ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Fic Vanguard} Statice (Kai x Aichi)

    ลำดับตอนที่ #16 : ดอกไม้กลีบที่ 14: ดอกสแตติส

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 57


    Title:  Statice

    Genre: BL,Comedy, Romance, Drama

    Rating:  PG

    Pairing:Kaix Aichi+Ren

     
     

    ดอกไม้กลีบที่ 14: ดอกสแตติส

     

    “ขอตัวออกไปข้างนอกก่อนนะครับ”

    วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ไคออกไปจากบ้านโดยไม่บอกกล่าวเขาอะไรก่อนเลย ที่สำคัญบรรยากาศรอบตัวระหว่างพวกเขาสองคนเองก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ทั้งที่เขาพยายามเข้าไปพูดคุยและขอโทษด้วยต้องหลายครั้งแล้ว ทว่าเหมือนอีกฝ่ายพยายามหลบหน้าหรือไม่คิดให้โอกาสเขาเลย

    เพราะนับตั้งแต่พวกเขาทะเลาะกัน ไคก็ไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรกับเขาสักคำและมันก็เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกลับจากทะเลก็แล้ว เวลาผ่านไปถึงสามวันเต็มก็แล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าจะยอมพูดกับเขาเลย พอโดนเมินเฉยแบบนี้นานๆ เข้า ไอจิเองก็เริ่มมีอาการซึมอย่างเห็นได้ชัด

    คนรอบข้างที่รับรู้ได้ถึงบรรยากาศระหว่างพวกเขาเองก็เริ่มอึดอัด พยายามเข้าไปช่วยพูดให้ก็หลายครั้งแต่ปฏิกิริยาตอบรับกลับไม่เปลี่ยนไปเลย มันจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาทีละน้อยจนมิซากิเริ่มทนไม่ไหว คิดไปอาละวาดใส่มันก็มีอยู่หลายครั้งเช่นกัน

    แต่ทุกครั้งกลับโดนมิวะพูดปลอบทำให้ใจสงบหรือไม่ก็โดนไอจิเป็นคนขอจัดการเรื่องเหล่านี้เองด้วยใบหน้าแสนเศร้า สุดท้ายเรื่องระหว่างทั้งสองคนยังคงมีบรรยากาศเหมือนตอนกลับมาจากทะเลไม่มีผิด แถมไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย แม้เหล่าคนรอบข้างนึกอยากช่วยแต่ถ้าเจ้าของเรื่องเอ่ยห้าม พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์

    “คงได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ”  

    แล้วนี่ก็เป็นความคิดของทุกคน ไม่ใช่แค่มิซากิและมิวะเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงคนในบ้านเองก็ด้วย ถึงแม้ในตอนแรกเอมิคิดจะเข้าไปช่วยจัดการปัญหานี้ก็เถอะ ทว่าเพราะคำขอร้องจากคุณแม่แสนดี สุดท้ายแล้วเธอถึงได้ไม่ทำอะไรลงไป นอกจากได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ แบบนี้ด้วยความเป็นห่วง

    “ผมเองก็ขอออกไปข้างนอกด้วยนะครับ” ไอจิยังคงยิ้มแย้มแม้คนในบ้านจะรู้ดีว่ามันเป็นการฝืนยิ้ม คุณแม่ที่ยังดูสาวและน้องสาวพยายามทำตัวให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ในใจจะนึกเป็นห่วงมากก็ตาม เช่นเดียวกับคนโดนเป็นห่วงก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไง

    “ไปดีมาดีนะจ๊ะ” ไอจิพยักหน้ารับคำแล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ภายในใจก็ได้แต่นึกขอโทษทุกคนที่ทำให้เป็นห่วง ในวันนี้เขาถึงได้ตัดสินใจแล้วว่าจะขอคืนดีกับไคให้ได้ แต่ทว่า...

    ...จะทำยังไงดีล่ะ...

    ขนาดแค่มองหน้าก็ยังแทบจะไม่มองกันเลยด้วยซ้ำ ขนาดสามวันผ่านไปแล้ว ท่าทางของไคก็ดูเหมือนจะยังไม่หายโกรธเลย... ไม่สิ อีกฝ่ายไม่ได้โกรธเขาหรอก แต่เป็นเมินเฉยต่างหาก...

    ...จะขอคืนดียังไงดี...

    ระหว่างจมอยู่ในภวังค์ สองขาพาเดินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย จนในตอนนี้เขาไม่รู้สึกตัวแล้วว่ากำลังเดินอยู่ที่ไหน เพราะตอนนี้ภายในใจของเขากำลังว้าวุ่น  เอาแต่คิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับเรื่องของไคหรือพี่ชายของเขากันดี แล้วในขณะที่เอาแต่เดินไปเรื่อยอย่างเหม่อลอยอยู่นั่น เขาก็ได้เดินไปชนเข้ากับใครบางคน

    ตุบ...

