ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #316 : พบเจออีกครั้ง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.71K
      359
      21 ก.พ. 62


    "นี่..." หัวหน้าตระกูลเคนนี่และหัวหน้าตระกูลซานเดรียแทบที่จะหมดคำพูดจะกล่าวในทันที
    "เมื่อฝึกฝนด้วยสตรีก็หมายความว่าต้องการสตรีเป็นจำนวนมาก พวกท่านคิดว่าจักรพรรดิจรัสแสงที่มากด้วยยศศักดิ์จนเหลือบแลสนใจสตรีธรรมดาทั่วไปหรือ? ทราบหรือไม่ว่าเหล่าทวีปกลางใช้วิธีการใดในการคัดหาสตรีที่มีรูปโฉมงดงามเพรียบพร้อมเพื่อจัดส่งให้แก่จักรพรรดิจรัสแสง?" กาเล็ทยังคงเอ่ยถามคำถามซึ่งทราบดีว่าผู้คนที่เบื้องหน้าไม่มีทางที่จะทราบคำตอบออกไปได้อย่างต่อเนื่อง
    เมื่อเห็นว่าหัวหน้าตระกูลทั้งสองยังคงเงียบเฉย กาเล็ทก็เอ่ยต่อ "เป็นโบสถ์จรัสแสงเอง ขอเพียงโบสถ์จรัสแสงพบเห็นเหล่าสาวกสตรีที่งดงามเข้าเกณฑ์ก็จะเอ่ยอ้างถึงประสงค์ของเหล่าทวยเทพเพื่อช่วงชิงนำตัวผู้คนมา เช่นนี้เมื่อเผชิญเข้ากับความต้องการขอทวยเทพที่ตนเองเคารพเทิดทูน พวกท่านทั้งหลายคิดว่าจะยังมีผู้ใดกล้าที่จะเอ่ยกล่าวปฎิเสธ ข้าอยากให้ท่านทั้งสองนั้นนึกคิดดู ท่านทั้งสองสามารถที่จะวางใจใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองเช่นนี้ได้จริงๆหรือ? ท่านทั้งสองสามารถข่มตานอนให้หลับได้ลงจริงหรือ? ท่านทั้งสองไม่เกรงกลัวหรือว่าในวันหนึ่งผู้คนของโบสท์จรัสแสงจะมาเคาะเรียกที่ประตูบ้านของพวกท่านและเอ่ยกล่าวอ้างถึงประสงค์ของเทพเจ้าเพื่อพรากเอาบุตรสาวของท่านหรือแม้แต่ภรรยาของท่านไป? ปกครองของทวีปกลางซึ่งนำโดยจักรพรรดิจรัส" ข้อมูลต่างๆที่กาเล็ทเอ่ยบอกเล่ามานี้ย่อมเป็นความจริงๆไม่แปลกปลอม
    ได้รับฟังคำเอ่ยกล่าวอธิบายของกาเล็ท หัวหน้าตระกูลทั้งสองก็คล้ายเหมือนว่าจะเข้าใจถ้อยคำที่ว่า เปลี่ยนผิดให้เป็นถูกขึ้นมาอยู่หลายส่วน
    กาเล็ทถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากนั้นจึงเอ่ยกล่าวต่อ "อาจบางทีพวกท่านสามารถที่จะทนทานรับได้ ไม่เช่นนั้นพวกท่านคงไม่เข้าร่วมและให้ความร่วมมือกับอองตวนเพื่อก่อตั้งโบสท์จรัสแสงขึ้นภายในแคว้นสมิธ แต่ขอบอกกล่าวต่อพวกท่านว่าข้าไม่สามารถที่จะทนทานรับได้" กาเล็ทเอ่ยกล่าว
    จากนั้นกาเล็ทก็เอ่ยเล่าถึงสถานการณ์คร่าวๆของแผ่นดินยูยานในตอนนี้ให้กลับผู้นำตระกูลเคนนี่และผู้นำตระกูลซานเดรียฟัง
