ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Fic Vanguard} Statice (Kai x Aichi)

    ลำดับตอนที่ #5 : ดอกไม้กลีบที่ 4 : ระยะของโรคที่มีชื่อว่า...

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 57


    Title:  Statice

    Genre: BL, Comedy

    Rating:  PG

    Pairing: Kai x Aichi, Miwa x Misaki

     

    ดอกไม้กลีบที่ 4 : ระยะของโรคที่มีชื่อว่า...

     

    ร้านคอฟฟี่ช็อปที่พวกเขาทั้งสี่คนได้มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านกัน มันเป็นร้านที่นินตะ ชินหรือญาติของโทคุระ มิซากิเป็นเจ้าของร้านอยู่ ขนาดร้านก็เป็นขนาดกลางไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ภายในร้านก็ตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนทำให้ดูสบายตา มีโซนที่นั่งสำหรับลูกค้าที่ต้องการนั่งทาน ตัวเค้าเตอร์ก็ตั้งไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของร้าน ถัดไปทางด้านข้างคือตู้สำหรับใส่เค้กชนิดต่างๆ โซนด้านหลังเป็นโซนสำหรับชงพวกเครื่องดื่มต่างๆ  

    และด้วยเหตุผลที่ว่าร้านไม่ค่อยใหญ่โตนัก พนักงานภายในร้านจึงมีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น บางวันถ้ามิซากิไม่ได้ติดธุระอะไรก็จะมาช่วยงานที่ร้านเป็นครั้งคราว แต่ดูเหมือนพนักงานในร้านวันนี้จะขาดแคลนเป็นอย่างมาก เห็นว่ามีคนลางานไปสองสามคน ทำให้พนักงานที่มีอยู่ไม่พอแถมลูกค้าในวันนี้ก็ยังเยอะเป็นพิเศษเสียอีก

    นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่มิซากิต้องหาคนมาช่วยงานเพิ่มและตัวเลือกที่ต้องเลือกเป็นอันดับแรก มันก็คงไม่พ้นเพื่อนใกล้ตัวอย่างไอจิกับนาโอกิ แต่ดูเหมือนอีกรายปฏิเสธไป สรุปแล้วคนที่มาช่วยงานจึงเหลือเพียงหนึ่ง ส่วนพวกเขาสองคนคงเรียกว่ามาในฐานะลูกค้า (หรือเปล่า) ...

    หลังเข้ามาในร้านพวกเขาก็แยกกัน มิซากิกับไอจิเข้าไปหลังร้านเพื่อเปลี่ยนชุด ส่วนพวกเขาก็เลือกไปนั่งอยู่มุมสุดของร้านโดยไม่ลืมสั่งอะไรมากินเสียหน่อยเพื่อไม่ให้มันดูน่าเกลียดจนเกินไป จากนั้นสักพักคนทั้งสองที่หายเข้าไปในหลังร้านก็เดินออกมา

    “ไคดูสิ ไอจิแต่งตัวน่ารักดีเนอะ” ถึงจะชมออกไปแบบนั้นแต่ชุดเสื้อผ้าที่ใส่มันก็ไม่ได้ต่างจากเดิมเลย ก็แค่เอาผ้ากันเปื้อนติดลูกไม้มาใส่ เสื้อนอกของชุดนักเรียนที่เป็นสีดำเอาออกไปเช่นเดียวกับเนคไท เรียกได้ว่าแทบไม่ต่างจากเดิมแต่ที่พูดออกไปแบบนั้นก็เพื่อหวังแกล้งอีกฝ่ายเล่นก็เท่านั้น

    “...” แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล ไคยังคงปิดปากเงียบแล้วยกกาแฟดำขึ้นจิบอย่างไม่สนใจใคร ทำราวกับว่าโลกนี้มีเพียงตัวเองเท่านั้น มิวะถึงกับยิ้มแห้งแล้วตัดสินใจปิดปากเงียบตามไปอีกคน มือก็เริ่มจิ้มเค้กส้มที่ตัวเองสั่งมากินเล่นไปพรางๆ ในใจก็ได้แต่นึกหาอะไรทำข้ามเวลาไปก่อนดี

