ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #53 : บาดเจ็บ [เริ่มรีไรท์]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 24.42K
      596
      15 ต.ค. 60




              กาเล็ทเดินเข้าไปสำรวจตรวจดูอาหารการกินของเด็กๆดูแล้วก็รู้สึกโล่งใจ ภายในถ้วยชามของเด็กๆแต่ละคนเต็มเปี่ยมไปด้วยเนื้อสัตว์และเม็ดข้าว "อร่อยไหมคะ" กาเล็ทก้มลงเอ่ยถามเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปากไป เด็กหญิงผู้นี้ดูไปอายุเพียงแค่ 6-7 ขวบปีเท่านั้นเอง

         เด็กหญิงเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยเอ่ยถามก็ละจากชามข้าวตรงหน้าหันมองมา นางกลับพบว่าผู้เอ่ยถามเป็นบรุษท่าทางใจดีผู้หนึ่ง "อร่อย ต แต่ว่าท่านแม่นีน่าบอกว่าพวกเรากำลังลำบาก คงไม่สามารถกินของอร่อยแบบนี้ได้ทุกวัน" เด็กหญิงเอ่ยพอถึงช่วงท้ายน้ำเสียงแฝงแววเศร้าสร้อยอยู่บ้าง

         กาเล็ทได้ยินน้ำเสียงของเด็กหญิงก็รู้สึกสงสารจับใจ เด็กในวันเช่นนี้ใช่สมควรต้องมากุ้มใจกับเรื่องพวกนี้หรือ? กาเล็ทล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อจากนั้นจึงเช็ดที่มุมปากของเด็กน้อย "หนูชื่ออะไรคะ" กาเล็ทเอ่ยถามโดยใช้น้ำเสียงโทนที่ใช้กับเด็กเล็ก [เสียงสอง]

         "หนูชื่อมีอา" เด็กหญิงเอ่ยตอบ

         "ต่อไปนี้พี่ชายจะหาของอร่อยๆมาให้มีอากินทุกวันเลย มีอาจะได้กินของอร่อยๆทุกวัน" กาเล็ทเอ่ย ทว่าสีหน้าของเด็กหญิงยังคงแสดงความกังขาในคำพูดนั้น

         กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา "เอาเช่นนี้ดีหรือไม่" กาเล็ทกล่าวพร้อมทั้งยื่นนิ้วก้อยออกมาที่เบื้องหน้าของเด็กหญิง "ว่ากันว่าหากมีการเกี่ยวก้อยสัญญากันแล้วผิดคำสัญญาจะต้องถูกสวรรค์ลงโทษ พี่ชายกับมีอามาสัญญากัน"

         แม้จะยังสับสนแต่เด็กหญิงตัวน้อยก็ยื่นนิ้วก้อนเล็กจิ๊วของตนออกมาเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อนที่ใหญ่กว่าของตนเองหลายเท่า "พี่ชายสัญญาว่าจะให้มีอาได้กินของอร่อยๆทุกวันนับจากนี้ไป" กาเล็ทกล่าวพร้อมกับโยกคลอนมือของตนเองขึ้นลงไปมา

         "มีอาเชื่อพี่ชาย" เด็กหญิงแย้มยิ้มออกมา

         กาเล็ทลุกขึ้นลูบหัวเด็กหญิงอย่างเอ็นดู

         ภาพที่กาเล็ทพูดคุยกับเด็กหญิงอย่างอ่อนโยน ทั้งแชลเทียและซิลเวียต่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ทั้งสองแม้แต่เซน่าเองยังหยุดงานการที่ทำอยู่มาเฝ้ามองการกระทำของกาเล็ท 

         กาเล็ทหันมายิ้มให้แก่เซน่า "คุณหนูเซน่า ครั้งก่อนเนื่องจากข้าไม่ได้พกเงินทองติดตัวมากนักจึงไม่ได้มอบเงินให้แก่คุณหนูมากเท่าที่ควร" กาเล็ทเอ่ยพลางนำถุงใส่เงินออกมาจากแหวรมิติจากนั้นจึงส่งมอบให้แก่เซน่า ภายในถุงนี้ประกอบไปด้วยเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงรวมคละกันแล้วจำนวนกว่าหรึ่งร้อยเหรียญทอง

