ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : chapter 7
chapter 7
"นี่คุณเจสสิก้า! ฉันตั้งใจมาทำงานนะ ไม่ใช่มาเพื่อหอบหิ้วถุงช็อปปิ้งตามคุณต่อยๆแบบนี้" ยูริบ่นกระปอดกระแปดไล่หลังหญิงสาวร่างบางในชุดเดรสแบรนด์ดังจากต่างแดน สองมือเต็มไปด้วยถุงพะรุงพะรังซึ่งมูลค่าสิ่งของภายในนั้นเธอเองก็ไม่กล้าจะนับว่ามันจะเท่ากับเงินเดือนของเธอสักกี่เดือนกันแน่
เธอก็แค่คนธรรมดาที่เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง สำหรับเรื่องการรับเลี้ยงแทยอนเป็นบุตรบุญธรรมในบ้านอีกคน นั่นก็เป็นเพราะความถูกชะตาของคุณแม่เธอที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนญาติที่ทำงานในสถานสงเคราะห์ในกรุงโซลล้วนๆ ไม่ใช่ว่าร่ำรวย มีเงินเหลือมากพอจะรับเลี้ยงเด็กน้อยเพิ่มเติมนักหนา นั่นทำให้เธอไม่ค่อยเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมชั้นสูงเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าที่บ้านผลิตธนบัตรได้เองหรือไร ถึงได้เอามาถลุงกันได้มากมายขนาดนี้ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง
แต่ที่คนธรรมดาอย่างเธอไม่เข้ายิ่งกว่าก็คือการกระทำของเจสสิก้าในตอนนี้นี่แหละ ก็นัดกันดิบดีว่าจะมาทำงาน แต่ไม่ทันไรสาวเจ้าก็ใช้ให้เธอเป็นสารถีขับรถมาส่งที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ไม่พอยังเปลี่ยนบทบาทของเธอจากผู้ถูกว่าจ้างมาเป็นคนรับใช้อย่างเต็มตัวอีกต่างหาก
"งานโฆษณาน่ะ ถ้ามัวแต่นั่งคิดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมมันจะไปได้ประโยชน์อะไร ฉันพาเธอมาดูการตลาดของบริษัทเรา จะได้รู้ว่าอะไรเป็นจุดขายที่เธอควรจะเอาไปแทรกในชิ้นงาน ฉันไม่เห็นว่ามันจะไม่เป็นงานเป็นการตรงไหนหนิควอน ยูริ"
ถ้อยคำก็ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลสวยหรูดีอยู่หรอก แต่ขอโทษนะ ตั้งแต่มาเหยียบที่นี่ สาบานได้ว่าเธอยังไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปแตะพื้นของสถานที่ที่เรียกว่าแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าสักนิดเดียว
แถมข้าวของในมือเธอตอนนี้ก็เป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีว่า สาวสวยที่แสนจะร้ายกาจคนนี้ตั้งใจพาเธอมาเป็นคนถือของชัดๆ!
แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะขัดเคืองอย่างไรก็ทำได้เพียงแค่ฟึดฟัดอยู่คนเดียวเงียบๆ ก็ตอนนี้เธอน่ะ แบกความหวังของคนในบริษัทโฆษณาเล็กๆไว้แทบจะทั้งบริษัทเลยก็ว่าได้
ยัยป้านี่เป็นนายจ้าง ส่วนฉันเป็นลูกจ้าง สถานะมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าใครเป็นรอง ถึงใจอยากจะตะโกนใส่ให้รู้สำนึกสักประโยคสองประโยคก็ทำได้แค่คิด
เจสสิก้าปรายตามองยูริที่เริ่มมีท่าทีหัวเสียเล็กๆแล้วก็ต้องลอบยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ใช่ว่าปกติเธอจะโหดร้ายถึงขนาดพาลูกน้องมาช่วยหอบข้าวหอบของมากมายแบบนี้เสียเมื่อไหร่ แต่กับควอน ยูริเป็นข้อยกเว้น เธอก็แค่อยากจะแกล้งคนปากจัดที่เอาแต่ด่าเธอทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ยิ่งตอนนี้ยูริอยู่ในสถานะที่ต้องยอมตามเธอทุกอย่างชนิดที่ว่าหมดหนทางจะขัดขืนด้วยแล้ว ท่าทีกระวนกระวายแบบนั้นของเค้ามันยิ่งทำให้คุณหนูตระกูลจองรู้สึกสะใจเสียจริง
"น้องสาวเธอทำงานอะไร" เป็นอีกครั้งที่เจสสิก้าซักไซ้ถึงเรื่องของแทยอนจากยูริ
เธอสนใจแทยอนไม่น้อย ไม่สิ.. ถ้าจะพูดว่าเธอสนใจผู้หญิงคนนั้นมากๆก็คงจะไม่ใช่อะไรที่เกินความจริงนัก
และอะไรก็ตามที่คนอย่างเธอสนใจ ไม่ว่าอะไรที่เธอต้องการ.. ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะไม่ได้มันมาครอบครอง.. รวมถึงผู้หญิงตัวเล็กผู้แสนจะทรงเสน่ห์คนนั้นด้วยเช่นกัน เธอมั่นใจ
"นี่คุณไม่รู้จริงๆหรอ" ยูริเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ แต่จะว่าไปมันก็คงจะไม่ผิดแผกอะไรนักล่ะมั้ง ก็ระดับรองประธานบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของประเทศจะมารู้จักพนักงานระดับล่างๆอย่างน้องสาวของเธอได้ยังไงกัน
"นี่เธอโง่หรือไง ฉันจะไปตรัสรู้ได้ไงล่ะยะ!" นั่น! ตอกกลับซะหงาย นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคนอย่างยูริคงไม่ยืนเฉยโดยไม่สรรหาถ้อยคำแสบสันสวนกลับเธอไปเป็นแน่
"แทยอนมันบอกว่าทำงานที่บริษัทอุปกรณ์อิเลคโทรนิกอะไรสักอย่างนี่แหละ ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกมันคงละสายงานกัน" และนี่ก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่ยูริเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องแทยอนอย่างตรงไปตรงมา ไม่แน่ใจว่าทำไมเธอต้องทำแบบนี้ บางทีอาจจะเพราะเธอคิดว่ายัยคนสวยนี่ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ล่ะมั้ง
"นี่เธอเป็นพี่ประสาอะไร เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้! วันๆสนใจน้องตัวเองบ้างรึเปล่าเนี่ย" เจสสิก้าแหวใส่ ดูหงุดหงิดขึ้นมาทันตาเมื่อรู้สึกว่าเธอไม่เคยล้วงเอาข้อมูลเรื่องแทยอนจากผู้หญิงตรงหน้าได้สักที
'ก็ใครมันจะไปเหมือนเธอล่ะป้า ที่แสดงท่าทีสนอกสนใจไอ้แทมันออกนอกหน้าขนาดนั้นน่ะ!' ทำได้แค่คิด ไม่สามารถแม้จะขยับปากพูด ตอนนี้ยูริทำได้แค่ลอบเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ และเดินตามนายจ้างคนสวยเจ้าอารมณ์ไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง
.
