ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Fic Vanguard} Statice (Kai x Aichi)

    ลำดับตอนที่ #11 : ดอกไม้กลีบที่ 10: นัยน์ตาสีแดง

    • อัปเดตล่าสุด 22 มิ.ย. 57


    Title:  Statice

    Genre: BL,Comedy, Romance, Drama

    Rating:  PG

    Pairing: Kaix Aichi, Miwa x Misaki

     

    ดอกไม้กลีบที่ 10: นัยน์ตาสีแดง

     

    “ช้า!

    ขณะนี้เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่นัดจะมาถึงเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มที่เริ่มทนไม่ไหวถึงกับตวาดออกมาสุดเสียงด้วยความรู้สึกทนไม่ไหว ร้อนให้คนที่คิดแผนการพวกนี้ขึ้นมาต้องเข้าไปช่วยปลอบ ในขณะที่อีกคนก็เริ่มหยิมมือถือตัวเองขึ้นมากดเบอร์ของคนมาสายเป็นการด่วน

    “คุณมิซากิใจเย็นๆ หน่อยเถอะครับ เดี๋ยวคุณมิวะก็...”

    “จะให้รอไปอีกนานแค่ไหน นี่รอมาชั่วโมงนึงแล้วนะ!” เวลาเด็กสาวตรงหน้าโกรธทีไร เธอมักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยจะได้ทุกที ไอจิที่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดีแล้ว ได้แต่หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากไคที่กำลังเร่งตามคนที่มาช้าให้อยู่เป็นการด่วน

    “รับแล้ว” เหมือนจะช่วยแต่ก็ไม่ช่วยไปในขณะเดียวกัน ในเมื่อสายตาแสดงความเกรี้ยวกราดของมิซากิได้พุ่งตรงไปที่คนถือโทรศัพท์มือถือยู่แทน ไคที่รู้สึกตัวเองกำลังรับกรรมแทนคนอื่นอยู่ ถึงกับรู้สึกผวาไปอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แม้ภายนอกจะยังดูสงบนิ่งดีก็ตาม

    “มิวะ เมื่อไรนายจะมา ตอนนี้...” กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์มือถือด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ ทำราวกับว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อันแสนน่าอึดอัดแต่อย่างใด ผิดกับไอจิที่คอยส่งสายตาเป็นกำลังใจมาให้อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

    “ไค ฉันควรจะทำยังไงดี ยังเลือกชุดใส่ไม่ได้เลย”

    ...นายเป็นผู้หญิงหรือไง!...

    แวบแรกที่ได้ยินคำพูดของมิวะ ไคเผลอคิดออกมาแบบนั้นด้วยความหัวเสียไปในทันที ปากก็เอ่ยโต้ตอบกลับด้วยคำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ แต่หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากปลายสายเป็นการใหญ่

    “ถ้านายไม่รีบมา โทคุระเอานายตาย!

    “แว้กกกก”

    โครม!

    ไม่รู้ว่าที่ปลายสายมันเกิดอะไรขึ้น ถึงได้เกิดเสียงดังเสียขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆ ไคไม่คิดถือสายรอเพื่อฟังต่อไปอย่างแน่นอน เขาถึงได้ตัดสินใจกดวางสายไป ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมอะไรไปบางอย่างเพราะพอวางสายไปแล้ว เด็กสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มได้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าไม่ชวนเป็นมิตรเท่าไรนัก

    “เข้าไปเล่นกันก่อนไหม” เป็นคำชวนที่พูดเพื่อเอาตัวรอดแบบเน้นๆ ไม่ได้คิดถึงแผนการของไอจิแต่อย่างใด แล้วดูเหมือนมันจะช่วยทำให้เขารอดพ้นจากการเป็นที่ระบายอารมณ์ได้อย่างฉิวเฉียด เมื่อสีหน้าของมิซากิเริ่มดูผ่อนคลายลง ผิดกับไอจิที่เริ่มมองหน้าเขาด้วยความไม่พอใจไปแทน

    ...โทษนะไอจิ แต่ฉันยังไม่อยากตาย...