    หลังจากนั้นเวลาผ่านไปสักพัก คนในร้านดูแล้วไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ในทางกลับกันมันเพิ่มขึ้นมาเสียอีก ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายเลยนั่นแหละ จนมิวะเริ่มคิดหนักว่าควรนั่งอยู่แบบนี้ต่อไปดีแล้วแน่เหรอ ในเมื่อของที่พวกเขาสั่งมาก็หมดไปต้องนานแล้วด้วย สายเหล่มองคนตรงข้าม ปรากฏว่าเจ้าตัวยังคงทำหน้าตายอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเช่นเก่า

    ดูจากท่าทางแล้วคงไม่คิดลุกออกไปอย่างแน่นอน ที่สำคัญเจ้าตัวก็คงไม่คิดสั่งอะไรมากินเพิ่มอีกแล้ว น่ากลัวว่าจะโดนไล่ออกจากร้านแม้ร้านนี้มันจะเป็นของคนที่รู้จักก็เถอะ อย่างมิซากิคงไม่คิดมาไล่พวกเขาอยู่แล้วเพราะรู้เหตุผลดี แต่เด็กสาวผมสีทองที่เริ่มจ้องพวกเขามาเป็นพักๆ นี้สิ ท่าทางเตรียมเข้ามาไล่พวกเขาเต็มที่

    “ขอโทษด้วยนะคะ” เพียงแค่นึกอยู่ในใจเท่านั้น เด็กสาวที่ทำงานภายในร้านเดินเข้ามาใกล้พวกเขาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง วาจาที่กล่าวออกมาช่างสุภาพแต่น้ำเสียงสุดแสนจะดุดัน ไม่ต้องเสียเวลาคิด มิวะก็พอจะเดาได้แล้วว่าพวกเขาคงจะโดนไล่อย่างแน่นอน สายตาถึงได้เริ่มหันไปมองทางไค เป็นการถามทางอ้อมว่าจะทำยังไงต่อไป

    “...” ทว่าปฏิกิริยาตอบรับกลับมีเพยงความเงียบเสียจนน่าอึดอัด มิวะรับรู้ได้โดยไม่ต้องให้อะไรมาบอก ว่าเป็นตัวเขาเองนี่แหละที่ต้องรับมือกับปัญหาตรงหน้า

    “มีอะไรเหรอครับ” หันไปส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ระหว่างนั้นสายตาก็คอยมองไปทางมิซากิเป็นระยะ หวังให้เธอเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นแล้วเข้ามาช่วยเหลือพวกเขา แต่ด้วยจำนวนลูกค้าที่เยอะจนผิดปกติ ทำให้เธอไม่มีเวลาหันมาสนใจพวกเขาเลย

    “จะสั่งอะไรเพิ่มอีกไหมค่ะ” แค่คำถามมันก็ฟังดูเป็นพนักงานที่ใส่ใจลูกค้าดีอยู่หรอก แต่ด้วยสายตาและท่าทางของเธอแล้ว มิวะรู้เลยว่าจุดประสงค์ของคำถามนี้ก็เพื่อกดดันให้พวกเขาลุกออกไปนั่นแหละ

    “คือ...” เริ่มคิดหนัก รู้สึกว่าจะไม่สั่งอะไรมาเลยก็คงจะไม่ได้แต่อีกใจก็รู้สึกไม่อยากกินอะไรอีกแล้วเช่นกัน มิวะถึงเริ่มรู้สึกลังเลว่าควรทำยังไง

    “ว่ายังไงล่ะค่ะ” น้ำเสียงของเธอฟังดูดุดันขึ้นเรื่อยๆ แถมไคเองก็ไม่มีท่าทีคิดช่วยพูดอะไรสักอย่างอีก จากคิดว่าจะได้เห็นเรื่องสนุกก็กลายเป็นตัวเขากำลังประสบพบกับปัญหาไปเสียแล้วและก่อนที่พวกเขาจะโดนไล่ออกไปนอกร้าน มิซากิที่คงเห็นเหตุการณ์เข้าก็ได้เข้ามาช่วยพวกเขาได้อย่างทันการ

    “โควริน คนนั้นเป็นผู้ปกครองของไอจิ ส่วนคนนี้... เพื่อนล่ะมั้ง ให้พวกเขานั่งไปเถอะ อีกอย่างเพราะมีพวกเขาอยู่ ลูกค้าถึงได้มากผิดปกติด้วย” กรณีของไค มิวะไม่คิดเถียงเลยเพราะคิดว่าคำพูดของมิซากิมันถูกต้องแล้วแต่พอมาถึงตัวเขานี่สิ รู้สึกอยากจะร้องไห้ก็ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออกเสียอย่างนั้น

