คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ❥littlekid 。 – 02.2
“ไอเฟิร์บตกบันได ?” ผมถามออกไปเมื่อพบว่ามือกีต้าร์ประจำวงไม่มาตามเวลาที่นัดไว้ มาร์คที่เป็นคนรับโทรศัพท์จากเจ้าตัวพยักหน้าตอบรับ “เมื่อไหร่”
“มันบอกเมื่อวานเย็น”
“แล้วอาการมันหละ”
“เฝือกสองเดือน”
“แล้วเราจะเอายังไงต่อ” อู๋พูดขึ้นเมื่อได้คำตอบที่ไม่น่าพึงพอใจเท่าไหร่ เพราะวงที่ฟอร์มกันจะขึ้นแสดงในงานเปิดบ้านของโรงเรียนซึ่งจะจัดในเดือนกว่าๆ เพลงที่เลือกมาเล่นความจริงมันก็ไม่ได้ยากมาก(บางทีพวกเราก็เล่นแก้เบื่ออยู่แล้วมันเลยไม่ยาก) แต่การที่จะหาคนมาแทนได้คนต้องมีฝีมือพอตัวเหมือนกัน
“ไม่เห็นอยาก เราก็ซ้อมไปก่อนเดี๋ยวค่อยหาทีหลัง”
“ทำไมมึงพูดชิวจังวะ เชี่ยกาย”
“เอาหนะเดี๋ยวกูหาให้” กายกระตุกยิ้มมุมปากในขณะที่กำลังเล่นเกมส์ในมือด้วยอารมณ์ที่ดูชิว ขัดจากเราอีกสามคนพอสมควร
“ถ้าไม่ได้มึงโดนเชือดแน่” มาร์คทำท่าปาดคอพร้อมกับหรี่ตามองไปด้วย ผมเลิกสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเอาไม้กลองที่วางไว้มาควงเล่น ยังไงถ้ากายมันรับปากว่าจะหาได้ ยังไงมันก็(ต้องหาให้)ได้อยู่แล้ว ผมเชื่อในสายตามันอยู่แล้ว J
.
“กูหาคนมาช่วยได้แล้วนะ ติดแค่พวกมึงต้องไปชวนเขามาให้ได้” วันรุ่งขึ้นกายเดินเข้ามาพร้อมกับเฟิร์บที่แขนเข้าเฝือกบอกข่าวดีในข่าวร้ายกลายๆให้รู้
“แต่ถ้ามึงไปนะโอ๊ต โอกาสได้ตัวสูง” เฟิร์บเสริม
ผมสงสายตาสงสัยไปพร้อมกับประโยค ‘อะไรวะ’ โจ่งแจ้งจนมันหัวเราะออกมา ก่อนที่อู๋จะถามขึ้นว่าเป็นใคร และได้รับคำตอบที่น่าแปลกใจเล็กน้อย
“มิน ห้องสาม”
พอได้คำตอบ เราก็ไม่มีใครแย้งออกมา(เอาจริงๆถ้าแย้งก็ต้องไปหามาเองด้วยส่วนหนึ่งนั่นแหละ.__.) พอเห็นว่าไม่มีใครแย้ง กายมันก็พล่ามความสามารถของเขาขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งแนวดนตรี ทักษะการร้องเพลง ที่มันได้ฟังมาจากแบงค์
ก่อนที่เราจะทำการเป่ายิ้งฉุบจนงานมันไปตกที่มาร์ค
เป็นวันว่าพรุ่งนี้มาร์คจะต้องไปชวนเขามาร่วมวงให้ได้ ไม่งั้นคนที่ตายจะเป็นตัวมาร์คเอง
❥littlekid 。
ผมไม่เคยรู้สึกว่าการตั้งใจอ่านโน้ตกลองในมือมันจะยากได้ขนาดนี้ ยิ่งพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงรอลุ้นมาเขาจะมาหรือไม่มา สมาธิของผมกระเจิงทุกครั้งที่ผมไม่รู้สึกตัว เสียงจากสมาชิกที่เหลือไม่ได้แทรกเข้ามาในโสตประสาทเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งประตูกระจกขุ่นถูกเปิดออกจากภายนอก
ผมก้มมองตัวโน้ตในมืออีกครั้งอย่างตั้งใจ
หรือความจริงก็แค่หลบสายตาของเขาที่ทำให้ใจแปลกๆ
“เอ่อ..”