    ได้แต่ส่งสายตาแสดงความขอโทษออกไปแบบนั้น ระหว่างนั้นสองขาก็เดินตามมิซากิที่เดินนำหน้าพวกเขาไปไกลก่อนแล้วอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีเรื่องชวนหงุดหงิดใจเพิ่มมาอีก

    “ไคคุงอ๊ะ...” ทว่าขณะเร่งฝีเท้าเดินตามไป ไอจิที่เดินตามอยู่ข้างเขาก็ทำหน้าบึ้งใส่ น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยเรียกเขาเองก็ฟังดูแล้วรู้ได้เลย ว่ากำลังไม่พอใจเขาอยู่แน่ๆ ที่เลือกตัดสินใจไปเองแบบนั้น

    “วันนี้ทั้งวัน ฉันจะตามใจนายเป็นการทดแทนก็แล้วกัน” กระซิบง้ออีกฝ่ายไปแบบนั้นตามวิธีการง้อเด็กอันแสนคลาสสิค (?) และดูเหมือนมันจะได้ผล ใบหน้าของไอจิเริ่มกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง

    “อื้อ” พร้อมตอบรับเขากลับมาแบบนั้น พอได้เห็นท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่ได้โกรธอะไรแล้วของไอจิ ไคถึงกับเผลอนึกถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ระหว่างนั้นสายตาก็หันไปเห็นเด็กสาวที่เดินไปซื้อตั๋วให้พวกเขาก่อนหน้านี้ กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าแบบ...

    ...ดีใจงั้นเหรอ...

    หลังได้เห็นสภาพอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของมิซากิเข้า ทั้งไคและไอจิต่างได้แต่นึกสงสัยอยู่ภายในใจ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ดูอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดูไม่สบอารมณ์อยู่เลย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามอะไรออกไปทั้งสิ้น แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น สำหรับตัวไอจิแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่น่าคิดหนักกว่านั้นรออยู่

    ...แล้วผมจะทำยังไงต่อดีล่ะ แผนที่วางไว้ตั้งแต่แรกก็พังไปแล้วด้วย...

    ระหว่างนั้นคิดหาแผนขั้นต่อไป พวกเขาทุกคนก็ไม่ได้หยุดยืนอยู่กับที่แต่กลับเข้ามาด้านในสวนสนุกกันแล้ว ภายในเองก็มีผู้คนอยู่อย่างมากมาย คงเพราะช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดพอดี คนจึงค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ เหล่าเด็กๆ ต่างก็วิ่งเล่นกันอย่างวุ่นวายไปหมด ตัวมาสคอตของสวนสนุกก็ออกมาเดินเล่นโบกมือทักทายเหล่าผู้คน ร้านค้าขายของหลากชนิดก็ออกมาตั้งเรียงราย แลดูเป็นสถานที่ที่ครึกครื้นกันดี

    พอได้เห็นสภาพภายในของสวนสนุกเข้า ไอจิเกือบหลุดออกนอกเรื่องจากที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ไปสักแล้ว ดีที่นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้มาเที่ยวเล่น แต่มาช่วยทำให้พวกมิซากิสมหวังกันต่างหาก คิดได้ดังนั้นก็สะบัดหัวตัวเองไปมาแรงๆ แล้วเริ่มคิดในทันที ว่าถ้ามิวะมาแล้วจะให้ทั้งคู่ขึ้นไปเล่นเครื่องเล่นอะไรก่อนเป็นอันดับแรก

    “ไปเล่นรถไฟเหาะกัน” ขณะเอาแต่ครุ่นคิดอยู่นั่น ไอจิก็ถูกมิซากิลากไปที่เครื่องเล่นในทันที จนคนโดนดึงได้แต่ทำหน้าเหรอหราอย่างทำตัวไม่ถูก สายตาก็คอยมองย้อนกลับไปทางด้านหลังเห็นไคเดินตามมาเงียบๆ โดยไม่พูดค้านอะไรออกมาสักคำ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขากลัวความสูง!