.
"เธอจะตามเข้าไป หรือจะรอตรงนี้ก็ได้ ฉันจะไปดูข้างในนั้นหน่อย" เจสสิก้าหันมาพูดกับยูริที่เดินถือของตามหลังเธออีกครั้ง หลังจากที่พาตัวมาหยุดยืนอยู่ที่ร้านจิวเวอร์รี่ราคาสูงลิบ
"เชิญเถอะค่ะคุณผู้หญิง" ยูริผายมือพลางโค้งตัวลงเพื่อแสดงความนอบน้อมอย่างเสแสร้งเต็มที่ แต่ก็ใช่ว่าสาวเจ้าจะใส่ใจ เมื่อสองขาเรียวคู่นั้นได้พาร่างระหงเข้าไปในร้านนั่นเสียแล้ว
เหอะ.. เชื่อเค้าเลยยัยป้านี่!
ยูริมองตามหญิงสาวไปเล็กน้อย ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับน้ำหอมแบรนด์คุ้นตาในร้านที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
ไว้เท่าความคิด ขายาวๆก้าวไปหยุดยืนมองหน้าร้านในทันที ทำไมเธอจะจำไม่ได้ว่ามันเป็นน้ำหอมกลิ่นที่ทิฟฟานี่ชอบใช้ เรื่องของทิฟฟานี่ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนเธอก็จำได้หมดนั่นแหละ
เหมือนคนบ้าเลยแฮะ แค่เห็นของที่เค้าชอบ ก็ต้องพาตัวมาหยุดยืนอมยิ้มอยู่ได้ ไม่คิดว่าฉันจะเป็นเอามากขนาดนี้นะเนี่ย!
ยูริยืนมองขวดแก้วดีไซน์เก๋บรรจุของเหลวใสที่วางเรียงรายกันอยู่ในตู้กระจกอยู่แบบนั้น
เปล่าเลย.. เธอไม่ได้คิดจะซื้อมันกลับไปให้ทิฟฟานี่ ไม่ใช่เพราะเสียดายเงินในกระเป๋าหรืออย่างไร เพียงแต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะซื้อมันกลับไปทำไมในเมื่อทิฟฟานี่เองก็คงมีอยู่แล้ว ซื้อน้ำหอมพวกนี้ไปตั้งไว้เฉยๆนานๆก็คงเสียของเปล่าๆ เธอก็แค่อดที่จะเดินมาดูใกล้ๆไม่ได้เวลาที่เห็นอะไรก็ตามที่สื่อถึงความเป็นตัวตนของทิฟฟานี่ ก็เท่านั้น..
"ฉันเหมาในชั้นนี่ทั้งชั้นเลยแล้วกันนะคะ"
น้ำเสียงที่เพิ่งจะคุ้นเคยได้ไม่นานดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายจ้างของเธอ จะชี้นิ้วสั่งพนักงานให้กวาดเอาขวดน้ำหอมยี่ห้อที่เธอจับจ้องมองอยู่หายไปจนเกลี้ยงชั้น!
ยูริมองการกระทำนั้นอย่างอึ้งๆ ถึงแม้ว่าเจสสิก้าจะรวยล้นฟ้า มีเงินเหลือพอจะใช้ได้อย่างสบายๆไปสิบชาติ แต่การกระทำแบบนั้นมันก็ยากที่จะไม่ให้สามัญชนอย่างเธออ้าปากค้างได้
"ฉันให้" มือบางยื่นถุงใบโตที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆให้คนตรงหน้าทันที
"ห๊ะ!"
"ก็เห็นเธอยืนมองอยู่ตั้งนาน แต่อย่าคิดว่าฉันจะพิศวาสอะไรเธอนะ ฉันก็แค่สงสาร นี่อยากจะซื้อไปให้ยัยเด็กนั่นสินะ"
"ห๊ะ!" ไม่รู้ว่าจะมีคำอุทานไหนแทนอารมณ์ของยูริในตอนนี้ได้มากไปกว่าคำสั้นๆคำนี้อีกแล้ว
"ก็เด็กที่ฉัน.. ชนจนล้มไปวันนั้นไง แฟนกันไม่ใช่รึไง ฉันฝากนี่ไปให้เธอด้วยแล้วกัน!" เจสสิก้ารู้สึกขัดเขินเกินกว่าจะพูดว่าความจริงแล้วเธอก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ถ้าวันนั้นเธอไม่ได้อารมณ์เสียเป็นทุนเดิม และยิ่งมาปรี๊ดแตกมากขึ้นเมื่อเจอถ้อยคำว่าร้ายเสียๆหายๆจากผู้หญิงตรงหน้า เธอก็คงไม่ใจร้ายพอที่จะเดินจากคนที่เธอเดินชนจนเสียหลักล้มไปกองอยู่กับพื้นไปเฉยๆแบบนั้น
ถึงเธอจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีมนุษยธรรมเสียหน่อย
"เฮ้ย บ้า! น้องซอไม่ใช่แฟนฉัน!" ยูริทำหน้าเหวอ ปากขยับตอบอย่างอัตโนมัติ
"อ้าว! ก็ฉันเห็นเป็นห่วงเป็นใย โกรธเป็นฟืนไปไฟแทนกันซะขนาดนั้น นี่ไม่ใช่แฟนกันรึไง"
ถ้าเพียงแค่เจสสิก้ารู้จักยูริมากกว่านี้อีกสักนิด เธอจะรู้ว่าการกระทำแบบของยูริมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถสัมผัสความอ่อนโยนจากผู้หญิงคนนี้ได้ไม่ยาก
"ซอฮยอนเป็นรุ่นน้องฉันน่ะ"
"จะเป็นอะไรก็ช่างเหอะ ฉันไม่ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ เธออยากจะเอาไปให้ใครก็ตามใจเธอแล้วกัน"
ยูริมองไล่หลังร่างบางที่ก้าวเท้าฉับๆนำหน้าไป ก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะปรากฎขึ้นที่ริมฝีปาก
ดูก็รู้ว่าเจสสิก้าคงอยากจะขอโทษซอฮยอนอยู่เหมือนกัน ถึงแม้วิธีการมันจะแย่มากก็ตาม มีอย่างที่ไหนใช้เงินกว้านซื้อของมาฟาดหัวกันแบบนี้ แต่นั่นคงเป็นเพราะเธอเติบโตมาในสังคมที่ใช้เงินซื้อทุกสิ่ง อีกอย่างการเลี้ยงดูที่ตามใจในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมสาวสวยคนนี้ถึงได้เอาแต่ใจตัวเองนักหนา
บางทียัยป้านี่ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไรนักก็ได้..