    “ขอโทษครับ” สติคืนกลับมาชั่วครู่เมื่อเดินชนใครเข้า ปากเอ่ยขอโทษออกไปโดยไม่คิดเงยหน้าขึ้นมองว่าอีกฝ่ายคือใคร ก่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางแล้วเตรียมเดินจากไป แต่แล้วในขณะที่กำลังเดินสวนจากไป ต้นแขนของเขากลับถูกคู่กรณีคว้าเอาไว้แน่น

    หมับ!

    “แค่ขอโทษแล้วคิดว่ามันจะหายเจ็บหรือไง” น้ำเสียงนั่นฟังดูข่มขู่กัน ทว่าไอจิกลับไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่เลื่อนสายตามามองมือหยาบที่จับต้นแขนตัวเองไว้แน่น แล้วค่อยเลื่อนระดับสายตาขึ้นสูงเรื่อยๆ จนมองเห็นหน้าคู่กรณีในที่สุด

    “มองหน้าหาเรื่องรึไง!” โดนตะคอกใส่หน้าอย่างเดียวไม่พอ มือที่จับต้นแขนเขาเอาไว้อยู่ยังบีบแน่นมากขึ้นไปอีกจนรู้สึกเจ็บ ไอจิถึงกับนิ่วหน้าไปด้วยความเจ็บปวดแต่กลับไม่มีเสียงร้องใดหลุดรอดออกมาให้ได้ยินสักคำ ฝ่ายคู่กรณีที่เจอปฏิกิริยานิ่งเฉยเข้าไป จากอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วกลับยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

    “แก หาเรื่องกันสินะ!” ยังไม่ทันกล่าวบอกอะไรหรือในอีกแง่มุมหนึ่ง เขาไม่คิดปริปากพูดอะไรอยู่แล้ว อีกฝ่ายจึงเข้าใจผิดคิดไปว่าเขากำลังหาเรื่องอยู่ ร่างของเขาถึงได้ถูกกระชากไปกระแทกเข้ากับผนังทางด้านหลังในทันที

    ปัก!

    เจ็บ... นั่นเป็นความคิดแรกที่แววเข้ามาในหัวของไอจิก่อนเลิกสนใจมันไปในที่สุด เพราะในตอนนี้คู่กรณีของเขาคงไม่ได้คิดแค่จับเขาโยนกระแทกกับผนังแล้วปล่อยไปอย่างแน่นอน นัยน์ตาสีฟ้าครามจ้องมองมือหนายกขึ้นสูงแล้วกำหมัดเอาไว้แน่น

    และเพียงช่วงพริบตาก่อนที่มันจะกระแทกเข้ากับใบหน้า สีสันของนัยน์ตาคู่นั่นได้แปรเปลี่ยนไป หมัดที่เกือบกระแทกเข้ากับใบหน้าของเขาอยู่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เซนเท่านั้น ก่อนฝ่ายคู่กรณีจะค่อยผละออกห่าง สายตาที่จ้องตรงมายังเขาแลดูหวาดกลัว

    “ปีศาจ...” ว่าแบบนั้นแล้ววิ่งหนีจากไปอย่างรวดเร็ว ไอจิรีบหลับตาลง มือข้างหนึ่งก็เลื่อนไปจับริบบิ้นขาวเอาไว้มั่น ให้รับรู้ว่าที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขายังคงอยู่ แต่ทว่า...

    ...ไม่มี!...

    รีบลืมตาขึ้นแล้วกวาดมองหาของแสนสำคัญนั่นโดยไว ทว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหน ตลอดถนนเส้นเล็กที่ไร้ซึ่งผู้คนอยู่นี่ เขากลับไม่พบสิ่งที่หาเลย ทันใดนั้นหัวใจสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัว สองมือยกขึ้นแล้วกอดตัวเองเอาไว้แน่น สีสันของนัยน์ตายังคงเป็นสีแดงฉานจนน่าหวาดหวั่นเช่นเก่า

    “หายไปไหน...” กระซิบเอ่ยถามตัวเองเสียงแผ่ว ใจพยายามสงบตัวเองแล้วแต่ก็ไม่อาจทำได้ ในเมื่อยิ่งคิดมากเท่าไร ความคิดแง่ลบยิ่งทวีคูณเพิ่มมากขึ้นไปอีก ในตอนนี้เขารู้สึกสับสนและหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็น ทั้งที่ตัวเขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน... จริงหรือ?

    ...เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน...