    “ผู้ปกครองของไอจิกับเพื่อนล่ะมั้งของมิซากิเหรอ เข้าใจแล้ว งั้นพวกเรากลับไปทำงานต่อเถอะ ให้ไอจิทำคนเดียวน่าสงสารแย่” นึกอยากตะโกนถามออกไป ว่าทำไมต้องมีคำว่าล่ะมั้งด้วย แต่ดูเหมือนความสงสัยเหล่านั้นคงทำได้เพียงเก็บเงียบอยู่ภายในใจเพราะสองสาวได้กลับไปทำงานของตัวเองต่อแล้ว

    พอปัญหาหมดไปมิวะก็พึ่งรู้สึกสะกิดใจถึงคำพูดของมิซากิ ถึงได้เริ่มสนใจสภาพรอบตัวก็พบว่าโต๊ะในบริเวณพวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมานั่งกันเกือบหมด แถมยังหันมามองพวกเขาเป็นระยะแล้วค่อยหันไปคุยซุบซิบอะไรกันอีก บางกลุ่มก็ถึงขนาดคุยกันเสียดังอย่างไม่คิดสนว่าพวกเขาจะได้ยิน

    “เธอ คนนั้นหล่อมากเลยเนอะ”

    “แต่ฉันว่าอีกคนหล่อมากกว่านะ”

    ท่าทางพวกเขาคงกลายเป็นตัวเรียกลูกค้าไปโดยไม่ทันรู้สึกตัวเสียแล้ว มิวะไม่รู้ว่าควรดีใจดีหรือว่าควรร้องไห้ดี ในขณะที่คิดเลิกสนใจบทสนทนาของพวกผู้หญิง บังเอิญหูแว่วไปได้ยินบทสนทนาหนึ่งเข้าเสียก่อนแต่เพราะบทสนทนานั่นแหละ ทำเอาเขารู้สึกขนลุกไปเลย

    “เธอว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันป่ะ”

    “ใช่แน่ๆ เลย ดูสิมานั่งด้วยกันสองคนแบบนี้ ว่าแต่เธอคิดว่าใครเมะใครเคะกันล่ะ”

    ต่อให้ประโยคท้ายๆ จะรู้สึกสับสนอยู่ก็เถอะว่าเมะมันคืออะไร เคะมันคืออะไร แต่ฟังจากสิ่งที่พอจะฟังรู้เรื่องแล้วล่ะก็ มิวะรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ใจก็ได้แต่นึกตะโกนถามว่าโลกนี้มันผิดปกติไปกันแล้วหรอือย่างไร แต่ในขณะที่เขากำลังกลุ้มใจเรื่องที่พวกผู้หญิงคุยกันอยู่นั่น

    พรวด!

    อยู่ๆ ไคกลับลุกขึ้นพรวดแล้วเดินตรงไปในทิศที่ไอจิยืนอยู่ในทันที สร้างความฉงนให้อยู่ไม่น้อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เพราะบทสนทนาถัดมาที่ดังมาให้เขาได้ยินราวกับจงใจนั่น มิวะชักเริ่มรู้สึกอยากร้องไห้ออกมาจริงๆ ก็งานนี้

    “ฉันว่าสองคนนั้นไม่ใช่แฟนกันหรอก แต่เป็นกับคนที่ดูสวยๆ คนนั้นต่างหากล่ะ”

    “ใครบอกล่ะเธอ รักสามเศร้าหรอก”

    “ไม่ใช่ สามพีต่างหาก!

    ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดมันไม่ใช่สักอย่างนั่นแหละ ก็แค่ไคมันเป็นโรคหวงน้องสาว เอ๊ย! น้องชายเกินกว่าเหตุก็เท่านั้น ส่วนเขาก็ชอบมองดูสองคนนี้เพราะคิดว่ามันสนุก ไม่มีใครเป็นแฟนใครทั้งนั้นแหละ ยิ่งรักสามเศร้ายิ่งไม่ใช่ใหญ่ แล้วในขณะที่เขากำลังเถียงความคิดของเหล่าสาวๆ อยู่ภายในใจอย่างเมามันส์ อีกทางด้านหนึ่งกำลังเกิดเรื่องขึ้น