    “ไคคุง...” เรียกเสียงอ่อน หวังให้ช่วยพูดอะไรบางอย่างแต่ปฏิกิริยาตอบรับที่ได้กลับมา ไคเพียงส่งรอยยิ้มจางๆ มาให้พร้อมโบกมือเหมือนเป็นการอวยพรขอให้โชคดีอีกต่างหาก อย่างนี้ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็เป็นการแกล้งกันชัดๆ

    “ไม่ต้องห่วงหรอกไอจิ นายได้นั่งข้างไคแน่นอน” เห็นไอจิเรียกชื่อไค มิซากิคงจะนึกไปว่าคงอยากจะนั่งด้วยกัน ถึงได้พูดออกไปแบบนั้นโดยไม่ได้ทันไปมองสีหน้าของคนที่กำลังโดนลากให้ไปต่อคิวเพื่อขึ้นเครื่องเล่นกันอยู่เลย ว่าสภาพหน้าตาในตอนนี้มันเป็นเช่นไร

    “ไค นายเองก็สู้ๆ เข้าล่ะ ใช้โอกาสนี้มัดใจไอจิให้ได้ล่ะ” นอกจากช่วยจับคู่ให้เสร็จสรรพไม่พอ ยังหันมากระซิบกล่าวอวยพรเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงอีกต่างหาก มันทำให้ไคเริ่มคิดหนักขึ้นมาหน่อยๆ แล้วว่าตกลงใครมาช่วยใครกันแน่ ระหว่างคู่พวกเขาหรือคู่ของอีกฝ่าย

    “เธอเองก็พยายามเข้าล่ะ” อวยพรมาเช่นนี้ก็อวยพรกลับไปให้เด็กสาวงงเล่นกันบ้าง ส่วนตัวเองก็เดินขึ้นเครื่องเล่นไปด้วยท่าทางสบายๆ ผิดกับไอจิที่เดินขาสั่นมานั่งข้างเขา

    “เมื่อกี้ไคคุงพูดอะไรกับคุณมิซากิเหรอครับ” ต่อให้กลัวขนาดไหนแต่ความอยากรู้ยังคงมีมากกว่า ไอจิถึงได้ถามเขาออกมาแทบจะในทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถไฟเหาะกันแล้ว

    “ก็แค่อวยพรให้น่ะ” เป็นคำตอบที่ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก แต่ไอจิก็ไม่มีเวลามานั่งคิดตีความอะไรให้มากนัก เมื่อรถไฟเหาะที่พวกเขานั่งอยู่เริ่มเคลื่อนตัวออกไปแล้ว มือบางถึงกับยึดที่จับเอาไว้แน่น ใบหน้าเริ่มซีดขาวไร้สีเลือดใดเนื่องจากความกลัว

    “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ฉันอยู่ข้างๆ” รถไฟเริ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ ตอนนี้ภายในหัวไอจิแทบจะกลายเป็นความว่างเปล่า ไม่มีคำพูดใดส่งผ่านเข้ามาได้อีกแล้ว รวมไปถึงไม่ทันได้รู้สึกตัวเลย ว่ามือของตัวเองได้ถูกคนข้างๆ เอาไปกุมเอาไว้แน่น เพราะตอนนี้สติของไอจิได้หลุดออกไปจากร่างเป็นที่เรียบร้อย...