..........
"ไม่มีใครติดต่อมาบ้างเลยหรอคะ"
"เราไม่เคยได้รับการติดต่อจากคนตระกูลคิมเลยค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ ถ้ามีอะไรคืบหน้าเราจะรีบแจ้งกลับไปทันทีเลยนะคะ"
..ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เธอรู้สึกผิดหวังกับเรื่องเดิมๆ..
เธอไม่รู้จริงๆว่าจะตามหาครอบครัวของเธอได้ยังไง นอกเหนือจากความโกรธแค้นมากมาย ในส่วนลึกของหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจและน้อยใจ..
บางที.. คิม แทยอน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านคนนั้น อาจจะถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของทุกคนแล้วก็เป็นได้..
"พี่แทยอน" เสียงแหลมเล็กปลุกเธอขึ้นมาจากภวังค์
"ว่าไงเจ้าหนู" คิม แทยอน อุ้มเด็กน้อยรูปร่างอวบขึ้นนั่งบนตัก ก่อนจะใช้มือขาวๆยีผมเขาเล่นอย่างเอ็นดู
เห็นแล้วก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้..
"พี่แทไม่มาเยี่ยมพวกเราตั้งหลายสัปดาห์ หนูรอพี่ทุกวันเลยนะ" เด็กชายวัยห้าขวบเศษตัดพ้ออย่างน่าสงสาร ถึงจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาเยี่ยมเยียน จัดเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่แก่เด็กในสถานสงเคราะห์อย่างเขา แต่นั่นก็แค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วจากไป จึงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกรักและผูกพันกับผู้หญิงตรงหน้าที่มักจะหาเวลาว่างมานั่งเล่นกับพวกเขาเสมอ
ทิฟฟานี่นั่งมองดูภาพตรงหน้าแล้วก็ต้องอมยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ปกติแล้วเธอไม่ใช้คนรักเด็กอะไร ออกจะทำตัวไม่ถูกด้วยซ้ำหากต้องอยู่กับเด็กน้อยตาใสแป๋วกลุ่มนี้ แต่ภาพความอ่อนโยนกับความไร้เดียงสาที่แสนจะบริสุทธิ์ของหนุ่มสาวต่างวัยตรงหน้ามันยิ่งกว่าความประทับใจในความรู้สึกของเธอ
แทยอนน่ารัก.. ถึงจะไม่ได้แสดงความอ่อนโยนออกมาให้เห็นบ่อยๆอย่างพี่ยูล แต่ยิ่งรู้จักกันมากขึ้น ยิ่งได้ใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกว่าเค้าน่ารักมากขึ้นทุกๆวัน..
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่แทยอนพาเธอมาที่นี่ เธอไม่เคยรู้ว่าแทยอนสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกับเด็กๆที่นี่ได้มากขนาดนี้ จริงอยู่ที่เธอพอรู้มาบ้างว่าแทยอนเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวควอน แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอรับรู้
แทยอนไม่เคยเล่าประวัติอดีตให้เธอฟังมากไปกว่านั้น.. และไม่ใช่วิสัยของเธอที่จะไปไล่ต้อนเอาคำตอบจากเขา..
สักวันแทยอนอาจจะบอกกับเธอเอง.. เธอเชื่ออย่างนั้น..
"แฟนพี่แทสวยเหมือนนางฟ้าเลย" เด็กชายทำตาใส ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเกือบครบทุกซี่
ถึงจะเป็นแค่คำพูดของเด็กตัวเล็กๆ แต่สาบานได้ว่าเธอกำลังเขินมาก! ลองใครบอกว่าทิฟฟานี่เป็นแฟนเธอ ต่อให้เป็นเด็กน้อยที่เพิ่งจะเริ่มหัดพูดได้ เธอก็เขินจนหน้าเห่อแดงได้ทั้งนั้น
แก่แดดแก่ลมใหญ่แล้วนะเจ้าเด็กพวกนี้!
"เคยเห็นนางฟ้ารึไงเราน่ะ" น่าน.. ถึงจะเขิน แต่ก็ไม่ปฏิเสธซะด้วย..