         เซน่าที่รับถุงนั้นมาสามารถรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของถุงนั้น จากน้ำหนังของถุงเซน่าไม่ต้องเปิดออกดูก็พอคาดเดาได้ว่าภายในถุงนั้นมีเงินทองจำนวนมากอยู่ "น นี่มัน" เซน่าเอ่ยอะไรไม่ถูก

         "คุณหนูเซน่า ในถุงนั้นมีเงินจำนวนหนึ่งร้อยเหรียญทองอยู่ แม้จะเป็นจำนวนที่ถือว่าไม่ได้มากมายเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยมันคงจะช่วยให้เด็กๆมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คุณครูเซน่าสามารถใช้มันได้ตามสะดวกนับจากนี้ข้าจะขอรับอุปถัมป์สถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้เอง" กาเล็ทเอ่ยกับเซน่า

         เห็นเช่นั้นแชลเทียก็ขวักเงินที่นำติดตัวออกมาจำนวนหนึ่งพร้อมทั้งนำมันยื่นให้กับเซน่า "ข้าก็ต้องการช่วยเหลือเด็กๆด้วย"

         ซิลเวียเองนั้นในใจก็อยากช่วยเหลือไม่ต่างกัน ติดแค่ตรงตัวนางไม่มีทรัพย์สินมีค่าติดตัวมา

         กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็ห้ามปรามแชลเทียไว้ "แชลเทียหากเจ้าอยากช่วยคุณครูเซน่าจริงๆข้าว่าเจ้าช่วยอย่างอื่นดีกว่า"

         "ช่วยอย่างอื่น?" แชลเทียเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

         "ตอนนี้เรื่องเงินทอง คุณหนูเซน่าคงไม่ขัดสนแล้ว ที่ขาดข้าว่าคงจะเป็นผู้ช่วยมากกว่า เด็กเล็กมากมายถึงเพียงนี้คุณหนูเซน่าเพียงผู้เดียวคงไม่เพียงพอ ไหนจะเรื่องสอนหนังสือ ไหนจะเรื่องทำความสะอาด ไหนจะเรื่องอาหารการกิน" กาเล็ทเอ่ยชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ตนเองเป็นกังวลใจ

         "อ่า" แชลเทียส่งเสียงอุทานออกมาอย่างเข้าใจ

         "ข้าจะให้นางกำนัลภายในวังหลวงออกมาช่วยเหลือคุณหนูเซน่าเอง" ซิลเวียเอ่ยขันอาสาขึ้นทันที

         "เช่นนั้นก็ดีองค์หญิง แต่ว่าวันนี้ยังไม่มีผู้ช่วยมา ข้าเกรงว่าพวกเราคงต้องเป็นผู้ช่วยชั่วคราวของคุณหนูเซน่าแล้วล่ะ ไม่ทราบว่าคุณหนูแชลเทียกับองค์หญิงพร้อมทำงานบ้านหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยขึ้น

         "ก็พร้อมอยู่" แชลเทียเอ่ย

         "ข้าจะพยายาม" ซิลเวียเอ่ย

         กล่าวไปทั้งคู่นั้นกังวลใจอยู่ไม่น้อยเหตุเพราะทั้งแชลเทียและซิลเวียนั้นถือได้ว่าแทบจะไม่เคยได้ลงเมือทำงานบ้านมาก่อนเลย จริงอยู่ว่านางเคยร่ำเรียนเรื่องพวกนี้มาในห้องเรียนสำหรับสตรี แต่ในทางปฎิบัติแล้วพวกนางแทบไม่เคยได้ลงมือกระทำจริงเลย