    “อ้ากกกกก”

     

    เวลาผ่านไปไหวเหมือนโกหก เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นพวกเขาก็เล่นรถไฟเหาะเสร็จแล้วและในตอนนี้ พวกเขาก็เลยมานั่งพักอยู่ที่ม้านั่งที่ตั้งอยู่ใกล้ที่สุดแทน และคาดว่าคงจะยังไม่มีความคิดไปเล่นอะไรต่ออีกสักพัก เนื่องจากสภาพของไอจิหลังลงจากเครื่องเล่นมา เขาแทบต้องเป็นคนอุ้มกันลงมาเลยทีเดียว

    “ท่าทางสติจะหลุดออกจากร่างแล้วล่ะน่ะ” มิซากิว่าขึ้นด้วยความเหนื่อยใจหลังเห็นไอจิที่เหมือนสติจะยังไม่กลับเข้าร่าง ทั้งที่ลงจากเครื่องเล่นแสนน่ากลัวนั่นมาก็ได้สักพักแล้วแท้ๆ สองมือก็ช่วยหยิบหากระดาษขึ้นมาทำเป็นพัดจำเป็น มาพัดให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น

    “ให้พักไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปซื้อน้ำมาให้” เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ที่ทำให้ไอจิมาอยู่ในสภาพนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริง เขาก็รู้ดีว่าไอจิกลัวเครื่องเล่นพวกนี้ขนาดไหน แต่กลับยังให้มาเล่นอะไรแบบนี้อีก ถึงได้คิดไปหาซื้อขนมกับพวกเครื่องดื่มที่น่าจะทำให้อีกฝ่ายดีขึ้นมาให้

    “ไม่ต้องหรอก นายอยู่กับไอจิไปแหละ เดี่ยวฉัน...” อยู่ๆ มิซากิก็หยุดพูดไปพร้อมหยิบมือถือตัวเองที่คาดว่าคงจะเปิดระบบสั่นขึ้นมาคุยสักพัก ไคสังเกตเห็นได้ว่าสีหน้าของเด็กสาวเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย จากเป็นกังวลเพราะสภาพของไอจิ ก็เริ่มกลายเป็นขมวดคิ้วเข้าหากัน จากนั้นอีกเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น คิ้วที่ขมวดเค้าหากันกลายเป็นกระตุกแล้วก็จบด้วยเสียงตวาดไปในที่สุด

    “รออยู่ตรงนั้นแหละ!

    แล้วก็เดินจากไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรเขาทั้งสิ้น ปล่อยให้ไคยืนงงไปอยู่พักใหญ่ก่อนนึกขึ้นได้ว่าสภาพของไอจิตอนนี้ยังแย่อยู่

    “ไอจิ” เดินเข้าไปใกล้และนั่งลงข้างๆ ก่อนมือข้างหนึ่งยื่นเข้าไปใกล้แล้วตบลงบนแก้มเนียนอย่างเบาๆ เป็นการเรียกสติอีกฝ่ายให้คืนกลับมา

    “ฮื่อ...” เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นแบบนี้เข้าไคก็เริ่มคลายกังวลลงไปได้บ้าง เพราะก่อนหน้านี้ตอนลงจากเครื่องเล่นใหม่ๆ ไอจิเดินลงมาแบบล่องลอย เหมือนสติไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวสุดๆ นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาเกือบจะอุ้มอีกฝ่ายลงมาแล้ว หากมิซากิไม่ห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน เนื่องจากเกรงว่าถ้าปล่อยให้เขาทำแบบนั้นลงไปจริงๆ อาจได้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น

    “นั่งพักอยู่ตรงนี้แปป เดี๋ยวฉันจะไปซื้ออะไรเย็นๆ มาให้” ใจก็นึกเป็นห่วงอยู่หรอกที่ต้องทิ้งเอาไว้คนเดียว แต่จะให้นั่งรอแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาก็กลัวอาการของไอจิจะแย่ลงอีก สุดท้ายก็ได้แต่ตัดสินใจว่าจะรีบไปรีบกลับแทน

    “อื้ม” ขนาดคำตอบยังได้รับกลับมอย่างไม่ค่อยสมประกอบเท่าไรนักเลย มันยิ่งทำให้ไคเป็นกังวลมากขึ้นไปอีกจนไม่กล้าออกห่างจากอีกฝ่าย

    “อยากกินไอติม...” แต่พอได้ยินประโยคนี้เท่านั้นแหละ จากที่ไม่อยากไปก็รีบลุกขึ้นพรวดแล้วออกวิ่งไปโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรอีกเลย ไอจิที่เริ่มพอจะมีสติขึ้นมาบ้างแล้วเพียงแย้มรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากแล้วหลับตาลงต่อ เนื่องจากอาการเขายังไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไรนัก

    “ยังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมเลยนะ...” 

