ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Fic Vanguard} Statice (Kai x Aichi)

    ลำดับตอนที่ #12 : ดอกไม้กลีบที่ 11: สิ่งที่ไม่อยากให้รู้

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 57


    Title:  Statice

    Genre: BL,Comedy, Romance, Drama

    Rating:  PG

    Pairing:Kaix Aichi, Miwa x Misaki

     
     

    ดอกไม้กลีบที่ 11: สิ่งที่ไม่อยากให้รู้

     

    สิ่งแรกที่สัมผัสได้ทันทีที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ ก็คือกลิ่นเค็มของเกลือ สิ่งถัดมาที่รับรู้คือเสียงคลื่นที่กระทบเข้าฝั่ง ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะและสิ่งสุดท้าย... คือภาพของท้องทะเลอันแสนกว้างใหญ่ที่ทอดตัวไปไกลสุดสายตา ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบ ก่อให้เกิดประกายแลดูงดงาม

    หากแต่มองในอีกแง่มุมหนึ่ง ยามเมื่อรัตติกาลได้มาเยี่ยม สถานที่งดงามแห่งนี้คงจะกลายเป็นสถานที่น่ากลัวไปอย่างแน่นอน แต่จะว่าไปแล้ว คงไม่ต้องรอให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นน้ำเงินเข้มหรอก เพราะยามนี้สำหรับไอจิแล้ว มันก็เป็นสถานที่แสนน่ากลัว

    ร่างเล็กนับตั้งแต่ลงรถมาก็ได้แต่ยืนจ้องทะเลตาไม่กระพริบ ปล่อยให้คนอื่นๆ ช่วยกันขนของรถจากรถกันไป แล้วถ้าถามว่าเขาที่ซึ่งกลัวทะเลมาทำไมที่นี่ เรื่องมันก็คงต้องย้อนกลับไปหลังจบเหตุการณ์ที่ไปสวนสนุกโดยคว้าน้ำเหลวกลับมาได้ไม่กี่วันเท่านั้น มิซากิก็มาชวนพวกเขาไปทะเลกัน

    แน่นอนว่าเนื่องจากเหตุการณ์คว้าน้ำเหลวในสวนสนุกนั่นมันทำให้เขาฝั่งใจ นึกอยากจะแก้ตัวเสียใหม่จึงตอบตกลงไปโดยไม่ทันคิดอะไรให้ดีก่อน กว่าจะมารู้สึกตัวอีกทีว่าพลาดครั้งใหญ่ มันก็หลังจากที่เขามายืนตัวแข็งอยู่ข้างรถแล้วนั่นแหละ

    “ไอจิ ถ้ากลัวล่ะก็จับชายเสื้อฉันไว้” ด้วยคำทักนี้ของไค ทำให้ทุกคนถึงกับหยุดชะงักแล้วหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวกัน ก่อนมิซากิที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มจะรีบวิ่งพรวดเข้ามาใกล้ แล้วรั่วคำถามใส่ด้วยความเป็นห่วง

    “ไอจิไม่เป็นอะไรนะ รู้สึกปวดหัวหรือเปล่า ตัวร้อนไหมหรืออยากจะนอนพัก หรือๆ”แล้วก่อนที่จะโดนถามอะไรไปมากกว่านี้จนอาการของไอจิ จากที่แค่กลัวทะเลจะถูกอัพเกรดกลายเป็นอย่างอื่นไป มิวะที่พึ่งเอาของลงจากรถเสร็จพอดี รีบช่วยเข้ามาห้าม

    “ใจเย็นน่าโทคุระ ไอจิน่ะ มีไคอยู่ด้วยทั้งคน สบายมากอยู่แล้ว เนอะ!” เป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วเหมือนจะช่วยทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีขึ้นแต่ในขณะเดียวกัน มันก็ฟังดูเหมือนเป็นการโยนความรับผิดชอบไปในตัว ปฏิกิริยาตอบรับที่ได้จึงเป็นสายตาดุดันไปแทน มิวะถึงกับยิ้มเจื่อนแล้วรีบเดินไปหลบอยู่หลังไคทันที คล้ายใช้เพื่อนตัวเองเป็นโล่อย่างบอกไม่ถูกในความรู้สึกของคนโดนหลบอยู่ด้านหลังและคนที่มองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ

    “บ้านพักที่ว่า รีบไปกันเถอะ” ตัดสินใจว่าตัดปัญหาไปแบบนั้น สองมือที่ไม่ว่างแล้วเพราะมีของตัวเองกับไอจิถืออยู่ ก็ได้แต่หันไปมองหน้าไอจิเหมือนเป็นการบอกให้อีกฝ่ายทำตามคำแนะนำที่เขาบอกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย มือเรียวเล็กยื่นออกไปคว้าชายเสื้อเอาไว้แน่น

    “นั่นสินะ ตากแดดนานๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพ คุณชิน ช่วยส่งกุญแจบ้านพักมาให้หน่อยสิ” มิซากิหันไปเอ่ยขอกุญแจบ้านพักกับญาติตัวเองในทันที หลังรู้สึกเช่นเดียวกับไคแล้วว่าพวกเขาควรรีบเอาของเข้าไปเก็บในบ้านพักได้แล้ว ทว่าพอหันไปมองชายหนุ่มที่มีอายุมากที่สุดของกลุ่ม กลับพบว่าเจ้าตัวกำลังก้มๆ เงยๆ มองหาอะไรบางอย่างอยู่

    “เฮ้อ... กุญแจอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย” ไม่ต้องถามก็ล่วงรู้ได้ในทันทีว่ากำลังค้นหาสิ่งใด จะเรียกว่าเป็นความสามารถพิเศษดีหรือเพราะเป็นญาติกัน ถึงได้เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่เอาเป็นว่าหลังชินได้รับคำบอกเล่าจากมิซากิ จากที่เอาแต่ก้มหาของอยู่ก็หันมายิ้มร่าเริงให้พวกเขาพร้อมคว้าเอาสิ่งที่ต้องการออกมา

    “ขอบใจนะมิซากิ อ๊ะนี่ กุญแจบ้าน เข้าไปแล้วก็เริ่มลงมือทำความสะอาดเลยนะ เพราะมันไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว ส่วนฉันว่าจะไปหาซื้อของกินมาเตรียมทำเป็นอาหารเย็นวันนี้หน่อยนะ” เหมือนจะมาพัก แต่ก็เหมือนโดนใช้งานไปด้วยในตัว

    ไคที่เผลอหันไปมองหน้ามิซากิด้วยความรู้สึกอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นสีหน้าดุดันของเด็กสาวเข้า ถึงได้ตัดสินใจไม่เอ่ยพูดอะไร แล้วมุ่งหน้าเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมไอจิก่อน โดยมีมิวะเดินตามหลังไปติดๆ ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงมิซากิกำลังดุชินด้วยเรื่องบางอย่างอยู่

    “แล้วทำไมไม่บอกกันตั้งแต่แรก!

    กว่าจะได้เข้าไปภายในบ้านพัก ทั้งสามคนที่ยืนรออยู่ ต่างก็รู้สึกว่าคงต้องใช้เวลากันอีกสักพักใหญ่...

     

    ภายในบ้านพักที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนา ส่วนพวกข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถูกผ้าคลุมเอาไว้อย่างดี ดูจากสภาพแล้วต่อให้ไม่ได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้ของมิซากิกับชิน พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่าบ้านหลังนี้คงไม่ได้ถูกใช้งานหรือได้รับการดูแลมาเป็นเวลานานมากแล้ว

    “ยังไงก็คงต้องทำความสะอาดกันก่อนล่ะน่ะ” น้ำเสียงติดไปทางรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ส่วนตัวก็ไม่ได้อยู่เฉยแต่เริ่มไปเดินหาพวกเครื่องมือทำความสะอาดออกมาแล้ว อีกสามคนที่เหลือต่างหันมามองหน้ากันอย่างไม่พูดอะไร นอกจากแยกย้ายกันไปช่วยกันหาพวกอุปกรณ์มาทำความสะอาด

    “แล้วพวกไฟฟ้าจะยังใช้ได้อยู่ไหมเนี่ย” ขณะเตรียมแยกย้ายกันไปทำความสะอาด มิวะก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ด้วยความกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย ระหว่างนั้นสายตาก็พยายามมองหาสวิทช์ไปด้วย