    "ขอบอกกล่าวต่อพวกท่านทั้งสองตามความจริงว่าแรกเริ่มเดิมทีแล้วข้ายังมีความหวังว่าพวกท่านทั้งสองจะยินยอมให้ข้าผู้นี้หยิบยืมกำลังและความรู้ความสามารถของตระกูลพวกท่านเพื่อใช่ในการต่อสู้ทำสงครามกับทวีปกลาง ทว่าเมื่อเรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้เกรงว่าข้าคงต้องผิดหวังแล้ว" กาเล็ทเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความผิดหวังออกมาอย่างไม่ปิดบัง จากนั้นจึงถอนหายใจเอ่ยกล่าว "ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ไม่สามารถที่จะฝืนชะตาฟ้าลิขิต ผู้ใดจะทราบว่าก่อนที่ข้าจะมาถึงพวกท่านทั้งสองก็เข้าร่วมกับทวีปกลางไปเสียแล้ว ตัวข้านั้นไม่ชอบที่จะบังคับแข็งขืนผู้ใด ยังมีคำกล่าวที่ว่าจิตใจของผู้คนไม่สามารถที่จะบังคับแข็งขืนได้ เอาเถอะขอให้พวกท่านวางใจ เพื่อเห็นแก่หน้าของท่านลุงซานฮาน ในครั้งนี้ข้าจะไม่ถือโทษเอาผิดต่อผู้ใดแต่เกรงว่าต่อจากนี้ไปในภายหน้าข้ากับพวกท่านทั้งสองคงต้องยืนอยู่คนละฝั่งแล้ว"
    หัวหน้าตระกูลซานเดรียและหัวหน้าตระกูลเคนนี่ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นยืนในทันใดจากนั้นจึงคุกเข่าลงดังโครมใหญ่อย่างไม่ได้นัดหมาย"เพราะความโง่เขลาของพวกข้าจึงเกือบที่จะกระทำในสิ่งที่ไม่อาจจะให้อภัยลงไปได้ ต่อจากนี้ไปขอให้ตระกูลของพวกข้าได้มีโอกาสในการรับใช้ท่านจักรพรรดิทมิฬด้วยเถอะขอรับ ในภายหน้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใด ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟขอเพียงท่านจักรพรรดิทมิฬบอกกล่าวสั่งมาตระกูลของพวกข้าก็พร้อมที่จะยินดีปฎิบัติตามอย่างไม่บ่ายเบี่ยง"
    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็ลอบยิ้มกับตนเองในใจหากแต่ยังคงเอ่ยกล่าว "พวกท่านแน่ใจ?"
    "ขอรับ/ขอรับ"
    ได้ยินคำตอบที่ตนเองต้องการแล้วกาเล็ทก็รีบเข้าไปพยุงหัวหน้าตระกูลเคนนี่กับหัวหน้าตระกูลซานเดรียขึ้นมา "ขอท่านทั้งสองโปรดลุกขึ้นเถอะ ตัวข้าย่อมไม่ต้องการให้พวกท่านไปบุกน้ำลุยไฟยังที่ใด เพียงต้องการหยิบยืมความรู้ความสามารถที่สืบทอดต่อๆกันมาของตระกูลพวกท่านเพียงเท่านั้น ตัวข้าก็ได้แต่หวังว่าจากนี้ไปตระกูลของท่านทั้งสองจะร่วมแรงร่วมใจรวมพลังกันเพื่อเป็นกำลังให้กับทวีปตระวันออก"