    “ไคคุงอย่ามีเรื่องกันเลยนะ” ด้วยเสียงของไอจิ มันช่วยฉุดเขาออกมาจากความคิดได้ไม่ยาก แล้วพอหันไปมองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นก็พบว่าไคเข้าไปคว้าคอเสื้อของลูกค้าคนหนึ่งเข้าให้แล้ว ดูจากคู่กรณีที่มีเรื่องด้วยเป็นชายหนุ่มที่คาดว่าคงจะทำงานแล้ว หน้าตาค่อนข้างดี

    “แต่หมอนี่มันคิดทำร้ายนาย!” มือที่กำคอเสื้อเริ่มกำแน่นมากขึ้น เสียงที่ตะโกนโต้กลับไปก็ดังมากพอให้ได้ยินกันทั้งร้าน ตกเป็นเป้าสายตาได้ไม่ยากแล้วกับไอจิที่ค่อนข้างเป็นคนขี้อาย ถึงกับเริ่มเดินไปกระตุกแขนเสื้อไคเบาๆ หวังให้เรื่องมันจบลงโดยสันติ

    “แต่ไคคุง เขาไม่ได้ทำอะไรผมเลยนะ ก็แค่...” กระซิบบอกเสียงแผ่ว สายตาก็คอยกวาดมองไปรอบตัวด้วยท่าทางกระวนกระวายใจเสียอีก เห็นแล้วมิวะเดาได้เลยว่าไอจิคงไม่อยากทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ ผิดกับไคที่ดูเหมือนจะไม่ยอมให้เรื่องจบลงแต่โดยดี

    “จับมือนายไม่ปล่อยแถมยังทำท่าเหมือนจะผลักนายให้เสียศูนย์ แบบนั้นเขาไม่เรียกว่ากำลังทำร้ายนายแล้วจะเรียกว่าอะไร” ชัดแล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา อีกฝ่ายไม่ได้นั่งเหม่อหรือนั่งทำหน้าตายให้เวลามันไหลผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ แต่เอาความสนใจทั้งหมดไปเฝ้าจับตามองความปลอดภัยให้ไอจิอยู่ต่างหากและจากคำพูดที่ไคพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน มิวะก็ได้แต่นึกตอบอยู่ภายในใจ

    ...ลวนลามไงครับเพ่...

    คำตอบที่ไม่มีใครสักคนเอ่ยตอบนอกจากพูดกันอยู่ภายในใจ มิวะถึงกับนึกส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจ ไม่รู้จะเอ่ยบอกออกไปอย่างไรดี นอกจากมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าต่อไป ด้วยความรู้สึกที่ว่าอาการพี่หวงน้องมันชักจะเป็นหนักขึ้น จนพัฒนาการกลายเป็นพ่อหวงลูกไปแล้ว

    ...ไม่สิ...

    ดูจากนัยน์ตาสีเขียวมรกตดูดุดัน บรรยากาศรอบตัวที่บ่งบอกได้ว่าใครมันกล้าทำร้ายไอจิมันต้องตายแบบนั้นแล้ว ดูท่าทางไม่ใช่พ่อหวงลูกแต่เป็นงูจงอางหวงไข่ต่างหากล่ะ!

    เริ่มจากระยะแรก เท่าที่เขาคอยเฝ้าจับตามองสองคนนี้มาโดยตลอด มิวะคิดว่ามันก็เหมือนพี่ชายที่คอยเป็นหวงน้องชายที่ดูอ่อนแอดีอยู่หรอก เขาถึงให้นิยามสองคนนี้อยู่บ่อยๆ ว่าเป็นพี่น้องที่ดูจะหวงกันเกินไปหน่อยนะ แต่หลังจากเวลาผ่านไป

    จากอาการที่เข้าข่ายพี่หวงน้องก็กลายสภาพเป็นพ่อหวงลูกด้วยวันเพียงวันเดียว เพราะเขาพึ่งมาคิดได้เอาป่านี้ ว่ามันเหมือนพ่อหวงลูกสาวไม่มีผิด! ชายใดที่เตรียมเข้ามาใกล้ ไคก็มักส่งสายตาดุๆ ไปให้ตลอด ทั้งที่พวกนั้นแค่อยากจะมาเป็นเพื่อน จะมีก็แค่นาโอกิกับมิซากิเท่านั้นแหละ ที่ดูจะทนต่อสายตาดุๆ ของไคไหว ถึงได้มาเป็นเพื่อนกับไอจิได้ในที่สุด

    และอาการที่พัฒนาขึ้นมาอีกขั้น มันได้กลายเป็นงูจงอางหวงไข่ไปเสียแล้ว ดูได้จากท่าทางที่พร้อมเข้าไปกระโดดงับคอคู่กรณีได้ทุกเมื่อ จนทำให้อีกฝ่ายต้องก้มลงไปกราบกับพื้นเพื่อขอให้ไคยกโทษให้แบบนั้นแล้ว ใช่เลย นี่แหละนิยามในปัจจุบันที่เขาจะให้เจ้าไคมันได้!