         ช่วยงานที่สถานรับเลี้ยงเด็กอยู่พักใหญ่ทั้งหมดจึงขอตัวจากมา เซน่านั้นเฝ้ามองดูเงาหลังของทั้งสามจากไป บนใบหน้าของนางปรากฎรอยยิ้มขึ้น แรงกดดันที่เคยโถมกระหน่ำใส่นางตลอดมาเสมือนว่าจะถูกปัดเป่าหายไปจนหมดสิ้น

         "แชลเทีย องค์หญิง พวกท่านคงจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย" กาเล็ทเอ่ยพร้อมหันมามองสองสาวที่กำลังพูดคุยกันอยู่

         "สนุกดีออก" แชลเทียเอ่ย
         
         "ข้าก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไร" ซิลเวียเอ่ยเช่นกัน

         "เช่นนั้นจะเป็นไรหรือไม่ หากว่าข้าจะขอไปเยี่ยมท่านอาจารย์สักครู" กาเล็ทเอ่ย

         "ท่านผู้พิทักษ์หรือ? จะว่าไปข้าก็ไม่ได้พบกับท่านผู้พิทักษ์มานานแล้ว" ซิลเวียกล่าว

         "กาเล็ท ทำธุระของเจ้าเถอะไม่ต้องห่วงพวกข้า ดีซะอีกถือได้ว่าเจ้าได้พาพวกข้าออกมาเดินเล่นเปิดหูเปิดตา" แชลเทียเอ่ย

         ได้ยินเช่นนั้นกาเล็ทก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา


         "ลมอะไรหอบเจ้ามากัน ข้าได้ยินว่าเจ้าออกไปอพยพผู้คนที่เมืองรีเวลมิใช่หรือ ?" อาจารย์เทลเล่อเอ่ยทักทายกาเล็ทศิษย์ของตน พร้อมทั้งหันไปแสดงความเคารพด้วยการค้อมตัวให้แก่ซิลเวีย ภายในจิตใจรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เห็นว่าเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรมาเยือนพร้อมกับศิษย์ของตนเองในวันนี้

         

         "บัดซบ" อาจารย์เทลเล่อสบดออกมาพร้อมทั้งตบโต๊ะอย่างเสียกริยาเมื่อได้ฟังกาเล็ทเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อพบว่าตนเองออกจากเสียมารยาทอยู่บ้างจึงปรับท่าทีเล็กน้อย "ขุนนางเหล่านั้นล้วนเลี้ยงเสียข้าวสุก หากว่าข้า หากว่าข้ายังอยู่ในสภาวะปกติดั่งเช่นเก่าก่อนข้าคงไม่ปล่อยพวกมันไว้ ช่างน่าคลั่งใจตายนัก องค์ราชาทำเช่นนี้นั้นไม่ต่างกับการเลี้ยงเสือร้ายไว้ใกล้ตัว พวกมันจะแว้งกัดใส่ผู้เลี้ยงเมื่อไรก็มิอาจจะทราบได้"

         ได้ฟังคำกล่าวของอาจารย์เทลเล่อกาเล็ทก็แสดงความตกใจออกมาทางสีหน้า "ท่านอาจารย์เหตุใดท่านจึงกล่าวว่าหากว่าท่านยังคงอยู่ในสภาวะปกติ หมายความเช่นไรกัน?"

         ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ท อาจารย์เทลเล่อก็ถอนหายใจออกมา "บอกต่อเจ้าตามตรง ตัวข้านั้นเดิมทีมีระดับพลังถึงขั้นราชาจริง แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส สาหัสถึงขั้นที่ไม่อาจจะฝึกฝนพลังต่อไปได้ หากว่าข้าฝืนใช้พลังเกินขีดจำกัดอีกคราแก่นจิตวิญญาณคงแตกสลายสิ้นชีวิตเป็นแน่"

         กาเล็ทได้ฟังก็ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ "ท่านบาดเจ็บ? เป็นผู้ใดทำร้ายท่าน"