    หัวหน้าตระกูลซานเดรียกับหัวหน้าตระกูลเคนนี่ที่เป็นคู่แข่งกันมาช้านานหันหน้าไปมองให้แก่กันจากนั้นจึงหันกลับมายังกาเล็ทและเอ่ยกล่าวอย่างพร้อมเพรียง "ขอรับ"
    พูดคุยตกลงถึงรายละเอียดอีกสักพักใหญ่สุดท้ายแล้วกาเล็ทและซาฮานก็ส่งหัวหน้าตระกูลซานเดรียกับหัวหน้าตระกูลเคนนี่กลับไปเพื่อเตรียมการ
    "หลานกาเล็ท ในโลกแห่งนี้นั้นมีวิชาที่น่ากลัวเช่นนั้นจริงๆหรือ?" ซาฮานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามถึงสิ่งที่ตนเองสงสัยใจออกมา
    กาเล็ทหันไปยิ้มรับต่อคำเอ่ยถามของซาฮาน "ทุกสิ่งที่ข้าบอกเล่าออกไปล้วนเป็นความจริงไม่แปลกปลอมท่านลุง" เอ่ยกล่าวถึงจุดนี้กาเล็ทก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงชะตากรรมของผู้คนที่ต้องตกเป็นเหยื่อ "ไม่ทราบว่าจนถึงขณะนี้มีสตรีดีงามมากน้อยเท่าไรแล้วที่ตกตายภายใต้เงื้อมมือของจักรพรรดิจรัสแสง เกรงว่าหากมันผู้นี้ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ปกครองของดินแดนยูยานสมใจหมาย ผู้คนภายในดินแดนยูยานคงไม่มีทางที่จะได้พบกับความสงบสุขตลอดกาล" กาเล็ทเอ่ยกล่าว
    ซานฮานที่ได้รับฟังเช่นนั้นก็ได้แต่ผงกศรีษะรับอย่างไม่อาจที่จะปฎิเสธได้
    "ท่านลุง ขออภัยท่านที่ระหว่างอยู่ในงานเลี้ยงตัวข้านั้นแสดงกริยาไม่เหมาะสมอยู่บ้าง" กาเล็ทเอ่ยกล่าวเปลี่ยนเรื่อง
    ซาฮานได้รับฟังเช่นนั้นก็หัวเราะฮ่าๆออกมาพร้อมโบกมือไปมาแสดงออกว่าตนเองหาได้ใส่ใจ หากจะให้บอกกล่าวตามความจริงแล้ว ผลลัพธ์ออกมาในลักษณะนี้นับว่าเหนือกว่าความคาดหมายของตัวซาฮานมากแล้ว อย่าเห็นว่าในช่วงหนึ่งวันที่ผ่านมานี้ซาฮานวิ่งวุ่นไปมาเป็นตัวแทนของกาเล็ทติดต่อกับผู้คนภายในแคว้นสมิธอย่างสูญเปล่า การเป็นตัวแทนให้กับกาเล็ทเช่นนี้สามารถบ่งบอกได้ถึงความสัมพันธ์อันดีที่ตระกูลโรม่ามีต่อจักรพรรดิทมิฬ เพียงเรื่องนี้ที่กาเล็ทได้แสดงออกให้เห็นว่าตนเองมีความสัมพันธ์อันดีต่อตระกูลโรม่าก็เพียงพอแล้วที่จะยกฐานะของตระกูลโรม่าที่มีต่อผู้คนในแคว้นสมิธให้สูงขึ้นจนเสียดฟ้า นับแต่นี้ต่อไปยังจะมีผู้ใดกล้าสร้างความลำบากให้แก่ตระกูลโรม่าอีก? เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ซาฮานรู้สึกพึงพอใจได้อย่างไร?