    แต่เดี๋ยวก่อนสิ ถ้าอาการมันมีพัฒนาการแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาก็คงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นโรคพี่หวงน้องได้แล้ว เช่นนั้นเขาคงต้องหาชื่อเรียกของโรคขึ้นมาเรียกใหม่

    “แต่อะไรดีล่ะ” บ่นพึมพำกับตัวเองอย่างไม่สนใจสถานการณ์ภายในร้านแล้วว่ามันจะเป็นยังไงต่อ เพราะเรื่องที่เขาคิดมันมีความสำคัญมากกว่าเท่าตัว แล้วในขณะที่เขาเอาแต่ครุ่นคิดอยู่นั่น โดยไม่ทันรู้สึกตัว ได้มีคนมานั่งอยู่ในตำแหน่งแทนไคตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

    “จริงๆ เลย ไคเนี่ยอาการท่าจะหนักขึ้นทุกวัน” เสียงบ่นด้วยความเหนื่อยใจ ปลุกเรียกสติเขาให้คืนกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง มิวะเงยหน้าขึ้นเห็นมิซากิที่หนีความวุ่นวายมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ส่วนด้านที่เกิดเหตุดูเหมือนชินที่เป็นเจ้าของร้านจะออกมาช่วยสงบศึกให้แล้ว

    “เอาน่าๆ เข้าใจเจ้าไคมันหน่อยเถอะ เจ้านั่นคงไม่อยากสูญเสียคนสำคัญของตัวเองไปอีกแล้วน่ะ ถึงได้ดูหวงไอจิเกินกว่าเหตุไง” เพราะรู้จักกันตั้งแต่เด็ก เรื่องของทั้งสองเขาก็พอจะรู้มาอยู่บ้าง ถึงได้พูดปลอบออกไปแบบนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

    “อืม ก็พอรู้อยู่หรอก ไอจิเคยเล่าให้ฟังว่าไคเริ่มเป็นแบบนั้นตั้งแต่ตัวเองประสบอุบัติเหตุเฉียดตายเข้าน่ะ” อุบัติเหตุที่ว่าก็คงไม่พ้นเรื่องที่ไอจิซุ่มซ่ามจนผลัดตกลงไปในแม่น้ำลึกนั่นแหละ ในตอนนั้นถ้าไม่บังเอิญมีผู้ใหญ่ผ่านมาช่วยเอาไว้ได้ทัน เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าชีวิตของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร

    “อืม... แล้วไม่ไปช่วยห้ามจะดีเหรอ เดี๋ยวลูกค้าก็หนีกันหมดหรอก” คุยกันมาสักพักก็พึ่งรู้สึกตัวว่ามิซากิในตอนนี้ก็ถือเป็นพนักงานของร้านเช่นกัน การมานั่งคุยเล่นกับเขาทั้งที่ภายในร้านกำลังเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก มิวะถึงได้เตือนออกไปด้วยความหวังดี

    “อืม... งั้นไปก่อนนะ” ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมเดินไปช่วยจัดการปัญหาตรงหน้าที่ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องเข้าไปร่วมวงแล้วก็ยังได้ เพราะดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์ใกล้สงบเข้าไปทุกขณะ ส่วนลูกค้าคนอื่นๆ เองก็เลิกสนใจไปนานแล้ว จะมีก็แต่ผู้หญิงบางพวกที่ยังคงให้ความสนใจอยู่

    “จริงสิ” ร่างบางของเด็กสาวเตรียมเดินจากไปแล้วแต่กลับหยุดชะงักลงกับที่ แล้วหันมามองทางเขาราวกับพึ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ มิวะเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความฉงน ไม่เข้าใจว่ามิซากิยังลืมอะไรอีก ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรออกไป อีกฝ่ายเดินเข้ามาประชิดพร้อมโน้มตัวลงต่ำจนตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาสองคนอยู่ห่างกันเพียงคืบ