    ทันทีที่เขาเผลอคิดไปเช่นนั้น ริบบิ้นสีแดงลอยผ่านหน้าเขาไปและแตกสลายไปไม่เหลือแม้แต่เศษซาก สภาพแวดล้อมจากถนนสายเล็กได้แปรเปลี่ยนไปเป็นทุ่งดอกไม้สีม่วงครามอย่างรวดเร็วและเมื่อลองเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสีแดงฉานคู่นั่นเบิกกว้าง

    เส้นผมสีแดงที่ปลิวไหว นัยน์ตาสีแดงเพลิงคู่นั่นมองมายังเขาด้วยความอ่อนโยน ร่างของชายคนนั้นได้เอ่ยกล่าวบอกกับเขาอะไรบางอย่างแล้วเดินจากไปทั้งๆ ที่เขายังคงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร ทว่าเพียงแค่ร่างนั่นเดินจากไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างของชายผมแดงแตกสลายหายไป ราวกับกระจกที่ถูกทุบทิ้งก่อนปรากฏหลุมศพขึ้นมาแทนที่

    “ทำไม...”

    เพียงกระพริบตา ครั้งนี้ชายอีกคนได้มาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ชายผู้ที่เขามักจะอยู่เคียงข้างมาโดยตลอดอย่างไม่ทราบเหตุผล ว่าเหตุใดถึงได้อยากอยู่ใกล้ๆ เหตุใดถึงไม่อยากปล่อยให้อยู่เพียงลำพัง เหตุใดไม่อยากให้ทำหน้าเศร้า เขาคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าแสนอ่อนโยน นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่มองตรงมานั่นเจ็บไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย รอยยิ้มที่ประดับอยู่นั่นดูงดงามหากแต่ใจเขากลับรู้สึก... ใจหาย...

    “ไม่นะ” สองมือยื่นออกไปเพื่อคว้าร่างตรงหน้าแต่กลับไม่อาจคว้าเอาไว้ได้ เขาค่อยๆ เดินก้าวถอยหลังไปทีละก้าว คนตรงหน้ายังคงยิ้มหากแต่กลิ่นเหล็กที่ลอยมากระทบจมูกนี้และภาพตรงหน้าที่ได้เห็นอีกครั้งยามเมื่อกระพริบตา มันก็คือร่างของชายคนนั้นนอนราบไปกับพื้น

    ใบหน้านั่นเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดสีแดงฉานเช่นเดียวกับดวงตาของเขา ไอจิถึงกับมองภาพตรงหน้านิ่งค้างไปหลายวินาที สติคล้ายใกล้หลุดลอยออกไปทุกขณะ จนไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั่น กลับมีรอยยิ้มบางประดับไว้อยู่

    “ทำไม ทำไมกันนะ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้” ถ้อยคำกระซิบออกมาราวกับคนเสียสติ นัยน์ตาสีแดงคู่นั่นแม้จะอยากหลับตาลงไม่มองภาพตรงหน้าหากแต่เขากลับยังคงเลือกมองต่อไป ทุ่มดอกไมสีม่วงคราม หลุมศพของคนสองคนตั้งเด่นสง่าอยู่เบื้องหน้า

    “ทำไม...”

    “ความรู้สึกดีๆ ที่จะคงอยู่ตลอดไป อย่าได้ลืมเรื่องนี้ไปสักสิ ไอจิคุง..”

    ฝ่ามืออันแสนอบอุ่นของใครบางคนมาช่วยบดบังทุกสิ่งที่ไม่อยากเห็นไปจนหมดสิ้น เสียงทุ้มที่ฟังดูเศร้าสร้อยดังกระซิบอยู่ข้างหูราวกับช่วยปลอบโยน ทั้งที่น้ำเสียงนั่นกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าไม่แพ้กับตัวเขา

    “คะ... คุณเรน...” ต่อให้มันอ่อนโยนหรือคุ้นเคยขนาดไหน ใจรับรู้ได้เพียงช่วงไม่กี่วินาทีถัดมาก่อนชื่อของใครคนนั้นจะหลุดออกจากปากไปได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นชื่อที่ถูกต้อง ดวงตาที่ยังคงลืมอยู่หลับตาลงแล้วค่อยๆ ยกสองมือขึ้นมาจับมือที่ช่วยบดบังทุกสิ่งไว้ให้เขาแน่น

    “ให้ตายเถอะน่า... สิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนยังไง มันก็คงจะยังไม่เปลี่ยนอยู่แบบนั้นสินะ แพ้โดยที่ไม่ต้องเริ่มสู้เลยงั้นเหรอ... ไม่สิ สุดท้ายก็แพ้ใจตัวเองอีกแล้ว” คำพูดเหล่านั้นฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจต่อมันได้เช่นกัน ไอจิที่รู้สึกดีขึ้นแล้วแม้จะสงสัยว่าเมื่อครู่นี้เขาเห็นอะไรไป ตัดสินใจค่อยๆ ดึงมือที่ช่วยปกป้องเขาเอาไว้ออกอย่างเบามือ

    “คุณเรน...”