    เมื่อผลลัพธ์ในการเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงยังแคว้นสมิธเป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้โดยราบรื่น ทั้งได้ร่วมงานเลี้ยงของตระกูลโรม่าเพื่อตอบแทนบุญคุณเก่าก่อนที่เคยมี ทั้งได้กำลังจากผู้คนของตระกูลซานเดรียและตระกูลเคนนี่ที่เตรียมจะย้ายรากฐานไปยังโรฮานเพื่อช่วยเหลือกิจการใหญ่ของกาเล็ทให้ลุล่วง ยังมีทรัพยากรมากมายที่ได้จากแคว้นสมิธ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการที่ได้สังหารอองตวนสี่สุดยอดของทวีปกลางซึ่งถือว่าเป็นการตัดกำลังรบของทวีปกลางไปในตัว ทั้งหมดนี้ทำให้กาเล็ทเกิดความรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก รั้งอยู่เป็นแขกของตระกูลโรม่าอีกหนึ่งคืน เมื่อได้รับการส่งมอบเงินทองจากแคว้นสมิธเรียบร้อยแล้ว กาเล็ทก็ถือเอาโอกาสนี้พาครอบครัวและเหล่าว่าที่ภรรยาออกท่องเที่ยวโดยรอบ
    ภายในเรือเหาะหลวงของโรฮานระหว่างที่กำลังเดินทางกลับ
    ซิลเวียที่กำลังจะออกไปยังดาดฟ้าของเรือเหาะเพื่อมองดูวิวทิวทัศน์กลับถูกเบลล่าผู้เป็นพี่สาวเรียกรั้งไว้
    "ท่านพี่มี่สิ่งใดหรือ" ซิลเวียเอ่ยถามขึ้น ในน้ำเสียงแฝงถึงความรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
    เบลล่าเหลือบมองดูให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่รอบบริเวณนี้แล้วจึงเปิดปากเอ่ยกล่าวขึ้น "น้องหญิง ข้าคิดว่าจะหาโอกาสตักเตือนเจ้าหลายครั้งแล้วทว่ากลับไม่มีโอกาสจนกระทั่งบัดนี้"
    "ตักเตือนเรื่องใดหรือ ท .. ท่านพี่" ซิลเวียเอ่ย
    "น้องหญิง อย่าได้ทำตัวไม่รู้ความ กระทำการผิดข้อห้ามความประพฤติจริยาของสตรี" เบลล่าเอ่ยกล่าวขึ้นมาโดยใช้น้ำเสียงในเชิงดุว่า
    ซิลเวียได้รับฟังเช่นนั้นมีหรือที่จะไม่รู้ว่าผู้เป็นพี่สาวของตนเองเอ่ยกล่าวถึงเรื่องราวใด นี่ย่อมเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ตนเองปฎิบัติในงานเลี้ยงต่อกาเล็ท "เขาบอกกล่าวว่าไม่สนใจต่อกฎธรรมเนียมคร่ำครึเหล่านั้น"
    ได้ยินคำเอ่ยตอบของผู้เป็นน้องสาวเบลล่าก็พ่นลมหายใจออกมาคำหนึ่งพร้อมกับส่ายศรีษะเอ่ยกล่าวออกมา "เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้ความถึงเพียงนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเจ้าปฎิบัติตนเช่นนั้นไม่คิดหรือว่าหากท่านป้านีน่าเห็นเข้าจะรู้สึกอย่างไร หากเปลี่ยนเป็นเจ้าเอง เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ในภายหน้าปฎิบัติตนไม่อยู่ในกรอบข่มเหงผู้เป็นบุตรชายเจ้าจะรู้สึกเช่นไร? เจ้าจะยินดีหรือ? น้องหญิงข้าอยากจะให้เจ้าคิดให้ดี"