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงหลังจากพ่อแม่ฉันตายไปแล้วจะไม่เคยมาใช้ที่นี่อีกเลย แต่คุณชินก็มาดูแลทุกๆ ปี พวกไฟฟ้าและน้ำใช้ได้อย่างแน่นอน” ถึงกับชะงักไปเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าตัวเองได้ถามในเรื่องที่ไม่สมควรจะถามออกไปแล้วหรือเปล่า สายตาเหล่มองไปมิซากิเล็กน้อยเพื่อสังเกตท่าทางของเธอ

    ทว่านอกจากจะไม่ดูเศร้ากับสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาแล้ว ยังหันไปกวาดพื้นต่อหน้าตาเฉยเสียอีก เห็นแล้วไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกโล่งใจดีหรือว่ารู้สึกผิดดีกันแน่

    “อย่าเอาแต่ยืนเฉย รีบๆ กวาดเข้า!” จมอยู่ในความคิดได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ปากรีบเอ่ยรับคำไปอย่างขยันขันแข็ง สองมือที่หยุดนิ่งก็เริ่มขยับเป็นการด่วน

    “คร้าบบบ”

    ฝ่ายไอจิที่ต้องไปช่วยไคเก็บกวาดชั้นสอง หันกลับไปมองพวกมิซากิเล็กน้อย แล้วถึงกับเผลอแย้มรอยยิ้มขึ้นกว้างก่อนเร่งฝีเท้าเดินตามไคขึ้นไปชั้นสองอย่างเร่งรีบ เมื่อรู้สึกตัวแล้วว่าคนที่เดินนำขึ้นไปก่อนหน้าเขา กำลังหยุดยืนแล้วหันมามองอยู่

    “ยิ้มอะไรของนาย” เร่งฝีเท้าจนมาหยุดยืนอยู่ทางด้านข้าง ก่อนออกเดินไปด้วยกันอีกครั้งเมื่อคนที่รอได้มาถึงแล้ว ไคที่นึกสงสัยว่าไอจิยิ้มอะไร รีบเอ่ยถามออกมาแทบจะในทันทีที่มาหยุดยืนอยู่ข้างอีกฝ่าย สายตาก็คอยสังเกตท่าทางของคนข้างกายไปด้วย

    “ผมแค่ดีใจนิดหน่อยน่ะครับ” คำตอบที่ฟังดูยังไงก็ขัดแย้งกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนลงจากรถมาใหม่ๆ ไอจิยังมีท่าทีดูหวาดกลัวอยู่เลย มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ไคจะเผลอส่งสายตาแสดงความไม่ไว้ใจออกไป ฝ่ายไอจิเองก็พอจะเดาได้ว่าร่างสูงคิดอะไรอยู่ ถึงได้รีบเปิดปากอธิบายขยายความเพิ่ม

    “ก็คุณมิซากิดูร่าเริงขึ้น ทั้งที่เมื่อก่อนพอพูดเรื่องครอบครัวตัวเองทีไร ก็จะดูเศร้ามากแท้ๆ” อธิบายเหตุผลให้ฟังเสร็จสรรพ ไคที่เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจไปในขณะเดียวกันเพียงพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยได้รู้จักอะไรกับอีกฝ่ายเท่าไรอยู่แล้ว

    “ไคคุง รู้อะไรไหมครับ ว่าบ้านหลังนี้น่ะ เป็นบ้านที่คุณมิซากิเคยอาศัยอยู่กับครอบครัวเมื่อนานมาแล้ว แต่พอเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำเข้า คุณมิซากิก็ไม่เคยมาที่บ้านหลังนี้อีกเลย” เป็นความจริงที่น่าตกใจ ไคเพียงหยักหน้ารับด้วยความเห็นใจเท่านั้น เพราะสมัยเด็กเขาเองก็มีประสบการณ์ที่คล้ายๆ กันอยู่

    “แต่ตอนนี้เห็นคุณมิซากิเริ่มกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ผมก็ดีใจแล้วล่ะนะครับ” ว่าอย่างอารมณ์ดีพร้อมเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ก่อนสายตาจะเริ่มกวาดมองไปรอบๆ เพื่อสำรวจว่าตัวเองควรจะเริ่มทำความสะอาดจากจุดไหนก่อนดี ทิ้งให้ไคที่ยังคงหยุดนิ่งอยู่กับที่ชะงักไปเล็กน้อย