    เสียงทุ่มที่เหมือนจะคุ้นแต่ก็ไม่คุ้นไปในขณะเดียวกันดังขึ้นเหนือหัว เปลือกตาปรือขึ้นด้วยความเหนื่อยอ่อน พยายามลืมตามองด้วยความสงสัยว่าใครกันมายืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่พอได้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน นัยน์ตาสีฟ้าครามถึงกับเบิกขึ้นกว้างคล้ายตกใจ

    “คุณ...”

    “สัตว์ประหลาดยังก็เป็นสัตว์ประหลาดอยู่วันยันค่ำ สักวันนึง... อดีตอาจจะซ้ำรอยเดิมอีกได้นะ” ใบหน้านั่นประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใส หากแต่ถ้อยคำที่ได้กล่าวออกมานั่นไร้ซึ่งความเป็นมิตร ทว่านัยน์ตาสีแดงคู่นั่น ยามเมื่อได้สบมอง เขารู้สึกคิดถึงได้อย่างน่าประหลาด ราวกับเคยรู้จักกันที่ไหนมาก่อน เมื่อนานแสนนานมาแล้ว

    “เอ่อคือ...” เหมือนจะหวาดกลัวแต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวไปในขณะเดียวกัน อาจเป็นเพราะผลกระทบจากการนั่งรถไฟเหาะมาก็เป็นได้ ในตอนนี้เขาถึงได้รู้สึกไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองเอาเสียเลย ว่าในตอนนี้เขากำลังรู้สึกเช่นไรอยู่กันแน่ ระหว่าหวาดกลัวหรือว่าคิดถึง?

    นึกไม่ออกสินะ งั้นคงต้องแนะนำตัวกันใหม่... สึซึกาโมริ เรน... จำเอาไว้ให้ดีล่ะ เพราะพวกเรานั่นคล้ายกัน แต่ก็ต่างกันด้วยในอีกแง่หนึ่ง” พริบตาเดียวที่เหมือนเห็นทุกสิ่งตกอยู่ในเปลวเพลิง ไอจิถึงกับเบิกนัยน์ตาขึ้นกว้าง จ้องมองชายคนนั้นค่อยๆ เดินจากไปอย่างเชื่องช้าพร้อมกับทุกสิ่งได้คืนสู่สภาพปกติ

    ...เหมือนกันแต่ก็ต่างกันงั้นเหรอ...

    เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจไปในขณะเดียวกัน แล้วยังจะท่าทางที่เหมือนเคยเจอกันมาก่อนนั่นอีก รวมไปถึงเรื่องประหลาดเพียงชั่วครู่ที่เกิดขึ้น ไอจิได้แต่นึกสับสนอยู่ภายในใจ ด้วยความรู้สึกที่เหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่เข้าใจไปในขณะเดียวกัน

    ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ นั่นก็คือชายคนนั้น คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับความฝันประหลาดของเขาอย่างแน่นอน สองมือกุมเอาไว้ที่หน้าตักแน่น อากาศรอบกายเริ่มเย็นลงโดยไม่ทันรู้สึกตัว แล้วก่อนที่จะได้ทันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เสียงของบุคคลที่หายไปก่อนหน้านี้ได้ดังขัดขึ้น ปลุกเรียกสติให้คืนกลับมาสู่โลกความเป็นจริง

