ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Fic Vanguard} Statice (Kai x Aichi)

    ลำดับตอนที่ #4 : ดอกไม้กลีบที่ 3 : พี่ชายขี้หวง

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ย. 60


    Title:  Statice

    Genre: BL, Comedy

    Rating:  PG

    Pairing: Kai x Aichi

     

    ดอกไม้กลีบที่ 3 : พี่ชายขี้หวง

     

    เหลือเวลาอีกอาทิตย์กว่าๆ โรงเรียนก็จะปิดเทอมหน้าร้อนกันแล้วและแน่นอนว่าก่อนหน้านั้นมันมีนรกรออยู่ นรกที่ว่าก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการสอบนั่นเอง! ช่วงนี้ในเวลาพักกลางวันห้องสมุดจึงมักจะมีคนอยู่เต็มไปหมด ดาดฟ้าเองก็เริ่มมีคนขึ้นไปจับกลุ่มรวมตัวกันเพื่ออ่านหนังสือ

    บรรยากาศตอนนี้เรียกได้ว่าเข้าสู่ช่วงกดดันสำหรับการสอบที่กำลังใกล้เข้ามา ทว่าสำหรับไคแล้วแลดูเหมือนจะสบายใจกับการสอบเสียเหลือเกิน วันหยุดที่ผ่านมาก็เอาแต่นอนเล่นทั้งวัน ถ้าไอจิไม่ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือ เขาก็คงไม่มีความคิดลุกขึ้นมาอ่านเหมือนกับคนอื่นเขาเท่าไรนัก

    เช่นนั้นเวลาพักกลางวันอันแสนมีค่า นอกจากทานข้าวกล่องที่ไอจิเป็นคนโชว์ฝีมือจนหมดแล้ว มันก็ได้เวลาแสนสุข นั่นก็คือการนอนกลางวันนั่นเอง ไคเลือกต้นไม้ใหญ่ที่อยู่หลังโรงเรียนเป็นที่นอนพัก แม้ที่นี่จะมีคนอยู่บ้างแต่ก็ไม่เยอะเท่าไรนัก เพราะส่วนมากจะไปรวมตัวกันที่ดาดฟ้า ไม่ก็ห้องสมุดหรือห้องเรียนตัวเองกันเกือบหมด

    ...อากาศกำลังดี...

    ใต้ร่มไม้สีเขียวขจี สายลมที่ไม่ได้เย็นมากนักแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีลมพัดมาเลย ทำให้เขารู้สึกไม่ร้อนเท่าไรนัก พัดผ่านมาเฉื่อยๆ เปลือกตาเริ่มปรือปิดลง กำลังเข้าสู่คอนเซ็ปต์หนังท้องตึง หนังตาหย่อนไปในไม่ช้าถ้าหากไม่มีเสียงรบกวนดังมาเสียก่อน

    “อ้าวไค แอบมาหลบอยู่ที่นี่เองแล้วนี่นาย... กินข้าวอิ่มแล้วเหรอเนี่ย พึ่งพักไปได้ไม่กี่นาทีเองนะ” ทักทายกันราวกับรู้จักกันดีและด้วยน้ำเสียงสดใสที่ทักเขามาอย่างไม่กลัวตายในหลายๆ ความหมาย ไคเดาได้ในทันทีว่าเป็นใคร แต่จะว่าไปแล้วในโรงเรียนนี้มันก็มีคนมาทักเขาอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นเอง

    “เดี๋ยวสิไค ฉันแค่จะมาถามนายเฉยๆ ว่าวันนี้ขอไปอ่านหนังสือสอบที่บ้านนายได้ไหม” นอกจากจะไม่คิดลืมตาดูผู้มาเยือนแล้ว ยังพลิกตัวหนีไปอีกทางเสียอีก อย่างนี้เป็นใครก็รู้ได้ไม่ยากว่ากำลังถูกเมิน หากแต่ชายผู้นี้ถือคติ ด้านเข้าไว้ที่ครองโลก (?) ถึงได้เดินไปอีกฝั่งแล้วนั่งลงพร้อมส่งเสียงถามออกไปอย่างไม่กลัวตาย

