข้า ไคถึงกับเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

    “เปล่า แค่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย ส่วนเรื่องช่วยเจ้าพวกนั้น นายอยากให้ฉันทำอะไรก็ว่ามา” ยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ เป็นการปลอบใจก่อนผละมือออกมาเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงจะรู้สึกดีขึ้นแล้ว ปากก็เอ่ยกล่าวถ้อยคำที่ทำให้คนตรงหน้ารู้สึกดีออกไป

    “จริงนะ...” น้ำเสียงนั่นยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ ไคได้แต่นึกเหนื่อยใจน้อยๆ กับนิสัยขาดความมั่นใจของอีกฝ่าย แต่ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง มันก็เป็นผลดีต่อตัวเขาเช่นกัน เพราะถ้าไอจิยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป เขาก็ยังคงสามารถปกป้องอีกฝ่ายแบบนี้ต่อไปได้

    “จริงสิ” กล่าวย้ำเพื่อเพิ่มความมั่นใจ บนใบหน้าคมประดับรอยยิ้มจางๆ แลดูอ่อนโยนไว้ที่มุมปาก มือก็ยกขึ้นแล้วโยกหัวไอจิไปมาเบาๆ เป็นการหยอกอีกฝ่ายเล่น

    “สัญญาแล้วนะ” สองมือเล็กยกขึ้นจับมือเขาเอาไว้มั่น ทำให้เขาหยุดมือที่โยกหัวอีกฝ่ายเล่น ปากก็เอ่ยยืนยันออกไปอย่างไม่รู้สึกรำคาญ

    “ฉันให้สัญญา” พอได้ยินคำสัญญาจากปากเขา แทนที่จะได้เห็นไอจิเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้เขาอย่างดีใจ สิ่งที่เห็นเขากลับตรงข้าม คนตรงหน้านิ่งชะงักไปราวกับตกใจบางสิ่ง ก่อนรีบเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอยู่นานสองนาน ปากปิดเงียบไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น

    เป็นอย่างนี้ไปพักใหญ่จนไอจิมองไคจนพอใจแล้วนั่นแหละ รอยยิ้มจางๆ ประดับขึ้นบนใบหน้าที่ยังคงมีเค้าความหวาดกลัวปรากฏอยู่บ้างนั่น ก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่องทำราวกับว่าท่าทีผิดปกติเมื่อครู่ของตัวเอง มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    “งั้นวันนี้ไคคุงก็พักเยอะๆ นะครับ ผมไม่กวนแล้ว” ว่าแล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องตัวเองไปในทันที ราวกับต้องการหลบซ่อนบางสิ่งจากเขา

    “ไอจิ...” เอ่ยเรียกเสียงแผ่ว ก่อนพาร่างตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูห้องนอนอีกฝ่าย มือเรียวยกขึ้นหมายเคาะเรียก ทว่าอีกใจก็เกิดความลังเลขึ้นมาว่าควรเคาะเรียกอีกฝ่ายดีหรือไม่ แล้วถ้าไอจิออกมาแล้ว เขาควรถามอะไรออกไปดีกันล่ะ

    “เฮ้อ...” สุดท้ายก็ได้แต่นึกถอนหายใจออกมาด้วยความปลงตก ก่อนหันหลังให้กับบานประตูนั่นแล้วเดินกลับเข้าห้องนอนตัวเองไปอย่างช่วยไม่ได้

    ปัง...

    ทว่าทันทีที่บานประตูได้ปิดลง ไอจิที่วิ่งหายเข้าไปในห้องของตัวเองก่อนหน้านี้ก็ได้เปิดบานประตูออกมาอีกครั้ง นัยน์ตาที่เคยเป็นสีฟ้าบัดนี้กลับกลายเป็นสีแดง แลดูว่างเปล่าไร้ซึ่งความรู้สึกใดแต่ใบหน้ากลับดูเศร้าสร้อยคล้ายคนใกล้ร้องไห้ ได้แต่จ้องมองตรงไปยังบานประตูที่ปิดสนิท ก่อนริมฝีปากบางจะได้เอื้อนเอ่ยบางสิ่งออกมาเสียงแผ่วเบา จนแทบไม่มีใครได้ยินแม้แต่ตัวเอง...

    “คนผิดสัญญา...”

     

    มุมน้ำชา

    ในที่สุด... ก็ได้โยนปริศนาบางส่วนเข้ามาแล้วค่ะ (ยังคงดำเนินเรื่องช้าได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย นักอ่านเลยจะหนีหายหมดแล้ว เหอะๆ) ตอนหน้า มาเดากันค่ะว่าใครเป็นตัวร้าย! (ยินดีกับนายด้วยนะ ได้ออกสักที)

     

    H & H
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×