    “อย่าได้ทำหายอีกล่ะ ทั้งเจ้านี้และคนที่ให้มันมาน่ะ” กว่าจะมารู้สึกตัวอีกที ที่ข้อมือของเขากลับมามีริบบิ้นขาวอีกครั้งแล้ว ไอจิเพียงก้มลงมองมันด้วยความอุ่นใจก่อนนึกขึ้นได้ว่าต้องกล่าวคำขอบคุณ สายตาตวัดหันกลับไปมองทางด้านหลัง ทว่าคนที่ควรอยู่กลับไม่มีใคร นอกจากผนังของตัวอาคารเท่านั้น...

    “คุณเรน หายไปไหน่น่ะ” รีบกวาดสายตามองหา ครั้งนี้เขารู้ตัวเลยว่าถ้าไม่ได้อีกฝ่ายมาช่วยเอาไว้ เขาคงต้องแย่แน่ๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะเผลอทำอะไรลงไปบ้าง ถึงได้คิดกล่าวคำขอบคุณออกไป สายตาเร่งมองหาชายผู้มีสีผมโดเด่นคนนั้นจนกระทั้งไปพบเขาเข้าที่สุดปลายสายตา

    “คุณเรน!” ตะโกนเรียกเสียงดังลั่น สองขาออกวิ่งอย่างไม่คิดอะไรมากอีกต่อไป ไม่สนแล้วด้วยซ้ำว่าชายคนนั้นเป็นอันตรายหรือไม่ สิ่งเดียวที่อยู่ในใจเขายามนี้คืออยากกล่าวคำขอบคุณออกไปเท่านั้น

    “รอด้วยสิครับ” ระยะห่างเริ่มเพิ่มมากขึ้นจนเกือบจะหลุดออกจากสายตาเขาไปหลายต่อหลายครั้งแต่ก็เหมือนอีกฝ่ายจะจงใจหยุดรอเพื่อให้เขาเดินตามทัน ไอจิจึงยังสามารถไล่ตามเรนต่อไปได้จนมาหยุดลงอยู่หน้าสวนสาธารณะแห่งหนึ่งเข้า คนที่ไล่ตามแทบตายถึงได้หยุดเดิน

    กึก!

    ต่างฝ่าต่างหยุดยืนและมองหน้ากัน เรนยังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิมแต่ไม่รู้ทำไมรอยยิ้มนั่นถึงได้ดูเศร้ามากกว่าทุกครั้งที่ได้พบเจอกัน

    “พลังนั่นของนาย อย่าได้นึกเกลียดมัน เพราะแม้แต่ชาตินี้เองนายยังคงมีมันอยู่... แสดงว่าต้องมีเหตุผลอะไรแอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับตัวฉัน ” คนตรงหน้าคงจะรู้เรื่องของเขาดีกว่าตัวเองอย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่แล้ว เรนก็คงจะไม่พูดอะไรออกมาแบบนั้นหรอก

    แล้วก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไรอีกเช่นกัน เขาถึงได้รู้สึกมั่นใจว่าทุกสิ่งที่เรนพูดออกมานั่นคือความจริง ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดนอกจากใบหน้าพยักหน้ารับเล็กๆ

    “เข้าใจก็ดีแล้ว... เอ้ารับ!” ช่อดอกไม้หนึ่งถูกโยนมาให้ ไอจิยื่นสองมือออกไปรับมันมาไว้ให้อ้อมกอด ก่อนสายตาจะก้มลงต่ำมองสิ่งที่ถูกโยนมาให้ด้วยความสงสัย

    ดอกสแตติส...” ดอกไม้สีม่วงคราม ดอกไม้ที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำไม่ห่างหาย ทันใดนั้นเหมือนบทสนทนาของคนสองคนที่เหมือนจะรู้จักแต่ก็ไม่ไปในขณะเดียวกันดังก้องอยู่ในหัวเพียงชั่วครู่ และจางหายไปอย่างรวดเร็วจนในตอนนี้ไอจิได้แต่นึกฉงนว่าตัวเองได้เป็นอะไรไปกันแน่

    “จดจำได้แค่สิ่งที่จำเป็นก็เพียงพอแล้วล่ะน่ะ สำหรับนายน่ะ...” เงยหน้าขึ้นสบตากันอีกครั้ง ใจนึกอยากเอ่ยถามออกไปว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ เพียงแต่แค่เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ร่างที่สมควรยืนอยู่ตรงหน้ากลับหายไปแล้ว ไม่หลงเหลือร่องลอยใดปรากฏอยู่เลยว่าเคยมีคนยืนอยู่ตรงนั้น

       “หายไปแล้ว...” เป็นอีกครั้งที่ชายคนนั้นได้หายตัวไปอย่างลึกลับ บางทีไอจิก็เผลอนึกไปเล่นๆ เช่นกันว่าเรนอาจจะเป็นผีก็เป็นได้ แต่พอลองย้อนกลับมามองดูเรื่องของตัวเองแล้ว ความคิดใหม่ได้ก่อขึ้นมาภายในใจ

    “เป็นเหมือนกันผมงั้นเหรอ...” สัตว์ประหลาด จะใช้ถ้อยคำนี้เรียกตัวเองก็คงไม่ผิด เพราะเขามีพลังประหลาดมาตั้งแต่เด็ก ที่สำคัญในบางครั้งก็ไม่อาจควบคุมมันได้ด้วย มันถึงทำให้ลึกๆ แล้วในใจเขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา ว่าสิ่งแปลกประหลาดในร่างที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมี จะไปทำร้ายใครเข้าสักวัน

    “นั่นคือสิ่งแลกเปลี่ยน...”

