ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #57 : งานเลี้ยง[รีไรท์]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 22.38K
      640
      19 ต.ค. 60




         กาเล็ทเฝ้าครุ่นคิดทบทวนข้อมูลที่ได้จากอาจารย์ของตนเองอยู่หลายรอบ แต่ไม่ว่าจะคาดคิดอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าใจได้ เมื่อแปดปีก่อนบิดาของตนเองได้ภารกิจลับอันใด เหตุใดบิดาจึงต้องจบชีวิตลง ไม่เพียงแต่จบชีวิตลงยังถูกตราหน้าว่าเป็นทหารหนีทัพ หากว่าภารกิจลับนั้นมีอยู่จริง เหตุใดราชาเบรุทจึงปล่อยให้บิดาของตนเองชื่อเสียงฉาวโฉ่เช่นนี้ เหตุใดราชาเบรุทจึงปล่อยให้ตนเองและมารดาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมานับสิบปี คำถามมากมายที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ผุดขึ้นมาภายในจิตใจของกาเล็ท

         "ท่านแม่ช่วงหลายวันนี้ข้าอาจจะไม่ได้กลับมาที่ตระกูลบุสโซ่ ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวลไป ข้าเพียงแต่ออกไปหาสถานที่เหมาะๆในการฝึกฝน" กาเล็ทเอ่ยบอกกล่าวกับมารดาของตนเอง กาเล็ทย่อมไม่กล้าเอ่ยบอกว่าสถานที่ซึ่งตนเองตัดสินใจเพื่อไปฝึกฝนนั้นคือป่าอสูรฟ้า

         "ฝึกที่บ้านเราไม่ได้หรือลูก" นีน่าเอ่ยถามอย่างห่วงๆ

         "ข้าเกรงว่าหากฝึกอยู่ภายในปราสาทอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ เพื่อความปลอดภัยสมควรออกไปฝึกฝนที่ด้านนอก แต่ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล การฝึกนี้ไม่มีอันตราย" กาเล็ทเอ่ยกล่าวกับมารดาในจิตใจรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ต้องกล่าวโป้ปดไป

         นีน่าได้ฟังเช่นนั้นก็ผงกหัวอย่างเข้าใจ 

         เมื่อบอกกล่าวมารดาของตนเองให้เข้าใจแล้วกาเล็ทก็ตรวจเช็คเอกสารต่างๆที่พ่อบ้านโจเซพสรุปรายงานไว้ให้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเพื่อออกเดินไปไปยังหุบเขาอสูรฟ้าอีกรอบหนึ่ง



         ณ บริเวณเขตบ้านของตระกูบสวอนถูกตกแต่งไปด้วยไม้ประดับนานาชนิด บรรยากาศโดยรอบดูครื้นเครง หากเหลียวมองดูจะเห็นว่าผู้คนที่มาร่วมงานล้วนแต่งตัวด้วยชุดหรูหราราคาแพง สตรีก็จะแต่งชุดราตรีที่ต้องสั่งตัดจากร้านตัดเย็บเท่านั้น ส่วนบรุษก็มีบ้างใส่สูทสีขาว บ้างใส่สูทสีดำ บรรยากาศในงานดูหรูหราทุกสิ่งทุกอย่างภายในงานดูราคาแพงทั้งสิ้น แม้แต่อาหารการกินและเครื่องดื่มก็ไม่สามารถเห็นได้ทั่วไปตามท้องตลาด 

         ตระกูลสวอนนั้นจัดได้ว่าเป็นตระกูลที่มั่งคั่งอันดับต้นๆของโรฮานก็ว่าได้ ตระกูลสวอนนั้นมีธุรกิจร้านรวงมากมาย ทั้งธุรกิจขนส่ง ธุรกิจคุ้มกัน ธุรกิจเหมืองแร่ ดังนั้นถึงไปแปลกเลยที่ในวันนี้แขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง ไม่ก็ลูกหลานของพ่อค้าที่ร่ำรวยทั้งสิ้น หัวข้อสนทนาของผู้คนที่จับกลุ่มพูดคุยทักทายทำความรู้จักกันก็หนีไม่พ้นเรื่องเหตุการณ์สัตว์อสูรบุกเมืองรีเวลเมื่อไม่นานมานี้ แต่ด้วยขุนนางและทหารส่วนใหญ่ที่ออกไปปฎิบัติภารกิจยังไม่ได้กลับคืนสู่เมืองหลวงดังนั้นข้อมูลที่นำมาพูดคุยกันจึงมีอย่างจำกัด