“ไง”
ผมตอบรับกลับไปพร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นเขาส่งเสียงเชิงสงสัยออกมา เขาดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นผมที่นี่ อันที่จริงอย่าว่าแต่เขาเลยขนาดผมที่รู้อยู่ก่อนยังรู้สึกแปลกๆเลย เหมือนห้องมันเล็กขึ้นยังไงก็ไม่รู้สิ เขาถึงดูตัวใหญ่ขึ้น ดึงดูดความสนใจจากผมมากขึ้น
“อ่าว มาแล้วหรอ ช้านะมึงอะ” มาร์คเงยหน้าขึ้นมาทักเขาเพียงแปบเดียว ก็ก้มหน้าลงไปเล่นไพ่ในมือต่อ ส่วนเขาที่ไม่รู้จะทำตัวยังไง(ในความคิดของผมหนะนะ)ก็เดินตรงมานั่งที่โซฟาเดียวกัน มีระยะห่างเล็กน้อยให้ไม่อึดอัด ให้หัวใจได้ส่งเสียงของมันออกมา
ตึกตึก ตึกตึก ตึกตึก
ผ่านไประยะหนึ่ง มาร์คก็เริ่มแนะนำสมาชิกตามธรรมเนียมที่มันควรทำก่อนหน้านี้ตั้งนานแสนนาน ผมถูกแนะนำตัวเป็นคนสุดท้าย พร้อมกับประโยคแซวที่ออกมาจากปากมันพร้อมกับสายตาล้อเล่น จนผมอดไม่ได้ที่จะเขวี้ยงสลิปเปอร์ไป ก่อนจะหันไปพูดกับเขาที่นั่งอยู่ใกล้กัน
“ไม่ต้องไปฟังมันมากหรอก มันบ้าหนะ”
“อะ..อือ”
บทสนทนาจบลงแค่นั้น ก่อนที่เราทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปประจำเครื่องดนตรีของตัวเอง เพื่อเริ่มซ้อมกันอย่างจริงจังซักที
ระหว่างที่ซ้อมไปเสียงของคนมุมห้องก็ลอยมาให้ผมกระตุกยิ้มเล่นอยู่คนเดียว อันที่จริงก็ยิ้มเล่นอยู่คนเดียวนั้นแหละ ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามายุ่งด้วยไง
“แหมๆ หน้าบานได้อีก”
“อีกนิดแก้มก็แตกแล้วมึงดู”
“เสือกไรละ” ว่าพร้อมกับเอาไม่กลองชี้หน้าพวกมันสองคนคือมาร์คกับกายที่พูดมากเกินความจำเป็น
“ก็ปล๊าวว ~ ซ้อมต่อดีกว่า เดี๋ยวหมูตกมัน”
“อันที่จริงมึงควรคิดได้ว่าต้องซ้อมนานแล้ว”
เสียงดนตรีสดค่อยๆเล่นไปตามเพลงที่ฝึกซ้อม เสียงร้องประกอบกับท้วงทำนอง เป็นที่น่าพึงพอใจ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถึงที่สุดที่ทำได้ ผมรู้ว่ามันต้องใช้เวลาพอสมควร เราซ้อมไปเรื่อยๆ ทิ้งสมาธิลงไปกับทุกตัวโน็ต สร้างอินเนอร์ให้กับตัวเองจนลืมโลกภายนอกไป ก่อนที่จะยุติลงด้วยความเอาแต่ใจของมาร์ค
