ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Fic Vanguard} Statice (Kai x Aichi)

    ลำดับตอนที่ #6 : ดอกไม้กลีบที่ 5 : อ่านหนังสือสอบ

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 57


    Title:  Statice

    Genre: BL, Comedy

    Rating:  PG

    Pairing: Kai x Aichi, Miwa x Misaki


     

    ดอกไม้กลีบที่ 5 : อ่านหนังสือสอบ

     

    เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันแล้วเท่านั้น ช่วงเวลาสอบที่เหล่านักเรียนแสนเกลียดนักหนาก็จะเริ่มต้นขึ้น เวลาในการยัดเอาความรู้มากมายจากหนังสือหลายสิบเล่มจึงเหลืออีกเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น แต่นั่นยังไม่ใช่เวลาที่แท้จริงในการยัดความรู้เข้าหัวสมอง เพราะพอได้ตัดเวลาที่สูญเสียไปกับการเรียน กินข้าว เดินทางและอื่นๆ จนกว่าจะมาอยู่ในห้องนอนที่เป็นสถานที่อ่านสอบในครั้งนี้ได้

    ก็จะพบว่าเวลาในการอ่านสอบจริงๆ มันเหลือเวลาอีกเพียง 12 ชั่วโมงแล้วเท่านั้น ช่างเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเพราะนั่นหมายถึงไม่ต้องนอน! เพราะถ้าให้รวมเวลานอนเข้าไปด้วยมันก็คงแทบไม่มีเหลือ ดังนั้นเวลาที่ใช้นอนจึงต้องตัดทิ้งออกไปในที่สุด!

    แล้วต่อให้รู้ว่าแทบไม่มีเวลาเหลือให้ยัดเอาความรู้ตั้งแต่ต้นเทอมใส่หัวกันแล้ว แต่ดูเหมือนไค โทชิกิคนนี้จะเห็นเรื่องการอ่านหนังสือสอบเป็นเรื่องที่มีความสำคัญน้อยมากจนถึงมากที่สุด เมื่อวานก็ทีแล้ว แทนที่จะได้มาอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบกันก็กลายเป็นไปนั่งเฝ้าไอจิที่ไปช่วยงานเพื่อนเสียได้

    ถึงแม้ว่าในตอนแรกตั้งใจจะไปอ่านหนังสือสอบกันต่อก็เถอะ แต่ด้วยเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นประกอบกับไอจิดูท่าทางเหนื่อย สุดท้ายตัดสินใจเป็นอันยกเลิกไป มาวันนี้แทนที่จะได้ตั้งใจอ่านสอบกันได้อย่างเต็มที่ กลับกลายเป็นว่าคนตรงข้ามเอาแต่จ้องหนังสือตรงหน้าตัวเองนิ่ง

    ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเปิดมันอ่านหรือนั่งแก้โจทย์กันแต่อย่างใด เห็นแล้วมันได้แต่นึกเหนื่อยใจจนมิวะเริ่มรู้สึกว่าคงคิดผิดเสียแล้วที่ขอให้อีกฝ่ายมาช่วยติวให้ แม้ในความเป็นจริงเจ้าตัวจะเก่งมากก็เถอะ บางทีต่อให้ไม่ต้องอ่านหนังสือเลยก็ยังทำได้สบายๆ อยู่แล้วด้วยซ้ำ

    จนน่านึกสงสัยว่าทำไมเจ้าไคมันถึงได้เก่งขนาดนี้ ทั้งที่เวลาสอบทีไรก็ไม่ค่อยจะเห็นอ่านสอบ แต่กลับทำข้อสอบได้ดูสบายๆ ต่อให้คะแนนสอบไม่สูงแต่ก็ไม่ถือว่าน่าเกลียดอะไร บางทีมิวะก็เผลอคิด ด้วยความที่เป็นพี่ไอจิหนึ่งปี บางทีเจ้าตัวคงอยากเป็นที่พึ่งให้กับคนเป็นน้องก็ได้หรือไม่ก็... คนมันเก่งมาตั้งแต่เกิด

    “เฮ้อ.. นี่ไค ถ้านายห่วงนัก ทำไมไม่ขอไปติวกับพวกนั้นเลยล่ะ” ในที่สุด หลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกหนึ่งชั่วโมง มิวะตัดสินใจถามออกมาในที่สุด หวังให้ไคตัดสินใจได้เสียทีว่าจะทำยังไงกับชีวิตของตัวเองต่อไป ไม่ใช่มานั่งจ้องหนังสือตรงหน้าราวกับว่ามันเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอยู่แบบนี้

    “เดี๋ยวเป็นการรบกวน”

    ...ช่างเป็นพี่แสนดียิ่งนัก!...