    “ไอจิ... นายเนี่ย ใจดีกับทุกคนเลยนะ” อาจคิดมากไปเอง แต่ทั้งกรณีของเขาและมิซากิแทบไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไรนัก หรือไม่ก็อาจจะเหมือนกันเลยเสียด้วยซ้ำ เหมือนกันตรงที่สูญเสียครอบครัวและ... เหมือนกันตรงที่ได้ไอจิช่วยเอาไว้

    “เอ๋ เมื่อกี้ไคคุงว่าอะไรนะครับ” คงเป็นเพราะเอาแต่สนใจสภาพแวดล้อม จึงไม่ทันได้ยินคำพูดเขาเมื่อครู่ ไคส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ ก่อนเดินขึ้นบันไดไปต่อจนสุด สายตาก็เริ่มกวาดมองสภาพของชั้นสองบางก็ถึงกับนึกโล่งใจ เพราะมันไม่ได้แย่อะไรอย่างที่คิด แต่กว่าจะทำความสะอาดเสร็จ มันก็คงใช้เวลาพอควรเช่นกัน

    “เดี๋ยวผมจะไปทำห้องนั้นนะครับ” เริ่มจากห้องแรกที่ดูจากตำแหน่งแล้ว ไคคาดว่ามันคงจะเห็นทะเลได้ไม่ยาก ถือเป็นห้องที่ดี ทว่ากับไอจิแล้วมันคงไม่ใช่ ร่างสูงรีบเดินเข้าไปดักอยู่ตรงหน้าพร้อมคว้าร่างเล็กเอาไว้แน่น

    หมับ!

    “ไคคุง?” มือที่เตรียมผลักเปิดประตูเข้าไปถึงกับหยุดชะงัก นัยน์ตาสีฟ้าครามหันกลับมามองคนทางด้านหลังด้วยความฉงน แต่พอได้เห็นสีหน้าแสดงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดเข้า คำถามที่เตรียมหลุดถามออกไปกลับกลืนไปกับสายลม มีเพียงเสียงเอ่ยเรียกชื่อเอ่ยหลุดรอดออกไป ราวกับต้องการปลุกเรียกอีกฝ่ายให้ตื่นจากภวังค์

    “ฉันทำห้องนี้เอง นายไปห้องนั้นซะ” ไม่ใช่ประโยคบอกเล่าหรือเอ่ยขอ แต่เป็นประโยคคำสั่ง ไอจิที่ยังฉงนไม่หายว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไป ได้แต่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย พร้อมเดินไปยังบานประตูห้องที่ไคชี้ให้เขาเข้าไปก่อนหน้านี้ โดยไม่คัดค้านอะไรทั้งสิ้นและทันทีที่บานประตูได้ปิดลง คนที่ยังยืนอยู่ตรงทางเดินถึงกับเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

    ปัง...

    “เฮ้อ...” น้ำเสียงนั่นฟังดูเหนื่อยล้า ทั้งที่ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไรเลย สายตาที่มองบานประตูที่ปิดไปได้สักพักแล้วเพียงมองตามไปด้วยความเป็นห่วงไปพักใหญ่ ก่อนตัดสินใจผลักประตูตรงหน้าเปิดออก เผยให้เห็นห้องขนาดกลาง มีเตียงอยู่สองเตียงภายในห้อง

    แต่สิ่งที่เรียกความสนใจเขาได้อย่างแท้จริง คงจะเป็นประตูกระจกตรงหน้าต่างหาก เพราะเมื่อลองมองออกไปนอกห้องดูแล้ว เขาก็พบว่ามันสามารถมองเห็นทะเลได้อย่างชัดเจน

    ...ดีแล้วล่ะที่ไม่ให้มาเห็น...