"ไม่เคย แต่คิดไว้ว่านางฟ้าต้องเป็นแบบนี้แหละ" นี่ถ้าเด็กน้อยโตกว่านี้อีกสักสิบปี สิบห้าปี แทยอนต้องคิดว่าเจ้าหนูนี่ปีนเกลียวจีบเพื่อนของเธอแน่ๆ
"ถ้าไม่ใช่แฟนพี่แท หนูจะขอพี่ฟานี่แต่งงาน" เด็กน้อยพูดแจ้วเสียงใส ส่งยิ้มให้ทิฟฟานี่อย่างน่ารัก ทั้งๆที่เจ้าตัวก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคำว่าแต่งงานมันหมายถึงอะไร
ทิฟฟานี่ยิ้มขำในความไร้เดียงสาของหนูน้อยตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือไปลูบผมของเขาเบาๆอย่างอดไม่ได้
"น่ารักขนาดนี้ ถ้าโตกว่านี้อีกสักสิบปีพี่ต้องตอบตกลงแน่ๆ" คำพูดน่ารักๆของทิฟฟานี่ทำให้เด็กชายถึงกับยิ้มกว้าง กระโดดโลดเต้นอย่างอารมณ์ดีอยู่บนหน้าตักของแทยอน
"โห อะไรเนี่ย เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ชั่วโมงจะแต่งงานกันแล้วรึไง" แทยอนแหวขึ้นมา ไม่อยากจะยอมรับว่าเธอหวงทิฟฟานี่แม้กระทั่งกับเด็กตัวเล็กๆแบบนี้
แกมันบ้าไปแล้วแน่ๆ คิม แทยอน
"ก็พี่ฟานี่เป็นรักแรกของหนูนี่" เด็กชายวัยย่างหกขวบพูดตอบอย่างฉะฉาน เขาไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร รู้แค่เขาชอบใจอะไรก็แสดงออกไปอย่างซื่อๆ ไม่ต้องคิดมากให้วุ่นวาย
ถ้ารักคือความพึงใจ ทิฟฟานี่ก็คือรักของเด็กน้อย แต่สำหรับแทยอน ถ้าความหมายของคำว่ารักมันมีแค่นั้นจริงๆ ความรู้สึกที่มีให้เพื่อนคนนี้มันคงเกินกว่าคำว่ารักอยู่มากโข
"โรแมนติกมาก รักแรกพบเลยงั้นสิ" แทยอนหัวเราะร่าในคำตอบของหนูน้อย ก่อนจะใช้สองมือจี้สะเอวนุ่มๆนั้นอย่างมันเขี้ยว ทำเอาเขาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ยกไม้ยกมือขึ้นปัดพัลวัน
ยิ่งโต กระบวนการคิดก็ยิ่งซับซ้อนขึ้น แทยอนแทบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเธอพูดคำว่ารักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
อาจจะตั้งแต่ก่อนที่เธอจะถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังในสถานที่แบบนี้..
สำหรับคนที่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจเรื่องทุกเรื่องแบบเธอ การจะพูดหรือทำอะไรก็ต้องคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ หากความรักมันเป็นเรื่องของทฤษฎี คนอย่างเธออาจจะตอบคำถามของหัวใจไปได้ตั้งนานแล้วก็ได้
แต่หลายครั้งที่เธอเองก็ไม่มั่นใจว่า ความจริงแล้วเธอตอบตัวเองไม่ได้ หรือไม่กล้าตอบกันแน่..
เพราะมิยองสำคัญกับฉันมากเกินกว่าที่ฉันจะทำให้เธอเสียใจเพราะความแค้นมากมาย ที่มันกัดกร่อนหัวใจของฉันในทุกๆวัน แต่ก็เพราะมิยองอีกเหมือนกันที่มีค่ากับชีวิตของฉันมากเกินกว่าที่ฉันจะปล่อยมือเธอให้กับคนอื่นได้..
อาจเป็นเพราะแบบนี้ ฉันถึงไม่กล้าทำอะไรที่มันชัดเจนกับเธอได้มากกว่านี้.. ฉันกลัวเธอจะเสียใจ แต่ฉันก็กลัวฉันจะเสียเธอไปเหมือนกัน..
...........
"คุณเจสสิก้าครับ มีโปรเจคจากแผนกการผลิตยื่นมาถึงฝ่ายบริหารครับ"
ทันทีที่เจสสิก้าทรุดตัวลงนั่ง เลขาหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทเนี้ยบคนเดิมก็เดินเข้ามาพร้อมโค้งศีรษะให้อย่างนอบน้อม ก่อนจะวางเอกสารปึกหนาลงกับโต๊ะ
เขารู้ดีว่าคนอย่างเจ้านายของเขาไม่มีวันจะเปิดอ่านโปรเจคใดๆก็ตามที่ไม่ได้ผ่านมติใหญ่ของบอร์ดบริหารมาก่อนอย่างแน่นอน และยิ่งเป็นโปรเจคของพนักงานหน้าใหม่แบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เผลอๆเขาเองอาจจะโดนเธอแหวใส่สักกัณฑ์สองกัณฑ์เป็นแน่
นี่ถ้าซูยอง หัวหน้าแผนกการผลิตไม่มาคะยั้นคะยอเขาด้วยตัวเอง เขาไม่มีวันส่งโปรเจคนี้ถึงมือเจ้านายคนสวยคนนี้เด็ดขาด
"ฉันคิดว่าเธอทำงานกับฉันมานานพอจนน่าจะรู้นะว่าอะไรสมควรไม่สมควร" เจสสิก้ากดเสียงต่ำ เป็นเสียงที่ฟังแล้วเย็นยะเยือกเข้าไปถึงไขกระดูกคนฟังกันเลยทีเดียว
รู้งี้ ไม่ตบปากรับคำซูยองซะก็ดี!
เจสสิก้ามองหน้าเลขาหนุ่มนิ่งๆ ก่อนจะชายตาผ่านเอกสารที่วางหราอยู่บนโต๊ะทำงาน ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่เธอมองผ่านตัวอักษรเล็กๆไม่กี่ตัวที่ดูไม่เตะตาบนกระดาษขาว มันก็สามารถหยุดสายตาเธอไว้ได้ในทันที
มือบางเอื้อมไปหยิบโปรเจคใหม่จากพนักงานระดับล่างที่เธอไม่เคยคิดจะเหลียวแลมาถือไว้ ก่อนจะเพ็งพินิจดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอเห็นมันคือความจริง
ควอน แทยอน?!?!
"ใครยื่นโปรเจคนี้ขึ้นมาให้ฉัน!"
"เป็นพนักงานใหม่ในแผนกการผลิตน่ะครับ แต่ซูยองบอกว่าเธอ.."
"ตามเค้าขึ้นมาพบฉัน เดี๋ยวนี้เลย!"
...........