“พอก่อนได้มั้ย กูขี้เกียจแล้ว จะกลับบ้าน” เจ้าตัวพูดพร้อมกับแสดงท่าทีอิดโรยเต็มที่ ชนิดที่ว่าถ้าไม่ห่วงเรื่องแม่บนเพราะเครื่องพัง มันคงปาเครื่องทิ้งไปแล้ว “ไปเข้าห้องน้ำแปบ มีใครไปมั้ย ?” มันถามแล้วเดินออกไปทันที ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกให้รอ
“เห้ยย รอก่อนดิ ไปด้วยๆ”
พวกเราที่เหลืออยู่ในห้องก็ทยอยกันเก็บของ ก่อนที่อู๋จะเก็บเสร็จแล้วขอตัวกลับไปก่อนเพราะดูท้องฟ้าไม่เป็นใจให้เดินเอ้อระเหยเท่าไหร่ ยิ่งเจ้าตัวไม่เอาร่มมาด้วยแล้วอีก หลังจากอู๋ออกไปได้ไม่นาน มาร์คก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา “มึงๆ มีร่มไม๊ กูต้องไปรับน้องต่ออะ ฝนดูจะตกด้วยเนี่ย”
“กูมี มึงเอาไปก่อนก็ได้” ผมควานหาร่มในกระเป๋าตัวเองก่อนจะส่งไปให้อีกฝ่าย ไม่ใช่ว่ามั่นใจว่าตัวเองจะวิ่งเร็วรอดจากฝนอะไรหรอกนะ ความจริงแล้วผมรู้ว่าเขามีร่ม(เพราะผมดันเผลอคว้ากระเป๋ามาเปิดผิดใบ) ผมเลยปล่อยร่มตัวเองไปให้มาร์คยืมนั่นแหละ
“แต้งค์มาก เดี๋ยวพรุ่งนี้กูเอามาคืน”
“เออๆ ระวังอย่าให้น้องมึงไม่สบายละ พวกกูไม่อยากฟังมึงครำครวญ”
หลังจากที่มาร์คออกไปได้ไม่นาน กายกับเฟิร์บก็เดินบอกลาขอตัวกลับไป เหลือผมที่ต้องรอเขากลับมาก่อน ความจริงก็แค่รอปิดห้องต่างหาก..
“อ่าว กลับกันหมดแล้วหรอ”
เขาที่ตัวเปียกจากละอองฝนเล็กน้อยถามขึ้น ผมพยักตอบกลับไป ทิ้งตัวเองนั่งลงตรงหน้าประตูมองดูฝนที่เทลงมาชนิดที่ว่าร่มก็ช่วยอะไรไม่ได้สาดกระทบพื้น เขามิ้งตัวลงไม่ไกลจากกันนักนั่งมองไปทางเดียวกับเขา จนกระทั่งฝนซาลง ความเงียบก็ถูกทำลาย
“ฝนซ่าลงแล้ว มินจะกลับเลยมั้ย”
“ก็คงกลับเลย เผื่อมันตกหนักกว่าเดิมอะ โอ๊ตหละ ?”
“เราไม่มีร่มคงรอให้ฝนหยุดก่อนอะ”
“เอ่อ.. ถ้าไม่คิดอะไรกลับกับเราก็ได้ เมื่อเช้าแม่ให้เราเอาร่มมา” เขาถามออกมาพร้อมกับเขาแก้มตัวเองเล็กน้อย แล้วส่งยิ้มแหยะๆออกมา
“ถ้างั้นรบกวนด้วยนะ” ผมยิ้มตอบกลับให้เขาไป คว้ากระเป๋าตัวเอง ปิดห้องจนเรียบร้อยก่อนที่จะเดินไปพร้อมกับเขา
ความจริงแล้ว ฝนตกแบบนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่ เพราะงั้นอย่าพึ่งรีบหยุดตกนะครับ :
)
♫ tbc
อหห หายไปชาติเศษ นึกว่าตายไปแล้วนะเนี่ย
55555555555555555555555.
ความคิดเห็น