         งานเลี้ยงเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์เท่านั้น ยังเป็นงานเลี้ยงที่เหล่าลูกหลานผู้มีอันจะกินใช้ในการหาคู่ครอง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ตรูกูลที่มั่งคั่งก็ย่อมจะมองหาคู่ครองที่มีฐานะทัดเทียมกัน ผู้มีอำนาจก็ย่อมต้องการที่จะขยายเส้นสายของตน หากได้เกี่ยวดองกันก็จะเป็นข้อดีของทั้งสองฝ่าย การที่ลูกคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์จะตกหลุมรักกับผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยล้วนเป็นเพียงเรื่องเล่าขานในละครเท่านั้น การจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นนับว่ายากเย็นยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก  กล่าวไปเหตุที่แชลเทียถูกโจดานพัวพันก็สืบเนื่องมาจากตัวโจดานนั้นได้เจอกับแชลเทียในงานเลี้ยงเช่นนี้งานหนึ่ง 

         ทันทีที่ร่างเล็กสองร่างเดินเข้ามาภายในงานเลี้ยง บรรยากาศรอบงานก็เสมือนว่าหยุดนิ่งลง ทุกสายตาหันมองมาให้ความสนใจ ณ จุดเดียวกัน แชลเทียในชุดราตรีสีชมพูอ่อนซึ่งประดับไปลวดลายที่เย็บปะออกมาอย่างประณีต ชุดสีชมพูอ่อนนั้นช่วยขับเน้นเส้นผมสลวยสีชมพูของนางได้เป็นอย่างดี ส่วนซิลเวียซึ่งสวมชุดราตรีสีฟ้าอ่อนขับเน้นให้ดวงตาสีฟ้าอ่อนของนางสะดุดตาขึ้นกว่าเดิม

         "แชลเทีย" แมรี่ผู้เป็นเจ้าของวันเกิดรีบเข้ามาต้อนรับขับสู้ทันที

         "ยินดีด้วยแมรี่ วันเกิดของเจ้าข้าก็ขอให้เจ้ามีความสุข คิดหวังสิ่งใดก็ขอให้สมปราถนา" แชลเทียแย้มยิ้มอวยพรให้แก่เพื่อนสาว

         แมรี่ที่สังเกตุหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันอีกผู้หนึ่งที่มาร่วมงานพร้อมกับแชลเทียก็รู้สึกฉงนใจไม่น้อย ดูไปนางดูคุ้นตาอยู่บ้าง

         "แมรี่ นี่องค์หญิงซิลเวีย" ไม่ปล่อยให้แม่รี่สงสัยใจนานนัก แชลเทียก็เอ่ยแนะนำซิลเวียแก่แมรี่

         "ถวายบังคมองค์หญิง" แมรี่ย่อเข่าลงพร้อมทั้งแสดงความเคารพออกมา

         "ไม่ต้อง ไม่ต้อง" ซิลเวียปัดป่ายมือน้อยๆเป็นพัลวัน

         "แม่รี่ไม่ต้องมากพิธี วันนี้ข้าพาซิลเวียมาเพื่อทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆน่ะ" แชลเทียเอ่ยอธิบาย

         เนื่องจากขณะที่ทั้งแชลเทียและซิลเวียเข้างานมา ทั้งคู่ก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกผู้คนอยู่แล้ว เมื่อแมรี่ย่อกายลงแสดงความเคารพต่อซิลเวียทุกผู้คนล้วนย่อมเห็นจนหมดสิ้น

         "ถวายบังคมองค์หญิง"

         "ถวายบังคมองค์หญิง"

         เหล่าคุณชายคุณหนูจากตระกูลขุนนางเริ่มเข้ามาทักทายทั้งคู่ทันที

         แมรี่ซึ่งเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มวุ่นวายก็นำพาทั้งซิลเวียและแชลเทียไปนั่งยังโต๊ะสำหรับแขกพิเศษที่จัดเตรียมไว้