    “ไอจิ” สะดุ้งตื่นจากภวังค์ อากาศที่เริ่มหนาวเย็นค่อยๆ กลับสู่สภาวะอุณหภูมิปกติ จนไคที่พึ่งเดินกลับเข้ามาเริ่มนึกสงสัยว่าเมื่อครู่นี้เขาคิดมากไปเองหรือไม่ แต่พอมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าและได้สบตามองกับอีกฝ่ายที่เงยหน้าขึ้นมาฝืนส่งยิ้มให้เขาแล้ว เขาก็พบว่าทุกสิ่งปกติดี

    “เอ้านี่ของนาย รีบๆ กินเข้าไปซะ จะได้ดีขึ้น” ยื่นไอติมไปให้พร้อมนั่งลงข้างๆ สายตาก็ได้แต่คอยจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง ทว่าไอจิเพียงรับมาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น นอกจากกินไอติมที่พึ่งได้รับมาด้วยสีหน้ามีความสุข ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตัวเองได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดจากอีกฝ่ายแท้ๆ แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น...

    ...นัยน์ตากลายเป็นสีแดง... หรือเปล่านะ...

    รู้สึกไม่แน่ใจในความคิดของตัวเองเท่าไรนัก ว่าสิ่งที่เขาเห็นจะเป็นความจริงแน่เหรอ หรือบางทีเขาจะอาจจะตาฝาดไปเองก็เป็นได้ เพราะระยะห่างระหว่างพวกเขาในตอนที่เห็น มันก็มีอยู่มากเช่นกัน

    “ไคคุง อ้าม...” ตื่นจากภวังค์เมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรเย็นๆ เข้ามาใกล้ แล้วเมื่อหันไปมองทางด้านข้าง ก็พบว่าไอจิกำลังยื่นไอติมมาจ่อที่ปากของเขาอยู่

    “นายเนี่ยน่า...” รู้ทั้งรู่ว่าเขาไม่ค่อยถูกกับของหวานสักเท่าไรนัก แต่ก็ยังยื่นมาให้เขากินอีก แล้วยิ่งโดนมองด้วยนัยน์ตาสีฟ้าครามเป็นประกายสดใสขนาดนั้นแล้ว ไคก็ได้แต่ทำใจอ้าปากขึ้นกว้างและรับไอติมที่อีกฝ่ายป้อนให้เข้าปากไปอย่างไม่อาจปฏิเสธอะไรได้

    “ดีขึ้นไหม” รู้สึกหวานแต่ก็ไม่มากเท่าไรนัก ในทางกลับกันมันรู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดหน่อยด้วย บางทีอากาศร้อนๆ แบบนี้กินอะไรเย็นๆ เข้าไปมันคงจะช่วยทำให้รู้สึกขึ้นดี ไคพยักหน้ารับไปอย่างไม่คิดมากอะไร ผิดกับไอจิที่ยังหันมาจ้องหน้าเขาอย่างจับผิด ปากขยับเตรียมพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะมีเสียงของคนที่มาสายที่สุด ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “โทษทีๆ ที่มาสาย”

    ความสนใจเปลี่ยนไปแทบจะในทันที สายตาสองคู่หันไปมองหน้าคนมาสายอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็พบว่ามิซากิที่ยืนอยู่ทางด้านหลังแผ่รังสีน่ากลัวใส่คนตรงหน้า ส่วนมิวะที่คงยังไม่รู้สึกตัวว่าคนด้านหลังอยู่ในสภาวะอารมณ์ไหน ก็ยังคงไม่หันกลับไปมองแต่เลือกที่จะพูดกับพวกเขาแทน

    “เอาล่ะมากันพร้อมแล้ว ไปเล่นอะไรกันก่อนดี บ้านผีสิงไหม” เสนอขึ้นมาที ไอจิก็ถึงกับสะดุ้งตัวไปที ตัวก็ขยับเข้าไปใกล้แล้วเกาะแขนเสื้อไคเอาไว้แน่น ฝ่ายมิซากิที่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เปลี่ยนมาแสยะยิ้มแทนแล้วทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังปั้นหน้ายักษ์ใส่อยู่เลย กลับเห็นด้วยกับความคิดของมิวะโดยไม่กล่าวค้านอะไร

    “น่าสนุกดี งั้นไปกันเถอะ” และแล้วไอจิก็โดนไปลากเล่นเครื่องเล่นโดยไม่ถามความเห็นอีกตามเคย ไคเห็นแล้วอดรู้สึกสงสารอีกฝ่ายไม่ได้ ครั้งนี้ถึงได้เตรียมกล่าวปฏิเสธออกไป แต่ทว่า...