    “เอ่อคือ...” เกิดอาการพูดไม่ออกขึ้นมาในทันที เมื่ออีกฝ่ายยื่นใบหน้าของตัวเองเข้ามาประชิดเสียขนาดนั้น ที่สำคัญมันยังไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านั้นแต่ยังยื่นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อีกต่างหาก มิวะตัดสินใจหลับตาลงอย่างไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

    ทว่ายิ่งหลับตา ประสาทสัมผัสส่วนอื่นก็ยิ่งตื่นตัว เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากคนตรงหน้าลอยมากระทบปลายจมูกแผ่วเบา เล่นทำเอารู้สึกเคลิ้มไปอยู่ไม่น้อย ไออุ่นที่เริ่มเข้ามาใกล้ทุกขณะและลมหายใจอุ่นที่กระทบลงบนใบหน้า เล่นทำเอาสติของเขากระเจิง

    ก่อนสติของเขาที่หลุดลอยออกไปจากร่างจะคืนกลับเข้าร่างอย่างรวดเร็ว เมื่อเสียงหวานหากแต่ฟังดูเย็นชาจะดังกระซิบขึ้นข้างหู

    “ฉันว่านะ ไคต้องเป็นโรคไอจิลิซึ่มแน่ๆ เลย”

    “...”

    มิซากิผละออกห่างจากเขาไปนานแล้วแต่มิวะยังคงอยู่ในสภาพแข็งเป็นหินอยู่แบบนั้นไปอีกพักใหญ่ คล้ายภายในหัวสมองเหมือนจะตามเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้นไม่ทัน ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ฝ่ายเด็กสาวพูดอะไรกับเขาทิ้งไว้ก่อนจากไป อาการตัวแข็งก็หายไปอย่างรวดเร็ว

    “อย่างนี้เอง ไอ้เจ้าโรคที่ไคมันเป็นอยู่เรียกว่าไอจิลิซึมสินะ!” กำหมัดแน่นแล้วพูดกับตัวเองด้วยสีหน้าแสดงความภูมิใจเต็มที่ ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเขาใจเต้นก่อนหน้านี้จะปลิวหายไปเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว เมื่อมีเรื่องใหม่ที่แลดูไร้สะยิ่งเข้ามาอยู่ในหัวแทน

    แต่จะว่าไปแล้ว... นี่เขากำลังลืมเรื่องสำคัญอะไรบางอย่างไปหรือเปล่านะ?

     

    มุมน้ำชา

     

    ปกติในมุมนี้จะพูดเกี่ยวกับตัวฟิกเป็นส่วนมาก แต่วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศค่ะ! เปลี่ยนมาเป็นช่วงเล่าสู่กันฟังแทน (ไม่ใช่เรื่องเล่าเช้านี้นะ ฮ่า)

    คือจริงๆ จะเล่าตั้งแต่ตอนที่แล้ว แต่เพราะมันเอาลงไปก่อนเลยไม่มีโอกาสค่ะ เลยยกยอดมาเล่าตอนนี้แทนค่ะ! แต่เนื่องจากมันเป็นประสงการณ์+ความเพ้อเจ้อของเขา ใครจะไม่อ่านก็ได้นะคะ

    เรื่องมันมีอยู่ว่าเขาได้มีโอกาสไปเดนเดนทาวน์มาล่ะ ใครไม่รู้จักก็ขออธิบายสั้นๆ ว่ามันเป็นย่านคล้ายอากิในโตเกียวเพียงแต่มันอยู่ในโอซาก้าและเล็กกว่ามากกก  

    พูดมาถึงตรงนี้ใครหลายคนคงเริ่มสงสัยว่า อ้าวววว นักเขียนไม่ได้อยู่ไทยหรอกเรอะ! ใช่ค่ะ เขาไม่ได้อยู่ไทย แต่ตอนนี้มาโอซาก้าเพื่อเรียนซัมเมอร์นั่นเอง!!! ถ้าใครอ่านมุมน้ำชาตลอดจะรู้ตั้งแต่ตอนแรกว่าเขาไม่ค่อยว่างและจะอัพเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น เหตุผลก็ไม่ใช่อะไร ติดเรียน (เหรอออ) นั่นเองค่ะ

    เอาล่ะนอกเรื่องไปไกล กลับเข้าเรื่องๆ ระหว่างเดินในย่านเดนเดนทาวน์เขาก็เดินไปเจอตึกหนึ่งที่น่าเข้ามากค่ะ เลยถือโอกาสชะงักฝีเท้าแล้วยกอาวุธ (มือถือนั่นแหละ) ขึ้นมากดถ่าย (ภาพด้านล่าง)