O.o
เหมือนจะดี แต่มาทิ้งทุ่นเอาตอนจบเสียได้ 55
;p
"นี่คุณเจสสิก้า! ฉันตั้งใจมาทำงานนะ ไม่ใช่มาเพื่อหอบหิ้วถุงช็อปปิ้งตามคุณต่อยๆแบบนี้" ยูริบ่นกระปอดกระแปดไล่หลังหญิงสาวร่างบางในชุดเดรสแบรนด์ดังจากต่างแดน สองมือเต็มไปด้วยถุงพะรุงพะรังซึ่งมูลค่าสิ่งของภายในนั้นเธอเองก็ไม่กล้าจะนับว่ามันจะเท่ากับเงินเดือนของเธอสักกี่เดือนกันแน่
เธอก็แค่คนธรรมดาที่เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง สำหรับเรื่องการรับเลี้ยงแทยอนเป็นบุตรบุญธรรมในบ้านอีกคน นั่นก็เป็นเพราะความถูกชะตาของคุณแม่เธอที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนญาติที่ทำงานในสถานสงเคราะห์ในกรุงโซลล้วนๆ ไม่ใช่ว่าร่ำรวย มีเงินเหลือมากพอจะรับเลี้ยงเด็กน้อยเพิ่มเติมนักหนา นั่นทำให้เธอไม่ค่อยเข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมชั้นสูงเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าที่บ้านผลิตธนบัตรได้เองหรือไร ถึงได้เอามาถลุงกันได้มากมายขนาดนี้ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง
แต่ที่คนธรรมดาอย่างเธอไม่เข้ายิ่งกว่าก็คือการกระทำของเจสสิก้าในตอนนี้นี่แหละ ก็นัดกันดิบดีว่าจะมาทำงาน แต่ไม่ทันไรสาวเจ้าก็ใช้ให้เธอเป็นสารถีขับรถมาส่งที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ไม่พอยังเปลี่ยนบทบาทของเธอจากผู้ถูกว่าจ้างมาเป็นคนรับใช้อย่างเต็มตัวอีกต่างหาก
"งานโฆษณาน่ะ ถ้ามัวแต่นั่งคิดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมมันจะไปได้ประโยชน์อะไร ฉันพาเธอมาดูการตลาดของบริษัทเรา จะได้รู้ว่าอะไรเป็นจุดขายที่เธอควรจะเอาไปแทรกในชิ้นงาน ฉันไม่เห็นว่ามันจะไม่เป็นงานเป็นการตรงไหนหนิควอน ยูริ"
ถ้อยคำก็ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลสวยหรูดีอยู่หรอก แต่ขอโทษนะ ตั้งแต่มาเหยียบที่นี่ สาบานได้ว่าเธอยังไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปแตะพื้นของสถานที่ที่เรียกว่าแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าสักนิดเดียว
แถมข้าวของในมือเธอตอนนี้ก็เป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีว่า สาวสวยที่แสนจะร้ายกาจคนนี้ตั้งใจพาเธอมาเป็นคนถือของชัดๆ!
แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะขัดเคืองอย่างไรก็ทำได้เพียงแค่ฟึดฟัดอยู่คนเดียวเงียบๆ ก็ตอนนี้เธอน่ะ แบกความหวังของคนในบริษัทโฆษณาเล็กๆไว้แทบจะทั้งบริษัทเลยก็ว่าได้
ยัยป้านี่เป็นนายจ้าง ส่วนฉันเป็นลูกจ้าง สถานะมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าใครเป็นรอง ถึงใจอยากจะตะโกนใส่ให้รู้สำนึกสักประโยคสองประโยคก็ทำได้แค่คิด
เจสสิก้าปรายตามองยูริที่เริ่มมีท่าทีหัวเสียเล็กๆแล้วก็ต้องลอบยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ใช่ว่าปกติเธอจะโหดร้ายถึงขนาดพาลูกน้องมาช่วยหอบข้าวหอบของมากมายแบบนี้เสียเมื่อไหร่ แต่กับควอน ยูริเป็นข้อยกเว้น เธอก็แค่อยากจะแกล้งคนปากจัดที่เอาแต่ด่าเธอทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ยิ่งตอนนี้ยูริอยู่ในสถานะที่ต้องยอมตามเธอทุกอย่างชนิดที่ว่าหมดหนทางจะขัดขืนด้วยแล้ว ท่าทีกระวนกระวายแบบนั้นของเค้ามันยิ่งทำให้คุณหนูตระกูลจองรู้สึกสะใจเสียจริง
"น้องสาวเธอทำงานอะไร" เป็นอีกครั้งที่เจสสิก้าซักไซ้ถึงเรื่องของแทยอนจากยูริ
เธอสนใจแทยอนไม่น้อย ไม่สิ.. ถ้าจะพูดว่าเธอสนใจผู้หญิงคนนั้นมากๆก็คงจะไม่ใช่อะไรที่เกินความจริงนัก
และอะไรก็ตามที่คนอย่างเธอสนใจ ไม่ว่าอะไรที่เธอต้องการ.. ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะไม่ได้มันมาครอบครอง.. รวมถึงผู้หญิงตัวเล็กผู้แสนจะทรงเสน่ห์คนนั้นด้วยเช่นกัน เธอมั่นใจ
"นี่คุณไม่รู้จริงๆหรอ" ยูริเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ แต่จะว่าไปมันก็คงจะไม่ผิดแผกอะไรนักล่ะมั้ง ก็ระดับรองประธานบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของประเทศจะมารู้จักพนักงานระดับล่างๆอย่างน้องสาวของเธอได้ยังไงกัน
"นี่เธอโง่หรือไง ฉันจะไปตรัสรู้ได้ไงล่ะยะ!" นั่น! ตอกกลับซะหงาย นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคนอย่างยูริคงไม่ยืนเฉยโดยไม่สรรหาถ้อยคำแสบสันสวนกลับเธอไปเป็นแน่
"แทยอนมันบอกว่าทำงานที่บริษัทอุปกรณ์อิเลคโทรนิกอะไรสักอย่างนี่แหละ ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกมันคงละสายงานกัน" และนี่ก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่ยูริเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องแทยอนอย่างตรงไปตรงมา ไม่แน่ใจว่าทำไมเธอต้องทำแบบนี้ บางทีอาจจะเพราะเธอคิดว่ายัยคนสวยนี่ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ล่ะมั้ง
"นี่เธอเป็นพี่ประสาอะไร เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้! วันๆสนใจน้องตัวเองบ้างรึเปล่าเนี่ย" เจสสิก้าแหวใส่ ดูหงุดหงิดขึ้นมาทันตาเมื่อรู้สึกว่าเธอไม่เคยล้วงเอาข้อมูลเรื่องแทยอนจากผู้หญิงตรงหน้าได้สักที
'ก็ใครมันจะไปเหมือนเธอล่ะป้า ที่แสดงท่าทีสนอกสนใจไอ้แทมันออกนอกหน้าขนาดนั้นน่ะ!' ทำได้แค่คิด ไม่สามารถแม้จะขยับปากพูด ตอนนี้ยูริทำได้แค่ลอบเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ และเดินตามนายจ้างคนสวยเจ้าอารมณ์ไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง
.