         อาจารย์เทลเล่อได้ฟังคำถามก็จมดิ่งสู่ห้วงความนึกคิด หวนนึกกลับไปถึงวันนั้น วันที่หนทางในการฝึกฝนพลังของตนต้องจบลงเมื่อยี่สิบปีก่อน วันที่ตนเองต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ์แห่งทวีป จักรพรรดิ์แดง 

         "จักรพรรดิ์แดง เจ้าเคยได้ยินชื่อนี้มาหรือไม่กาเล็ท" อาจารย์เทลเล่อเอ่ย "อย่างที่ข้าเคยเตือนเจ้าว่าพรสวรรค์ของเจ้านั้นโดดเด่นจนเกินไป หากเรื่องนี้รู้เข้าถึงหูของจักรพรรดิ์แดงคงมีเรื่องยุ่งยากตามมาไม่น้อย" อาจารย์เทลเล่อเอ่ย

         "เหตุใดจักรพรรดิ์แดงต้องทำร้ายท่าน ท่านอาจารย์" กาเล็ทเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

         "เรื่องนั้นข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ในวันนั้นหากมิใช่ว่าตัวข้าเป็นผู้ใช้การผสานคุณสมบัติ คงไม่มีตัวข้าในวันนี้ แม้จะหนีรอดจากเงื้อมมือของจักรพรรดิ์แดงมาได้แต่ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการใช้วิชาต้องห้ามนั้นก็คืออาการบาดเจ็บต่อแก่นของจิตวิญญาณที่ไม่อาจเยียวยารักษา" อาจารย์เทลเล่อเอ่ยอย่างท้อแท้หมดหวัง

         ได้ยินคำกล่าวของผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักร ทั้งซิลเวียและแชลเทีย ก็รุ้สึกตกอกตกใจไม่น้อยกว่ากาเล็ท

         "การมีอยู่ของตัวข้านั้นเป็นเสมือนการเขียนรูปของเสือให้เหล่าวัวกลัวเกรงเท่านั้น แต่พยัคฆ์หาได้มีอยู่จริง เจ้าเข้าใจใช่ไหมศิษย์ข้า" อาจารย์เทลเล่อเอ่ย

         กาเล็ทแสดงออกถึงความกังวลใจออกมา น้อยครั้งนักที่กาเล็ทซึ่งสุขุมเยือกเย็นจะแสดงออกเช่นนี้ ไหนจะเรื่องอาการบาดเจ็บของอาจารย์ ไหนจะเรื่องของจักรพรรดิ์ หากว่าจักรพรรดิ์แดงลงมือต่อตนเองจริง ด้วยระดับพลังที่ต่างกันถึงเพียงนั้นมีหรือที่ตนเองจะต่อต้านได้ หากเป็นเช่นนั้นคนรัก ครอบครัว คนสำคัญทั้งหมดของตนเองใช่ต้องพังทลายหายไปอีกคราหรือไม่ ?

         "ศิษย์ข้า เรื่องจักรพรรดิ์แดงเจ้าอย่าได้เป็นกังวลไปนักเลย ตัวข้าก็ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ แต่หลังจากที่จักรพรรดิ์แดงออกล่าสังหารผู้ฝึกตนเป็นจำนวนมาก อยู่ๆเมื่อยี่สิบปีก่อนเขาก็หายสาปสูญไปจนถึงบัดนี้ เรื่องที่เราควรเป็นกังวลใจหาใช่จักรพรรดิ์แดงหากแต่เป็นเรื่องภายในของโรฮาน ข้าเป็นห่วงนักว่าหากเจอร์ราด เจอริโก้ออกมาจากการเก็บตัวฝึกพลังเขาจะมีระดับพลังขึ้นใด" อาจารย์เทลเล่อเอ่ยอย่างหวั่นใจพร้อมทั้งมองมาที่กาเล็ท