    “ไค ฉันถามว่าวันนี้ไปอ่านหนังสือบ้านนายได้ไหม” หลังคิดแกล้งเมินเพื่อเพิ่มเวลานอนกลางวันอันแสนสุขให้มากที่สุดดูจะใช้ไม่ได้ผล ไคตัดสินใจลืมตาขึ้นมาเห็นเส้นผมสีทองสว่างของเจ้าตัวก่อนเป็นอันดับแรกแล้วตามมาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใส

    “แล้วแต่นายเถอะมิวะ” ว่าแล้วพลิกตัวหนีไปอีกทางอย่างไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายเท่าไรนัก ดูอย่างนี้แล้วพวกเขาเหมือนไม่ค่อยถูกกันทั้งที่ในความเป็นจริง พวกเขารู้จักกันมานานแล้วเรียกว่ารู้จักกันก่อนที่เขาจะได้เจอกับไอจิเสียอีก แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พวกเขาต่างก็ไม่เคยคิดเรียกชื่อจริงของกันและกันเลย

    “พระเจ้า! ไม่หวงคุณน้องสาว เอ๊ย! น้องชายนายแล้วเหรอ เห็นเมื่อก่อนใครแตะเป็นไม่ได้” บางที... คำตอบนั่นไม่ต้องเสียเวลานั่งนึกให้นานเลย

    ...เพราะนายมันกวนอย่างนี้ไงล่ะ...

    สรุปคำตอบกับตัวเองในใจได้แบบนั้นโดยไม่หันมามองตัวเองเลย ว่าตัวเองมันก็ไม่ต่างกับอีกคนเท่าไรนักหรอก แม้ระดับความกวนประสาทมันจะดูแตกต่างกันตรงที่ไคจะทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ผิดกับมิวะที่ทำเป็นเล่นตลอด เลยดูไม่คอยเป็นที่จงเกลียดจงชังของใครเท่าไรนัก

    “ห้ามเข้าใกล้ไอจิเกิน 3 เมตร” ชื่นชมไปได้เพียงหนึ่งประโยค เจอโต้กลับมาแบบนี้มิวะถึงขั้นยิ้มค้างไปหลายนาที ก่อนสะบัดหัวไปมาแรงๆ แล้วเริ่มว่าขึ้นใหม่

    “แต่เห็นสองคนนั้นยังให้เข้าใกล้ได้เลยนิ” ทันทีที่กล่าวประโยคนี้ออกมาจบ มิวะรู้สึกตัวแล้วว่าคงได้พูดเรื่องต้องห้ามออกไป ถึงได้ตัดสินใจเตรียมวิ่งหลบไปในทันที

    “ถ้าฉันทำแบบนั้นเดี๋ยวโดนไอจิเกลียดเอา” คำตอบเกินคาด มิวะถึงขั้นกลายสภาพจากมนุษย์เป็นรูปปั้นไปสามวิ ก่อนตั้งสติตัวเองกลับมาได้ใหม่ แล้วเริ่มสานบทสนทนาที่ชักเข้าข่ายเป็นบทสัมภาษณ์พี่ชายผู้เป็นโรคติดน้องชายหรือสาวเข้าไปทุกขณะ

    “แล้วทำไมกับฉันสั่งห้ามล่ะ ฉันก็เพื่อนนายตั้งแต่สมัยเด็กเหมือนกันนะ รู้จักพวกนายสองคนก็ต้องนานแล้วด้วย” ถามออกไปด้วยความตื่นเต้นกับคำตอบที่จะได้รับฟัง ทว่าไคที่นอนราบไปกับพื้นหญ้ายันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่อช้า ใบหน้าคมเข้มที่สาวน้อยใหญ่ต่างชื่นชอบหันมามองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

    “นายมันไม่น่าไว้ใจ” เอ่ยประโยคทำร้ายจิตใจเพื่อนออกมาได้หน้าตาเฉย มิวะถึงกับรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาอย่างบอกไม่ถูกแต่สิ่งที่ทำก็มีเพียงแค่การเอ่ยถามเหตุผลออกไปเท่านั้น เพื่อที่เขาจะได้หาข้อแก้ต่างให้ตัวเองได้ถูกต้อง

    “ฉันไม่น่าไว้ใจตรงไหน ออกจะจริงใจขนาดนี้” นัยน์ตาสีเขียวมรกตตวัดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนรอยยิ้มเย็นแสยะขึ้นบนใบหน้าคมนั้น

    “หึ!” พร้อมกับเสียงหัวเราะปริศนาที่ไม่อาจเข้าใจความหมายได้ ก่อนร่างสูงจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปโดยไม่สนใจเสียงตะโกนโวยวายของอีกหนึ่งเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างมิวะแต่อย่างใด

    “หัวเราะแบบนั้นหมายความว่าไง! 