    มิวะได้แต่กรีดร้องอยู่ภายในใจด้วยความรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาพิลึก ในเมื่อใจอีกฝ่ายนึกอยากไปแอบดูความเป็นไปของห้องถัดไปหรือก็คือห้องนอนของไอจินั่นแหละ ว่าสภาพห้องตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เนื่องด้วยในวันนี้ทั้งมิซากิและนาโอกิต่างมาค้างที่บ้านเพื่ออ่านหนังสือสอบโต้รุ่งกัน

    “นายเนี่ยนะ ทั้งที่ใจมันไปอยู่ห้องนู้นแล้วแท้ๆ ทำไมไม่ลองไปแอบดูสักหน่อยล่ะ อย่างน้อยจะได้สบายใจแล้วกลับมาช่วยฉันติวหนังสือได้เนี่ย” ว่าออกไปด้วยความประชด ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะนำเอาไปปฏิบัติจริงแต่อย่างใดแต่ทว่าดูเหมือนสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้จะผิดคาด

    “นั่นสินะ แค่แอบดูก็คงไม่เสียหาย” ตัวนิ่งแข็ง ปากอ้าค้างไปอยู่แบบนั้นสิบวินาที ก่อนศีรษะจะสะบัดหัวไปมาแรงๆ เป็นการเรียกสติ ปากก็เตรียมเอ่ยห้ามอีกฝ่ายพร้อมสารภาพความจริงออกไปว่าเมื่อครู่เขาแค่ประชดเล่น แต่ดูเหมือนว่ากว่าเขาจะเรียกสติกลับเข้าร่างได้ ไคก็ได้เดินออกไปจากห้องเสียแล้ว

    ปัง...

    ...เรื่องติวหนังสือล่ะ?...

    คำถามที่ไม่ต้องรอให้เจ้าตัวมาตอบ มิวะที่เป็นคนถามคำถามนั่นเองก็สามารถตอบมันได้อย่างสบายๆ อยู่แล้วและเพราะรู้คำตอบดีนั่นแหละ เขาถึงได้เอาแต่นึกถอนหายใจด้วยความปลง แล้วตัดสินใจคว้าเอาสมุดจดของไคขึ้นมาเปิดอ่านเพื่อทำความเข้าใจเอง

     

    ทางด้านไค พอได้รับคำแนะนำอันแสนยอดเยี่ยม (กึ่งประชด) มาจากมิวะ เขาก็รีบรุกออกมาจากห้องแล้วมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องที่อยู่ถัดจากห้องเขาไปเพียงไม่กี่ก้าวในทันที แต่ความคิดที่จะเข้าไปด้านในกลับไม่มีอยู่ นอกจากยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไปแบบนั้น

    แล้วค่อยเอาใบหูไปแนบลงกับบานประตูหนาอย่างระมัดระวังมากที่สุด เพราะไม่ต้องการให้คนด้านในรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวภายนอกห้อง

    “เสร็จสักที ตอนนี้จบตาของมิซากิแล้ว ต่อไปก็ตาของฉันสอนสินะ หลังจากนั้นก็ของไอจิ” เสียงที่ได้ยินเป็นของนาโอกิอย่างแน่นอน เพราะภายในห้องอีกสองคนที่เหลือ น้ำเสียงต่างฟังดูหวานกันหมดและเท่าที่ฟังจากคำพูดเมื่อสักครู่ แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาต่างอ่านหนังสือสอบกันอยู่ตลอด

    ...ไม่ได้ทำเรื่องแปลกๆ กับไอจิสินะ...