         "แชลเทีย ข้าได้ยินข่าวเรื่องของเจ้ากับตระกูลบลูโนมาบ้าง ตระกูลบลูโนออกจะไร้เหตุผลเกินไปแล้ว สมควรแล้วที่มีจุดจบเช่นนั้น" แมรี่เอ่ยขึ้น

         "ของใจมากแมรี่ที่เป็นห่วง" แชลเทียเอ่ยแสดงความขอบใจออกมา

         "แชลเทีย ต่อไปหากว่ามีเรื่องใดก็ขอให้บอกต่อข้า พวกเราเป็นเพื่อนกัน คนเป็นเพื่อนก็สมควรที่จะช่วยเหลือกันจึงจะถูกต้อง หึ ช่างสมน้ำหน้าตระกูลบลูโนนัก" แมรี่เอ่ยอย่างแค้นใจ

         "ตระกูลบลูโนเป็นไรหรือ" แชลเทียเอ่ยถามอย่างสงสัยใจ เนื่องจากหลังจากจบศึกประลองเป็นตายในครั้งนั้นตนเองก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของตระกูลบลูโนอีกเลย

         "เจ้าไม่รู้หรือ หลังจากที่รุสโซ่ผู้นำแห่งตระกูลล้มตายลงจากศึกประลองเป็นตาย ตระกูลบลูโนก็พังครืนลง บัดนี้ตัวตึกของตระกูลบลูโนแถบไม่แตกต่างจากตึกรกร้าง" แมรี่เอ่ยอธิบาย

         "ก็สมควรแล้วที่เป็นเช่นนั้น  กลับใช้อำนาจบีบบังคับผู้คน ดังคำกล่าวที่ว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ ข้าไม่นึกเลยว่าตระกูลบลูโนจะกระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้" ชายหนุ่มผู้หนึ่งโดดเข้ามาร่วมวงสนทนา

         "ท่านพี่แอชลี่ ตระกูลของท่านมิใช่สนิทสนมกับตระกูลบลูโนหรอกหรือ" แมรี่เอ่ยถามขึ้น น้ำเสียงแฝงแววแดกดันอยู่บ้าง

         แอชลี่แสดงออกถึงสีหน้าที่ไม่เป็นปกติอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นท่าทีของมันจึงกลับเป็นปกติ "ข้าจึงกล่าวว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจยังไงเล่า หากว่าข้าทราบมาก่อนว่าตระกูลบลูโนมีพฤติกรรมต่ำช้าเช่นนั้นมีหรือที่ตระกูลเบลลี่ของข้าจะคบค้าสมาคมด้วย" กล่าวถึงช่วงท้ายมันก็เผยอยิ้มขึ้นพร้อมหันไปทางแชลเทีย "คุณหนูแชลเทีย หากว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกอย่าได้เกรงอกเกรงใจ ตระกูลเบลลี่ของข้ายินดีช่วยเหลือ ตระกูลของข้าเกลียดชังความอยุติธรรมที่สุด"

         "ขอบใจท่านพี่แอชลี่มาก" แชลเทียปั้นรอยยิ้มขึ้นพร้อมทั้งกล่าวแสดงคำขอบคุณออกไป แม้บนใบหน้าจะเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแต่ในใจตัวนางนั้นรู้สึกรังเกียจบรุษตรงหน้าของตนเองนี้ไม่น้อย ตระกูลบลูโนล้มครืนลงแล้วไม่ว่าผู้ใดจะกล่าวอย่างไรก็ได้ เมื่อครั้งนั้นทุกผู้คนต่างพากันหลบลี้หนีหน้ายามที่บิดาของตนเองไปขอความช่วยเหลือหรอกหรือ? บัดนี้ทุกผู้คนล้วนแล้วแต่พากันถมหินลงบ่อกล่าววาจาสาปแช่งใส่ตระกูลบลูโน

         "เอาเถอะ จะอย่างไรแชลเทียก็รอดพ้นคราเคราะห์มาได้ น่าเสียดายนักที่ข้าไม่ได้ไปเห็นกับตาว่าเป็นผู้ใดสังหารรุสโซ่ผู้นำแห่งตระกูลบลูโนลงได้" แมรี่เอ่ย