    ถ่ายเสร็จก็ขอฟิน ว้ายยย บักไค! แต่พอเลื่อนสายตามองลงมาภาพล่าง อ้าววว ทำไมไม่ใช่หนูไอจิล่ะ ไยกลายเป็นนาโอกิ เค้ามะยอมมม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แถมร้านปิด! (ไปเดินช่วงสิบโมงของญี่ปุ่นค่ะ แทบไม่มีร้านไหนเปิดฮ่าๆ) เลยได้แต่ทำใจแล้วเดินไปดูที่อื่นต่อจนเที่ยงแล้วนั่นแหละ ระลึกได้ว่าต้องเข้าไปในร้านที่บักไคยืนสง่าอยู่หน้าร้านด้วย!

    ก็เดินย้อนกลับมาค่ะ พอได้เข้าภายในร้านก็ อืมมมม มันก็ขายของพวกอนิเมะต่างๆ นั่นแหละค่ะ รู้สึกเรื่องหมีสองสีกับmekakuจะค่อนข้างดังในร้านนี้ แล้วพอลึกเข้าไปจะเป็นมุมขายชุดคอสค่ะ เขาก็ไปเดินดูเล่นๆ ปรากฏเจอชุดของไอจิด้วยล่ะ! (ชุดนักเรียน)  ตัวชุดราคาตกอยู่ที่หมื่นกว่าเยนเลย ตีเป็นราคาไทยสามพันกว่าบาทค่ะ ส่วนภาพ ไม่ได้ถ่ายมานะคะ เกรงใจพนักงานค่ะ เงยหน้ามองตรงไปเห็นพนักงานยืนส่งยิ้มให้อยู่ เลยจำใจเดินหนีไปอีกทาง

    แล้วพอเดินหนีไปอีกมุมของร้าน เขาจะเห็นมุมที่มีโต๊ะเรียงๆ อยู่ แล้วมีกลุ่มผู้ชายตัวใหญ่ นั่งเกาะกลุ่มกัน เขาก็พยายามมองเข้าไปค่ะ แต่ก็ไม่ค่อยเห็นอะไรเลยคาดว่าน่าจะเล่นเกมส์การ์ดที่ไม่รู้ว่าการ์ดไหน เพราะในญี่ปุ่นรู้สึกการ์ดยูกิดังมากกก

    เดินไปหลายร้านแล้วเห็นแต่ร้านขายการ์ดยูกิค่ะ แถมการ์ดที่เอามาตั้งขายนี้ใส่ตู้อย่างดี แต่ละใบก็สุดยอดเลย แพงได้ใจ (มองแค่ผ่านตานะคะแค่คาดว่าใบล่ะพันเยน) เอิ่มนอกเรื่องอีกแหละ กลับๆ คือประเด็นที่ให้สนไม่ใช่มุมเล่นการ์ดค่ะแต่เป็น... (ภาพด้านล่าง)

    หนูไอจิมาอยู่ในร้านนี้เองงงง แต่เดี๋ยว ไอ้หัวทองนี้มายืนคู่กับไอจิได้ไงงง หรือเป็นเพราะไคไปคู่กับนาโอกิหน้าร้าน? เลยน้อยใจมาคู่กับนายหัวทองแทนล่ะเนี่ย! (พอเลิกเพ้อเจ้อเถอะ) จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาก ที่ข้างหน้าเป็นไคกับนาโอกิเพราะมันโฆษณา S.4นั่นแหละ!

    จบค่ะ เรื่องที่ไปพอเจอมา มีเล่าข้ามๆ ผ่านๆ ไปเยอะเพราะมันกินเนื้อที่มากเกินไปแล้ว ทีนี้... เขามีเรื่องอยากจะถามค่ะ ฟิกเรื่องนี้ของเขายังมีคนตามอ่านกันอยู่ไหมค่า รู้สึกจำนวนผู้อ่านมันน้อยๆ เลยให้ความรู้สึกเนื้อเรื่องเราคงไม่ค่อยสนุกหรือเปล่าถึงได้ไม่ค่อยมีคนเลย? (ถึงรู้ตัวก็เถอะว่าเดินเรื่องช้า) ขอเสียงคนที่ตามอ่านหน่อยนะคะ ให้มีกำลังใจไปฟินกันต่อ

     

    H & H
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×