    ต่อให้ใจคิดได้แบบนั้นแต่อีกใจมันก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เพราะต่อให้ภายในห้องมันไม่ได้อยู่กันตามลำพังสองต่อสองก็เถอะ แต่ทั้งมิซากิและนาโอกิ ไคเพียงสบตาทั้งคู่ดูก็รู้แล้วว่าสองคนนี้ชอบไอจิอยู่ แล้วยิ่งต้องมั่นใจมากขึ้นไปอีกเมื่อสังเกตจากพฤติกรรมที่ปฏิบัติกับไอจิในตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาของทั้งสอง

    ก็พบว่ามิซากิทำทีเหมือนจะจีบไอจิอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ด้วยความซื่อจนน่ากลัวของน้องชายผู้แสนน่ารักของเขา เจ้าตัวถึงได้ยังไม่รู้สึกตัวเสียที ส่วนฝ่ายนาโอกิ รายนั่นไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไรนัก เพราะแค่เขาจ้องหน้าอีกฝ่ายเข้าหน่อย มันสามารถทำลายความกล้าทั้งหมดทิ้งไปและลดระดับเหลือเพียงแค่พยายามทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีไปแทน

    ...ยังไงก็ยังวางใจไม่ได้...

    ใช่! ต่อให้รู้ว่าไม่มีใครมาแกล้งไอจินานแล้วก็เถอะ แต่มันกลับมีอันตรายที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการแกล้งกันเกิดขึ้นกับน้องชายของเขานี่สิ อย่างนี้มันจะไม่ทำให้เขาเป็นห่วงได้อย่างไร คิดแล้วก็พยายามตั้งใจแอบฟังบทสนทนาที่อยู่ภายในห้องต่อไป

    “ผมว่าพักกันหน่อยดีกว่าไหมครับ นี่ก็ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงแล้วนะครับที่พวกเราอ่านหนังสือกัน” พอได้ยินว่าจะพักยกอ่านหนังสือกันแล้ว ไคก็รู้สึกตัวได้ในทันทีว่าเขาไม่สมควรมายืนแอบฟังอยู่หน้าห้องแบบนี้ต่อไป เพราะถ้าอีกฝ่ายเปิดประตูออกมาเจอเขาสภาพนี้เข้า คงได้โดนคิดว่าเป็นคนโรคจิตแน่

    “อ้าวพี่ไค มาทำอะไรตรงนี้เหรอค่ะ” เสียงสดใสฟังดูอ่อนหวานราวกับใครบางคนแต่กลับมีความแตกต่างตรงที่ว่าเสียงนี้ฟังดูหวานมากกว่าเยอะ ดังเอ่ยทักมาจากทางด้านหลัง งานนี้ไครู้สึกตัวได้เลยว่ากำลังงานเข้า ถึงอย่างนั้นใบหน้าคมยังคงสภาพไร้อารมณ์เข้าไว้แล้วหันไปมองเด็กหญิงที่ยืนมองเขาอยู่ทางด้านหลัง

    “ไม่มีอะไร” ว่าเสียงเรียบแล้วเตรียมเดินจากไปในทันที ไม่สนใจสายตาแสดงความสงสัยของเอมิแต่อย่างใด ในทางกลับกันยังพยายามเนียนเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเองเสียอีก แต่แล้วในขณะที่กำลังเนียนกลับเข้าไปในห้องได้สำเร็จ บานประตูทางด้านหลังก็ได้เปิดพรวดออกมา

    ปัง!

    “ไคคุง เอมิ ยืนทำอะไรกันอยู่น่ะ” ไม่ต้องหันกลับไปมองทางด้านหลัง ก็พบจะเดาได้ว่าอีกสองคนที่เหลือทำสีหน้าเช่นไร ในขณะที่ไอจิดูเหมือนจะสงสัยจริงตามคำพูด ไคชักเริ่มไม่รู้เสียแล้วว่าความซื่อเกินร้อยแบบนี้ของอีกฝ่ายมันเป็นผลดีหรือผลเสียกันแน่

    “ไม่มีอะไร” ทำหน้านิ่งแล้วเอ่ยตอบปฏิเสธเสียงเรียบ ดูแบบนี้มันก็ไม่มีพิรุธอะไรดีอยู่หรอก แต่นั่นสำหรับสองพี่น้องเซ็นโดเท่านั้นนะ ทว่ากับอีกสองคนที่ยังนั่งอยู่ภายในห้องนั่นน่ะ ไม่ได้คิดแบบเดียวกับสองพี่น้องอย่างแน่นอน ในเมื่อสายตาที่มองตรงมา มันบ่งบอกให้รับรู้ได้เลยว่าทั้งสองคนรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาคิดทำอะไรอยู่

    “งั้นเหรอครับ แต่เจอไคคุงแบบนี้ก็ดีแล้ว ผมว่ากำลังจะไปหาอยู่พอดีเลยครับ” เตรียมเผ่นออกไปจากสถานการณ์แสนน่าอึดอัดและเสี่ยงโดนจับพิรุธได้โดยเร็วที่สุด ทว่าพอได้ยินไอจิพูดแบบนี้เข้า ตัดสินใจไม่ขยับกายออกไปไหน นอกจากยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วปิดปากเงียบ สายตามองตาอีกฝ่ายราวกับเป็นการเร่งให้เอ่ยบอกธุระออกมาโดยไว

    “ผมกำลังลงไปเอาของว่างมาให้ทุกคนกินกันครับ ไคคุงกับคุณมิวะจะรับด้วยไหมครับ” พอได้ยินข้อเสนอของไอจิ ร่างสูงมีเพียงความเงียบเป็นการตอบรับ ส่วนเอมิที่ตอนแรกตั้งใจจะเดินเข้าห้องเพราะดูเหมือนเธอไม่มีความเป็นอะไรที่ต้องอยู่อีกแล้ว เปลี่ยนใจเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นพี่ชายแล้วเอ่ยบอกปากจะช่วย

    “เดี๋ยวช่วยนะไอจิ”

    “ฝากด้วยนะ แล้วไคคุงล่ะครับ ตกลงว่าจะเอายังไง” ได้คนช่วยมาอย่างไม่คาดฝันแต่คำตอบที่ต้องการยังไม่ได้รับ ไอจิหันไปถามย้ำกับไคอีกครั้ง

    “เดี๋ยวไปช่วย” สุดแล้วก็กลายเป็นว่าได้คนมาช่วยอีกสองคนอย่างไม่คาดคิด ไอจิเพียงยิ้มรับอย่างไม่คิดมากอะไรแล้วเดินนำลงไปชั้นล่างก่อนใครเพื่อน ปล่อยให้เหล่าพี่น้องทั้งแท้และไม่แท้อย่างไคและเอมิเดินตามลงไปทีหลัง ในขณะนั้นคนสองคนที่มองเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอดเพียงกันมาจ้องหน้ากันสักพัก แล้วตัดสินใจหันมาเตรียมส่วนที่จะติวกันต่อไปในทันที

    แต่หลังจากต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบกันไปได้สักพักใหญ่ มิซากิตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์เช่นเก่า ทว่าคำพูดที่กล่าวออกมากลับสร้างความขนลุกให้แก่ผู้ฟังไปอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

    “ถ้าไคเห็นเหตุการณ์นั้นเข้ามันจะเป็นยังไงกันนะ” ต่อให้สีหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงฟังแล้วไม่บ่งบอกอารมณ์เท่าไรนัก ทว่าด้วยถ้อยคำเหล่านี้มันก็มากพอที่จะทำให้นาโอกิรู้สึกผวาแล้ว ใบหน้าเริ่มซีดขาวจนแทบจะไร้สีเลือด ภายในหัวก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้

     

    ตุบ...

    เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าอย่างเขาจะได้ประสบพบมัน เมื่ออยู่ๆ ไอจิเดินสะดุดลมอากาศจนเกือบจะล้มหน้าจูบพื้นไปแล้ว ดีที่เขาเข้าไปช่วยหรือล้มไปด้วยกันเสียมากกว่าทัน ทำให้อีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะเขาใช้ตัวเองเป็นเบาะรอง ส่วนตัวเองต่อให้รู้สึกจุกแต่ก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่า

    สัมผัสได้ถึวไออุ่นจากร่างบางที่นอนทับอยู่บนตัวเขา กลิ่นหอมจางๆ ที่ไม่แน่ใจว่ามาจากสบู่หรือเปล่าลอยมากระทบปลายจมูกเล่นทำเอารู้สึกเคลิ้มไปอยู่ไม่น้อย แล้วไหนยังใบหน้าน่ารักที่ซบอยู่บนอกค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอีก แค่นี้ก็ทำเอาเขาแทบบ้าตายอยู่แล้ว นี่ยังไม่พูดถึงเสียงหวานใสกล่าวคำขอโทษออกมาอีกนะ

    “ขอโทษด้วยนะครับนาโอกิคุง”

    คำขอโทษที่ฟังดูปกติธรรมดาแต่สำหรับเขา มันทำเอาสติเขาหลุดลอยไปไกลจนแทบเรียกคืนกลับมาไม่ได้เสียแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงพูดลอยๆ ของมิซากิเข้าเสียก่อน คาดว่าเขาคงอยู่ในภาวะเพ้อหรือไม่ก็นอนฝันดีไปอยู่แบบนั้นไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอน

    “ไค...”