         "เห็นว่าเป็นคนจากตระกูลบุสโซ่ จะว่าไปตระกูลบุสโซ่ เอิ่มมเหตุใช่ชื่อนี้จึงดูคุ้นหูนัก" แอชลี่กล่าวออกมาพร้อมทั้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "หืมใช่แล้ว ตระกูลบุสโซ่มิใช่ตระกูลที่มีชื่อฉาวโฉ่ไปทั่วแผ่นดินหรอกหรือ" มันกล่าวอย่างคิดได้ออกมาด้วยเสียงอันดัง

         "ข้าว่าพวกท่านคงเข้าใจกันผิดไปใหญ่แล้ว ตระกูลบุสโซ่เป็นตระกูลที่จงรักภักดี" ซิลเวียออกตัวเอ่ยปกป้องตระกูลบุสโซ่ขึ้น

         "หืม จงรักภักดีหรือ หากข้าจำไม่ผิดตระกูลบุสโซ่เมื่อครั้งกระโน้นมิใช่เป็นขุนนางหนีทัพหรอกหรือ" แอชลี่ยังคงเอ่ยถามอย่างสงสัยกังขา

         "หนีทัพอันใดกัน ตระกูลของเขาเป็นขุนนางที่จงรักพักดีที่สุด และตัวเขาก็เป็นบุคคลที่กล้าหาญที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จักมา บิดาของเขาต้องไม่ทำเช่นั้นแน่น ต้องเป็นคนต่ำช้าให้ร้ายตระกูลบุสโซ่" แชลเทียซึ่งอดทนฟังคำดูหมิ่นครอบครัวของชายรักไม่ได้อีกต่อไปเอ่ยปากขึ้น ในน้ำเสียงแฝงแววโกรธเคืองไม่น้อย

         แอชลี่ถึงกับผงะไป "คุณหนูแชลเทียโปรดอภัย ตัวข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ตัวข้าเพียงแต่เอ่ยเล่าถึงสิ่งที่ได้ฟังมาเท่านั้น ว่าแต่คุณหนูแชลเทียรู้จักกับคนตระกูลบุสโซ่หรือ" มันเอ่ยถามอย่างระมัด มันไม่ต้องการทำให้โฉมงามที่เบื้องหน้าขุ่นข้องหมองใจ

         "ย่อมรู้จัก เขาเป็นบุคคลที่สังหารุสโซ่แห่งตระกูลบลูโนและเป็นคู่หมั้นของข้าเอง เรื่องข่าวลือเกี่ยวกับบิดาของนั้นไม่เป็นความจริงแน่นอน" แชลเทียเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง

         "ร เรื่องนี้ข้าก็ขอยืนยันอีกเสียงหนึ่ง" ซิลเวียเอ่ยสนับสนุน

         บัดนี้แอชลี่นั้นเสมือนว่าหูอื้ออึงไม่ได้ยินอันใดอีก ตัวมันพึงตาต้องใจคุณหนูแห่งตระกูลเรนเดลไม่น้อย แต่เมื่อครู่นางกลับป่าวประกาศว่ามีคู่หมั้นแล้ว "ค คู่หมั้น เหตุใดคุณหนูแชลเทียจึงมั่นหมายกับบุคคลซึ่งมีอายุมากคราบิดาของคุณหนู" มันเอ่ยถามขึ้นโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคำถามของมันจะละลาบละล้วงไปหรือไม่ 

         "อายุมาก ?" แชลเทียนั้นสับสนอยู่ไม่น้อยหลังจากที่ได้ฟังคำถามของแอชลี่ "เขามีอายุเพียง 16 ปี เท่ากับข้า หรือบิดาของท่านพี่แอชลี่มีอายุเพียง 16 ปี" แม้น้ำเสียงของแชลเทียจะราบเรียบเสมือนว่าไม่ได้โกรธเคืองต่อบรุษผู้นี้แต่คำกล่าวนั้นกลับแฝงความหมายประชดประชันไม่น้อย

         "อายุเท่ากับพวกเรา? แชลเทียเจ้ามิใช่บอกว่าเขาเป็นผู้สังหารรุสโซ่แห่งตระกูลบลูโนมิใช่หรือ" แมรี่เองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยจึงเอ่ยถามขึ้น