    ราวกับได้ยินเสียงของใครบางคนดังบอกในห้วงความทรงจำเมื่อนานแสนนานมาแล้ว แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่ก็เหมือนจะเข้าใจความหมายของมันได้ สีของนัยน์ตาที่เปลี่ยนกลับมาเป็นสีฟ้าครามอีกครั้งเงยขึ้นมองออกไปไกลสุดสายตา เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น คนสำคัญยิ่งที่ต่อให้ไม่ต้องรู้เหตุผลว่าทำไม...

    “ในที่สุดก็ได้พบ...” เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา ไอจินึกได้ในทันทีว่าครั้งแรกที่ได้พบกัน ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาพูดออกไปแบบนั้น แล้วไม่รู้อีกด้วยว่าทำไมในตอนนั้นเขาถึงได้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้อีกฝ่าย มาตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจมันแล้วแม้จะไม่รู้ที่มาที่ไปทั้งหมดก็ตาม

    ...เพราะสำคัญยังไงล่ะ...

    อาจจะเป็นสิ่งเชื่องโยงมาจากอดีตอันแสนไกลที่เขาได้ลืมเลือนมันไปแล้ว บางทีเหตุผลทุกอย่างคงถูกเก็บซ่อนไว้ในอดีตที่ถูกลืมไป ทั้งเรื่องพลังของเขา ภาพความฝันที่เคยลืมเลือนแม้ตอนนี้จะเริ่มมีมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนทั้งเวลาตื่นและหลับ มายามนี้เขากลับรู้สึกได้ว่าช่างมันเถอะ...

    เรื่องพวกนั้นคืออดีต ไม่จำเป็นต้องคิดหาคำตอบเพราะมันไม่จำเป็น สิ่งที่ควรทำในขณะนี้คือก้าวเดินออกไป ยื่นมือออกไปให้สุด ไขว่คว้าคนตรงหน้าที่ยังสามารถแตะต้องอยู่ในขณะได้ก็พอ เมื่อใจเผลอคิดไปแบบนั้น ร่างกายขยับไปก่อนสมองจะทันสั่งการ แล้วกว่าจะมารู้สึกตัวอีกที เขาได้มาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังของคนที่เมินเขาในหลายวันนี้แล้ว

    หมับ!

    นาทีแรกที่ปลายนิ้วแตะลงที่ฝ่ามืออุ่น คนตรงหน้าทำท่าจะสะบัดมันทิ้งแต่พอเห็นว่าเป็นเขา ท่าทางนั่นอ่อนลงแต่ก็ยังพยายามดึงมือเขาออกอยู่ดี

    “ไคคุง” เพียงเรียกออกไปด้วยน้ำเสียงแสนเศร้ากลับสามารถสะกดทุกการเคลื่อนไหวได้ไม่ยาก และบางทีอาจรวมไปถึงตัวเขาด้วยก็เป็นได้ รู้สึกตัวแข็งขยับได้ลำบาก ปากสั่นจนทำให้ถ้อยคำไม่อาจหลุดรอด สองอีกข้างกำช่อดอกไม้เอาไว้แน่นส่วนอีกข้างยังคงจับมือของคนตรงหน้าไว้อยู่

    “สิ่งนี้...” ร่างกายมันขยับไปเอง สมองไม่ทันสั่งการ ไม่สิ ไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก รู้ตัวอีกทีก็ยื่นช่อดอกไม้ออกไปแล้วให้คนตรงหน้าถือเสียแล้ว

    ดอกสแตติสงั้นเหรอ”

    ดอกสแตติสงั้นเหรอ”

    ไอจิมั่นใจว่าไคเป็นคนพูดแต่ภายในหัวเขากลับเกิดเสียงสะท้อนของใครคนหนึ่งเขาและใครคนนั้นที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเอง... ราวกับเป็นเสียงสะท้อนจากอดีตที่ต้องลืมมันไป ทว่ามีเพียงสิ่งนี้ที่จะไม่ลืม

    “สิ่งไม่แปรผันตลอดกาล... นั่นคือภาษาดอกไม้ของมันครับ”

    “ถ้าจำไม่ผิด ภาษาดอกไม้ของมันคือสิ่งไม่แปรผันตลอดกาล”