    ซิลเวียได้รับฟังเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไป
    "น้องหญิงอย่าได้ถือดีว่าโปรดปรานก็กระทำการอย่างตามใจ ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ใกล้ตัวเหตุใดเจ้าถึงไม่เรียนรู้ไว้ เจ้าไม่เห็นหรือว่านางสนมของท่านพ่อหลายต่อหลายคนมีชะตากรรมเช่นไร? ตอนนี้เขารักใคร่เอ็นดูใส่ใจพวกเราแต่เจ้าคิดหรือว่าความรู้สึกเช่นนี้จะคงอยู่ได้ตลอดไป? ทราบหรือไม่ว่าพฤติกรรมใดของพวกเราเหล่าสตรีที่ทำให้บรุษเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายมากที่สุด? " เบลล่าเอ่ยกล่าว เมื่อเห็นว่าผู้เป็นน้องสาวนิ่งเงียบไปเบลล่าก็เอ่ยต่อ "นั่นคือสิ่งที่เจ้าปฎิบัติต่อเขาในงานเลี้ยง"
    ซิลเวียได้รับฟังเช่นนั้นก็เริ่มที่จะเกิดความรู้สึกกังวลใจขึ้นมา รับฟังการดุว่าอบรมณ์จากผู้เป็นพี่สาวอีกครู่ใหญ่สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็เดินออกจากใต้ท้องเรือเหาะขึ้นสู่ดาดฟ้าเรือติดตามนีน่าไป
    ที่ดาดฟ้าของเรือเหาะ กาเล็ทนั้นกำลังโอบกอดพะเน้าพะนอเอาใจต่อแชลเทียอยู่ หากจะให้เอ่ยบอกกล่าวแล้ว กาเล็ทเกิดความรู้สึกขอบใจหญิงงามผู้เป็นเพื่อนสมัยเด็กของตนเองคนนี้อยู่ไม่น้อย หากว่าแชลเทียไม่เปิดโอกาสให้ มีหรือที่ตนเองจะสามารถยืนอยู่ท่ามกลางดงบุปผางามเช่นนี้ได้
    "กาเล็ทไม่รู้สึกเบื่อหน่ายบ้างหรือ" แชลเทียเอ่ยกล่าวถามเสียงเบา
    กาเล็ทที่โอบกอดแชลเทียพร้อมกับมองออกไปยังวิวทิวทัศน์ที่ด้านนอกย่อมสามารถรู้ได้ว่าคำเบื่อหน่ายของนางหมายถึงสิ่งใด "ให้อยู่เช่นนี้ต่อไปอีกร้อยปีพันปีก็ไม่เบื่อหน่าย"
    แชลเทียได้รับฟังเช่นนั้นมุมปากของนางก็ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจหากแต่ยังคงแสร้งพ่นลมหายใจออกมาเอ่ยกล่าว "ลิ้นลมคมคายไม่มีผู้ใดเกิน"
    กาเล็ทที่สัมผัสได้ถึงกริยาท่าทางปากไม่ตรงกับใจของร่างเล็กในอ้อมกอดก็เกิดความรู้สึกคันที่หัวใจขึ้นมา มุมปากของกาเล็ทยกยิ้มขึ้น รอยยิ้มที่ปรากฎแลดูชั่วร้ายอยู่บ้าง "สำหรับกับเจ้าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เบื่อ ไม่เพียงแต่โอบกอดเช่นนี้ ข้ายังชมชอบที่จะทำเช่นนี้" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งยื่นใบหน้าของตนเองเข้าไปสูดดมยังใบหน้าของแชลเทีย "และชมชอบที่จะทำเช่นนี้" เอ่ยกล่าวจบกาเล็ทก็ใช้มือของตนเองยกขึ้นตบไปที่บั้นท้ายของแชลเทียเบาๆ ส่งให้ร่างเล็กของแชลเทียสั่นกระตุกด้วยความรู้สึกแตกตื่นขวยเขิน