    เพราะรู้ดี ว่าหากให้ไอจิมาอยู่ในห้องนี้นานๆ เข้า บางทีอาจจะเผลอคิดไปถึงเรื่องนั้นอีกก็เป็นได้ ดูจากสภาพตอนลงจากรถเขาก็พอจะเดาได้แล้ว ว่าบางที... ไอจิคงจะกลายเป็นโรคกลัวน้ำไปแล้วก็เป็นได้ ระหว่างที่คิด สองมือก็เริ่มลงมือทำความสะอาดห้องนี้ไปด้วย

    “หวังว่าคงจะไม่เกิดเรื่องแย่ๆ อะไรขึ้น” ได้แต่นึกภาวนาเช่นนั้น สองมือยังคงลงมือเก็บกวาดห้องที่ไม่ได้ใช้อยู่นานแล้วนี้ต่อไป ทว่าภายในหัวกลับนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์หนึ่งเข้า เหตุการณ์ที่ทำให้เขาเกือบต้องสูญเสียคนสำคัญสุดที่สุดในชีวิตไป...

     

    เหตุการณ์นั่นเกิดขึ้นหลังเขามาอยู่ในบ้านเซ็นโดได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น เขาจำได้ว่าในเช้าวันนั้น อากาศมันไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก ท้องนภาที่เคยปลอดโปร่งกลับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีเทา ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าในอีกไม่ช้าก็เร็ว สายฝนอาจจะตกลงมาก็เป็นได้

    ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะไม่ออกไปข้างนอก ทว่ากับเด็กอีกคนที่อยู่ข้างกายเขามาโดยตลอด มาวันนี้กลับเดินหายออกไปจากบ้านโดยไม่บอกเขาไว้ก่อน

    “ไอจิ!

    วิ่งออกไปนอกบ้านแล้วเอ่ยตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความแตกตื่น ความรู้สึกหวาดกลัวเข้าครอบงำจิตใจ ทั้งที่ตอนสูญเสียครอบครัวไปเขายังไม่รู้สึกตื่นกลัวขนาดนี้มาก่อนเลย สองขาเล็กออกวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศ สายตาคอยกวาดมองไปทั่วเพื่อหาคนที่หายไปโดยไม่บอกกล่าวเขา

    “หายไปไหนกันนะ” ตามปกติแล้วไอจิแทบจะไม่เคยออกห่างจากเขาเลย เวลาจะไปที่ไหนก็มักจะขอให้เขาไปด้วยตลอดหรือไม่ก็จะบอกเอาไว้ก่อน ทว่าวันนี้กลับต่างออกไป ร่างที่ตัวเล็กกว่าเขามากกลับออกไปจากบ้านโดยไม่บอกกล่าวอะไรเขาสักคำ

    ยิ่งสภาพอากาศมันดูไม่ค่อยน่าไว้ใจแบบนี้ด้วยแล้ว เขายิ่งเป็นห่วงอีกฝ่ายหนักมากขึ้นไปอีก ถึงได้ตัดสินใจออกตามหา สองขาพาร่างของเขาออกวิ่งไปตามสถานที่ต่างๆ ที่คิดว่าไอจิจะไป ทว่าไม่ว่าจะวิ่งไปที่ไหน เขากลับไม่พบคนที่ตามหาเลย ใจจากที่ไม่สงบอยู่แล้วกลับยิ่งเต้นรั่วมากขึ้นไปอีก ราวกับเป็นลางสังหรณ์ว่าคนที่เขากำลังตามอยู่ อาจะเกิดเรื่องร้าย...

    ...ไม่ใช่!...

    ปฏิเสธตัวเองสุดใจ สองขายังคงออกวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ร่างเล็กของเด็กชายหยุดวิ่งไปช่วงขณะหนึ่ง ใบหน้าคมที่ไร้ซึ่งรอยยิ้มใดมาเป็นช่วงเวลาหนึ่งเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าหากเขายังไม่ตามหาตัวอีกฝ่ายให้พบโดยเร็ว สายฝนเหล่านี้คงจะกระหน่ำตกลงมาแรงกว่านี้แน่นอน

    “ไอจิ!