    แน่นอนว่าคำถามนี้ไม่มีทางได้คำตอบกลับมา ในเมื่อคนที่เขาตะโกนเอ่ยถามน่ะ เดินหายลับไปจากสายตาตั้งแต่ยังไม่ทันตะโกนถามจบประโยคเลยด้วยซ้ำ...

     

    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว หลายคนเลือกที่จะกลับบ้านโดยไม่คิดแวะเที่ยวที่ไหน บางคนก็คิดไปเที่ยวกับเพื่อนก่อนกลับบ้าน บางคนก็นัดไปอ่านหนังสือสอบ บางคนก็เลือกไปที่ห้องสมุดเพื่อจับกลุ่มติวหนังสือกัน

    ทว่าด้วยกรณีข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมด ไค โทชิกิ กลับไม่ได้ทำตามกรณีไหนทั้งสิ้น เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ไคก็รีบจัดการเก็บข้าวของตัวเองทั้งหมดลงกระเป๋าและเดินออกนอกโรงเรียนไปในทันที จนดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าในวันนี้เขามีเพื่อนกลับบ้านด้วย

    “รอด้วยสิไค!” ฝีเท้าที่ควรชะงักกลับยังคงก้าวต่อไปโดยไม่คิดหันกลับมามอง ในทางกลับกันยังคงเร่งฝีเท้าเดินต่อไปอีกต่างหาก มิวะได้แต่นึกถอนหายใจในท่าทางที่ดูรีบร้อนเกินกว่าเหตุของอีกฝ่าย แม้ในช่วงแรกๆ ที่เจอแบบนี้เข้า มันอดทำให้เขานึกสงสัยไปอยู่เหมือนกัน

    ว่าอีกฝ่ายเร่งไปหาสาวที่ไหนหรือเปล่า แม้คำตอบที่คาดไว้มันจะไม่ค่อยต่างไปจากที่คิดเท่าไรนัก ไม่สิ มันต่างมากจนถึงมากที่สุดเลยต่างหากล่ะ เพราะคนที่ไปหาไม่ใช่ผู้หญิง แม้หน้าตาจะให้มากก็เถอะ แถมสถานะของสองคนนี้มันก็...

    ...ดูยังไงก็เหมือนพี่น้องมากกว่าแฟน...

    ทุกครั้งที่เห็นภาพตรงหน้า มิวะก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้ทุกครั้ง สายตามองไคที่ก่อนหน้านี้รีบร้อนออกมาในทันทีหลังโรงเรียน มายืนพิงกำแพงอยู่หน้าโรงเรียนอีกแห่ง ส่วนคนที่มารอก็ไม่ใช่ใครอื่นเลย

    “ไคคุงไม่เห็นต้องมารับผมเลย ผมโตแล้วนะครับ” ประโยคทำนองนี้ได้ยินมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่สิ ปีก่อนหน้านั้นอีกทุกครั้งที่ไครีบร้อนออกมารับไอจิ แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ไคก็ยังคงมารับไอจิทุกวันหลังเลิกเรียน มองดูแล้วก็เหมือนแฟนแต่ด้วยบทสนทนาของทั้งคู่นี้สิ

    “ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ ฉันปล่อยให้นายเดินกลับบ้านคนเดียวไม่ได้หรอกนะ” ฟังดูยังไงมันก็ไม่ใช่บทสนทนาของคู่รักเอาเสียเลยแต่เหมือนพ่อกับลูกเสียมากกว่า เดี๋ยวก่อนสิ นี้เขากำลังเพิ่มระดับความสัมพันธ์ของคู่นี้ให้อยู่หรือเปล่าน่ะ จากพี่น้องก็กลายสภาพมาเป็นพ่อลูก (?)