         จะกล่าวโทษแอชลี่ที่กล่าววาจาเช่นนั้นออกมาก็ไม่ได้ รุสโซ่นั้นมีพลังที่ระดับ 9 ผู้ที่จะสังหารรุสโซ่ได้ก็ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีระดับพลังใกล้เคียงกัน ผู้ใดจะคาดคิดได้ว่าผู้มีพลังระดับที่ 9 จะมีอายุเพียง 16 ปีกัน

         "ใช่แล้วแมรี่ เขาเป็นผู้สังหารรุสโซ่ กล่าวไปเรื่องนี้หากจะเล่ามันก็ออกจะยืดยาวไม่น้อย" แชลเทียเอ่ยสีหน้าของนางปรากฎเค้าแววของความเขินอายอยู่บ้าง

         แอชลี่ที่เห็นภาพเบื้องหน้าก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อย

         "เล่าเถอะแชลเทีย ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดแก่ข้า" แมรี่ซึ่งเห็นอาการของเพื่อนสาวก็เกิดความคันนึกสนุกขึ้นต้องการรู้เรื่องราวให้กระจ่าง

         เมื่อได้ฟังเรื่องราวของแชลเทีย แมรรี่ก็ถึงกับปากอ้าตาค้าวไป "เขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเจ้า? ร เรื่องเช่นนี้ข้าคิดว่ามีแต่เพียงในนิทานเสียอีก เขาเก่งกล้าสามารถถึงเพียงนั้นหรือ เหตุใดวันนี้เจ้าไม่ชวนเขามาด้วย" แมรี่พรั่งพรูคำถามออกมาเป็นชุดไม่หยุดหย่อน

         "ใจเย็นๆแมรี่ ความจริงวันนี้ข้าก็ชวนเขามาแล้ว แต่เขากลับบอกว่าไม่ค่อยถูกกับงานสังคมเช่นนี้เท่าใดนัก" แชลเทียเอ่ยอธิบาย

         "ช่างน่าเสียดายนัก ข้าล่ะอยากเห็นหน้าเขานักว่าบรุษขี้ม้าขาวมาช่วยเหลือเพื่อนของข้าจะมีหน้าตาเช่นไร" แมรี่เอ่ยอย่างผิดหวัง

         "ค คุณหนูใช่กล่าวเกินเลยไปหรือไม่ ท่านบอกว่าคู่หมั้นของท่านมีพลังถึงระดับ 9 หรือ เขามิใช่พึ่งมีอายุเพียง 16 ปีหรอกหรือ เขาเป็นคนสังหารรุสโซ่ ?" ในฐานะของผู้ฝึกฝนพลังเช่นกัน แอชลี่ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินมา มันจึงถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

         "ท่านพี่แอชลี่หมายความว่าอย่างไรกัน ?" แมรี่เอ่ยถามขึ้น

         "เรื่องนี้มันออกจะเชื่อได้ยากอยู่บ้าง ผู้ที่มีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีแล้วสามารถฝึกฝนจนถึงระดับที่ 9 ได้ ไม่เคยมีมาก่อนไม่ว่าจะอยู่ในทวีปใด เรื่องที่คุณหนูแชลเทียกล่าวว่าคู่หมั้นของนางซึ่งมีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีมีระดับพลังถึงขั้นที่ 9 และเป็นผู้สังหารรุสโซ่แห่งตระกูลบลูโน เรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่อไปแล้ว" มันเอ่ยอธิบาย

         "ไม่เพียงแต่ท่านพี่แอชลี่ที่กล่าวเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็กล่าวเช่นนี้ แม้แต่ท่านผู้พิทักษ์เองก็กล่าวเช่นนี้" แชลเทียเอ่ย ในจิตใจของนางยิ่งรู้สึกดูแคลนบรุษผู้นี้แห่งตระกูลเบลลี่ผู้นี้มากกว่าเดิม

         "ผู้พิทักษ์ ?" แอชลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตกใจกว่าเดิม