.
"เธอจะตามเข้าไป หรือจะรอตรงนี้ก็ได้ ฉันจะไปดูข้างในนั้นหน่อย" เจสสิก้าหันมาพูดกับยูริที่เดินถือของตามหลังเธออีกครั้ง หลังจากที่พาตัวมาหยุดยืนอยู่ที่ร้านจิวเวอร์รี่ราคาสูงลิบ
"เชิญเถอะค่ะคุณผู้หญิง" ยูริผายมือพลางโค้งตัวลงเพื่อแสดงความนอบน้อมอย่างเสแสร้งเต็มที่ แต่ก็ใช่ว่าสาวเจ้าจะใส่ใจ เมื่อสองขาเรียวคู่นั้นได้พาร่างระหงเข้าไปในร้านนั่นเสียแล้ว
เหอะ.. เชื่อเค้าเลยยัยป้านี่!
ยูริมองตามหญิงสาวไปเล็กน้อย ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับน้ำหอมแบรนด์คุ้นตาในร้านที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
ไว้เท่าความคิด ขายาวๆก้าวไปหยุดยืนมองหน้าร้านในทันที ทำไมเธอจะจำไม่ได้ว่ามันเป็นน้ำหอมกลิ่นที่ทิฟฟานี่ชอบใช้ เรื่องของทิฟฟานี่ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนเธอก็จำได้หมดนั่นแหละ
เหมือนคนบ้าเลยแฮะ แค่เห็นของที่เค้าชอบ ก็ต้องพาตัวมาหยุดยืนอมยิ้มอยู่ได้ ไม่คิดว่าฉันจะเป็นเอามากขนาดนี้นะเนี่ย!
ยูริยืนมองขวดแก้วดีไซน์เก๋บรรจุของเหลวใสที่วางเรียงรายกันอยู่ในตู้กระจกอยู่แบบนั้น
เปล่าเลย.. เธอไม่ได้คิดจะซื้อมันกลับไปให้ทิฟฟานี่ ไม่ใช่เพราะเสียดายเงินในกระเป๋าหรืออย่างไร เพียงแต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะซื้อมันกลับไปทำไมในเมื่อทิฟฟานี่เองก็คงมีอยู่แล้ว ซื้อน้ำหอมพวกนี้ไปตั้งไว้เฉยๆนานๆก็คงเสียของเปล่าๆ เธอก็แค่อดที่จะเดินมาดูใกล้ๆไม่ได้เวลาที่เห็นอะไรก็ตามที่สื่อถึงความเป็นตัวตนของทิฟฟานี่ ก็เท่านั้น..
"ฉันเหมาในชั้นนี่ทั้งชั้นเลยแล้วกันนะคะ"
น้ำเสียงที่เพิ่งจะคุ้นเคยได้ไม่นานดังขึ้น ก่อนที่ร่างบางของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายจ้างของเธอ จะชี้นิ้วสั่งพนักงานให้กวาดเอาขวดน้ำหอมยี่ห้อที่เธอจับจ้องมองอยู่หายไปจนเกลี้ยงชั้น!
ยูริมองการกระทำนั้นอย่างอึ้งๆ ถึงแม้ว่าเจสสิก้าจะรวยล้นฟ้า มีเงินเหลือพอจะใช้ได้อย่างสบายๆไปสิบชาติ แต่การกระทำแบบนั้นมันก็ยากที่จะไม่ให้สามัญชนอย่างเธออ้าปากค้างได้
"ฉันให้" มือบางยื่นถุงใบโตที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆให้คนตรงหน้าทันที
"ห๊ะ!"
"ก็เห็นเธอยืนมองอยู่ตั้งนาน แต่อย่าคิดว่าฉันจะพิศวาสอะไรเธอนะ ฉันก็แค่สงสาร นี่อยากจะซื้อไปให้ยัยเด็กนั่นสินะ"
"ห๊ะ!" ไม่รู้ว่าจะมีคำอุทานไหนแทนอารมณ์ของยูริในตอนนี้ได้มากไปกว่าคำสั้นๆคำนี้อีกแล้ว
"ก็เด็กที่ฉัน.. ชนจนล้มไปวันนั้นไง แฟนกันไม่ใช่รึไง ฉันฝากนี่ไปให้เธอด้วยแล้วกัน!" เจสสิก้ารู้สึกขัดเขินเกินกว่าจะพูดว่าความจริงแล้วเธอก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ถ้าวันนั้นเธอไม่ได้อารมณ์เสียเป็นทุนเดิม และยิ่งมาปรี๊ดแตกมากขึ้นเมื่อเจอถ้อยคำว่าร้ายเสียๆหายๆจากผู้หญิงตรงหน้า เธอก็คงไม่ใจร้ายพอที่จะเดินจากคนที่เธอเดินชนจนเสียหลักล้มไปกองอยู่กับพื้นไปเฉยๆแบบนั้น
ถึงเธอจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีมนุษยธรรมเสียหน่อย
"เฮ้ย บ้า! น้องซอไม่ใช่แฟนฉัน!" ยูริทำหน้าเหวอ ปากขยับตอบอย่างอัตโนมัติ
"อ้าว! ก็ฉันเห็นเป็นห่วงเป็นใย โกรธเป็นฟืนไปไฟแทนกันซะขนาดนั้น นี่ไม่ใช่แฟนกันรึไง"
ถ้าเพียงแค่เจสสิก้ารู้จักยูริมากกว่านี้อีกสักนิด เธอจะรู้ว่าการกระทำแบบของยูริมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถสัมผัสความอ่อนโยนจากผู้หญิงคนนี้ได้ไม่ยาก
"ซอฮยอนเป็นรุ่นน้องฉันน่ะ"
"จะเป็นอะไรก็ช่างเหอะ ฉันไม่ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ เธออยากจะเอาไปให้ใครก็ตามใจเธอแล้วกัน"
ยูริมองไล่หลังร่างบางที่ก้าวเท้าฉับๆนำหน้าไป ก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะปรากฎขึ้นที่ริมฝีปาก
ดูก็รู้ว่าเจสสิก้าคงอยากจะขอโทษซอฮยอนอยู่เหมือนกัน ถึงแม้วิธีการมันจะแย่มากก็ตาม มีอย่างที่ไหนใช้เงินกว้านซื้อของมาฟาดหัวกันแบบนี้ แต่นั่นคงเป็นเพราะเธอเติบโตมาในสังคมที่ใช้เงินซื้อทุกสิ่ง อีกอย่างการเลี้ยงดูที่ตามใจในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมสาวสวยคนนี้ถึงได้เอาแต่ใจตัวเองนักหนา
บางทียัยป้านี่ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไรนักก็ได้..