    “โทคุระ... ถ้ากลัวก็ไม่ต้องเข้าก็ได้นะ” เดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านผีสิงเป็นที่เรียบร้อย ไคก็พึ่งสังเกตเห็นว่ามิซากิกำลังขาสั่นอยู่ แม้ท่าทางโดยรวมแล้วจะยังดูสงบก็ตาม คำพูดที่เตรียมบอกออกไปก่อนหน้าเป็นอันยกเลิกแล้วหันไปพูดสิ่งอื่นแทน

    “ไม่” ปฏิเสธเสียงแข็งแล้วยังลากพาเดินเข้าไปด้วยกันอีกต่างหาก สรุปแล้วเขาก็เลยไม่ได้ปฏิเสธให้ไอจิอีกตามเคย ในทางกลับกัน กลายเป็นว่าครั้งนี้เขาโดนลากเข้าไปด้านอีกต่างหาก ไอจิที่ถูกปล่อยไว้คนเดียวทางด้านหลังถึงกับรีบวิ่งมาเกาะแขนเขาเอาไว้แน่น

    “นี่... ถ้ากลัวกันก็ออกเถอะ” ตอนแรกก็โดนลากเข้ามาดีอยู่หรอก แต่พอทุกสิ่งเริ่มตกลงสู่ความมืด โดยมีเพียงแสงสลัวๆ นำทางอยู่เท่านั้น แขนข้างที่ถูกลากก็กลับโดนเด็กสาวยึดเอาไปเกาะเสียแน่น อีกข้างที่ไอจิยึดเอาไปครองอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งเกาะแน่นกันเข้าไปใหญ่ บอกตามตรงเลยว่ารู้สึกอึดอัด

    “ฉันไม่ได้กลัวเสียหน่อย” ว่าแล้วสะบัดแขนเขาออกอีกต่างหาก เห็นแล้วก็ได้แต่นึกถอนหายใจ มืออีกข้างก็ยกขึ้นลูบหัวไอจิเบาๆ เป็นการปลอบขวัญ สายตาก็ได้แต่หันไปเหล่มองมิวะ เป็นการบอกโดยอ้อมว่าให้ช่วยดูแลเด็กสาวที่กลัวแต่ก็ไม่ยอมรับคนนี้ที

    “ไว้ใจได้เลย”

    รับปากไปแบบนั้นแต่สภาพตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ไคถึงกับนึกกุมขมับ สรุปแล้วในที่นี่คงมีเพียงแค่เขาคนเดียวที่ไม่ได้นึกกลัว

    ...ให้มันจบไปเร็วๆ เถอะ!...

    ไม่นึกสนแล้วว่าวันนี้จะมาช่วยทำให้ใครสมหวัง แต่นาทีนี้เขาหวังเพียงอย่างเดียว ว่าขอให้เรื่องน่าปวดหัวพวกนี้จบลงไปเสียทีเถอะ!

     
     

    มุมน้ำชา

     

    ตอนแรกที่เขียนตั้งใจจะดันคู่มิวะกับมิซากิให้จบไปก่อนเลยนะคะ แต่ทำไปทำมารู้สึกว่าอย่าพึ่งเลย อยากดันปริศนาขอพวกไอจิขึ้นมาก่อนค่ะ ส่วนตัวร้ายก็ได้ออกแล้ว ถึงแค่พริบตาก็เถอะ 555+ ตอนหน้าจะไปทะเลกันแล้วค่า

     

    H & H
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×