         "ท่านอาจารย์อย่าได้เป็นห่วงข้า ส่วนอาการบาดเจ็บของท่านอาจารย์ต้องมีทางเยียวยารักษาแน่นอน" กาเล็ทเอ่ย จริงอยู่เมื่อครู่เนื่องจากเรื่องราวมากมายที่ได้ฟังทำให้กาเล็ทตกใจอยู่บ้าง แต่เมื่อตั้งตัวได้แล้วความเชื่อมั่นในตนเองก็กลับมา ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งเพียงไร นั่นมิใช่การพิสูจน์ความสามารถของตนเองหรอกหรือ เมื่อเจ็ดถึงแปดเดือนก่อนเมื่อครั้งที่ตนเองมายังโลกนี้ใหม่ๆ ตนเองมิใช่ไร้ซึ่งพลังเป็นเพียงคนธรรมดาหรอกหรือ บัดนี้ตนเองมิใช่มีพลังถึงระดับ 9แล้วหรือ จะระดับราชาก็ชั่ง จะระดับจักรรพรรดิ์ก็ชั่ง สักวันหนึ่งตรเองจะไปให้ถึง หากว่าศัตรูแข็งแก่งตนเองจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า คิดได้ดังนั้นแววตาอันเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นไม่ย่อท้อก็ปรากฎขึ้น 

         อาจารย์เทลเล่อที่เห็นว่าศิษย์ของตนผู้นี้มีใจสู้ขึ้นมาจนแสดงออกมาทางสีหน้าก็หัวเราะออกมา "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าเลือกคนไม่ผิด ไม่ผิดจริงๆ"

         "ท่านอาจารย์ อาการบาดเจ็บของท่านต้องมีทางเยียวยารักษาแน่นอน" กาเล็ทเอ่ยกับอาจารย์เทลเล่อ

         "อย่าได้กล่าวเหลวไหล ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องข้า ให้ตั้งใจฝึกฝนก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องตระกูลเจอริโก้ หากว่าเจอร์ราดเจอริโก้ลงมือต่อเจ้าข้าก็จะไม่อยู่เฉย คงต้องไว้ลายกันสักหน่อย" อาจารย์เทลเล่อเอ่ย ตัวมันนั้นรู้ดียิ่งกว่าผู้ใดเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของตนเอง

         "ท่านอาจารย์ ทำเช่นนั้นไม่ได้ !" กาเล็ทซึ่งเข้าใจความหมายในวาจาอาจารย์ของตนเองออกเอ่ยทัดทานขึ้นมาทันที

         "อย่าได้วุ่นวายแล้ว ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้าไปเถอะข้าต้องการพักผ่อนแล้ว" อาจารย์เทลเล่อเอ่ยตัดบท อันที่จริงมันหาได้ต้องการพักผ่อนอันใด มันเพียงต้องการเตรียมตัว มันจะไม่ยอมให้ศิษย์ของมันผู้นี้ต้องตกตายลงก่อนที่จะได้เปล่งประกายแน่นอนไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร

         กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นแม้จะรู้สึกไม่ยินยอมแต่ทว่าก็ไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่อำลาขอตัวจากมา ในจิตใจหมายหมั่นจะหาวิธีรักษาแก่นจิตวิญญาณของอาจารย์ตนเองให้จงได้

         "กาเล็ท" แชลเทียเอ่ยอย่างเป็นกังวล ซิลเวียเองก็มีสีหน้าที่เป็นกังวลไม่แพ้กัน เรื่องราวที่พวกนางได้ฟังมาในวันนี้ยากที่จะทำใจรับได้

         "เรื่องในวันนี้พวกเจ้าห้ามแพร่งพรายต่อผู้ใดเข้าใจหรือไม่ แม้แต่บิดาของพวกเจ้าเองก็อย่าได้เอ่ยบอก" กาเล็ทเอ่ยเสียงเครียด "อย่าได้เป็นกังวลไปนักเลย ทุกปัญหาย่อมล้วนแล้วแต่มีหนทางในการแก้ไข" แม้จะกล่าวปลอบเช่นนั้นแต่ในจิตใจของกาเล็ทก็หนักอึ้งไม่น้อย