..........
"ไม่มีใครติดต่อมาบ้างเลยหรอคะ"
"เราไม่เคยได้รับการติดต่อจากคนตระกูลคิมเลยค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ ถ้ามีอะไรคืบหน้าเราจะรีบแจ้งกลับไปทันทีเลยนะคะ"
..ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เธอรู้สึกผิดหวังกับเรื่องเดิมๆ..
เธอไม่รู้จริงๆว่าจะตามหาครอบครัวของเธอได้ยังไง นอกเหนือจากความโกรธแค้นมากมาย ในส่วนลึกของหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจและน้อยใจ..
บางที.. คิม แทยอน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านคนนั้น อาจจะถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของทุกคนแล้วก็เป็นได้..
"พี่แทยอน" เสียงแหลมเล็กปลุกเธอขึ้นมาจากภวังค์
"ว่าไงเจ้าหนู" คิม แทยอน อุ้มเด็กน้อยรูปร่างอวบขึ้นนั่งบนตัก ก่อนจะใช้มือขาวๆยีผมเขาเล่นอย่างเอ็นดู
เห็นแล้วก็อดนึกถึงตัวเองไม่ได้..
"พี่แทไม่มาเยี่ยมพวกเราตั้งหลายสัปดาห์ หนูรอพี่ทุกวันเลยนะ" เด็กชายวัยห้าขวบเศษตัดพ้ออย่างน่าสงสาร ถึงจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาเยี่ยมเยียน จัดเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่แก่เด็กในสถานสงเคราะห์อย่างเขา แต่นั่นก็แค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วจากไป จึงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกรักและผูกพันกับผู้หญิงตรงหน้าที่มักจะหาเวลาว่างมานั่งเล่นกับพวกเขาเสมอ
ทิฟฟานี่นั่งมองดูภาพตรงหน้าแล้วก็ต้องอมยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ปกติแล้วเธอไม่ใช้คนรักเด็กอะไร ออกจะทำตัวไม่ถูกด้วยซ้ำหากต้องอยู่กับเด็กน้อยตาใสแป๋วกลุ่มนี้ แต่ภาพความอ่อนโยนกับความไร้เดียงสาที่แสนจะบริสุทธิ์ของหนุ่มสาวต่างวัยตรงหน้ามันยิ่งกว่าความประทับใจในความรู้สึกของเธอ
แทยอนน่ารัก.. ถึงจะไม่ได้แสดงความอ่อนโยนออกมาให้เห็นบ่อยๆอย่างพี่ยูล แต่ยิ่งรู้จักกันมากขึ้น ยิ่งได้ใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกว่าเค้าน่ารักมากขึ้นทุกๆวัน..
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่แทยอนพาเธอมาที่นี่ เธอไม่เคยรู้ว่าแทยอนสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกับเด็กๆที่นี่ได้มากขนาดนี้ จริงอยู่ที่เธอพอรู้มาบ้างว่าแทยอนเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวควอน แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอรับรู้
แทยอนไม่เคยเล่าประวัติอดีตให้เธอฟังมากไปกว่านั้น.. และไม่ใช่วิสัยของเธอที่จะไปไล่ต้อนเอาคำตอบจากเขา..
สักวันแทยอนอาจจะบอกกับเธอเอง.. เธอเชื่ออย่างนั้น..
"แฟนพี่แทสวยเหมือนนางฟ้าเลย" เด็กชายทำตาใส ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเกือบครบทุกซี่
ถึงจะเป็นแค่คำพูดของเด็กตัวเล็กๆ แต่สาบานได้ว่าเธอกำลังเขินมาก! ลองใครบอกว่าทิฟฟานี่เป็นแฟนเธอ ต่อให้เป็นเด็กน้อยที่เพิ่งจะเริ่มหัดพูดได้ เธอก็เขินจนหน้าเห่อแดงได้ทั้งนั้น
แก่แดดแก่ลมใหญ่แล้วนะเจ้าเด็กพวกนี้!
"เคยเห็นนางฟ้ารึไงเราน่ะ" น่าน.. ถึงจะเขิน แต่ก็ไม่ปฏิเสธซะด้วย..