    ตะโกนร้องเรียกออกไปสุดเสียงแต่กลับไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมาทั้งสิ้น ร่างนั้นยังคงวิ่งไปต่อเรื่อยๆ อย่างไร้ซึ่งจุดหมาย จนกระทั่งไม่รู้อะไรมาดลใจให้เขาวิ่งมาหยุดอยู่กลางสะพาน สายตาก็ก้มมองลงไปยังเบื้องล่างที่สายน้ำเริ่มรุนแรงมากขึ้น แล้วกวาดมองไปรอบริมฝั่งแม่น้ำที่ไม่น่าจะมีใครอยู่อีกแล้วเพราะเวลานี้ การอยู่แถวนั้นมันเป็นอันตราย

    ทว่าสิ่งที่เขาเห็นแทบทำเอาหัวใจเกือบหยุดเต้น สายตาจ้องมองคนที่ตามหาอย่างเอาเป็นเอาตายโดนใครบางคนที่มองไม่เห็นผลักตกลงแม่น้ำ!

    ตูม!

    “ไอจิ!” รีบกระโดดตามลงไปอย่างไม่คิดมากอะไรในทันที ไม่คิดถึงแม้แต่ความปลอดภัยของตัวเอง นาทีนี้สิ่งเดียวที่เขาคิดก็คือช่วยอีกฝ่ายเอาไว้ให้ได้ก่อน ทว่าเพียงช่วงพริบตาก่อนที่จะร่างของเขาจะปะทะเข้ากับสายน้ำเย็น รอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยและนัยน์ตาสีแดงคู่นั้นได้ผ่านเข้ามาในสายตาเขา

    ตูม!

    กระโจนลงมาในน้ำอย่างไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งสิ้น รู้สึกอึดอัดและทรมานจนนึกอยากขึ้นไปเหนือน้ำโดยเร็วที่สุด ทว่าตัวเขาในตอนนี้ยังขึ้นไปไม่ได้ ยังไม่อาจขึ้นไปเหนือผิวน้ำได้จนกว่าจะได้พบกับสิ่งที่ตามหา นัยน์ตาสีเขียวมรกตพยายามกวาดมองใต้ผืนน้ำที่เชี่ยวกรากอย่างยากลำบาก

    ปากนึกอยากเอ่ยตะโกนเรียกชื่อออกไปแต่ก็ไม่สามารถทำได้ สิ่งที่เขาทำได้ในขณะนี้คือการมองหาร่างเล็กแสนเปราะบางนั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าไม่ว่าจะมองหาเช่นไร เขาก็ไม่พบเสียทีจนเริ่มรู้สึกใจเสีย ความอึดอัดในอกเองก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลาที่เลยผ่านไป

    ...นายอยู่ที่ไหน ไอจิ!...

    ร่างกายหนักอึ้ง สติเริ่มเลือนรางลงไปทุกขณะ เขารู้ตัวว่าต้องรีบว่ายขึ้นสู่ผืวน้ำก่อนที่ตัวเองจะจมน้ำตาย แต่อีกใจก็ยังห้ามตัวเขาไม่ให้ขึ้นไปด้านบน จนกว่าจะได้พบ จนกว่าจะได้เจออีกคนที่ตามหา ยังยังคงคิดฝืนตัวเองไปเช่นนั้นจนกระทั่ง...

    ตุบ!

    ท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่ลอยมาตามน้ำกระแทกเข้ากับร่างเขาเข้าอย่างจัง ความทรมานที่มีอยู่ก่อนเพิ่มเป็นทวีคูณ ร่างกายรู้สึกปวดไปทั่วร่าง สติเริ่มประคองเอาไว้อยู่ อากาศที่กักเก็บเอาไว้ถูกแทนที่ด้วยน้ำอย่างรวดเร็วเมื่อเขาเผลออ้าปากกรีดร้องไปชั่วขณะ แต่เขาก็ยังพอมีสติอยู่มากพอที่จะมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดปากตัวเอง เพื่อกันไม่ให้อากาศที่มีอยู่น้อยนิดออกไปมากกว่านี้

    แต่เหมือนมันก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไรนัก เขาใกล้หมดสติและตัวไอจิเองเขาก็ยังหาไม่เจอเลย ความสิ้นหวังเข้าเกาะกุมหัวใจ เปลือกตาหนักอึ้งเริ่มปรือปิดลงอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ใจก็ได้แต่นึกร้องเรียกชื่อของคนที่อยากจะพบ ไม่ว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม...

    ...ไอจิ...