    "ว้าย" เสียงร้องอุทานดังขึ้นมาบนดาดฟ้าของเรือเหาะหลวงของโรฮานหากแต่เสียงร้องนี้กลับไม่ใช่เสียงร้องของแชลเทียแต่กลับเป็นเสียงร้องของนีน่าที่ออกมายังดาดฟ้าเรือเหาะและเห็นภาพที่ผู้เป็นบุตรชายยกมือขึ้นตบไปที่บั้นท้ายของว่าที่ลูกสะใภ้หย่างเหิมเกริม นีน่ารีบปรี่เข้าไปหาผู้เป็นบุตรชายในทันที
    "ท..ท่านแม่" กาเล็ทรีบคลายมือที่โอบกอดและบีบคั้นบั้นท้ายของแชลทีออกและหันมาเผชิญหน้ากับนีน่าอย่างหวาดหวั่น
    นีน่ายกมือของตนเองขึ้นพร้อมทั้งตบตีไปยังท่อนแขนของผู้เป็นบุตรชายระรัว "ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูก มานี่ มาให้แม่ตี มานี่" นีน่าเอ่ยกล่าว
    "ข้ายอมแล้วท่านแม่ ข้ายอมแล้ว ข้าผิดไปแล้วท่านแม่" กาเล็ททำได้แต่ร่ำร้องขอความเมตตาต่อนีน่าที่กำลังมองค้อนใส่ตนเองพร้อมทั้งรับฟังคำเอ่ยกล่าวพร่ำสอนของผู้เป็นมารดาอยู่ชุดใหญ่ ขณะที่แชลเทียทำได้แต่ก้มหน้าเขินอายไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาสู้หน้าต่อผู้ใด
    ถูกกาเล็ทเอารัดเอาเปรียบยังพอทำเนาแต่กลับถูกเขากระทำเช่นนั่นต่อหน้าของนีน่าและทั้งหมด เช่นนี้แล้วจะไม่ให้แชลเทียอับอายได้อย่างไร
    "หนูแชลเทีย อย่าได้ถือสาเด็กคนนี้เลยนะลูก เป็นป้าสั่งสอนเขามาไม่ดีพอเอง หนูแชลเทียวางใจป้าจะให้กาเล็ทรับผิดชอบแน่นอนนะลูก" หลังจากอบรมสั่งสอนผู้เป็นบุตรชายแล้วนีน่าก็หันไปโอบกอดและกล่าวปลอบประโลมว่าที่ลูกสะใภ้ของตนเอง
    "รับผิดชอบ ข้าจะยืดอกรับผิดชอบแน่นอนท่านแม่..." กาเล็ทหัวเราะเอ่ยกล่าวหากแต่กลับต้องหยุดไว้แต่กลางคันเมื่อเห็นถึงสายตาของผู้เป็นมารดาที่มองค้อนมาที่ตนเองอีกครั้ง การเดินทางสู่แคว้นสมิธของกาเล็ทจึงจบลงเช่นนี้ไป
    ณ ตระกูลบุสโซ่ ร่างบางร่างหนึ่งยืนเหม่อมองท้องฟ้าอย่างหวนนึก ใบหน้างดงามกำลังเหม่อมองท้องฟ้าเสมือนกับว่ารอคอยสิ่งใดอยู่ นางหลับตาลงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองในรอบสองเดือนที่ผ่านมา ลมเย็นโชยพัดเข้ามาปะทะเข้ากับร่างบอบบางของนางหากแต่นางกลับเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในจิตใจ "ไม่นึกเลยว่าความคิดถึงจะทำร้ายผู้คนได้มากถึงเพียงนี้" ซานซานนึกคิดกับตนเองในใจแต่แล้วไม่นานดวงตาคู่สวยที่แฝงไปด้วยความรู้สึกเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง ซานซานหันมองไปยังทิศทางหนึ่งที่ไกลออกไปอย่างยินดี รอยยิ้มที่สามารถจะทำให้บรุษทั่วทั้งแผ่นดินยูยานวิญญาณหลุดออกจากร่างปรากฎขึ้นบนใบหน้าทันทีที่ซานซานสัมผัสได้ถึงมวลพลังมหาศาลที่กำลังเคลื่อนเข้ามาผ่านข่ายจิตวิญญาณที่ตนเองกางไว้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×