         "ท่านผู้พิทักษ์รับกาเล็ทเป็นศิษย์ เขามักจะไปมาหาสู่กันประจำ" แชลเทียเอ่ยอธิบาย

         "หืม เขาชื่อกาเล็ทหรือ" แมรีเอ่ยยิ้มๆสัพยอกเพื่อนของตน

         "เรื่องนี้ข้าก็สามารถยืนยันได้เช่นกัน ท่านมาร์ควิสบุสโซ่น่ะทั้งกล้าหาญและไม่หวั่นเกรงต่อภัยอันตราย เหตุการสัตว์อสูรบุกเมืองครั้งนี้หากไม่ได้เขาคงมีชาวบ้านมากมายไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิตไป" ซิลเวียเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

         "องค์หญิงท่านหมายความถึงเหตุการณ์สัตว์อสูรบุกเมืองรีเวลเมื่อไม่นานมานี้หรือ" แมรี่เอ่ยถามอย่างสนใจ

         ซิลเวียผงกหัวตอบรับ "อืม เรื่องนี้หากจะเล่ามันก็ยืดยาวไม่น้อยเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับข้าไม่น้อย แต่เพื่อแก้ความเข้าใจผิดคงไม่สามารถไม่บอกกล่าวแล้ว" ซิลเวียเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นออกไป

         "องค์หญิงท่านหมายความว่าเขาต่อสู้กับงูสายรุ้งเพียงลำพังด้วยสภาพร่างกายที่เหน็ดเหนื่อย?" แมรี่เอ่ยถาม นางย่อมรู้จักงูสายรุ้ง ตัวนางนั้นเคยอ่านสารานุกรมสัตว์อสูรมาบ้าง

         "หลังจากที่ข้านำทหารกลับมางูสายรุ้งก็ถูกเขาฟันร่างขาดออกเป็นหลายท่อนแล้ว ส่วนเรื่องการต่อสู้ว่าเกิดขึ้นเช่นไรบอกต่อคุณหนูแมรี่ตามตรงข้าเองก็ไม่ได้เห็นกับตา" ซิลเวียเอ่ย

         "แชลเทียไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องแนะนำให้ข้ารู้จักกับคู่หมั้นของเจ้าผู้นี้" ได้ฟังคำบอกเล่าจากซิลเวียแมรี่ยิ่งรู้สึกอยากทำความรู้จักกับกาเล็ทยิ่งขึ้นกว่าเดิม

         "ท่านพี่แอชลี่ ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวของท่านได้จ้างผู้มีฝีมือจากไอออนมาเป็นอาจารย์สอนท่านหรือ" เสียงใสของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหลัง

         แอชลี่ที่ได้ยินเสียงใสนั้นก็ตื่นจากภวังค์หันกลับไปยิ้มตอบหญิงสาวนั้น "เป็นเช่นนั้น"

         ได้ฟังคำตอบของแอชลี่ ดวงตาของหญิงสาวนั้นก็เปล่งประสายชื่นชมออกมา "ข้าได้ยินมาว่าผู้ฝึกพลังจากไอออนนั้นเก่งกล้าสามารถกว่าคนของโรฮานเรามากนั้น ท่านี่แอชลี่ได้อาจารย์ดีเช่นนี้คงต้องประสบความสำเร็จมากกว่าผู้ใดในโรฮานแน่นอน"

         แอชลี่ได้ฟังคำชมของหญิงสาวกลับไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย เดิมทีตัวมันที่มางานเลี้ยงวันเกิดนี้ย่อมต้องการมาโอ้อวดถึงความสำเร็จของตนเอง แต่หลังจากได้ฟังเรื่องรางทั้งสองเรื่องเมื่อครู่จากทั้งแชลเทียและซิลเวีย คำชมเชยของหญิงสาวเบื้องหน้าที่มีต่อมันเมื่อครู่กลับไร้รสชาติไป

         "แชลเทีย เจ้าบอกว่าต้องการพาองค์หญิงมาหาเพื่อนใหม่ๆ เช่นนั้นให้ข้าผู้เป็นเจ้าภาพแนะนำให้เป็นอย่างไร" แมรี่เอ่ยเชิญชวน

         "อืม" แชลเทียเอยตอบรับ

         จากนั้นแม่รี่จึงนำพวกนางเดินชมภายในงานเลี้ยงพร้อมทั้งแนะนำผู้คนให้รู้จักอีกไม่น้อย 

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×