    แค่ชื่อนี้เท่านั้นแหละที่ราวกับปีศาจร้ายคอยขัดช่วงเวลาแห่งความสุขที่แทบไม่มีโอกาสจะเกิดขึ้นกับเขาเลยสักครั้ง มันทำให้เขาจำใจเลิกฝันแล้วเรียกสติตัวเองคืนกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงโดยไว้ที่สุด ก็ทันได้เห็นไอจิทำท่าทางดูจะงงไปอยู่ไม่น้อยว่าทำไมมิซากิถึงได้พูดชื่อไคออกมา

    “คุณมิซากิมีอะไรกับไคคุงหรือเปล่าครับ ให้ผมไปตามให้ไหม อยู่ห้องถัดไปนี่เองนะครับ” นึกอยากจะเอ่ยบอกว่าการไปตามไคมาตอนนี้มันก็เท่ากับเป็นการฆ่าเขาให้ตายทางอ้อม แต่ก็ไม่สามารถบอกออกไปตามตรงได้ นอกจากหันไปสบตามิซากิ ใจก็ได้แต่นึกหวังให้คุณเธอพาเปลี่ยนเรื่อง

    “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร พวกเรามาเริ่มอ่านหนังสือสอบกันเถอะนะ เสียเวลาไปมากแล้ว” ปากบอกแบบนั้นแต่แววตามันกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง นาโอกิรู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกสนุกอยู่อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่สามารถโต้แย้งหรือเถียงอะไรออกไปได้ นอกจากก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมไป

    “ฉันเป็นคนเริ่มคนแรกก็แล้วกันนะ”

    จากนั้นการติวหนังสือก็ผ่านไปอย่างราบรื่นดี จนกระทั่งไอจิเปิดประตูออกไปแล้วเห็นไคยืนอยู่หน้าห้องนั่นแหละ เล่นทำเอาหัวใจตกไปอยู่ตาตุ่มกันเลยทีเดียว พยายามไม่สบตามองให้มากที่สุด แม้อีกใจมันจะนึกสงสัยอยู่ไม่น้อยเลยก็เถอะว่าอีกฝ่ายมายืนทำอะไรอยู่หน้าประตูห้องแบบนี้ ถึงได้มีเหล่ตามองสังเกตเป็นระยะ

    แต่ดูเหมือนไคจะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างถึงดำเนินผ่านไปได้อย่างราบรื่นไร้ซึ่งปัญหาใด มาตอนนี้พวกเขาว่างกันแล้วเพราะตัดสินใจพักผ่อนกันสักครู่ แล้วค่อยเริ่มต้นอ่านหนังสือต่อกันอีกรอบ จนมาได้ยินมิซากิทักขึ้นมาอีกนั่นแหละ จากที่พึ่งโล่งใจอยู่ได้ไม่นานก็กลายเป็นร้อนรนไปในทันที

    “ล้อเล่นหรอกน่า” คำล้อเล่นที่ดูไม่เหมือนเลยสักนิด เพราะด้วยน้ำเสียงและท่าทางแบบนั้นของเด็กสาว นาโอกิทำได้เพียงนึกร้องไห้กับตัวเองอยู่ภายในใจ ส่วนมิซากิกลับพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปั้นหน้าตายให้ถึงที่สุด แม้ภายในใจของเธอกำลังหัวเราะด้วยความตลกขบขันอยู่ก็เถอะ

    ...แกล้งอิชิดะเนี่ย สนุกดีเหมือนกันนะ...

    แล้วถ้าให้เดาถ้าเจ้าตัวได้มาล่วงรู้ความคิดแบบนี้ของเด็กสาวเข้า คาดว่าคนอย่างนาโอกิก็คงทำได้เพียงนึกปลงในชะตาของตัวเองเท่านั้น...