    ครั้งนี้เสียงที่สะท้อนอยู่ภายในหัวเขาเป็นเสียงของไค ไอจิอาจจะคิดไปเองแต่เหมือนในตอนนี้บทพูดระหว่างพวกเขากำลังสลับกันอยู่เลย

    “ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยนไปหรอกนะไอจิ”

    “แต่ว่านะ ทุกสิ่งย่อมมีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยน”

    บทสนทนาที่เหมือนพูดคุยอยู่ในปัจจุบันแต่กลับไปซ้อนทับกับอดีตอันแสนไกล ทั้งคำพูดที่ยังคงมีความใกล้เคียงกัน ทั้งน้ำเสียงที่ใช้เอ่ยพูดนั่น มันมีความใกล้เคียงกัน เพียงแต่บทของคนพูดกลับสลับเปลี่ยนไปกันหมด จากสิ่งที่เขาควรพูดก็จะกลายเป็นไค และบทที่ไคควรพูดก็จะกลายเป็นตัวเขา...

    “แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปมันก็มีอยู่นะครับ”

    “มีอยู่สิ สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปน่ะ”

    ต่อให้ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ทว่าไอจิยังคงยิ้มออกไป ยิ้มด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยนแต่กลับดูเศร้า สายตามองไคที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่ภาพซ้อนในอดีตหรือเสียงที่ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในหัวของเขา

    “มันคืออะไรล่ะ ในเมื่อตัวนาย...”

    “ต่อให้มีอยู่จริง สิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนน่ะ มันคือสิ่งใดกันล่ะ”

    คำถามที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนถาม แม้จะไม่รู้ก็ตามว่าเมื่อไรหรือว่าที่ไหน ทว่ายามนี้คนที่ถามกลับเปลี่ยนไป ท่าทางที่เอ่ยถามเองก็ดูสับสนอยู่พอตัว คำพูดที่เตรียมกล่าวออกมาต่อนั้นกลับถูกตัวเขาว่าดักขึ้นมาเสียก่อนที่จะได้พูดจบประโยค

    “หัวใจผม”

    “หัวใจข้า”

    จะเพราะมีเสียงสะท้อนดังก้องอยู่ในหัวหรือไม่ เขาไม่คิดสนใจ เพราะยามนี้สิ่งที่เอ่ยบอกออกไปคือความรู้สึกของตัวเขาเอง ไม่ใช่ของใครอื่นแม้เสียงที่จะเอ่ยซ้อนขึ้นมากับเขาจะเป็นเสียงของคนตรงหน้าในอดีตก็ตาม

    ดอกสแตติสยังมีความหมายอื่นอยู่ด้วยนะครับ”

    “ภาษาดอกไม้ของดอกสแตติสไม่ได้มีเพียงหนึ่ง”

    ความหมายที่เคยล่วงรู้เพียงหนึ่ง ยามนี้เขากลับรับรู้ได้ถึงอีกความหมายที่ซ่อนอยู่ ปากกล่าวออกไปโดยที่สมองไม่ต้องสั่นการ เพราะสิ่งที่สั่งการเขาอยู่ในตอนนี้ก็คือหัวใจของตัวเขาเอง..

    ความรักที่จะไม่มีวันเปลี่ยนตลอดกาล”

    และนั่นก็คือสิ่งที่จะไม่มีวันแปรผันไปตลอดกาลสำหรับเขา ไอจิยังคงยิ้มแย้มเช่นเก่าแต่คนตรงหน้ากลับนิ่งค้างไปแล้ว คงเพราะตกใจกับสิ่งที่ตัวเองพึ่งได้ยินไม่เมื่อครู่และคงไม่คิดด้วยว่าจะเจอพูดออกไปเช่นนั้น บางที... นี่คงจะเป็นการสารภาพรักของเขา

    “ไอจิ” เสียงที่เอ่ยเรียกตัวเขานั่นเต็มไปด้วยความสับสนและความไม่เข้าใจ บางทีอาจจะมีอารมณ์อื่นที่แอบแฝงอยู่อีก แต่ยามนี้เขาเข้าใจได้เพียงแค่สองอารมณ์นี้เท่านั้น มือที่จับเอาไว้แน่นค่อยๆ คลายออก 

    “แต่มาสารภาพเอาตอนนี้คงจะสายไปแล้วสินะครับ” รอยยิ้มนั่นช่างแสนเศร้า ใจเขาเองก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาเต็มทน ทว่ายังคงเก็บซ่อนเอาไว้ ยังต้องอดทน เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอะไรของเขาอีก

    “ขอโทษที่ผมรู้สึกตัวช้าครับ และก็...”

    หมับ!