    “เฮ้อ... ขี้เป็นห่วงเหมือนเดิมเลยนะ ทั้งที่ฉันก็บอกนายไปแล้วว่าไม่มีใครมาแกล้งไอจิแล้วน่ะ” เสียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจก่อนร่างบางของเด็กสาวผมสีขาวจะเดินเข้ามาใกล้พวกเขา สีหน้าของเธอดูไร้อารมณ์ไม่ค่อยมีความรู้สึกเท่าไรนัก จนทำให้เดาไม่ออกเลยว่าเจ้าตัวเป็นคนพูดคำพูดเมื่อครู่

    “เรื่องของฉัน” ต่อให้มีคนมาพูดหรือมาช่วยยืนยันความปลอดภัยของไอจิให้ ไคแลดูจะไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนักเช่นเดิม ไม่รู้ว่าจะเป็นห่วงกันไปถึงขนาดไหน มิวะที่คอยเฝ้าดูสองคนนี้มาตลอดก็ได้แต่นึกส่ายหน้าไปมาด้วยความเอือมอย่างบอกไม่ถูก

    “กลับบ้าน” นอกจากจะไม่สนใจผู้มาใหม่แล้ว ยังหันมาคุยกับไอจิต่อหน้าตาเฉย แม้ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเจ้าตัว มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการบังคับกันมากกว่าเอ่ยบอกและถ้าเป็นตามปกติ ไอจิก็คงจะหันไปบอกลากับเพื่อนและกลับไปกับไคแต่โดยดีแล้ว ทว่าดูเหมือนวันนี้จะมีเรื่องน่าสนุกเกิดขึ้น

    “เอ่อคือ... ไคคุง ผมสัญญากับคุณมิซากิไปแล้วว่าจะไปช่วยงานที่ร้าน...” สิ้นคำตอบขัดใจไค ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบไปในทันที แม้สาเหตุที่ทุกคนเงียบจะต่างกันมากเลยก็เถอะ อย่างเช่นในกรณีของมิวะ เงียบเพราะกำลังรอดูเรื่องสนุก มิซากิและไอจิคงกำลังรอฟังคำตอบจากไค ส่วนไค... คงกำลังตัดสินใจอยู่ว่าควรอนุญาตหรือไม่

    “ใกล้สอบแล้ว...”

    “ไม่ได้เหรอครับ” เหมือนจะรู้ว่าไคต้องการพูดอะไรออกมาต่อ ไอจิถึงได้ย้อนคำถามกลับไปในทันทีโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยจบเสียด้วยซ้ำ ใบหน้าหวานเริ่มดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด มิซากิถึงกับหันมาจ้องไคด้วยความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย

    แต่มีหรือที่คนอย่างไคจะคิดสนใจคนอื่นนอกจากไอจิ นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองใบหน้าที่ดูเศร้าหมองนั่นไปพักใหญ่ ก่อนถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจและยอมเอ่ยอนุญาตในที่สุด

    “ก็ได้...” ทันทีที่ได้ยินคำอนุญาตจากเขา บรรยากาศจากที่กดดันอยู่ก็กลายเป็นสดใสได้ภายในพริบตา ไอจิหันไปมองมิซากิด้วยสีหน้ามีความสุข ฝ่ายเด็กสาวเองก็ยิ้มตอบรับกลับมาน้อยๆ คล้ายเป็นการแสดงความยินดีกับอีกฝ่าย แต่ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรออกมา ไคก็ว่าดักออกมาเสียก่อน

    “แต่มีข้อแม้ ฉันจะต้องไปด้วย” สุดท้ายก็ไม่ยอมปล่อยให้อยู่นอกสายตาอยู่ดี นี้คือสิ่งที่มิวะคิดได้ในทันทีที่ได้ยินคำพูดของไค ส่วนคนอื่นเหมือนพอจะเดานิสัยกันได้อยู่แล้ว ถึงได้ไม่มีใครทำสีหน้าเกินคาดออกมาสักคน

    “ก็คิดเอาไว้อยู่แล้วล่ะน่ะ” ในทางกลับกัน มิซากิยอมรับแต่โดยดีเสียอีก ไอจิได้แต่ยิ้มเจื่อนอย่างไม่รู้จะพูดว่ายังไง ไคยืนเงียบไม่พูดอะไรออกมาอีกเพราะไม่มีคนแย้งอะไรออกมา มีเพียงมิวะที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกสนุกดีพิลึก ทั้งที่คนอื่นไม่ได้รู้สึกสนุกเช่นเขาเลย

    “จะว่าไปแล้ว... อิชิดะล่ะ ปกติเห็นอยู่กับพวกนายไม่ใช่เหรอ” เรื่องทุกอย่างดูจะจบลงไปได้ด้วยดีแล้ว จนทำให้มิวะเริ่มคิดได้ว่ามันยังขาดใครอีกคนไปอยู่ ปากถึงได้เริ่มเอ่ยถามหา สายตาก็กวาดมองหาเด็กหนุ่มอีกคนที่เป็นเพื่อนของไอจิไปด้วยความสนใจ

    “เรื่องนั่นน่ะ...”