         การย้ายไปยังปราสาทบุสโซ่เป็นไปได้อย่างราบรื่น ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้เหล่าทหารที่ต้องการสมัครเข้าร่วมกับตระกูลบุสโซ่ค่อยๆทยอยลาออกจากกองทัพของโรฮานและมาลงทะเบียนกับพ่อบ้านโจเซพ จากบัญชีที่กาเล็ทตรวจสอบดูเบื้องต้นนั้นมีจำนวนกว่าสองร้อยคน ไม่เพียงแต่จำนวนทหารที่มาสมัครเข้าร่วม ตั้งแต่วางแผนว่าจะย้ายไปอยู่ยังปราสาทบุสโซ่ พ่อบ้านโจเซพก็รับหญิงสาวเข้ามาทำงานเพิ่มอีกไม่น้อย นับได้ทั้งสิ้นตอนนี้ก็มีจำนวนกว่าสามสิบคนแล้ว บริวารของตระกูลบุสโซ่เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น

         กว่าสามร้อยชีวิตที่กาเล็ทต้องเลี้ยงดู หวนนึกถึงรายรับของตนเองตอนนี้กาเล็ทก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย  เพียงแค่ค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่เป็นค่าแรงของบริวารก็เป็นจำนวนกว่า เจ็ดถึงแปดร้อยกว่าเหรียญทองทองแล้ว ไหนจะค่าเครื่องแบบของแต่ละคน ไหนจะค่าอุปกรณ์สำหรับทหารแต่ละนายจริงอยู่ว่ากาเล็ทได้รับเงินประจำตำแหน่งมาถึงหนึ่งหมื่นเหรียญทอง ณ ตอนนี้สำหรับเรื่องเงินทองยังไม่เป็นปัญหา แต่หากว่าต้องรอให้เกิดปัญหาก่อนจึงเริ่มแก้ไขคงจะไม่ทันการ ตระหนักได้เช่นนั้นหลายวันมานี้ไม่เพียงแต่กาเล็ทจะใช้เวลายามค่ำคืนฝึกฝนแล้ว กาเล็ทยังทั้งหลอมยาเทพโอสถระดับต่ำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงแต่หลอมยา กาเล็ทยังได้ใช้พลังหลอมสร้างอาวุธจากแร่มิธริลขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน ด้วยระดับพลังของกาเร็ทในตอนนี้การจะหลอมยาเทพโอสถขั้นต่ำถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นเท่าไร แถมยังสามารถหลอมสร้างได้ทีละหลายสิบเม็ดดังนั้นในแต่ละวันกาเล็ทสามารถหลอมยาเทพโอสถระดับต่ำได้นับร้อยๆเม็ด ในส่วนของยาระดับที่สูงขึ้นไปนั้นปัญหาในการหลอมหาใช่ระดับพลังของกาเล็ทหากแต่เป็นวัตถุดิบที่ต้องใช้นั้นขาดตลาด สมุนไพรบางอย่างนั้นหายากเย็นยิ่ง ในส่วนของการหลอมสร้างอาวุธจากแร่มิธริลในแต่ละวันกาเล็ทสามารถหลอมสร้างได้นับสิบเล่มถึงจะเป็นเช่นนั้นหากต้องแจกจ่ายอาวุธพวกนี้ให้แก่คนของตนเองทุกคนย่อมยังไม่เพียงพอ ดังนั้นกาเล็ทจึงยังไม่รีบร้อนที่จะแจกจ่ายและเลือกที่จะนำเอาอาวุธเหล่านี้ที่มีราคาค่างวดหลายร้อยเหรียญทองต่อเล่มไปวางขายในตลาดแทน