    ทว่าก่อนที่สติของเขาจะดับวูบไป ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความอึดอัดทั้งหมดที่เกาะกุมอยู่เริ่มบรรเทาลงจนพานนึกไปว่าเขาอาจจะตายไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะเสียงที่ที่กรีดร้องอยู่ข้างกายเขา

     “ไคคุง!

    เสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ข้างกาย อากาศที่หายไปเริ่มคืนกลับ ทว่ากับสติแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นด้วย เขายังคงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สองมือยื่นออกไปก่อนใจคิด ปากขยับพึมพำเอ่ยชื่อที่ยังคงฝักแน่นอยู่ภายในใจเขาออกไป

    “ไอจิ...” เพียงเอ่ยเรียกชื่อออกไป ใบหน้าที่เห็นนั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด นัยน์ตาที่เคยเป็นสีฟ้าครามกลับแดงฉานนั่นดูเศร้าสร้อย สองมือที่ยื่นออกไปถูกความอบอุ่นจากคนตรงหน้ากำไว้มั่น ให้มั่นใจว่านี่ไม่ใช้ความฝัน สิ่งที่เขาสัมผัสและเห็นอยู่ในขณะนี้คือความเป็นจริง...

    “ยังไม่สูญเสียไปสินะ” พึมพำออกไปเช่นนั้นก่อนเปลือกตาจะปรือปิดลงอีกครั้ง หูแว่วได้ยินเสียงของไอจิกรีดร้องออกมาสุดเสียงและเอาแต่กล่าวถ้อยคำขอโทษออกมาอย่างเอาเป็นเอาตายจนแทบขาดใจ นึกอยากเอ่ยปลอบแต่ร่างกายเขามันช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน ไม่สามารถทำได้ตามใจคิด... 

    “ขอโทษนะๆ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเอง!

    ...อย่าร้องไห้ ไอจิ...

    แล้วนั่นก็เป็นความคิดสุดท้ายที่อยากจะเอ่ยบอกออกไป แต่ไม่สามารถพูดออกไปได้ในขณะนั้น ก่อนสติทั้งหมดจะดับวูบไป... และนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา ไคก็แทบที่จะไม่ปล่อยไอจิละสายตาไปอีกเลย คงเพราะในใจส่วนลึกของเขานั่นคงกำลังหวาดกลัว... กลัวที่จะสูญเสียที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายไป...

     

    กึก!

    ร่างบางที่ตั้งใจทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็งอยู่ก่อนหน้านี้หยุดชะงักทุกการกระทำ ก่อนรีบพุ่งไปที่บานหน้าต่างแล้วผลักเปิดออกอย่างแรง นัยน์ตาสีฟ้าครามแปรเปลี่ยนไปเป็นสีแดงฉานอย่างรวดเร็วเมื่อรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ประสงค์ดี

    “ไงคุณสัตว์ประหลาด” เสียงดังทักทายนั่งดังมาจากทางด้านล่าง ไอจิก้มหน้าลงไปมองพบกับบุคคลที่เคยพบด้วยแล้วครั้งหนึ่ง... ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นสองครั้ง

    “คุณเร็น...” นึกสงสัยว่าทำไมคนคนนี้ถึงได้มาอยู่ที่ไหนได้ แต่เพราะยังไม่รู้จักกัน ประกอบกับเขาไม่ไว้ใจอีกฝ่าย สิ่งที่นึกสงสัยจึงไม่ได้เอ่ยถามออกไป

    “สิ่งที่ไม่อยากจะให้คนสำคัญรู้ จะปิดมันได้นานสักนาดไหนกันเชียว”

    !!?

    นัยน์ตาสีแดงฉานเบิกขึ้นกว้างด้วยความตกใจ ก่อนรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบกายเย็นขึ้นอย่างรวดเร็ว ไอจิจำต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้กลับมาสงบอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เขาปกปิดเอาไว้มาโดยตลอดอาจจะถูกเปิดเผยเอาได้ สายตาก็คอยสบตามองกลับไปด้วยความไม่ไว้วางใจ

    “อย่ามองแบบนั้นสิ แค่มาทักทายน่ะ” นึกอยากจะเถียงออกไป ว่าคำพูดเหล่านี้มันไม่ควรใช้ทักทายคนที่พึ่งพบเจอกันได้ไม่กี่ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไปนอกจากนิ่งเฉย