    ช่อดอกไม้ถูกโยนทิ้งลงไป กรีบดอกของมันพลิ้วไหวไปกับสายลม ร่างทั้งร่างได้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอุ่นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะกว่าจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ มันก็ใช้เวลาไปอีกหลายนาทีเช่นกัน

    “อย่ากล่าวคำว่าลาก่อนกับฉัน!” ไม่ได้ตั้งใจจะพูดคำนั้นออกไป แต่อยากจะขอโทษเรื่องเมื่อวานต่างหาก ทั้งที่ใจมันนึกเถียงแบบนี้แต่ร่างของเขากลับนิ่งแข็ง ปล่อยให้อีกฝ่ายกอดเขาเอาไว้เช่นนั้น หูก็คอยเงียบฟังสิ่งที่คนตัวสูงกว่าอยากจะพูดออกมาอย่างเงียบๆ

    “ได้โปรดอย่าจากฉันไป ได้โปรดอย่าทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง...ไอจิ ฉันน่ะ ฉัน...” อ้อมกอดนั่นรัดแน่นมากขึ้นราวกับหวาดกลัวว่าเขาจะหายตัวไป เสียงทุ้มแสนเศร้านั่นกระซิบถ้อยคำที่ฟังแล้วได้แต่รู้สึกปวดอยู่ภายในใจออกมาให้เขารับฟังไม่ขาดสาย

    “ไคคุง...”

    “ฉันรักนาย รักนายแบบคู่รัก ไม่ใช่แบบพี่น้อง!

    ร่างของเขาถูกดึงออกมาจากอ้อมกอดอุ่นแล้วถูกมือข้างหนึ่งเชิดใบหน้าขึ้นเพื่อให้สบตากัน ถ้อยคำสารภาพรักจากปากของพี่ชายแสนดีตรงหน้าถูกถ่ายทอดออกมาให้เขาได้รับฟังแล้ว ไอจิเพียงแย้มรอยยิ้มแสนเศร้าตอบรับคำพูดเหล่านั้น สองมือยกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วประคองใบหน้าคมที่ดูราวกับจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ

    “อืม... เหมือนผมจะรู้สึกตัวตั้งแต่แรกอยู่แล้วแหละ เพียงแต่เพราะผมยังคงหวาดกลัว”

    ...หวาดกลัวตัวเองและความทรงจำเหล่านั้นที่อาจย้อนคืนมา...

    ไม่ยอมพูดออกไปให้หมด ไคถึงได้ตีหน้าฉงนด้วยความไม่เข้าใจความหมายของเขาพูดเขาเท่าไรนัก แต่ว่านั่นก็ดีแล้ว เพราะเขาไม่ต้องการให้คนสำคัญของเขาต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้ด้วย ให้ใช้ชีวิตอย่างสงบ เป็นเหมือนอย่างที่ผ่านมามันก็ดีแล้ว ให้มีเพียงเขาที่ยังคงหวาดกลัวกับสิ่งเหล่านั้นต่อไป

     “ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะปกป้องนายเอง” ราวกับเคยได้ยินคำพูดทำนองนี้ในภาพความฝันอันแสนโหดร้ายนั่น ไอจิหลับตาลงปล่อยให้หยดน้ำตาใสไหลรินออกมาอย่างไม่อาจห้ามอยู่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะร้องไห้ไม่ได้ แต่ยามนี้เขากลับห้ามตัวเองไม่อยู่แล้ว

    “อย่าร้องไห้” คำเอ่ยปลอบแสนอ่อนโยน เปลือกตารู้สึกร้อนผ่าวแต่กลับรับรู้ได้ถึงไออุ่นที่ส่งตรงมาก่อนไออุ่นนั่นจะผละออกห่าง ไอจิลืมตาขึ้นสบมองกับดวงตาที่กำลังมองตรงมานิ่ง

    “บอกว่าอย่าร้องไง” ฟังดูไม่ใช่คำปลอบที่แสนดีเท่าไร แต่มือยังคงยกขึ้นช่วยเช็ดน้ำตาให้เขาไม่ขาด จนไอจิเริ่มนึกหวาดกลัวว่าหากน้ำตาเขายังไม่หยุดลงเสียเดี๋ยวนี้ พลังนั่นอาจจะก่อเรื่องเอาได้อีก

    ...เดี๋ยวก่อนสิ...