     

    ตัดมาอีกด้านหนึ่ง ณ ห้องที่อยู่ถัดไปหรือก็คือห้องของไค ที่ในตอนนี้มิวะได้ยึดเอาไปใช้เป็นที่อ่านหนังสือ กำลังนั่งหัวปั่นกับภาษาที่ไม่คุ้นเคยเป็นอย่างที่สุด แม้จะมีสมุดโน๊ตของไคมาช่วยอธิบายเสริมให้เข้าใจไปได้หลายจุดแล้วแต่ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ไม่เข้าใจอยู่ดี

    ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่เข้าใจ สมุดโน้ตของไคไม่ช่วยงั้นเหรอ เปล่าเลย มันช่วยได้มากถ้าไม่ติดปัญหาสำคัญยิ่งที่สุดอยู่หนึ่งข้อ ซึ่งนั่นก็คือ...

    ...อ่านไม่ออก!...

    แรกๆ ก็อ่านได้สบายตาดีอยู่หรอก เพราะลายมือที่เขียนลงไปค่อนข้างเป็นระเบียบและดูสวยงามมากแต่พอเริ่มหน้าหลังมา บางทีเจ้าตัวเริ่มขี้เกียจแล้วก็เป็นได้ สภาพลายมือจากดูสวยและเรียบร้อยกลายเป็นลายมือไก่เขี่ยได้ภายในพริบตา

    ถ้าบอกว่าเป็นคนละคนเขียนเขาก็คงจะเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย แล้วในขณะที่เขากำลังพยายามแกะลายมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับกำลังเล่นอ่านลายแทงสมบัติอยู่นั่น คนที่หายไปสักพักได้เดินกลับเข้ามาภายในห้องพร้อมเค้กส้มและชาเขียวอย่างละสองชุด

    ...ทำไมดูอารมณ์ดีขึ้น...

    เขาเชื่อว่าคนอย่างไค คงไม่มีความคิดยกขนมมาให้เพื่อนทานได้เองอย่างแน่นอน แสดงว่าช่วงที่หายไปมันคงมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นและมันก็คงไม่พ้นเรื่องของไอจิอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้กินเค้กและน้ำชากลิ่นหอมแบบนี้ได้หรอก

    “นายไม่เข้าใจตรงไหนบอก เดี๋ยวฉันช่วยสอน”

    “...”

    แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มิวะรู้สึกว่าโรคไอจิลิซึ่มมันมีประโยชน์!


     

    มุมน้ำชา

    และแล้วเรื่องราวกับยังดำเนินความรั่วของไคเวอร์ชั่นเป็นโรคไอจิลิซึมกันต่อไปค่ะ (มะใช่แหละ) แลดูเนื้อเรื่องไม่ค่อยเดินหน้าเท่าไร การดำเนินเรื่องช้าไปนิดแต่ขอให้เข้าใจค่ะ ว่าเราพยายามเร่งมันสุดๆ แหละ (สังเกตได้จากช่วงเวลาที่ใกล้สอบมันลดลงไปอย่างรวดเร็วเสียจนน่าใจหาย ตอนหน้าคือสอบเสร็จแล้วฮ่า)

    และเพราะยังไม่ได้เข้าสู่เนื้อเรื่องหลักเท่านัก เราเลยยังไม่ได้หันไปบรรยายในมุมมองของไอจิสักทีแต่ดันกระโดดไปคนนู้นทีคนนี้ทีอยู่เรื่อย แน่นอนว่าตอนหน้ายังคงเน้นไปทางมุมมองของมิวะแต่จะเริ่มโผล่ของไอจิแล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่เผยปริศนาอะไรออกมาอีกอยู่ดี ยังคงเน้นความรั่วเป็นหลัก (ฮ่า)

    มาตอบเม้นนักอ่านส่งท้ายกันนิด ขอตอบรวมๆ นะคะ เดี๋ยวจะกินเนื้อที่เยอะจนเกินไป สำหรับคู่มิวะ มิซากิ มีแน่นอนแล้วค่า (แลดูทำร้ายจิตใจสาววาย เหอะๆ) แต่บอกได้ว่าคงไม่เด่นเท่าไร ส่วนอุบัติเหตุที่ไอจิประสบตอนเด็กจนทำให้ไคกลายเป็นโรคไอจิลิซึม ตามอ่านกันไปเรื่อยๆ ค่ะ เดี๋ยวเรื่องนี้จะเอากลับมาเขียนลึกอีกทีแน่นอน!

    สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกเม้นนะคะ^^

     

     

    H & H
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×