    “เย็นชาจังเลยนะไอจิคุง แต่ก็เอาเถอะ ยังไงพวกเราก็คงจะได้พบกันอีก จนกว่าจะถึงตอนนั้น อย่าเผลอไปทำให้ทะเลกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียก่อนล่ะ” เป็นอีกครั้งที่ไอจิได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกตกใจ เพราะความลับนี้แม้แต่คนในครอบครัวเองก็ไม่มีใครรู้ รวมไปถึงไคก็ด้วยเช่นกัน

    แล้วทำไม คนตรงหน้าพูดเหมือนจะรู้เรื่องของเขาดีไปทุกอย่าง ชายผมแดงคนนี้เป็นใครกันแน่ ปากขยับเตรียมถามออกไปด้วยความสงสัย ทว่าคนที่อยู่อีกห้องกลับเอ่ยทักขึ้นมาเสียก่อน

    “ไอจิเสร็จหรือยัง”

    ละสายตาหันไปมองทางบานประตูที่ปิดอยู่ ก่อนตวัดสายตาหันกลับมามองคนที่พูดคุยด้วยเมื่อครู่นี้อีกครั้ง ทว่าร่างนั้นกลับหายไปแล้ว บนทรายเองก็ไม่ปรากฏร่องรอยของรอยเท้าอยู่อีกด้วย ทำเอาไอจิเผลอนึกไปเหมือนกันว่าคนตรงหน้าอาจจะเป็นผี...

    ...ไม่หรอก...

    แต่ก็แย้งตัวเองขึ้นมาแทบจะในทันที เพราะอีกใจเขาเหมือนจะล่วงรู้ว่าชายคนนั้นเป็นใครแต่อีกใจก็เหมือนจะไม่รู้เช่นกัน บางทีคำตอบเหล่านั้นคงจะอยู่ในความฝันที่เลือนรางนั้นก็เป็นได้

    “เสร็จแล้วครับไคคุง” ตอบตะโกนตอบรับออกไปแบบนั้นแล้วรีบเดินออกไปจากห้องโดยเร็วที่สุด เพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงอีก

    “เหลืออีกสองห้อง รีบทำให้เสร็จแล้วก็ลงไปหาพวกโทคุระกันเถอะ” ทันทีที่เดินออกมานอกห้อง ก็เห็นไคเตรียมเข้าไปอีกห้องต่อในทันที ไอจิพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปในอีกห้องเช่นกัน สองมือเริ่มลงมือทำความสะอาดต่อทั้งที่ภายในใจก็ได้แต่เอ่ยนึกเตือนตัวเอง

    ...ต้องระวัง...

    สิ่งที่ระวังนั่นก็คือชายคนนั้น ชายที่ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ แต่เพราะได้มาที่นี่ ได้เห็นผืนน้ำจำนวนมาก มันทำให้ไอจินึกขึ้นได้ว่าสมัยเด็กเขาก็เคยได้พบเจอกันมาก่อนแล้ว แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดีเท่าไรนักและในครั้งนี้ก็ด้วย ไม่รู้ว่าจะมาดีหรือร้ายก็ตาม เขาก็ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อนและเรื่องที่ต้องระวังก็ไม่ได้มีแค่ชายคนนั้นเพียงอย่างเดียว

    ...แต่ต้องระวังตัวเองด้วยสินะ...

    เพราะบางที อันตรายอาจจะไม่ได้มาจากชายคนนั้น แต่อาจจะเป็นตัวเขาก็เป็นได้...

     
     

    มุมน้ำชา

    กว่าจะเอามาเฉลยกันว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นมันเกิดอะไรขึ้นจนไคกลายเป็นพวกติดไอจิ มันก็ปาเข้าไปตอนที่10กันเลยทีเดียวค่ะ หุๆ เอาล่ะเนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ฝ่ายพวกมิซากิเองจะเริ่มหวานขึ้น (จริงเหรอ) ด้วยเช่นกัน ในขณะที่ฝ่ายคู่ไอจิของเรา ใกล้จะเริ่มกินมาม่ากันแล้ว! (อร่อยยย) 

     

    H & H
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×