         เช้าวันนี้กาเล็ทเฝ้ามองเหล่าทหารซึ่งมาต่อแถวลงทะเบียนทำประวัติยังลานว่างหน้าปราสาทบุสโซ่ ส่วนกลุ่มที่ลงทะเบียนจนเสร็จสิ้นแล้วต่างก็กระจายหาพื้นที่ว่างในการนั่งลงฝึกฝนตามที่กาเล็ทได้ให้นโยบายไว้ ในเรื่องนี้ต้องมีการจัดแบ่งหน้าที่ให้แต่ละคนเป็นอย่างดีบางคนมีเวรในการเฝ้ายามออกตรวจในช่วงเช้าก็จะใช้เวลาในช่วงบ่ายฝึกฝน บางผู้คนมีเวรยามออกตรวจในช่วงค่ำก็จะใช้เวลาในช่วงเช้าฝึกฝนสลับกันไป การแบ่งหน้าที่เหล่านี้ย่อมเป็นพ่อบ้านโจเซพจัดการให้ทั้งสิ้น กล่าวไปแล้วหากปราศจากพ่อบ้านโจเซพกาเล็ทคงจะยุ่งวุ่นวายกว่าที่เป็นอยู่นี้นับสิบเท่า

         "มาร์ติน" กาเล็ทเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆจุดที่ลูกน้องของตนผู้นี้นั่งฝึกฝนดูดซัพพลังอยู่

         ได้ยินคำเรียกหามาร์ตินก็ลืมตาขึ้น

         "เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดตัวเจ้าจึงมักจุหลุดจากห้วงลึกของสมาธิอยู่บ่อยครั้ง" กาเล็ทเอ่ยถาม

         ได้ยินคำถามของกาเล็ทตัวมันก็เกาหัวอย่างโง่งม จริงดั่งที่นายน้อยของมันกล่าวตลอดระยะเวลาที่นั่งดูดซัพพลังจิตวิญญานตัวมันมักจะหลุดจากสภาวะจิตว่างเปล่าอยู่บ่อยครั้ง กว่าที่ตัวมันจะเข้าสู่ห้วงจิตว่างเปล่าได้ต้องปลุกปลอบสมาธิตระเตรียมนานนับชั่วโมง ครั้นพอเข้าถึงห้วงเวลาอันน่าพิศวงนั้นได้แต่เพียงไม่นานตัวมันกลับสมาธิขาดห้วงหลุดออกจากสภาวะดูดซัพพลัง

         "เปรียบเช่นนี้ก็แล้วกันเจ้าจะได้เข้าใจง่ายขึ้น หากเจ้าดื่มน้ำอย่างรวดเร็วเกินไป สุดท้ายแล้วตัวเจ้าก็ต้องสำลักน้ำนั่นออกมา การที่เจ้าหลุดจากห้วงสมาธิว่างเปล่าเหตุเพราะตัวเจ้าชักนำพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างรวดเร็วกว่าจำนวนที่เจ้าสามารถดูดซัพมันเข้าสู่แก่นจิตวิญญาณของตนเองมาก ของบางอย่างหากรีบร้อนเกินไปกลับให้ผลที่ตรงกันข้ามจากที่ต้องการ เข้าใจแล้วหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยแนะหนึ่งในลูกน้องที่ตนเองมั่นหมายจะปั้นให้เป็นหัวหน้าควบคุมผู้คนของตระกูลบุสโซ่

         ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ท มาร์ตินก็เข้าใจกระจ่างขึ้นมาทันที "ขอบพระคุณนายน้อยที่ชี้แนะ"

         ไม่เพียงแต่วางแผนให้คนของตนเองเร่งฝึกฝนเพิ่มพูนพลังเท่านั้น หลายวันมานี้กาเล็ทยังได้สั่งให้พ่อบ้านโจเซพนำแบบแปลนไปส่งมอบแก่ร้านตีเหล็กภายในเมืองเพื่อจัดสร้างหุ่นฝึกซ้อมขึ้นมาจำนวนมาก ต่อให้มีพลังมากมายเพียงไรแต่หากใช้ไม่เป็นมิใช่ต้องสูญเปล่าไป ?  ลูกหลานตระกูลขุนนางหลายคนกลับมุ่งเน้นแต่เพียงฝึกฝนดูดซัพพลัง บ้างมีพลังสูงถึงระดับ 6 ระดับ 7 แต่พอต้องต่อสู้จริงกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ยกตัวอย่างเช่นโจดานเป็นต้น 