"ไม่เคย แต่คิดไว้ว่านางฟ้าต้องเป็นแบบนี้แหละ" นี่ถ้าเด็กน้อยโตกว่านี้อีกสักสิบปี สิบห้าปี แทยอนต้องคิดว่าเจ้าหนูนี่ปีนเกลียวจีบเพื่อนของเธอแน่ๆ
"ถ้าไม่ใช่แฟนพี่แท หนูจะขอพี่ฟานี่แต่งงาน" เด็กน้อยพูดแจ้วเสียงใส ส่งยิ้มให้ทิฟฟานี่อย่างน่ารัก ทั้งๆที่เจ้าตัวก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคำว่าแต่งงานมันหมายถึงอะไร
ทิฟฟานี่ยิ้มขำในความไร้เดียงสาของหนูน้อยตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือไปลูบผมของเขาเบาๆอย่างอดไม่ได้
"น่ารักขนาดนี้ ถ้าโตกว่านี้อีกสักสิบปีพี่ต้องตอบตกลงแน่ๆ" คำพูดน่ารักๆของทิฟฟานี่ทำให้เด็กชายถึงกับยิ้มกว้าง กระโดดโลดเต้นอย่างอารมณ์ดีอยู่บนหน้าตักของแทยอน
"โห อะไรเนี่ย เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ชั่วโมงจะแต่งงานกันแล้วรึไง" แทยอนแหวขึ้นมา ไม่อยากจะยอมรับว่าเธอหวงทิฟฟานี่แม้กระทั่งกับเด็กตัวเล็กๆแบบนี้
แกมันบ้าไปแล้วแน่ๆ คิม แทยอน
"ก็พี่ฟานี่เป็นรักแรกของหนูนี่" เด็กชายวัยย่างหกขวบพูดตอบอย่างฉะฉาน เขาไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร รู้แค่เขาชอบใจอะไรก็แสดงออกไปอย่างซื่อๆ ไม่ต้องคิดมากให้วุ่นวาย
ถ้ารักคือความพึงใจ ทิฟฟานี่ก็คือรักของเด็กน้อย แต่สำหรับแทยอน ถ้าความหมายของคำว่ารักมันมีแค่นั้นจริงๆ ความรู้สึกที่มีให้เพื่อนคนนี้มันคงเกินกว่าคำว่ารักอยู่มากโข
"โรแมนติกมาก รักแรกพบเลยงั้นสิ" แทยอนหัวเราะร่าในคำตอบของหนูน้อย ก่อนจะใช้สองมือจี้สะเอวนุ่มๆนั้นอย่างมันเขี้ยว ทำเอาเขาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ยกไม้ยกมือขึ้นปัดพัลวัน
ยิ่งโต กระบวนการคิดก็ยิ่งซับซ้อนขึ้น แทยอนแทบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเธอพูดคำว่ารักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
อาจจะตั้งแต่ก่อนที่เธอจะถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังในสถานที่แบบนี้..
สำหรับคนที่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจเรื่องทุกเรื่องแบบเธอ การจะพูดหรือทำอะไรก็ต้องคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ หากความรักมันเป็นเรื่องของทฤษฎี คนอย่างเธออาจจะตอบคำถามของหัวใจไปได้ตั้งนานแล้วก็ได้
แต่หลายครั้งที่เธอเองก็ไม่มั่นใจว่า ความจริงแล้วเธอตอบตัวเองไม่ได้ หรือไม่กล้าตอบกันแน่..
เพราะมิยองสำคัญกับฉันมากเกินกว่าที่ฉันจะทำให้เธอเสียใจเพราะความแค้นมากมาย ที่มันกัดกร่อนหัวใจของฉันในทุกๆวัน แต่ก็เพราะมิยองอีกเหมือนกันที่มีค่ากับชีวิตของฉันมากเกินกว่าที่ฉันจะปล่อยมือเธอให้กับคนอื่นได้..
อาจเป็นเพราะแบบนี้ ฉันถึงไม่กล้าทำอะไรที่มันชัดเจนกับเธอได้มากกว่านี้.. ฉันกลัวเธอจะเสียใจ แต่ฉันก็กลัวฉันจะเสียเธอไปเหมือนกัน..
...........
"คุณเจสสิก้าครับ มีโปรเจคจากแผนกการผลิตยื่นมาถึงฝ่ายบริหารครับ"
ทันทีที่เจสสิก้าทรุดตัวลงนั่ง เลขาหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทเนี้ยบคนเดิมก็เดินเข้ามาพร้อมโค้งศีรษะให้อย่างนอบน้อม ก่อนจะวางเอกสารปึกหนาลงกับโต๊ะ
เขารู้ดีว่าคนอย่างเจ้านายของเขาไม่มีวันจะเปิดอ่านโปรเจคใดๆก็ตามที่ไม่ได้ผ่านมติใหญ่ของบอร์ดบริหารมาก่อนอย่างแน่นอน และยิ่งเป็นโปรเจคของพนักงานหน้าใหม่แบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เผลอๆเขาเองอาจจะโดนเธอแหวใส่สักกัณฑ์สองกัณฑ์เป็นแน่
นี่ถ้าซูยอง หัวหน้าแผนกการผลิตไม่มาคะยั้นคะยอเขาด้วยตัวเอง เขาไม่มีวันส่งโปรเจคนี้ถึงมือเจ้านายคนสวยคนนี้เด็ดขาด
"ฉันคิดว่าเธอทำงานกับฉันมานานพอจนน่าจะรู้นะว่าอะไรสมควรไม่สมควร" เจสสิก้ากดเสียงต่ำ เป็นเสียงที่ฟังแล้วเย็นยะเยือกเข้าไปถึงไขกระดูกคนฟังกันเลยทีเดียว
รู้งี้ ไม่ตบปากรับคำซูยองซะก็ดี!
เจสสิก้ามองหน้าเลขาหนุ่มนิ่งๆ ก่อนจะชายตาผ่านเอกสารที่วางหราอยู่บนโต๊ะทำงาน ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่เธอมองผ่านตัวอักษรเล็กๆไม่กี่ตัวที่ดูไม่เตะตาบนกระดาษขาว มันก็สามารถหยุดสายตาเธอไว้ได้ในทันที
มือบางเอื้อมไปหยิบโปรเจคใหม่จากพนักงานระดับล่างที่เธอไม่เคยคิดจะเหลียวแลมาถือไว้ ก่อนจะเพ็งพินิจดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอเห็นมันคือความจริง
ควอน แทยอน?!?!
"ใครยื่นโปรเจคนี้ขึ้นมาให้ฉัน!"
"เป็นพนักงานใหม่ในแผนกการผลิตน่ะครับ แต่ซูยองบอกว่าเธอ.."
"ตามเค้าขึ้นมาพบฉัน เดี๋ยวนี้เลย!"
...........
O.o
เหมือนจะดี แต่มาทิ้งทุ่นเอาตอนจบเสียได้ 55
;p
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น