    ก่อนนึกขึ้นได้ว่าถ้าน้ำตาของเขาไปสัมผัสสิ่งใดมันจะกลายเป็นน้ำแข็ง บางทีกับสิ่งมีชีวิตเองก็คงไม่มีข้อยกเว้น ทันทีที่คิดได้แบบนั้นไอจิรีบกระชากมือของไคที่ช่วยซับน้ำตาให้เขาก่อนหน้านี้มาดูในทันที

    “ไอจิเป็นอะไรไป” คงตกใจอยู่ไม่น้อยที่เจอเขากระชากมือไปจ้องเสียขนาดนั้น แต่ไอจิยังไม่คิดเอ่ยตอบออกไปในตอนนี้นอกจากจ้องมองมือของอีกฝ่ายจนมั่นใจแล้วนั่นแหละ ว่ามันไม่ได้มีสิ่งผิดปกติ เขาถึงได้รู้สึกเบาใจลงไปได้บาง มือที่ยึดมือคนตรงหน้าไว้แน่นถึงได้เริ่มคลายออก

    “ไอจิ”

    “ไม่เป็นอะไรครับ” กล่าวปฏิเสธก่อนที่จะได้ทันฟังคำถามจบ ไคถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่สบอารมณ์ที่ถูกว่าขัด แต่ไอจิยังคงยิ้มน้อยๆ ด้วยรอยยิ้มไม่ค่อยจะร่าเริงเช่นเก่า ก่อนนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดออกไป

    “ที่งานเทศกาล... ในตอนนั้น ผมขอโทษครับ ผมผิดเองที่พูดแรงเกินไป” หลับหูหลับตากล่าวคำขอโทษออกไปจบ ไอจิไม่คิดเงยหน้าขึ้นมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายแต่อย่างใด เพราะใจมันยังนึกหวาดกลัวกับคำตอบที่ได้รับ ทว่าความตั้งใจเหล่านั้นกลับถูกทำลายลงไปสิ้นและถูกแทนที่ด้วยความสงสัยไปแทน

    เมื่ออยู่ๆ เขาก็ถูกไคเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีฟ้าครามสบมองนัยน์ตาสีเขียวมรกตด้วยความฉงนว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไร ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยกล่าวถ้อยคำใดออกไป ใบหน้าคมนั่นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ใจรับรู้ว่าควรผละออกห่างทว่าราวกับถูกดวงตาคู่นั่นสะกดเอาไว้ ร่างกายของเขายังคงนิ่งแข็ง

      แล้วต่อให้เขายังคงนึกสับสนไม่หายว่าไคคิดจะทำอะไร รู้สึกตัวอีกทีริมฝีปากอุ่นก็ได้ประทับลงบนริมฝีปากเขาอย่างอ่อนโยน ไร้ซึ่งการรุกล้ำใดเข้ามาทั้งสิ้นแต่เพียงแค่นั้น ด้วยความอ่อนหวานและความอบอุ่นที่ถูกมอบให้ผ่านริมฝีปาก มันก็มากพอที่จะทำให้เขาขาอ่อนแล้ว

    ตุบ...

    “ฉันไม่ได้โกรธคำพูดพวกนั้นของนาย แต่โกรธที่มีคนมาแย่งจูบแรกของนายไปต่างหาก”

    ร่างทั้งร่างทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น หัวสมองว่างเปล่าไปหมด เหมือนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะใหญ่ ยิ่งพอได้ยินไคมาพูดในขณะที่เขายังไม่อาจเรียกสติกลับมาได้ครบ ปฏิกิริยาตอบรับจึงได้เกิดขึ้นช้าเสียเหลือเกินแล้วกว่าจะรู้สึกตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร รวมไปถึงถ้อยคำที่ไคกล่าวทิ้งท้ายไป ร่างที่สูงกว่าเขาก็เดินหนีไปอีกทางเสียแล้ว

    “เอๆ เอ๋!!!

     
     

    มุมน้ำชา

    สารภาพรักกันแล้วค่ะ!!! กว่าจะมาถึงตอนนี้ได้ หุๆ ส่วนตัวร้ายที่ว่าเอาไว้ในตอนแรก ก็กลายเป็นมาช่วยเสียอย่างนั้น อ้าวสรุปแล้วบทเรนไม่ใช่ตัวร้ายแล้วสินะ (มั่นใจ?) แต่เนื้อเรื่องยังไม่จบลงนะคะ แม้มันใกล้จะจบแล้วในส่วนของปัจจุบัน แต่ส่วนของอดีตยังไม่เริ่มเลย งั้นก็เรียกได้ว่ายังไม่ถึงครึ่งเรื่อง (ร้องไห้แปป)

    ยังไงก็อย่าพึ่งหนีหายไปกันนะคะ เพราะเนื้อเรื่องจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว (สารภาพรักแล้วใช่ว่าจะจบเรื่องได้ง่ายๆ นะ 555+) ส่วนคู่มิวะมิซากิ เห็นมีนักอ่านสนใจ คงได้มีเป็นตอนพิเศษขึ้นมาแน่ๆ แล้วค่ะ แต่กว่าจะเอามาลง คงต้องขอหลังจบภาคปัจจุบันก่อนนะคะ (อีกกี่ตอนกันล่ะเนี่ยกว่าจะจบส่วนปัจจุบัน เหอะๆ)

     

    หมายเหตุ ว่าด้วยเรื่องการส่ง nc ใครที่ขอมาแล้วยังไม่ได้รับ สามารถมาทวงกันได้นะคะ

     

     

     

     

    H & H
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×