         กาเล็ทเดินตรวจตราพื้นที่รอบนอกปราสาทอยู่หลายรอบ ขณะที่ออกสำรวจตรวจดูในจิตใจก็ครุ่นคิดว่าจะพัฒนาพื้นที่รอบนอกเช่นไรดี ตัวปราสาทของตนเองนั้นอยู่ใกลจากเมืองหลวงเกือบยี่กิโลเมตร รอบนอกตัวปราสาทกลับเป็นพื้นที่รกร้างไม่มีการใช้ประโยชน์ คิดไปคิดมา "หรือเราสำควรสร้างหมู่บ้านเล็กๆอยู่รอบนอก อย่างน้อยก็เป็นที่อยู่ของข้ารับใช้"

         กล่าวไปด้วยระยะห่างจากเขตผู้คนที่ไกลพอสมควร คนของตระกูลบุสโซ่ไม่น้อยที่ต้องกางเต้นนอนอยู่รอบนอก หากจะให้เหล่าทหารเดินทางไปกลับทุกวี่วันนั้นคงไม่ไหวดังนั้นทหารหลายคนจึงเลือกที่จะกางเต้นชั่วคราวนอนอยู่ที่เบื้องนอก สามถึงสี่วันถึงจะกลับเข้าเมืองไปสักหน มีแต่เพียงเหล่าคนรับใช้หญิงเท่านั้นที่พักอยู่ในตัวปราสาทบุสโซ่

         เมื่อสำรวจตรวจดูอย่างถี่ถ้วนแล้วกาเล็ทก็กลับเข้ามาภายในส่วนด้านในของปราสาท กาเล็ทได้กันห้องส่วนหนึ่งไว้สำหรับเป็นพื้นที่ฝึกวิชาส่วนตัวของตนเอง ภายในห้องนี้มีร่างเล็กสองร่างนั่งหลับตาอยู่ ย่อมไม่ใช่ใครที่ไหนร่างเล็กทั้งสองนั้นย่อมเป็นซิลเวียและแชลเทีย แชลเทียนั้นแม้จะมีพื้นฐานเกี่ยวกับพลังจิตวิญญาณมาบ้าง แต่ทั้งสิ้นนั้นล้วนเป็นวิธีการฝึกฝนที่ผิด ดังนั้นกาเล็ทจึงเลือกที่จะให้ทั้งสองคนเริ่มฝึกฝนตั้งแต่พื้นฐานขั้นแรกใหม่หมด โดยมีตนเองคอยให้คำแนะนำอยู่ไม่ห่าง หากว่าฐานรากไม่มั่นคงตัวตึกย่อมล้มคลืนลงมาได้โดยง่ายก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ฝึกพลัง หากพื้นฐานไม่มั่นคงการทะลวงสู่ขีดขั้นสูงต่อๆไปความยากก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ




         [ปล.จากผู้เขียนนะครับ อยากจะสอบถามหน่อยครับทั้งผู้อ่านเก่าและผู้อ่านใหม่ สำหรับผู้อ่านที่เคยอ่านฉบับเก่า พออ่านมาถึงจุดนี้แล้วอยากจะทราบครับว่าฉบับใหม่นี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากฉบับเก่าเช่นไร สนุกไหม หรือเรื่องเดินช้าไป สำหรับนักอ่านหน้าใหม่ก็อยากจะทราบความเห็นครับว่าเรื่องนี้เขียนรีไรท์มาถึงตอนที่ 53 แล้ว ซึ่งถือว่ามากพอสมควร อ่านแล้วสนุกไหม มีส่วนใดที่ชอบใจ ส่วนใดที่ไม่ชอบติดชมได้ครับ]
         

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×