    “ขอโทษที่มาสาย!” ไอจิยังไม่ทันตอบ คนที่ถามมาก็วิ่งมาทางพวกเขาเสียแล้ว ดูท่าทางเขาคงไม่จำเป็นต้องถามหาคำตอบอีกแล้ว ในเมื่อคนที่หายไปก็โผล่มาแล้ว

    “ช้าจริง” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงวิ่งมารวมกลุ่มได้ไม่ถึงนาทีดีด้วยซ้ำ คำทักทายที่แสดงความไม่พอใจก็หลุดออกจากปากขอมิซากิในทันที ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสายตาดุดันแลดูน่ากลัวส่งมาให้อีก ดูท่าทางโดยรวมแล้วให้ความรู้สึกตัวเองจะโดนอัดอย่างบอกไม่ถูก เพื่อความปลอดภัยจึงจำเป็นต้องหาที่หลบภัยโดยด่วน

    ตึกๆ

    “ขอโทษ...” แล้วที่หลบภัยที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหลังไอจินั่นเอง เมื่อได้ที่หลบภัยแล้ว นาโอกิรีบกล่าวขอโทษเด็กสาวออกไปเพื่อหวังให้อารมณ์ของอีกฝ่ายเย็นลงบ้าง แต่ดูเหมือนศึกทางด้านนี้จะยังไม่ทันจะจบดี ศึกอีกด้านก็โผล่มาเสียแล้ว เพราะเขารู้สึกได้ว่ามีสายตาอีกหนึ่งคู่กำลังจ้องมองตรงมาที่เขาด้วยความไม่พอใจ

    “นาโอกิคุง ช่วงนี้รีบกลับบ้านไม่ใช่เหรอครับ” เหมือนไอจิเป็นคนเดียวที่ดูไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้เท่าไรนัก ว่ามันกำลังดุเดือดเพียงใด ในทางกลับกันยังหันมาเอ่ยถามเพื่อนตัวเองด้วยท่าทางปกติดีเสียอีก จนนาโอกิได้แต่นึกสงสัยกับตัวเองอยู่ภายในใจ ว่าอีกฝ่ายอยู่กับคนหน้าตาน่ากลัวแบบนี้จนชินแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสถานการณ์ในขณะนี้เลย

    “อ่า... ไม่อยากเรียนซัมเมอร์น่ะ คงต้องตั้งใจอ่านหนังสือกันหน่อย” พยายามควบคุมเสียงตัวเองให้ปกติแบบสุดๆ สายตาก็พยายามไม่เหล่ไปมองทางไคและมิซากิอย่างสุดความสามารถ

    “เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจเข้านะครับ” ขานรับด้วยท่าทางเหมือนเสียดาย สุดท้ายก็กล่าวอวยพรเขาด้วยรอยยิ้ม เจอแบบนี้เข้าไปเหมือนได้หลุดเข้าในสวนสวรรค์ชั่วขณะหนึ่งแต่ก็ต้องตกลงสู่นรกอย่างรวดเร็ว เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่เริ่มเพิ่มระดับความเย็นชาเข้าไปทุกขณะจากคนสองคน

    “แล้วเจอกันนะ” ตัดสินใจจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันกลับมามองอีกเลย ไอจิได้แต่มองตามด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร ในขณะที่อีกสองคนที่เหลือเลิกสร้างบรรยากาศติดลบกันสักทีหลังเด็กหนุ่มที่พึ่งมาใหม่ได้ไม่กี่นาทีจากไป ส่วนมิวะที่ยืนเงียบมองเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น ก็ได้แต่ยิ้มแห้งอย่างไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี

    “รีบไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวร้านก็จะยุ่งแล้วล่ะ” เสียเวลายืนคุยกันอยู่หน้าโรงเรียนกันมาสักพักใหญ่ ในที่สุดก็มีคนคิดได้เสียทีว่าพวกเขาควรไปที่หมายได้แล้ว หากยังชักช้าไปมากกว่านี้มันคงจะเป็นการเสียเวลาเปล่าและดูเหมือนไอจิเองก็เริ่มรู้สึกตัว ถึงได้ขานรับออกไปเสียงใส

    “ครับ”

    และแล้วพวกเขาก็ออกเดินทางไปที่ร้านของมิซากิในทันที เพื่อไม่ให้มันเป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้ แม้ระหว่างทางที่เดินไป คนที่เดินตามหลังมาสองคนจะปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผิดกับอีกสองคนที่อยู่ข้างหน้าที่ดูเหมือนจะหาสารพัดเรื่องคุยกันได้ไม่หยุด

    เรียกได้ว่าบรรยากาศระหว่างโซนด้านหน้ากับโซนด้านหลังช่างให้ความรู้สึกต่างกันราวฟ้ากับเหว ข้างหน้าสดใสร่าเริงข้างหลังเงียบเสียยิ่งกว่าป่าช้า ใครก็ตามที่เดินผ่านกลุ่มพวกเขาไป ตอนแรกก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรแต่พอสวนกลับคู่หลังเท่านั้นแหละ ถึงขั้นรีบเร่งฝีเท้าเดินจากไปในทันที

    เหล่าผู้ที่เผลอเดินสวนกันทั้งหลาย ต่างมีความรู้สึกเดียวกันหมดนั่นคือกลัวโดนกระทืบนั่นเอง ประมาณว่าหากสบตาด้วยอาจตายโดยไม่รู้ตัว ทุกคนถึงได้ต่างพร้อมใจกันเร่งฝีเท้าและเดินก้มหน้าก้มตาเดินจากไปในทันที ทั้งที่ทั้งสองคนก็เดินตามปกติ อารมณ์ก็อยู่ในสภาวะปกติ (มั้งนะ) เพียงแต่ด้วยสีหน้าที่ดูไร้อารมณ์ของคนทั้งสอง ประกอบกับบรรยากาศที่ไม่ค่อยน่าเข้าใกล้ มันจึงช่วยเสริมสร้างให้พวกเขาดูเป็นนักเลงไปโดยไม่ทันรู้ตัว

    แน่นอนว่าคู่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าเอง ก็ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเหล่าคนที่เดินสวนผ่านพวกเขาไปเลยแม้แต่น้อย ความคิดที่จะเปลี่ยนคู่เดินเพื่อทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น จึงไม่มีอยู่ในหัวแม้แต่นิดและมันก็ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เดินมาถึงร้านคอฟฟี่ช็อป...


     

    มุมน้ำชา

     

    พอมาเขียนตอนนี้แล้วเราพึ่งมารู้สึกตัวค่ะ ว่าไคเนี่ยมันคือนามสกุล ไม่ใช่ชื่อหรอเนี่ย! พระเจ้า รีบกลับไปแก้ไขตอนที่ 1 แทบไม่ทัน เนื้อหาหลายส่วนก็ต้องเปลี่ยนกันสนุกมือเลยค่ะ (ปวดหัวกับไคและมิวะอยู่ไม่น้อย เพราะสับสนว่าอันไหนคือชื่ออันไหนคือนามสกุล)

    บอกตามตรงว่าเรื่องนี้เราดูแบบซับอิงเอาแถมไม่ได้ค่อยดูเท่าไรนัก พอนาโอกิโผล่มาก็ถึงขั้นนิ่งไปเลยค่ะ (มิซากิเรียกนายด้วยชื่อหรือนามสกุลเนี่ย ไอจิล่ะ เรียกนายด้วยชื่อหรือนามสกุล) สุดท้ายช่างมันเถอะ อย่าใส่ใจมันเลย เรื่องเล็กน้อยค่ะ ฮ่าๆ

    ตอนหน้า... ตัวละครจะเริ่มรั่วขึ้นเรื่อยๆ เตือนด้วยความหวังดีเพราะเรื่องเน้นคอมเมดี้ส่วนมากค่ะ แต่หลังๆ ก็คงเลิกรั่วเพราะจะเริ่มซีเรียสกัน (ฮ่า)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×